สาป บทที่ 1 : ใครใต้หลังคา
โดย : เยาวเรศ
สาป นวนิยายลึกลับ โดย เยาวเรศ เรื่องราวของสาวไทยที่ต้องไปเผชิญกับความลึกลับในบ้านชนบท ประเทศอังกฤษ โดยมีความรัก…ความแค้น…และความอาฆาตพยาบาทที่มาเดิมพันกับชีวิตของเธอ นิยายออนไลน์จากเว็บไซต์อ่านเอาที่เราอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์อีกเรื่อง
*************************
– 1 –
ไอลดารวบหนังสือและสัมภาระบนตักแล้วลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว เมื่อคนขับรถประจำทางหันมาบอกหล่อนว่าถึงจุดหมายปลายทางที่หล่อนถามเขาก่อนหน้านี้
หญิงสาวพึมพำขอบคุณเบาๆ ก่อนจะก้าวลงมาจากรถอย่างงงๆ หันซ้ายหันขวาที ด้วยไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนก่อน เพราะรอบตัวหล่อนไม่มีบ้านเรือน ไม่มีร้านค้า ไม่มีอะไรเลยนอกจากต้นไม้ ทุ่งหญ้าตรงข้ามป้ายรถเมล์ที่หล่อนยืนงงอยู่ และเสียงนกร้องเบาๆ
ไอลดาถอนใจยาว อดโมโหตัวเองไม่ได้ที่เชื่อแดฟนี เพื่อนสาวที่เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน แดฟนีเป็นเพื่อนตั้งแต่สมัยหล่อนเดินทางมาเรียนปริญญาตรีที่นี่ จากนั้นต่างก็แยกย้ายไปคนละทางหลังจบการศึกษา หญิงสาวตัดสินใจเรียนต่อไปจนถึงระดับปริญญาเอก ในขณะที่แดฟนีเองเรียนจนจบปริญญาตรีแล้วก็พักอาศัยอยู่ในลอนดอน ทำงานบริษัทของครอบครัวและใช้ชีวิตหญิงโสดอย่างเต็มที่
เพื่อนสาวของหล่อนมีชีวิตที่น่าอิจฉายิ่งนัก นอกจากจะร่ำรวยเพราะครอบครัวทางบิดาเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของสวีเดนแล้ว ครอบครัวทางมารดาก็เป็นระดับชนชั้นสูงและเด่นดังในวงสังคมของอังกฤษ แดฟนีเองก็เป็นลูกสาวเพียงคนเดียว นอกจากพี่ชายอีกคนแล้ว หล่อนคือแก้วตาดวงใจของมารดาโดยแท้ จึงไม่เป็นที่น่าประหลาดใจเลยว่า แดฟนีจะถูกเลี้ยงมาอย่างตามใจตนเองขนาดไหน
อย่างไรก็ดี แม้หล่อนจะเป็นคนเอาแต่ใจตัวเองขนาดหนัก แต่แดฟนีก็เป็นคนน่ารัก นิสัยดี และรักไอลดาอย่างมาก นอกจากนิสัยที่อยากได้อะไรต้องได้แล้ว ไอลดาเองก็ไม่เห็นว่าเพื่อนสาวของหล่อนไม่ดีตรงไหน
‘ลดาไปดูบ้านให้หน่อยนะ’ แดฟนีส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ มีลายมือหวัดๆ เขียนที่อยู่ไว้ด้วยหมึกสีดำ ตัวอักษรตวัดหางสวยงาม ‘จริงๆ ฉันก็ไม่อยากย้ายออกมาจากลอนดอนหรอก แต่แม่อยากจะตกแต่งบ้านใหม่ กว่าจะเสร็จก็คงหลายเดือน…ที่นี่เป็นบ้านเช่านะ แต่ว่าเอาเหอะ ยังไงเราก็จะอยู่บ้านนี้กัน’
ไอลดาเลิกคิ้ว มองเพื่อนอย่างสงสัย แม่ของหล่อนมีบ้าน มีแฟลตหลายหลังในลอนดอนที่ปิดไว้บ้าง ให้คนเช่าบ้าง ทำไมแดฟนีถึงอยากจะมาเช่าบ้านอยู่ในเมืองเล็กๆ นอกลอนดอน แม้จะไม่ไกลมากนัก แต่ก็เป็นเมืองที่เงียบมากเมื่อเปรียบเทียบกับเมืองใหญ่ที่มีสีสันอย่างลอนดอน ในขณะที่แดฟนีมองหล่อนแล้วหัวเราะเสียงใส
‘เอาเหอะๆ อย่าสงสัยเลย คนที่เป็นเจ้าของบ้านนี้น่ะ เขาหล่อมากเลยนะ…’
ไอลดาจุปากอย่างขัดใจ
‘เธอจะย้ายบ้านเพราะเจ้าของบ้านหล่ออย่างนั้นเหรอแดฟนี’
‘ฉันไปเจอเขาในงานเลี้ยงน่ะ’ แดฟนีกอดไหล่หญิงสาว ‘คุยไปคุยมา ก็ได้กระดาษแผ่นนี้มา ลุงเขาเป็นเพื่อนๆ กับแม่ฉันน่ะ บ้านนี้เป็นบ้านเก่า เขาเพิ่งเปิดให้เช่าหลังจากที่เพิ่งตกแต่งเสร็จ’
‘แต่ถ้ามันแพงแล้วก็อยู่ไกลจากมหาวิทยาลัยฉัน ไกลจากลอนดอน ฉันว่าเราหาที่อื่นก็ได้ไหม’ ไอลดานิ่วหน้า ‘ฉันเองก็ไม่ได้ขับรถ อยู่ลอนดอนมันก็สะดวกดีแม้จะวุ่นวายไปนิด แต่ไปไหนมาไหนก็สะดวก แล้วค่าเช่าอะไรเท่าไร ถ้าแพงฉันก็จ่ายไม่ไหว…ไหนจะค่ารถไฟ รถเมล์…’
‘ฉันขอแม่ซื้อรถ เราผลัดกันใช้ก็ได้’ แดฟนีโบกมือแล้วตัดบทอย่างไม่สนใจ ‘เขาจะเอารถไปส่งที่บ้านวันที่เราย้ายเข้าแหละ ถ้าเธออยากจะใช้วันไหนก็เอาไปใช้ได้ อีกอย่าง เธอก็ไม่ต้องไปมหาวิทยาลัยทุกวันไม่ใช่เหรอ คงไม่ลำบากมากหรอกมั้ง’
ไอลดาถอนหายใจ ในที่สุดหล่อนก็ตกลงที่จะมา ‘ดู’ บ้านเช่าหลังนี้ตามความประสงค์ของอีกฝ่าย เพียงเพราะเจ้าของบ้านเช่าหล่อถูกใจแดฟนี!
หญิงสาวหยิบกระดาษแผ่นเล็กออกมาจากกระเป๋าถือ พลางเพ่งดูที่อยู่บนกระดาษยับยู่ยี่แผ่นเล็กๆ นั้น มองหาป้ายบอกถนน เมื่อไม่พบก็ตัดสินใจเดินตรงไปเรื่อยๆ
หนังสือในมือเริ่มรู้สึกหนักขึ้นทุกที ในที่สุดหล่อนก็เจอป้ายบอกถนน ไอลดาถอนใจยาว เหงื่อเริ่มซึมตามหน้าผากเมื่อมองไม่เห็นบ้านคนเลยแม้แต่หลังเดียว ‘ถนน’ ที่ว่าแม้จะลาดยางอย่างดี แต่ก็เป็นถนนเล็กๆ รถแทบจะวิ่งสวนกันไม่ได้ หากวิ่งมาเจอกัน อีกฝ่ายก็ต้องหาที่หลบเพื่อให้อีกคันผ่านไปได้ โชคดีที่แม้จะเป็นเวลาเย็นแล้วแต่อากาศหน้าร้อนก็ทำให้ช่วงเวลานี้พระอาทิตย์ยังส่องแสงอยู่ หล่อนจึงรู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อตัดสินใจเดินตรงไปเรื่อยๆ
ไอลดาหยิบโทรศัพท์เพื่อจะโทรหาแดฟนี ปรากฏว่าไม่มีสัญญาณ!
‘เวรกรรมจริงๆ’ หญิงสาวนึกในใจ โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ แล้วหล่อนจะหาบ้านเจอได้อย่างไร มองไปด้านซ้ายมือก็เห็นถนนเล็กๆ เส้นเดียวที่แยกจากถนนใหญ่ เป็นถนนที่ดูแคบและคดเคี้ยวเหมือนถนนในชนบทของอังกฤษทั่วไปที่สองข้างทางมักเป็นพุ่มไม้สูงเกินระดับอก ‘แล้วจะเดินเรื่อยๆ เข้าไปได้อย่างไร น่ากลัวชะมัด’
ไอลดายืนอยู่สักครู่ แล้วก็ตัดสินใจเดินตามถนนเส้นนั้นไป ไหนๆ มาเกือบจะถึงแล้ว ก็พยายามให้ถึงที่สุด อย่างมากถ้าหาบ้านนี้ไม่เจอ หล่อนและแดฟนีก็ไม่ต้องย้ายมาที่นี่ ขนาดกลางวันยังเงียบขนาดนี้ แล้วกลางคืนจะเงียบขนาดไหน หญิงสาวห่อไหล่อย่างหวาดๆ เมื่อคิดไปว่า หากหล่อนต้องเดินคนเดียวในยามกลางคืนเมื่อกลับจากเรียนหรือไม่ก็พบปะกับเพื่อนฝูงที่ลอนดอน คงจะน่ากลัวพิลึก ผีน่ะไม่กลัวหรอก แต่คนน่ะซิที่น่ากลัวกว่า…
หนังสือที่หอบพะรุงพะรังมาจากห้องสมุดก็หนักขึ้นทุกทีๆ ไอลดานึกโมโหตัวเองที่ลืมคิดไปว่า หล่อนต้องมา ‘ดู’ บ้านวันนี้เพราะแดฟนีจัดแจงนัดบริษัทตัวแทนไว้เสร็จสรรพ ก็เลยหอบหนังสือมาเต็มที่ กะว่าอาทิตย์นี้จะได้ทำงานวิจัยได้เต็มที่ที่บ้าน
‘ฉันไม่ไปหรอกนะ’ จู่ๆ เพื่อนสาวก็บอกยามเช้า ก่อนจะออกจากบ้าน ‘ทีแรกคิดว่าเค้าจะเป็นคนพาไปดูบ้าน แต่มาคิดๆ ไป เจ้าของบริษัทเขาก็คงให้พนักงานไปนั่นแหละ ถ้าฉันไปก็เสียเวลาเปล่าๆ’
‘แล้วถ้าเขาไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรกับบ้านนี้ เธอจะมีโอกาสเจอเขาได้ยังไงล่ะ ไม่สมเหตุสมผลเลย ถ้าเธอชอบเขา อยากเดตกับเขา แค่บอกนิดเดียว ขี้คร้านเขาจะวิ่งตามเธอแทบไม่ทัน คงไม่ต้องหาเรื่องไปเช่าบ้านหรอก’
‘มันไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซิ’ แดฟนีถอนใจ ‘สาวๆ มาคุยกับเขาเยอะแยะ แต่ไม่เห็นสนใจจะคุยกับใครจริงจัง ฉันเองน่ะแหละ ที่ถูกใจเขา ขนาดทอดสะพานขนาดใหญ่ เขายังไม่ข้ามมาเลยลดาเอ๋ย ทำอย่างไรเขาก็ไม่สนใจเลย’
‘หรือเขาจะไม่ชอบผู้หญิง’
‘ก็อาจเป็นไปได้นะ’ แดฟนีหัวเราะกิ๊ก ‘ไม่หรอกๆ ฉันสืบมาแล้ว เพื่อนแม่บอกว่า เคยมีแฟน เป็นคู่หมั้นด้วย แต่ว่าคู่หมั้นตายหรืออะไรนี่แหละ’
‘เอาเถอะๆ’ ไอลดาตัดบท ‘ถ้าเธอให้ฉันไป ฉันก็จะไปดู ตามธรรมเนียมของการเช่าบ้านน่ะนะ แต่เรื่องจะตกลงใจเช่าหรือไม่ฉันว่าเธอตัดสินใจไปแล้ว อันที่จริงก็จะให้ฉันไปทำไม เสียเวลาของฉันเหมือนกัน’
‘ไม่หรอก’ เพื่อนสาวเข้ามาจับแขนหล่อนอย่างประจบ ‘วันนี้แค่ไปดูตามธรรมเนียมไม่ให้เขาสงสัย พอเช่าบ้านแล้วฉันก็แกล้งหาเรื่องโน่นนี่ไปเจอเขาที่บริษัทได้แหละ แดฟนีซะอย่าง…’
‘ไม่มีอะไรที่อยากได้แล้วไม่ได้’ ไอลดาต่อให้อย่างขำๆ
แดฟนีหัวเราะเสียงใส ก่อนจะจูบแก้มหล่อนเบาๆ แล้วเปิดประตูแฟลตออกไป เป็นอันว่า จบการสนทนาเรื่องบ้านเช่าแต่เพียงเท่านั้น
ไอลดาถอนใจ กระชับหนังสือในอ้อมแขนให้แน่นขึ้น แล้วออกเดินต่อไป รู้สึกกังวลเล็กน้อย ด้วยยังคงไม่เห็นบ้านคนแม้แต่หลังเดียว หล่อนเริ่มรู้สึกหวาดๆ มากขึ้นกว่าเดิม ใจอดนึกไปไม่ได้ถึงหนังสยองขวัญที่จู่ๆ ตัวร้ายก็โผล่ออกมาจากพุ่มไม้พร้อมกับขวานหรืออาวุธอะไรซักอย่าง แล้วก็ไล่ล่าหญิงสาวเคราะห์ร้ายที่จู่ๆ ก็เกิดมาอยู่ผิดที่ผิดทาง ผิดเวลาเสียอย่างนั้น
ทันใดนั้นเอง หล่อนก็ได้ยินเสียงรถยนต์วิ่งใกล้ๆ เข้ามา หญิงสาวขยับตัวลีบให้ติดพุ่มไม้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ใจก็ชื้นขึ้นเมื่อคิดว่า เมื่อมีรถผ่านมา ก็คงมีบ้านคนอยู่ไม่ไกลจากนี้แน่นอน
รถสปอร์ตหรูสีดำคันนั้นวิ่งตะบึงมาตามถนนเล็กๆ ที่คดเคี้ยว กว่าไอลดาจะรู้สึกตัว กองหนังสือในมือ กระเป๋า ก็หล่นลงคลุกดิน พร้อมๆ กับตัวหล่อนเองที่เสียหลักตอนหลบรถเข้าไปในพุ่มไม้ ขาข้างหนึ่งติดกับกิ่งไม้ หล่อนพยายามดึงตัวเองออกมาอย่างยากลำบาก แขนอีกข้างมีรอยข่วนยาว คงจะมาจากหนามของต้นแบล็กเบอร์รีที่ขึ้นอยู่หนาแน่นตรงนั้น
“โอ๊ย” หล่อนร้องอุทานอย่างฉุนๆ โกรธด้วย เจ็บด้วย คนอะไร ขับรถไม่ดูคนเลย ตะบึงมาขนาดนั้น จะลดความเร็วลงหน่อยก็ไม่ได้ ถนนก็แคบแสนแคบ ไอลดาก็แอบเข้าข้างทางจนตัวลีบสุดๆ แล้ว ก็ยังไม่วายรู้สึกถึงลมปะทะจากความเร็วของรถ หล่อนก็เลยหลบเข้าไปอีกจนถลำลงไปในพุ่มไม้ยังไงเล่า
หญิงสาวค่อยๆ เก็บหนังสือ กระเป๋า ข้าวของที่ตกอยู่ตามพื้น ข้อมือข้างขวารู้สึกเจ็บนิดๆ ใกล้ๆ กับแผลรอยข่วนจากหนาม หล่อนเห็นรถคันนั้นขับถอยหลังมาด้วยความเร็ว แล้วก็จอดพรืดลงใกล้ๆ หล่อน
“ให้ผมช่วยนะ” ไอลดาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองคนพูด โมโหจนไม่อยากมีมารยาทกับคนแบบนี้
“ผมขอโทษ” เสียงนั้นยังพูดต่อไป พร้อมกับกองหนังสือ กระเป๋า ปากกา โทรศัพท์มือถือ ที่ถูกหยิบขึ้นมา คนพูดส่งมือให้หล่อนเพื่อช่วยให้ลุกขึ้น “ผมรีบจะไปตามนัด กลัวจะสายมากไปกว่านี้ แล้วพอดีคิดอะไรเพลินๆ อยู่ มารู้สึกอีกทีก็ตอนที่ขับผ่านไปแล้วดูกระจกหลัง เห็นคุณล้ม ว่าแต่ผมไม่ได้ชนคุณนะ เจ็บอะไรตรงไหนหรือเปล่า”
หญิงสาวลุกขึ้น กัดริมฝีปากระงับอารมณ์ “คุณไม่ได้ชนฉันหรอก แต่ถนนมันแคบขนาดนี้ จะขับให้มันช้ากว่านี้ไม่ได้หรือ ฉันก็ตัวออกใหญ่ จะบอกว่าไม่เห็นได้ยังไง ถนนมันไม่มีทางเท้า รีบอย่างไรก็ต้องดูคนใช้ถนนบ้างไหม”
“ผมขอโทษจริงๆ” อีกฝ่ายส่งเสียงอ่อยๆ “ผมจะพาคุณไปส่งห้องฉุกเฉิน แล้วเราค่อยติดต่อญาติพี่น้องคุณนะ ดีไหม”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่มีรอยข่วนที่แขนนิดหน่อย กับเจ็บข้อมือ น่าจะเป็นตอนที่ล้มลงไปในพุ่มไม้”
“ไปเถอะๆ” เขายังคงยืนยัน “ผมพาไป”
“ไม่ไป ฉันมีธุระต้องไปที่นี่” หล่อนหยิบกระดาษเล็กๆ ที่แดฟนีให้ออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ ฉันต้องไปแล้ว มัวแต่ต่อล้อต่อเถียงกับคุณ เดี๋ยวจะสาย”
“แถวนี้มีบ้านคนไม่กี่หลังหรอกนะ สามหลังได้กระมัง คุณจะไปที่ไหน ผมพาไปส่งเอาไหม”
ไอลดาอ่านที่อยู่ออกมาดังๆ ครั้นเมื่อไม่ได้ยินอีกฝ่ายโต้ตอบ หญิงสาวก็หยุดด้วยความสงสัย ก่อนจะมองหน้าชายหนุ่มเต็มตา
ตาสีฟ้าจัดจนเกือบเป็นสีน้ำเงินเป็นประกายจ้องตอบจนหล่อนต้องหลบ ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ ก่อนจะบอกว่า “ผมก็จะไปที่นั่นเหมือนกัน ว่าแต่คุณจะไปที่นั่นทำไม มันไม่มีใครอาศัยอยู่ที่นั่นนะครับ”
“ฉันจะไปดูบ้านค่ะ ฉันกับเพื่อนจะเช่าบ้านหลังนี้”
“มาเลย” ชายหนุ่มโยนกองหนังสือกับกระเป๋าของหล่อนเข้าไปในรถ พร้อมกับเปิดประตูด้านหน้าคู่กับคนขับรอ “ผมคือคนที่จะมาโชว์บ้านให้คุณดู ขอแนะนำตัวก่อน ผมชื่อ ทริสตัน คุณล่ะ…”
“ไอลดาค่ะ” หล่อนจับมือ ทักทายเป็นทางการกับเขา อดยิ้มตอบไม่ได้ เมื่อเห็นชายหนุ่มยิ้มกว้าง “จริงๆ เพื่อนฉันแดฟนี เขาจะมาด้วยแต่เกิดติดธุระมาไม่ได้ เลยส่งฉันมาแทน”
“อ้อ…แดฟนี” ชายหนุ่มพยักหน้าหงึกๆ “ผมจำได้….ขับไปอีกนิดเดียวก็ถึงแล้วครับ ว่าแต่คุณรู้รายละเอียดอะไรเรื่องบ้านบ้าง ผมจะได้บอกได้ถูก”
“ไม่รู้อะไรเลยค่ะ” ไอลดาสารภาพ “แดฟนีเป็นเพื่อนรักของฉัน ส่งฉันมาดูฉันก็มา เธอบอกว่า ยังไงก็จะเช่าที่นี่ค่ะ”
“ไม่เป็นไรๆ ผมส่งรายละเอียดไปทางเมลคุณก็ได้ เดี๋ยวผมขออีเมลคุณด้วย เบอร์โทรศัพท์ด้วยได้ไหม”
“คุณมีเบอร์แดฟนีแล้วนี่คะ จะเอาเบอร์ฉันไปทำไม ทุกอย่างแดฟนีเป็นคนตัดสินใจหมด”
“อ้าว ไหนคุณบอกว่าคุณจะเช่าอยู่ด้วยกัน”
“ค่ะ” หญิงสาวถอนใจเบาๆ “ถึงฉันจะค้านอย่างไรเธอก็คงไม่ฟัง เธอตัดสินใจแล้วค่ะ”
คราวนี้ทริสตันไม่พูดอะไร เขาขับรถตรงเข้าไปตามทางโรยกรวดที่แยกจากถนนสายนั้นอีกประมาณยี่สิบเมตร รถสปอร์ตคันหรูก็จอดลงตรงหน้าบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา แวดล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มและสนามหญ้าที่ถูกดูแลรักษาอย่างงดงาม
ไอลดาอึ้งไปนิดหนึ่ง บ้านใหญ่โตขนาดนี้ จะอยู่กันสองคนนี่นะ แถมยังห่างไกลจากถนน เพื่อนบ้านใกล้เคียงก็ไม่มี โอย…แดฟนีคิดอะไรอยู่นี่
เมื่อรู้สึกว่า มีคนจ้องมองหล่อนอยู่ ไอลดาก็ยิ้มเก้อๆ หล่อนมองสบตาสีฟ้าคู่นั้นแล้วรีบเมินไปทางอื่น ใบหน้าร้อนนิดๆ อย่างไม่มีสาเหตุ หล่อนอ้อมแอ้มถามไปว่า “คุณมองอะไรคะ”
“ก็มองคุณแหละ” ตาคู่นั้นเป็นประกายวิบวับกว่าเดิม หญิงสาวสังเกตเห็นขนตายาวงอน สีทอง สวยเกินกว่าจะเป็นขนตาของผู้ชาย และคิ้วสีเดียวกับขนตาที่ลากยาวจากหัวตาไปหางตา และริมฝีปากที่แย้มออกจนเป็นรอยยิ้มกว้างเมื่อเห็นหล่อนแอบสำรวจหน้าตาของเขา “คุณก็มองผมเหมือนกันนี่นะ”
“ฉันก็ต้องมองคุณซิ ฉันพูดกับคุณนี่” คราวนี้ไอลดาหน้าร้อนผ่าว รู้สึกแปลกใจตัวเองเหมือนกันที่เกิดอาการแบบนี้กับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบไม่ถึงครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา “คุณมองฉันทำไม”
“ก็คุณเงียบ ไม่พูดอะไรอยู่ตั้งนาน ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณคิดอะไร”
“ฉันคิดเรื่องบ้านค่ะ มันใหญ่โตขนาดนี้ น่าจะมีห้องนอนหลายห้องอยู่ ฉันอยู่กันกับแดฟนีแค่สองคน มันจะใหญ่เกินไป อีกอย่างฉันก็ยังเป็นนักศึกษา…คงจะสู้ราคาค่าเช่าไม่ไหว”
“มาชมบ้านก่อนดีกว่า” ชายหนุ่มก้าวลงจากรถ แล้วเดินอ้อมมาเปิดประตู่ให้หล่อน “ไหนๆ มาแล้วก็ดูเสียหน่อย จะเช่าหรือไม่เช่าค่อยว่ากัน”
“ขอโทษค่ะ ฉันนี่เสียมารยาทจริง” ไอลดาพึมพำเบาๆ หากเขาไม่ได้พาหล่อนชมบ้าน ก็อาจจะโดนผู้จัดการหรือเจ้านายตำหนิได้ ถ้าผู้เช่าชมแล้วไม่อยากเช่าหรือไม่ชอบ นั่นก็อีกเรื่อง
“ถ้าคุณชอบชนบท ชอบความเงียบ คุณจะชอบที่นี่” ทริสตันหยิบกุญแจออกมาไขประตูหน้า พลางผายมือให้หญิงสาวเดินเข้าไปก่อน “บ้านมีสามชั้นนะครับ ทั้งหมดสี่ห้องนอนใหญ่ แล้วก็มีห้องใต้หลังคา แต่ว่าเราปิดไว้ ถ้าหากคุณจะเก็บของเราก็มีห้องเก็บของต่างหากด้านข้างของสวน”
ไอลดาเดินตามเขาไปเรื่อยๆ อดคิดไม่ได้ว่า หากหล่อนต้องอยู่คนเดียวกลางคืนเวลาแดฟนีกลับบ้านดึกๆ หรือบางทีหญิงสาวก็ไม่กลับบ้านเลยถึงสองสามวัน หล่อนจะทำอย่างไร
“คุณไม่ชอบที่นี่เหรอครับ” ชายหนุ่มถามเมื่อเห็นไอลดาถอนหายใจเบาๆ คิ้วเรียวงามนั้นขมวดมุ่นอย่างครุ่นคิด “ผมเข้าใจนะ ที่นี่ถึงจะไม่ไกลจากลอนดอนมาก แต่การเดินทางก็ออกจะยากลำบากสักนิดสำหรับหนุ่มสาวที่ชอบสังคม…”
“ฉันไม่ได้ชอบสังคมหรือชอบเที่ยวหรอกค่ะ” หล่อนไม่รอให้เขาจบประโยค “ฉันกังวลเรื่องโจรผู้ร้ายต่างหาก มันเปลี่ยวออกจะขนาดนี้ ถ้าฉันต้องอยู่คนเดียวก็รู้สึกว่าไม่ค่อยปลอดภัย โดยเฉพาะตอนกลางคืนน่ะค่ะ”
“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วง…เรามีโทรทัศน์วงจรปิด มีระบบเตือนภัยที่จะส่งสัญญาณไปยังบริษัทรักษาความปลอดภัยทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น ประตูเราก็เปลี่ยนเป็นแบบล็อกหลายชั้น ทุกอย่างมั่นใจได้ว่าผู้เช่าจะปลอดภัย” เขายิ้มนิดๆ ก่อนจะถามทีเล่นทีจริงว่า “หรือว่าคุณไม่อยากอยู่บ้านเก่าๆ แบบนี้เพราะ…”
“ฉันไม่ได้กลัวผี” ไอลดาขัดเขาอีก แล้วหล่อนก็หยุด ตัดสินใจเลิกต่อล้อต่อเถียง เขาเป็นพนักงานจากบริษัทบ้านเช่า เขาก็ต้องพยายาม ‘ขาย’ สินค้าให้หล่อนให้ได้ ไม่ว่าบ้านนี้จะเหมาะหรือไม่เหมาะกับหล่อนก็ตาม
ไอลดาเดินนำหน้าชายหนุ่มขึ้นบันไดไปยังห้องนอนชั้นสาม เขาเปิดหน้าต่างพร้อมผายมือล้อๆ ให้หล่อนชมวิวจากด้านหลังของตัวบ้าน
“วิวแบบนี้ คุณจะหาทีไหนได้ คุณไอลดา”
หล่อนทอดสายตาออกไปจนเห็นเนินเขาเขียวขจี บางส่วนตรงลาดเขาปกคลุมไปด้วยทุ่งดอกไม้สีเหลืองหรือทุ่งดอกเรพซีดที่เกษตรกรปลูกไว้เพื่อส่งโรงงานทำน้ำมัน ส่วนไกลลิบๆ เป็นป่าโปร่ง จรดสายตา วิวจากห้องนอนด้านหลังสวยงามเหมือนภาพวาดอิมเพรสชันนิสม์ที่หล่อนชอบนักหนา
ทั้งคู่ยืนเงียบๆ ดื่มด่ำกับความสวยงามของธรรมชาติอยู่เป็นครู่ ไอลดาอดไม่ได้ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาบันทึกภาพไว้ แล้วก็อดบ่นเบาๆ ไม่ได้
“เห็นวิวอย่างนี้นี่น่าเขียนรูปจังนะคะ ครั้นจะถ่ายภาพก็คงจะไม่สวยเท่ากับความงามจริงๆ ที่ได้เห็น”
“ผมเปลี่ยนใจคุณได้แล้วใช่ไหม เพราะวิวจากหน้าต่างบานนี้” เขาปิดหน้าต่างฝรั่งเศสบานยาวแล้วยิ้มให้หล่อน “คุณไม่ต้องกลัวเหงาเลย ในสวนนี่จะมีทั้งกวาง กระต่าย ไก่ฟ้า กระรอก เต็มไปหมด คุณจะเล่นบทสโนว์ไวต์ได้สบายเลย ไกลออกไปอีกนิดมีบึงขนาดไม่ใหญ่มาก เดินออกไปอีกนิดก็มีแม่น้ำสายเล็กๆ สมัยก่อนมีโรงงานผลิตกระดาษไม่ไกลจากนี่ เขาก็อาศัยแม่น้ำนี้ล่องเรือบรรทุกกระดาษไปลอนดอนครับ ถ้าคุณสนใจอยากไปชมบริเวณ ผมพาไปชมได้นะถ้าคุณว่าง”
ไอลดาเดินสำรวจไปจนถึงประตูไม้โอ๊กทางด้านหน้า ซึ่งเป็นทางไปยังห้องใต้หลังคา มันถูกปิดไว้อย่างหนาแน่นด้วยกุญแจเหล็กโบราณดอกใหญ่ แถมยังล่ามโซ่เหล็กถึงสองชั้น ทั้งกุญแจ ทั้งโซ่ มีสนิมเกาะอยู่บ้าง ดูแล้วน่าจะมีอายุไม่ใช่น้อย หล่อนหันไปมองหน้าทริสตัน แค่ปิดไว้ไม่ให้ใช้งาน ถึงกับล่ามกุญแจเหล็กดอกใหญ่กับโซ่สองชั้นเลยหรือ ว่าจะไม่ถาม แต่ก็อดไม่ได้
“นี่คือประตูทางไปห้องใต้หลังคาที่คุณบอกปิดไว้เหรอคะ ล่ามโซ่เสียแน่นหนาเชียว”
เขาพยักหน้าแล้วแตะข้อศอกหล่อนเบาๆ เพื่อนำหล่อนมาจากหน้าประตูนั้น ก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “ไม้กระดานห้องนั้นมันเก่ามาก บางส่วนก็ชำรุด ผมเลยไม่อยากให้ผู้เช่าขึ้นไปใช้ เกรงจะไม่ปลอดภัย อีกอย่าง ห้องนี้ก็ปิดตายมานานหลายสิบปี ครั้นจะซ่อมแซมก็คงจะต้องรื้อโครงสร้างออกอีกเยอะเลย…”
“อ้าว…ถ้าไม้กระดานชำรุด มันมิตกลงมาใส่ชั้นสามของบ้านเหรอคะ ถ้าอย่างนั้น บริเวณที่ตรงกับใต้ห้องหลังคาก็ไม่ปลอดภัยละสิ…”
“ไม่มีปัญหาหรอกครับ เราซ่อมทำเพดานตรงนั้นใหม่หมด แข็งแรงดี แต่อย่างที่ผมบอกไปแล้ว มันไม่ได้ใช้งานหลายปี แล้วเราก็ซ่อมแซมเท่าที่จำเป็น มันไม่ได้เป็นห้องที่เหมาะสมกับการใช้งานอะไรหรอกครับ ผมก็ไม่รู้ว่ามีไว้ทำไม สรุปว่า เราอย่าไปสนใจห้องนี้เลย เอาเป็นว่า เรามีห้องเก็บของให้ผู้เช่า แล้วก็ห้องนอนสี่ห้องที่คุณสามารถดัดแปลงห้องที่ตรงกับห้องใต้หลังคานี่เป็นห้องทำงานหรือห้องนั่งเล่นของคุณได้ แล้วชั้นสองซึ่งใหญ่กว่านี้ ก็มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องน้ำ ห้องแต่งตัวด้วย คงจะเหมาะกับแดฟนี ส่วนชั้นล่างสุดก็ห้องรับแขก ห้องครัว ห้องน้ำ ห้องกินข้าว…”
ไอลดาเดินตามเขาลงมาจากชั้นสามอย่างว่าง่าย ปล่อยให้เขาบรรยายไปเรื่อยๆ
แม้จะบอกกับตัวเองว่า บ้านหลังนี้ ไม่เหมาะสมกับหล่อนและแดฟนีด้วยประการทั้งปวง แต่หล่อนจะเอาเหตุผลอะไรไปคัดค้านกับเพื่อนรัก ผู้ปลงใจว่าจะเช่าบ้านหลังนี้เพียงเพราะว่า หล่อนชอบชายหนุ่มเจ้าของบ้านเช่านี้!
หญิงสาวเดินตามทริสตันออกมายังหน้าประตูบ้าน รอให้เขาล็อกประตูหน้าบ้านเรียบร้อยจึงบอกกับเขาอย่างตรงไปตรงมา
“ฉันชอบวิวนะคะ ชอบบ้าน แต่ติดตรงที่มันใหญ่เกินความจำเป็นของฉันกับแดฟนี แล้วอีกอย่าง บ้านนี้ก็ไกลจากถนน เดินทางไม่สะดวกเพราะฉันไม่มีรถ ฉันคงต้องกลับไปคุยกับแดฟนีอีกทีค่ะว่าจะเอายังไงกันดี”
เขายิ้ม ตาสีฟ้าจัดเป็นประกายอย่างขำๆ ก่อนจะถามว่า “งั้นหรือครับ”
ไอลดาเห็นสายตานั้นก็ชะงัก รู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ มีความรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังล้อเลียนหล่อนหรือไม่ก็กำลังกลั้นหัวเราะ อย่างใดอย่างหนึ่ง
หญิงสาวออกเดินนำหน้าไปยังรถของเขา พลางหันไปมองทางอื่นอย่างเคืองๆ แอบมองเขาด้วยหางตา ก็ยิ่งรู้สึกโมโหเมื่อเห็นชายหนุ่มยิ้มกว้างเกือบจนเป็นหัวเราะ ‘จะขำอะไรฉันนักหนานะ เสียมารยาทจริงๆ’ หล่อนนึกในใจ
“นี่คุณไม่รู้หรือนี่ว่าเพื่อนคุณเขาวางเงินมัดจำมาแล้ว” ทริสตันเดินตามมาติดๆ เมื่อเห็นแก้มสีน้ำผึ้งบ่มด้วยสีชมพูของหญิงสาวใกล้ๆ ก็อดถอนใจยาวไม่ได้ “คุณโกรธผมเหรอที่ผมไม่ได้บอกคุณแต่แรก”
หล่อนอึ้ง พูดไม่ออก แดฟนีนะแดฟนี เรื่องใจเร็วใจร้อนนี่ ยกให้ทีเดียว กลับไปจะต้องคุยกันให้เด็ดขาด
ไอลดาเมินหน้าจากชายหนุ่ม จากลานจอดรถหน้าบ้าน หล่อนเสมองขึ้นไปยังหน้าต่างห้องใต้บันไดเพื่อจะหลบสายตาคมกล้าเป็นประกายคู่นั้น ก่อนจะพยายามนึกรวบรวมคำพูด แต่แปลกที่อยู่ๆ สมองหล่อนก็รู้สึกไม่ทำงานเสียอย่างนั้น หล่อนไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห ไม่ได้เคืองเพื่อนสาว แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าทำไมและเพราะเหตุใด หล่อนจึงรู้สึกแปลกๆ ไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่ออยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มผู้นี้
และจากมุมที่หล่อนยืนอยู่ หญิงสาวก็เห็นเด็กหญิงคนหนึ่ง วัยน่าจะประมาณสี่ห้าขวบได้ ยืนแนบหน้ากับกระจกมัวๆ สายตาคู่นั้นมองจ้องตรงลงมาที่หล่อน มือข้างหนึ่งถืออะไรบางอย่างไว้ที่หล่อนก็มองไม่ชัดนัก
ไอลดากะพริบตาถี่ๆ เพ่งมองอีกครั้ง คราวนี้ภาพเด็กหญิงที่หล่อนเห็นเหมือนกับเงามัวๆ แต่น่าแปลกที่หล่อนกลับเห็นสายตาคู่นั้นอย่างแจ่มชัด หล่อนเห็นแม้แต่น้ำตาที่ขังเอ่ออยู่ในตาสีน้ำตาลอ่อน ขนตาอันเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา
”ไอลดา…ไอลดา”
“คะ” หญิงสาวสะดุ้ง
“คุณนิ่งเงียบไปนาน ผมเรียกอยู่ตั้งหลายครั้ง มีอะไรหรือครับ”
“คือ…ฉัน…ฉันเห็นเด็กผู้หญิงอยู่บนห้องใต้หลังคาน่ะค่ะ” ไอลดามองขึ้นไปอีกครั้ง เด็กหญิงคนนั้นก็ยังยืนอยู่ในอิริยาบถเดิม มือข้างที่ยกขึ้นนั้นโบกน้อยๆ ให้หล่อนด้วยซ้ำ “นั่นไงคะ” หล่อนชี้ให้เขาดู “คุณเห็นหรือยัง”
“ไม่มีเด็กที่ไหนหรืออะไรนะครับ คุณดูใหม่” รอยยิ้มนั้นหายไปแล้ว ทริสตันมองตามสายตาหล่อน เขาไม่เห็นอะไร นอกจากหน้าต่างกระจกบานนั้น “คุณดูดีๆ ไอลดา ไม่มีใครที่ไหนขึ้นไปห้องนั้นได้หรอกครับ มันปิดตายมาหลายสิบปีแล้ว”