โพงคำหอม บทที่ 2 : เดี๋ยวก่อนครับ

โพงคำหอม บทที่ 2 : เดี๋ยวก่อนครับ

โดย : ทศพล

Loading

โพงคำหอม โดย ทศพล สิงห์คำมา 1 ใน 5 นวนิยายจากโครงการช่องวันอ่านเอาที่กำลังจะทำเป็นละคร กับตำนานที่เล่าขานสืบต่อมาในดินแดนอีสาน เมื่อมีหญิงสาวถูกกล่าวหาว่าเป็นผีโพง ความอันลึกลับที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านอันห่างไกล และผู้เฒ่าทั้งสามที่พยายามจะตามล่าเธอด้วยเหตุผลที่มิอาจบอกใครได้ นวนิยายออนไลน์อีกเรื่องที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

24 ปี ต่อมา พุทธศักราช 2414

แผ่นดินสยามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

 

ณ หมู่บ้านท่าขี้อ้น เมืองสกลนคร เขตมณฑลอุดร

หมู่บ้านท่าขี้อ้น (เผ่าภูไท) เป็นหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเมืองสกลนคร ตั้งอยู่ติดกับหนองหาร ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพหลักทำการเกษตร หาปลา เลี้ยงสัตว์ แต่งานทอผ้านี่ถึงขั้นส่งออกไปขายยังต่างเมืองไกลถึงเวียงจันทน์ เวียงโพงคำ และแผ่นดินจีน เป็นต้น บางครั้งก็มีชาวกุลาพวกพ่อค้าเร่ชาวไทยใหญ่จากพม่าเดินทางมาค้าขายรับซื้อสินค้าไปขายต่อ ทำให้เศรษฐกิจของหมู่บ้านและชาวเมืองสกลนครมีความเจริญรุ่งเรือง

ศูนย์รวมจิตใจทางพระพุทธศาสนาอยู่ที่วัดพระธาตุเชิงชุม ในทุก ๆ เทศกาลออกพรรษา แต่ละหมู่บ้าน ซึ่งมีหลากหลายทางด้านชนเผ่า จะพร้อมใจกันสร้างหอผึ้งออกมาร่วมกันเดินแห่ขบวน เพื่อนำไปนมัสการองค์พระธาตุเชิงชุมและหลวงพ่อพระองค์แสน

ผู้คนเผ่าภูไทบ้านท่าขี้อ้นส่วนมากเป็นคนผิวขาวนวล นิยมนุ่งห่มผ้าที่มัดย้อมครามเข้มหรือสีจากธรรมชาติ ผู้ชายสวมเสื้อแขนกระบอกสามส่วนหรือเปลือยท่อนบนตามสภาพอากาศ แต่จะมีผ้าขาวม้าคาดเอวหรือพาดไว้ที่บ่าไหล่ ส่วนผู้หญิงนิยมนุ่งผ้าซิ่นหมี่ตีนต่อ เป็นผืนเดียวกัน ย้อมครามเกือบสีดำ สวมเสื้อแขนกระบอกสามส่วน ติดกระดุมเงิน หรือเหรียญสตางค์ ห่มสไบทับด้วยผ้าจ่องหรือผ้าแพรวาที่ผ่านการทักทออย่างประณีต ใช้สำหรับห่มกายและคลุมไหล่ เกล้ามวยผมสูงตั้งตรงใช้ผ้ามนหรือแพรมนทำเป็นผ้าสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ม้วนผูกมวยผม หากเป็นชนชั้นสูงจะนิยมสวมสร้อยคอ สร้อยข้อมือและข้อเท้าที่ทำด้วยโลหะเงิน

 

15 วัน ก่อนวันออกพรรษา ณ วัดป่าท่าขี้อ้น

ชาวบ้านกำลังช่วยกันเตรียมงานเทศกาลประจำปีนี้ ณ ศาลากลางโล่ง ๆ ภายในเขตวัด แม่หญิงส่วนใหญ่พากันนั่งทำขนมถวายพระและทำกับข้าวเลี้ยงพวกผู้ชายที่กำลังขะมักเขม้นทำหอผึ้ง ซึ่งประดิษฐ์ขึ้นจากหยวกกล้วยและขี้ผึ้งเป็นหลัก

แพงศรีดูแก่ตัวลงไปตามวัย เธอเกล้ามวยผมเอียงมาข้างศีรษะเพื่อสื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นแม่หม้ายตามวิถีคนที่นี่ ตอนนี้เธอกำลังนั่งห่อขนมด้วยใบตองกับคนเฒ่าคนแก่ พอหันมองดูใบตองที่ใช้ห่อขนมใกล้จะหมดแล้ว จึงตะโกนเรียกหา “คำหอม ลูก”

“จ้าแม่” น้ำเสียงของคำหอมดังมาจากด้านหลัง ในวัย 24 ปี เธอมีใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวผ่อง รูปร่างดี ยิ้มทีไรหัวใจแทบละลาย ทำเอาหนุ่ม ๆ ที่มาช่วยงานต่างก็จับจ้องหมายปองให้มาเป็นคู่ครองเรือน ซึ่งเธอก็กำลังนั่งเด็ดดอกไม้ให้แม่หญิงคนอื่นร้อยมาลัย

“ไปเก็บใบตองเพิ่มให้แม่แหน่”

“เอาหลายเบาะจ๊ะแม่”

“สัก 5 ก้านกะพอ…ไปเอามาเร็ว ๆ แม่รีบ”

“ผิวไปกับเอื้อย” คำหอมหันไปบอกชายหนุ่มรูปหล่อหน้าละอ่อนที่นั่งเด็ดดอกไม้ด้วยกัน

“ได้เอื้อย”

ยายแก่อ้วน ๆ คนหนึ่งเดินถือถาดผักผ่านมา หล่อนพูดกับแพงศรีแต่กลับจ้องมองคำหอม “ลูกสาวงามปานนี้ ปีนี้ละพามาเปิดตัวเนาะแพงศรี ปีก่อน ๆ ล่ะบ่พามา กลัวหนุ่ม ๆ ตามจีบแม้นเบาะ ถ้าเป็นแม่หญิงเฮือนอื่นเอาผัวมีลูกหมดแล้วเด้อ”

แพงศรีหันไปพูดด้วยยิ้มที่เป็นมิตร “ลูกสาวข่อยเพิ่งสิเป็นการเป็นงานจ๊ะยาย ถ้าปล่อยให้มีผัวเร็วคือเฮือนอื่น แม่ย่าทางผัวได้จ่มเช้าจ่มแลงแน่ ๆ” ในสายตาเธอ คำหอมก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ แต่ด้วยวัยที่เป็นสาวแล้ว จึงพาออกงานช่วยเหลือชาวบ้านในงานสำคัญต่าง ๆ

การแต่งงานไปมีครอบครัวของคนสมัยนี้นั้นตบแต่งกันเร็ว บางคนอายุเพิ่ง 16 ปี ก็พากันแต่งงานกันแล้ว ซึ่งส่วนมากมักจะเป็นลักษณะในเชิงคลุมถุงชนเสียมากกว่า ยิ่งคำหอมอายุ 24 ปีแล้ว ในมุมมองของชาวบ้านจึงนับว่าช้ามาก

 

คำหอมและผิวพากันลุกขึ้นไปเก็บใบตองที่อยู่ในดงสวนข้างวัด ในมือของเธอถือตะกร้าสาน ส่วนผิวแบกไม้ไผ่ด้ามยาวที่มีตะขอเกี่ยว  ขณะที่ทั้งสองกำลังเดิน มีกลุ่มชายหนุ่มร่างกำยำจากต่างเมืองสามคน แบกห่อผ้ากันทุกคนกำลังเดินสวนทางมา การแต่งกายพวกเขาทั้งสามคนบ่งบอกถึงฐานะว่ามาชนชั้นผู้ดีในระดับหนึ่งด้วยผ้าชั้นดี

แม่หญิงคนใดที่พบเห็นชายหนุ่มกลุ่มนี้ต่างพากันเขินอายและส่งยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่คำหอมกับไม่มีทีท่าสนใจชายหนุ่มกลุ่มนี้เลยสักนิด เธอเอาแต่เดินตรงไปเรื่อย ๆ ซึ่งผิดกับชายหนุ่มทั้งสามที่เอาแต่จ้องมองเธอเสียมากกว่า

“งามล้ายหลาย” ผาชายหนุ่มลูกครึ่งหน้าฝรั่งพูดลอย ๆ ขึ้นมา ก่อนถูกบุญเที่ยงผลักหัวเข้า

“บักผา คนนี้กูจองโว้ย” บุญเที่ยงหันไปพูดกับขุนพร้อมกระดิกคิ้วซ้าย “บักขุน คนนี้กูจอง”

ด้วยหน้าตารูปร่างของขุนเป็นที่หมายตาของแม่หญิงอื่น ๆ หากจีบแข่งกันก็อาจแพ้เขาได้

“คนนี้ไผวะ บ่เคยเห็นหน้ามาก่อน” ผาทำสีหน้าสงสัยและเหมือนจะเดินตามคำหอมไป แต่โดนบุญเที่ยงดึงคอเสื้อไว้อย่างแรง

“มึงหยุดก่อนเลยบักผา คนนี้กูจองแล้ว”

ผาทำหน้าเซ็งไก่ “เออ ปล่อยเสื้อกูได้แล้วบักบุญเที่ยง ผลักหัวกูทีหนึ่งแล้ว บักห่ามึงกระชากซะแรง”

ขณะเดิน เขาทำตาเขม่นให้บุญเที่ยง “เป็นเพราะมึงคนเดียวเลย ถ้าชาตินี้กูบ่มีเมียนะ กูจะจับมึงทำเมียแทนซะเลย”

“อย่าแม้จะคิดเด็ดขาดนะมึง” บุญเที่ยงตอบ

ขุนส่ายหน้ายิ้มให้เพื่อน “รีบไปหาหลวงปู่กันเถอะ”

ตลอดทางทั้งสามหนุ่มเดินกอดคอหยอกกันเล่น พวกเขาเป็นเพื่อนรักที่สนิทกันตั้งแต่แต่เด็ก บวชเรียนมาด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน ชอบอะไรเหมือน ๆ กัน อีกอย่างพวกเขาทั้งสามยังไม่มีเมียสักคน

 

บนศาลาวัด หลวงปู่ทองคำกำลังนั่งคุยกับโยมผู้หญิงสามคน ชายหนุ่มทั้งสามก็เดินขึ้นมาบนศาลาแล้วรีบเข้าไปนั่งกราบหลวงปู่ทันที สายตาของแม่หญิงวัยสาวสองคนหันไปจ้องมองชายหนุ่มทั้งสามด้วยอาการเขินอายและเหมือนว่าจะรู้จักกันมาก่อนแล้ว

“วันนี้พ่อบ้านพันศรไปประชุมในเมืองสกลนคร เลยบ่ได้มา มะพร้าว ขนุน แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว ก็วางไว้ที่โรงครัวแล้วเด้อค่ะ หากขาดเหลืออิหยัง กะรีบบอกดิฉันเลยนะคะหลวงปู่ ยินดีช่วยเต็มที่เจ้าค่ะ”

“ขอบใจ โยมผ่องมากเด้อ” หลวงปู่ทองคำพูดไปพร้อมกับบ้วนน้ำหมากใส่กระโถนไปด้วย

“ผ่องผ่อง เจ้าค่ะ”

หลวงปู่ทองคำถึงกลับต้องเหลือกตามองไปด้านข้างแล้วเรียกชื่อหล่อนใหม่

“โยมผ่องผ่อง”

“เจ้าค่ะ สิได้บ่คือไผ” หัวเราะกลบเกลื่อน

แม่ใหญ่ผ่องผ่องเป็นเมียพ่อบ้านพันศร เธอเติบโตมาในครอบครัวผู้ดีมีอันจะกิน การแต่งกายและกริยาท่าทางต้องดูสง่า เพื่อให้เหมาะกับตำแหน่งเมียพ่อบ้าน ต้องน่าเกรงขามเป็นที่เคารพและพึ่งพาให้กับลูกบ้านได้

แม่ใหญ่ผ่องผ่องกระซิบหูลูกสาวที่นั่งติดกัน “ลูก กราบลาหลวงปู่กันเถอะ” หล่อนเหล่ลูกกะตามองหน้าลูกสาวที่กำลังนั่งยิ้มมองผู้ชาย “กากะเลา เมือบ้าน” ตะโกนดังลั่นจนหลวงปู่ตกใจแทบสำรักน้ำหมาก

“จ้ะแม่” กากะเลาเห็นหน้าแม่ของเธอที่เริ่มคิ้วขมวด

แม่หญิงทั้งสามคนพากันกราบลาหลวงปู่ แล้วรีบคลานถอยหลังเดินลงจากศาลาไป

ความงามของกากะเลาสวยสง่าไม่แพ้กับแม่หญิงคนอื่นในหมู่บ้านและเธอก็เป็นลูกสาวคนเดียวของพ่อบ้านด้วย กิริยามารยาทจึงงามพร้อมเพื่อป้องกันคำครหา รักษาความเป็นผู้ดีไว้ ซึ่งเธอเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน เพราะยังหาคู่ครองที่เหมาะสมไม่ได้สักที

 

ชายหนุ่มทั้งสามเคลื่อนตัวกันเข้าไปใกล้ ๆ หลวงปู่ทองคำ หลังจากที่แม่หญิงสามคนนั่นลงจากศาลาไปแล้ว พวกเขาพร้อมใจกันกราบด้วยอาการสำรวม

“จากเมืองพบศิลามาเมืองสกลฯ ไกลเด้อ แต่มาถึงเร็วกว่ากำหนด” หลวงปู่ทองคำพูด

“พวกเฮาสามคนกะว่าสิมาร่วมฝึกซ้อมก่อนแข่งจริงครับหลวงปู่ ปีนี้เฮาต้องรักษาที่หนึ่งไว้ครับ” บุญเที่ยงพนมมือขึ้นพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ

“แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาเด้อโยม สิ่งสำคัญคือรักษาประเพณีไว้ให้ลูกหลานได้ฮู้ได้เห็น”

“ครับหลวงปู่” บุญเที่ยงรู้สึกละอายที่โดนคำสอนหลวงปู่กระแทกเข้าที่ตรงหัวใจ

หลวงปู่ทองพูดต่อ “พระยาชัยเทพ สบายดีบ่ โยมขุน”

“ญาพ่อ*สบายดีครับ ช่วงนี้ทางราชการเรียกตัวประชุมบ่อย ปีนี้เลยไม่ได้มาครับหลวงปู่”

“ดีแล้ว ชาวบ้านสุขสงบกะเพราะผู้นำขยันทำงานอย่างแท้จริง”

ปีนี้นับว่าเป็นปีที่สองที่พวกเขาทั้งสามคนอาสามาเป็นฝีพายแข่งเรือยาวให้กับบ้านท่าขี้อ้น เพราะเมื่อปีก่อนพวกเขาเดินทางมากับพระยาชัยเทพ ซึ่งเป็นพ่อของขุน สาเหตุที่รู้จักหลวงปู่ทองคำได้ก็เพราะพระยาชัยเทพเคยบวชเณรเป็นลูกศิษย์และเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่มาก่อนในสมัยอดีต

*ญาพ่อ คือ การกร่อนคำจากคำว่า อัญญาพ่อ

 

หลังจากเก็บใบตองตามคำสั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คำหอมและผิวก็วางตะกร้าใบตองที่เช็ดสะอาดยื่นให้กับแพงศรี ยายแก่ที่นั่งจัดแจกันดอกไม้ก็ตะโกนเรียก “คำหอม ยกดอกไม้ไปเปลี่ยนบนศาลาให้แหน่”

“ได้จ้ายาย” คำหอมพยักหน้าชวนผิวไปด้วยกันอีกครั้ง

ทั้งสองคนพากันไปยกแจกันดอกไม้ขึ้นไปบนศาลาวัด เพื่อนำไปตั้งไว้ที่โต๊ะหมู่บูชา แต่ระหว่างทางได้เดินสวนทางกันกับแม่ใหญ่ผ่องผ่อง

“อีเกิ้ง” แม่ใหญ่ผ่องผ่องพูดขึ้น

“คะ แม่ใหญ่” เกิ้งรีบขานรับด้วยเสียงแหลมสูง

“มึงว่า มื้อนี้ลูกกูงามบ่” ทำเสียงดังเพื่อให้คำหอมและผิวได้ยิน

เกิ้งรู้สถานการณ์ดีเลยทำเสียงให้ดังกว่า “ในหมู่บ้านท่าขี้อ้น บ่มีไผงามเกินกากะเลาแล้วจ้า”

“ถูกต้อง ถูกต้อง พูดอีกก็ถูกอีก” แม่ใหญ่ผ่องผ่องหัวเราะดังมากก่อนเดินล่วงหน้าไป

กากะเลารู้สึกอายที่มีแต่คนมองมา จึงหันไปทำหน้าดุใส่เกิ้ง “เอื้อยเกิ้ง หยุดเถอะ”

เกิ้งไม่สนใจก่อนเดินเชิดหน้าตามแม่ใหญ่ผ่องผ่องไป จนกากะเลาต้องถอนหายใจเดินตาม

 

เกิ้งเป็นหลานสาวของพ่อบ้านพันเทพ เธอเป็นชาวเมืองนครพนม พอพ่อแม่เสียชีวิต เลยต้องกลับมาอาศัยอยู่กับลุง ตั้งแต่อายุยังน้อย ๆ เป็นต้นมา

คำหอมและผิวพากันยืนงุนงง และไม่รู้ว่าเขาพูดไปเพื่ออะไร ดูเหมือนว่าแม่ใหญ่ผ่องผ่องจะไม่ชอบใจคำหอมและผิว พวกเขามีปัญหาเรื่องอะไรมาก่อน ถึงขนาดต้องใช้คำพูดกัดแซะกันไปมาในวัด

“พระวัดใดเสกน้ำมนต์ให้กิน ความมั่นหน้ามั่นโหนกหลายคัก” ผิวพูด

คำหอมถอดถอนหายใจเบา ๆ ออกมา “อย่าไปสนใจเลย”

 

สายตาของหนุ่มทั้งสามถึงกับต้องเบี่ยงสายตามามองคำหอม เมื่อเห็นเธอกำลังถือแจกันดอกไม้ขึ้นมาบนศาลาพร้อมกับผิว พวกเขาวางแจกันลงแล้วพากันกราบพระ โดยที่ผิวจะเป็นผู้ยกแจกันอันเดิมจากโต๊ะหมู่บูชาลงมาแล้วเปลี่ยนแจกันดอกไม้อันใหม่ขึ้นไปแทน

“บักผิว คำหอม…มานี่แหน่” หลวงปู่ทองคำตะโกนเรียก

คำหอมและผิวหอบแจกันอันเดิมเดินมาหาหลวงปู่ทองคำ พวกเขาวางแจกันไว้ข้าง ๆ ก่อนก้มกราบ

“พาพ่อหนุ่มสามคนไปหาข้าวปลาอาหารกินแหน่เด้อ พวกเขาเพิ่งเดินทางมาไกล”

คำหอมหันไปสบตากับขุนพอดี “ตามข่อยมาจ้า”

ขุนพยักหน้ายิ้มหวานให้ เขาทำหน้านิ่งราวกับต้องมนต์สะกดจนเพื่อน ๆ สะกิดที่หลังให้ได้สติ

ทุกคนพากันกราบหลวงปู่แล้วเดินลงศาลาไปพร้อม ๆ กัน

คำหอมและผิวเดินนำทางไปยังโรงครัว ทั้งสองเอาแจกันอันเดิมไปวางให้กลุ่มคุณยายก่อนพากันจัดหาอาหารที่ทำเสร็จไว้แล้วในหม้อใบใหญ่ตักใส่ถ้วยเล็ก ๆ แล้วใส่ถาดนำไปตั้งไว้ให้บนแคร่ไม้ไผ่

“เชิญจ้า” คำหอมพูด

บุญเที่ยงส่งยิ้ม “ขอบคุณมากนะจ๊ะ อ้ายชื่อบุญเที่ยงเด้อ”

คำหอมยิ้มให้ ไร้ซึ่งการโต้ตอบก่อนชวนผิวเดินไปช่วยงานครัวทางโน่นกับชาวบ้าน

ขุนและผาแอบหัวเราะเบา ๆ เยาะเย้ยให้เพื่อนของเขา

“บักบุญเที่ยงเอ๋ย มึงนี่กล้ามากกว่าที่กูคิดอีกเด้อ” ผาพูด

“มึงสิไปฮู้อิหยังบักฝรั่งโคก เขาเรียกว่าไผเร็วไผได้โว้ย”

ขุนกับผาพากันส่ายหน้าให้บุญเที่ยงกับความหน้าด้านของมันก่อนพากันขึ้นนั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับเหล่ตามองคำหอมอยู่ไกล ๆ ไปด้วย

 

ตกเย็นแล้ว หลังจากช่วยงานที่วัดเสร็จ แพงศรีและคำหอมพากันเดินทางกลับบ้าน ระหว่างทางใกล้จะถึงหน้าบ้าน แพงศรีรู้สึกว่ามีคนแอบอยู่ตรงพุ่มไม้หนา ๆ นั่น เธอหยุดเดินแล้วหันไปเพ่งตามองเห็นแต่เท้าของคน

“มีหยังหรือแม่” คำหอมเห็นแม่มีท่าทีแปลก ๆ จนต้องหันตามไปมอง

“บ่มีหยัง” เธอยื่นปิ่นโตให้คำหอม “แม่ต้องรีบไปเก็บผ้า แม่วานเอาปิ่นโตไปให้พรานบุญด้วยเด้อ”

“ได้จ้า” คำหอมรับปิ่นโตจากแม่แล้วรีบเดินไปบ้านพรานบุญที่อยู่ท้ายหมู่บ้านติดหนองหาร

บ้านของแพงศรีและคำหอมเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง มีระเบียงหน้าบ้านยื่นออกมา มีรั้วรอบขอบชิดไว้เรียบร้อย รอบรั้วเต็มไปด้วยต้นว่านไฟ ส่วนใต้ถุนบ้านเป็นที่ทอผ้า มัดย้อมผ้าและลานกว้างมีไม้ไผ่ด้ามยาวทำเป็นที่ตากผ้า พวกเขายังมีผ้าจำนวนมากถูกวางไว้บนชั้นอย่างสวยงามและเป็นระเบียบ

คำหอมถือปิ่นโตเดินไปตามเส้นทางของหมู่บ้าน ตัวบ้านที่ตั้งห่างกันสมควร จึงทำให้การกระจายตัวของชาวบ้านอาศัยกันไม่หนาแน่นมากและรอบรั้วบ้านแต่ละหลังนิยมปลูกพืชผักสวนครัว

พระอาทิตย์ใกล้จะตกดินแล้ว แสงเริ่มสลัว ๆ คำหอมเดินคนเดียวเสียวสันหลังวาบ เธอรู้สึกเหมือนมีใครกำลังเดินตามอยู่ข้างหลัง แต่พอหันหลังไปมองกลับไม่พบใคร เท้าเริ่มขยับเร่งเร็วขึ้น แต่ยิ่งเร่งเท่าไหร่ ความรู้สึกเหมือนว่ามันก็เดินตามเร็วขึ้นเหมือนกัน รู้สึกไม่ดีจิตฟุ้งซ่านไปหมด จึงตัดสินใจวิ่ง

“เดี๋ยวก่อนครับ”

เธอมั่นใจว่านั่นเสียงคนแน่ ๆ จึงหยุดวิ่งแล้วหันไปมองด้วยความโกรธที่มาทำให้กลัว เป็นขุนนั่นเอง

“เจ้านั่นเอง ตามข่อยมาเฮ็ดหยัง” น้ำเสียงที่เหมือนจะโกรธ

“จำอ้ายได้ด้วย” ขุนรู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจ “กำลังสิไปไหนครับ”

“บ่ใช่เรื่องของเจ้า” คำหอมไม่อยากคุยด้วยแล้วจึงตัดบทเดินหนี

ขุนวิ่งตามมาเดินข้าง ๆ ยิ่งทำให้คำหอมจะโกรธจริง ๆ แล้ว

“นี่สิตามข่อยมาเฮ็ดหยัง”

“ไผตาม อ้ายกะสิไปทางนี้คือกัน”

“ทางเส้นนี้ไปเฮือนพรานบุญ บ่มีหลังอื่นแล้ว เจ้าคือสิหลงทางแล้วเด้อ”

“อ้ายกะสิไปเฮือนพรานบุญ เดินไปนำกันบ่ได้ติ”

คำหอมไม่อยากต่อปากต่อคำจึงเดินต่อไป

ระหว่างที่ทั้งสองเดินด้วยกัน ขุนก็มักจะหาเรื่องคุยตลอดการเดิน คารมการจีบสาวไม่มีเอาซะเลย

“อ้ายชื่อขุน เฮาน่าสิฮู้จักกันไว้เด้อ” ขุนทำทีเดินเข้าไปใกล้ ๆ แทบจะแนบชิดกายของคำหอม เขายิ้มกรุ่มกริ่มอย่างพึงพอใจที่ได้ทำแบบนี้

คำหอมรู้สึกว่าตนเองกำลังโดนคุกคาม จึงตัดสินใจเดินให้เร็วขึ้นกว่าเดิม หน้าของเธอแทบไม่อยากเป็นมิตรแล้ว

“สิรีบไปไหน” ขุนรู้สึกสนุก “ถ่าอ้ายแหน่” วิ่งเยาะ ๆ ตามไปติด ๆ

 

ครั้นถึงหน้าบ้านของพรานบุญ เป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง บริเวณหน้าบ้านมีหัวกะโหลกวัวควายแขวนตามเสาบ้านเพื่อให้รู้ว่าบ้านหลังนี้เป็นนายพราน หลังบ้านมีท่าเรือเล็ก ๆ มีเรือลำเล็กเทียบท่าไว้

คำหอมเดินพุ่งพรวดขึ้นบันไดบ้านไป “พ่อลุงจ๊ะ แม่ให้เอากับข้าวมาให้”

ผิวที่อยู่ในห้องนอน พอได้ยินเสียงจึงวิ่งออกมาข้างนอก เขาเห็นคำหอมยืนอยู่กับขุน ด้วยความสงสัย “เอื้อยหอม มานำกันติ”

คำหอมไม่อยากตอบ อารมณ์โกรธยังค้าง “พ่อลุงล่ะผิว”

“พ่อสานแหอยู่หลังเฮือน” ผิวเดินไปรับปิ่นโต แล้วหันไปพูดกับขุน “อ้ายมาทำหยัง”

“อ้ายมาหาพรานบุญ” ขุนยิ้มให้ “จำอ้ายได้บ่ ปีก่อนอ้ายกะมากับญาพ่อ อ้ายยังจำน้องผิวได้เลย”

ผิวรู้สึกคลับคล้ายคลับคลา “อ้อ จำได้แล้ว อ้ายนั่นเอง” จริง ๆ แล้วจำไม่ได้ แกล้งพูดออกไปงั้น ๆ

“ผิว เอื้อยกลับเฮือนก่อนเด้อ” คำหอมเสร็จธุระแล้วผันเดินลงบันไดบ้าน

ขุนรีบพูดขึ้น “มานำกัน เป็นหยังบ่รอกลับพร้อมกัน ใจร้ายอีหลี”

คำหอมคิ้วขมวด  “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ข่อยมาผู้เดียว บ่ได้มาพร้อมเจ้า”

“อ้าว คือพูดแบบนี้…ย่างมานำกันแท้ ๆ ขึ้นบันไดมาพร้อมกัน ผิวเป็นพยานให้อ้ายเลย”

ผิวทำตัวไม่ถูกและไม่รู้จะเข้าข้างใครดี “เออ!!!!”

คำหอมถอนหายดังมาก “หัวหมอแท้เจ้า ข่อยสิกลับ มีปัญหาหยังบ่”

ขุนบ่นเบา ๆ แต่รอบข้างก็ยังได้ยิน “แม่หญิงหมู่บ้านนี้ คือใจร้ายทุกคนเบาะ”

“หยุดทะเลาะกัน เด็กน้อยพวกนี้ ใหญ่กว่าควายแล้ว” พรานบุญตะโกนขึ้น เขาเดินออกมาจากหลังบ้าน “คำหอม ไปช่วยบักผิวจัดพาข้าวมาให้ลุง แล้วค่อยกลับ”

“ข่อยสิกลับแล้วพ่อลุง”

“คำหอม” น้ำเสียงที่กดต่ำลง “ไปจัดพาข้าว”

คำหอมไม่กล้าขัดใจจึงเดินทำหน้าบึ้งเข้าไปในครัวกับผิว

ขุนยกมือขึ้นไหว้พรานบุญ “พรานบุญ ฉันไหว้จ้ะ”

พรานบุญรับไหว้ “อย่าถือสาคำหอมเลยเด้อ เลี้ยงมาแต่น้อย ๆ พอโตขึ้นกะเริ่มนิสัยเสียแบบนี้แหละ เลยบ่มีผัวนำเขาจักเทื่อ”

“บ่เป็นหยังครับ”

“ไป ๆ มานั่งหลังเฮือน คุยกันก่อน”

พรานบุญเดินนำทางขุนไปนั่งตรงชานบ้านที่ยื่นออกมาทางด้านหลังของตัวบ้าน

“ท่านพระยาเป็นยังไงบ้าง ปีนี้เป็นหยังบ่ได้มา”

“ช่วงนี้ญาพ่อติดงานราชการบ่อย พอดีญาพ่อมีของฝากมาให้นำครับ” ขุนหยิบเหรียญพระออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านในแล้วยื่นให้กับพรานบุญ “เหรียญคุณพระช่วย ญาพ่อฝากมาให้ครับ”

พรานบุญรับเหรียญมาแล้วยกมือไหวขึ้นสูงเหนือหัว “เป็นบุญลุง สาธุ ขอบคุณหลาย ๆ เด้อ”

“ญาพ่อบอกว่าต้องเอาให้ลุงให้ได้”

คำหอมและผิวยกพาข้าวที่เต็มไปด้วยเครื่องคาวหวานและกระติบข้าวเหนียว นำมาวางไว้

สายตาที่ยังโมโหอยู่มองไปที่ขุน “พ่อลุง ข่อยกลับก่อนเด้อ”

ขุนรีบพูดขึ้น “งั้น ข่อยกะขอกลับพร้อมเลยเด้อครับ”

“บ่ได้” คำหอมตะหวาดเสียงใส่ขุน

“คำหอม” พรานบุญขึ้นเสียงดุ “ทางมันมืดแล้ว กลับพร้อมท้าวขุน ลุงเป็นห่วง”

ขุนยิ้มกรุ้มกริ่ม “งั้นดีเลย ข่อยสิพาไปส่งถึงเฮือนเลย”

“บ่ต้อง เกรงใจ” คำหอมหันไปตอบขุนเบา ๆ ก่อนหันไปยกมือไหว้พรานบุญแล้วเดินลงบ้านด้วยกิริยาท่าทางไม่พอใจ

“ไปก่อนเด้อครับลุง” ขุนรีบยกมือไหว้ลาแล้วรีบวิ่งตามไปทันที

ผิวรู้สึกเป็นห่วงพี่สาวจึงเดินตามไป แต่…

“บักผิว มึงสิไปไหน”

ผิวหยุดเดินเมื่อได้ยินเสียงของพ่อห้ามไว้ “ไปส่งเอื้อยหอม บ่ได้เบาะ”

“หยุดเลย มากินข้าว ปล่อยให้เขาอยู่นำกันแหน่” พรานบุญเหมือนจะแอบจับคู่ให้ทั้งสองซะแล้ว

“อ้ายขุนบ่ฮู้เป็นคนแบบใด เป็นหยัง อีพ่อคือไว้ใจเขาหลายแท้”

“ท้าวขุนเป็นลูกเพื่อนฮักกู” มือพรางหยิบข้าวเหนียวร้อน ๆ เข้าปาก “พ่อเขาเป็นถึงเจ้าพระยาเมืองพบศิลา ฟากเขาภูพานฝั่งโน่น ชาติตระกูลกะดีมีเชื้อเจ้า อีกอย่างหน้าตาท้าวขุนกะหล่อเหลา กะเหมาะสมกับเอื้อยมึงแล้ว”

“ยุคใดยุคนั้น จับคู่ให้กันดีเนาะ เจ้าถามเอื้อยหอมหรือยังว่าอยากมีผัวบ่” ผิวนั่งลงด้วยอาการหงุดหงิด

“เอ้าบักห่านิ อยู่ ๆ กันไป กะฮักกันไปเอง มึงบ่เห็นสายตาท้าวขุนเบาะ นั่นคือสายตาแห่งความฮัก”

“ฮู้ได้อย่างใด อีพ่อบ่เคยมีเมีย ทำมาเป็นฮู้ดี”

“กูพ่อมึงเด้อ ขัดคำบ่ตกฟาก ฮู้แบบนี้เอาขี้เถ้ายัดปากตั้งแต่ยังน้อยแล้ว”

“ไผบอกให้อีพ่อเก็บมาเลี้ยง เป็นหยังบ่ปล่อยให้ตายไปเลย” ผิวรู้สึกเศร้าแล้วเดินหนีเข้าห้องนอน

พรานบุญนึกถึงวันที่ตัวเองเดินป่าเมื่อ 18 ปีก่อน พร้อมกับเพื่อนอีกสองคน เขาได้ยินเสียงเด็กทารกร้องไห้ จึงรีบวิ่งตามเสียงนั่นไป จนพบทารกน้อยนอนร้องไห้ฟูมฟาย สองมือไปอุ้มขึ้นมาอย่างทะนุถนอม เขาเหลียวมองหาคน ว่าใครลืมเด็กไว้หรือเปล่า นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเขาก็เลี้ยงผิวเหมือนลูกชายแท้ ๆ ไปพร้อม ๆ กับคำหอม เด็กสองคนนี้จึงเหมือนเป็นพี่น้องกัน เพราะเติบโตมาด้วยกัน



Don`t copy text!