สัญชีวนีมหามนตรา บทที่ 2 : มรดกคุณย่า
โดย : หมอกมุงเมือง
สัญชีวนีมหามนตรา เรื่องราวของมนตราลึกลับที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่เพราะโกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ และอาจต้องแลกมาด้วยสิ่งสำคัญ อย่างเช่น…ชีวิตของเครื่องคราม…คนรักของเขานั่นเองคันทรรพจะเลือกอะไร “สัญชีวนีมหามนตรา” โดย หมอกมุงเมือง นวนิยายออนไลน์แนวลึกลับเหนือจริง ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์
****************************
– 2 –
“สัญชีวนี มหามนตรา…”
“ใช่แล้ว สัญชีวนีคือคัมภีร์ที่จารึกมนตราวิเศษ มีตำนานเล่าขานมาตั้งแต่สมัยบรรพกาล ปรากฏหลักฐานขึ้นครั้งแรก ในสมัยพระเจ้าวิกรมาทิตย์ แห่งกรุงอุชยินี ตามที่กล่าวอ้างไว้ในหนังสือเวตาลปัญจวีสติ ที่ศิวทาสเป็นผู้รจนาขึ้น”
“แต่นั่นมันเป็นแค่นิทานปรัมปรานี่นา”
เขารู้จักนิทานเวตาลที่มีการนำมาพากย์เป็นภาษาไทยมาก่อนแล้ว และรู้ว่าตำนานเหล่านั้นเป็นเพียงเลื่องเล่าที่โลดโผนทั้งความเรื่องราวมหัศจรรย์เหนือจริง ตามแต่จะกล่าวอ้าง แม้แต่เวตาล ที่เป็นตัวเอกของเรื่อง ก็มาจาก “แวมไพร์” หรือค้างค้าวดูดเลือดในคตินิทานของโลกตะวันตกก็ตาม
“ในครั้งแรกเอง ฉันยอมรับเลยว่ะ ไม่อยากจะเชื่อว่า เรื่องราวมันจะมาพ้องกันได้ขนาดนี้ แต่พอมาคิดดูอีกที บางทีพวกวรรณคดี หรือนิทานมุขปาฐะพวกนี้ ก็เป็นเหมือนกระจกสะท้อนสังคม วัฒนธรรม และความเชื่อถือ ของคนในยุคนั้นๆ ซึ่งจากที่ว่านี้ สัญชีวนี ก็อาจจะมีขึ้นจริงในยุคสมัยนั้นก็เป็นได้นะ และท่านศิวทาส กวีผู้รจนา ก็เป็นผู้นำเรื่องราวบอกเล่าสืบต่อกันมาเรื่องนี้ นำไปเขียนถ่ายทอดลงในงานวรรณกรรมของท่านเองอีกทอดหนึ่ง
“นี่มันศาสตร์แห่งการอนุมานเลยชัดๆ”
“แกมันเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ครึ่งหนึ่ง นี่หว่า ก็เลยอาจจะมองว่าเหลวไหล แต่ อีกครึ่งนึงก็เป็นนักภาษาศาสตร์ผสมไปด้วยไม่ใช่หรือ ไม่ลองพิสูจน์ดูสักหน่อยล่ะ?”
เขาหัวเราะขันกับคำพูดของมัน ก่อนจะเอ่ยปากอย่างเอาจริงเอาจัง
“แล้วตกลงแกจะคิดสักเท่าไรวะ เวย์น ในเมื่อของชิ้นนี้ มันเป็นมรดกตกทอดของคุณย่าแกเอง?”
เวทานต์ยิ้มน้อยๆ หากนัยน์ตาเหมือนกำลังชั่งใจบางอย่าง
“ประมาณค่ามิได้! แต่ สำหรับแกแล้ว ไอ้คันธรรพสหายรัก เอาเป็นว่าฉันขอยกหีบคัมภีร์ใบนี้ให้แกเลยแล้วกัน เพราะมาคิดๆดูแล้ว ถ้ามันยังอยู่กับฉัน ก็คงจะเป็นแค่หีบเปล่าๆไร้ค่า ที่ไม่รู้ว่าจะเปิดมันออกมาได้ยังไงด้วยซ้ำ แต่สำหรับแก ฉันกลับสังหรณ์ใจว่ะ ว่าบางทีแกอาจจะเป็นคนทำได้สำเร็จ!”
“พูดเกินไปหน่อยแล้วมั้ง?”
เขาหัวเราะเบาๆพลางเอ่ยสัพยอกอีกฝ่าย มือลูบคลำเนื้อโลหะนูน รูปทรงประหลาดตา ที่ยังไม่อาจเห็นแม้แต่ของที่อยู่ภายใน
“และบางที แกอาจจะเป็นคนแรกในยุคนี้ ที่ได้เห็นคัมภีร์ที่ว่านี้ก็ได้ ขอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น รักษามันไว้ให้ดีที่สุด สำหรับการใช้เพื่อคุณประโยชน์ มิใช่ โทษ”
เป็นครั้งแรกที่เห็นแววตาเคร่งขรึมเอาจริงเอาจังของอีกฝ่าย และคันธรรพก็รับปาก ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น โดยไม่เฉลียวใจสักนิดถึงคำสัญญาอันแฝงด้วยความห่วงกังวลของเพื่อน
ห่วงกังวลอะไร?
แต่คันธรรพก็รีบสลัดความสงสัยนั้นออกไปเสียก่อนแล้ว
ชายหนุ่มค่อยๆวางแผ่นหนังคลี่ลงบนโต๊ะทำงาน ไล่สายตาไปตามตัวอักษรกูโบ๊สที่คล้ายจะเรืองแสงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ขณะความคิดลอยละล่องไปยังดินแดนแห่งชมพูทวีปอันไกลโพ้นที่เคยไปเยือน เสียงห้าวทุ้มกังวานของศังกรพราหมณ์ โยคีเฒ่าผู้สอนอักษรานี้ แผ่วมาในมโนสำนึก ไม่คิดเลยว่า เพียงโอกาสครั้งเดียวที่ได้ไปเยือนสำนักดาบส ยังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่งเชิงเขาหิมาลัย เพื่อเก็บข้อมูลในการศึกษาวิจัยด้านภาษาศาสตร์ ทำให้เขาได้พบกับโยคีเฒ่าผู้หนึ่งโดยบังเอิญ
ร่างผอมบางจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกนุ่งพันทบด้วยโธตีและผ้าพันกายผืนบางเปื่อยยุ่ยใกล้ขาด พราหมณ์เฒ่าผู้น่าสงสารกำลังถูกทำร้ายจากเด็กหัวขโมย ที่กำลังเข้าไปแย่งถุงผ้าที่อีกฝ่ายถืออยู่ ขณะที่อีกคนหนึ่งขว้างปาก้อนหินใส่อย่างสนุกมือ โดยที่ท่านหาได้ตอบโต้แม้แต่น้อยไม่ นอกจากพยายามยื้อแย่งถุงผ้าของตนเอาไว้แนบแน่น
คันธรรพทนเห็นเหตุการณ์นี้ไม่ได้ จนต้องเข้าไปห้ามปราม และตะเพิดไล่เด็กอันธพาลพวกนั้นไป ก่อนจะพาพราหมณ์เฒ่าผู้บาดเจ็บไปขอความช่วยเหลือ จนได้รับการปฐมพยาบาล
“ขอบใจมากมานพ ข้าเพิ่งจาริกรอนแรมมาจากเมืองหริราลัย ที่อยู่เหนืออาศรมเมืองฤาษีเกศ ขึ้นไปทางเหนือ เมื่อหลายวันก่อน”
เขาจดจำได้ เมืองเล็กๆแห่งนั้น อยู่ในอาณาจักรอันหนาวเย็นของเทือกเขาหิมาลัย ที่นั่น อุณหภูมิบางช่วงเวลาอาจจะถึงกับติดลบ และอดประหลาดใจไม่ได้ที่เห็น โยคีเฒ่า สวมอาภรณ์บางๆเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น และท่านเองก็ไม่ได้อุปกรณ์ใดๆสำหรับต้านทานอากาศเยือกแข็งเช่นนั้นเลยด้วยซ้ำ
“เตโชกสิณ”
ชะรอย ศังกรพราหมณ์จะล่วงรู้ถึงความสงสัยนั้น อีกฝ่ายจึงตอบออกมาโดยที่เขายังไม่ทันเอ่ยปากเสียด้วยซ้ำ และมันก็เป็นคำตอบที่คันธรรพไม่คาดคิดมาก่อน
ตราบจนได้ศึกษาเรื่องราวอันเหนือธรรมชาติด้วยศาสตร์แห่งปรจิตวิทยาซึ่งเป็นศาสตร์เกี่ยวกับการศึกษาปรากฎการณ์ทางจิตที่เหนือธรรมชาติ คันธรรพจึงรู้ว่า จิตและพลังงานของจิตคือเมื่อได้ฝึกปฏิบัติสมาธิโดยใช้เตโชกสิณ จนบรรลุจตุตถฌาน จะสามารถส่งคลื่นความร้อนของกระแสจิต ให้ก่อเกิดการเผาไหม้วัตถุ ไม่ต่างกับ การใช้เลนส์รวมแสง รับพลังงานจากแสงอาทิตย์เพื่อก่อไฟขึ้นตามการทดลองทางวิทยาศาสตร์นั่นเอง และเช่นเดียวกัน การการใช้คลื่นความร้อนของจิต เพิ่มพลังงานของร่างกาย เพื่อต่อสู้กับความหนาวเหน็บของบรรยากาศในสภาพอุณหภูมิติดลบ เช่นศังกรพราหมณ์ผู้นี้
ในระหว่างการพักรักษาตัวนั้นเอง ความสนิทสนม ของบุรุษสองวัยต่างเชื้อชาติภาษา ก็บังเกิดขึ้นด้วยมิตรภาพไมตรีจิต และเมื่ออีกฝ่ายล่วงรู้ถึงความสนใจในเรื่องภาษาโบราณ ชื่อของ กูโบ๊ส ก็ปรากฏขึ้นจากปากของโยคีเฒ่าผู้นั้น เขามีโอกาสได้รู้จัก เพียงเศษเสี้ยวหนึ่ง ของภาษาที่เคยคิดว่าสูญลับไปจากโลกใบนี้แล้วโดยบังเอิญที่สุด
“เราถือกันว่า มันเป็นภาษาชั้นพรหม เหล่าพรหมจะใช้ภาษานี้สำหรับการสนทนาโต้ตอบกัน กูโบ๊สยังแบ่งเป็นระดับของมัน ถึงสามระดับ ปุริสดาเบ๊ส กูโบ๊สระดับสูง แบรอเฟน กูโบ๊สระดับกลาง และมินกะเอน กูโบ๊สระดับล่างสุด”
สรรพสำเนียงของศังกรพราหมณ์ผู้เอ่ย กังวานขึ้นลงราวกับนาฎยดนตรี นั่นเพียงครั้งเดียว ที่เขามีโอกาสได้ “ฟัง” ภาษากูโบ๊สที่เปล่งผ่านออกมาจากโยคีเฒ่าแห่งหริราลัย
“กูโบ๊สจึงเป็นภาษาชั้นสูงที่เจ้าจะดูหมิ่นเล่นมิได้เลย มิเช่นนั้น ชีวิตของเจ้าจะประสบแก่ความวิบัติ!”
พร้อมกันนั้นเขาก็รู้สึกถึงกระแสคลื่นของความหวาดกลัว เข้าครอบคลุมภายในอาณาบริเวณ ราวกับอากาศที่หายใจอยู่ควบแน่นกลายเป็นผลึกแข็ง หนาทึบ เต็มไปด้วยกลิ่นอับหืนของแผ่นหนังผืนนั้น
เจ้าจะประสบแต่ความวิบัติฉิบหาย!!
เสียงนั้นดูเหมือนจะก้องกังวาน ไปทั่วทั้งโพรงสมอง และสะกดลึกผ่านเข้าไปภายในจิตวิญญาณ น่าแปลกที่ภาพใครอีกคนหนึ่งกลับซ้อนทับขึ้นมาในความรู้สึกขณะนั้นเหมือนความบังเอิญ
คุณย่าตลับเพชร ย่าของเวทานต์!
สุภาพสตรีชรา ใบหน้าและร่างกายเหี่ยวย่นด้วยวันวัยที่เนิ่นนานเกือบศตวรรษ หากนัยน์ตากลับคมกล้าเปี่ยมพลังบางอย่าง เหมือนมีรอยยิ้มแสยะปรากฎขึ้นจากริมฝีปากซีดและขยับขึ้น
“ไม่!!”
คันธรรพ รีบสลัดภาพและความคิดประหลาดๆนั้นออกไปโดยเร็ว
“ไม่มีวันที่จะเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นกับเรา ในเมื่อสามารถถอดความหมายของคัมภีร์เล่มนี้ออกมาได้หมดสิ้นแล้ว ทุกอย่างที่โอมอ่านออกมาจะสามารถดำรงความเป็นอมตะให้เกิดขึ้นกับเรา และเราย่อมเป็นเจ้านายแห่ง คัมภีร์เล่มนี้โดยสมบูรณ์ เจ้านายที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฏเกณฑ์ของ ความตาย!!”
ในห้วงเวลานั้น ที่ดอกเตอร์หนุ่มรู้สึกถึงพลังแห่งความมั่นใจ ที่บังเกิดขึ้นอย่างประหลาด เสียงนาฬิกาจากผนังห้อง ดังกังวานขึ้นอีกครั้ง เพื่อปลุกให้รับรู้ว่า บัดนี้ ล่วงเข้าสู่เวลาตีสามของวันใหม่แล้ว
ชายหนุ่มขยับกายลุกขึ้นขับไล่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าออกจากร่าง อย่างน้อยที่สุด เขามองเห็นแสงสว่างยังปลายอุโมงค์แล้ว สำหรับการทดสอบสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไป
นั่นก็คือ การทดลอง กับมนุษย์!
เขาเดินทะลุผ่านห้องทดลองของตนเอง ผ่านลึกเข้าไปยังด้านใน ภายในนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นห้องสมุดขนาดย่อม บรรจุด้วยสรรพตำราต่างๆมากมาย ตู้ด้านหนึ่ง ถูกสร้างแบบบิวด์อิน ติดผนังนาดหลายสิบชั้นที่บรรจุหนังสือแน่นขนัด ตั้งแต่ชั้นล่างจรดเพดานด้านบน คันธรรพเดินตรงไปยังมุมหนึ่งของผนังแล้วเลื่อนบันไดไม้ที่เชื่อมต่อเป็นรางเลื่อนสำหรับหยิบหนังสือชั้นบน ออกมาก่อนจะปีนขึ้นไป เพื่อมองหาตำแหน่งหนังสือที่ตนเองต้องการ ไม่นานนัก เขาก็ค้นพบมันอย่างที่คาดหมายเอาไว้ ชายหนุ่มเอื้อมไปหยิบเมื่อเห็นตัวอักษรบนสันปกชัดเจน แล้วหยิบออกมา
มันคือตำรา para psychology หรือ ในภาษาไทยว่า ปรจิตวิทยา ซึ่งเป็นศาสตร์ในสาขาที่ศึกษาเกี่ยวกับพลังงานจิตในระดับสูง ซึ่งบางอย่าง วิทยาศาสตร์พื้นฐานก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หลังจากเปิดสารบัญจนพบประเด็กที่ต้องการศึกษาแล้ว เขาก็ใช้เวลาเพียงชั่วครู่สำหรับการทำความเข้าใจในประเด็นสำคัญของเรื่อง
“ตามหลักปรัชญาของโยคะ ยุคศาสนาพราหมณ์ดึกดำบรรพ์ ก่อนจะถึงยุคพระเวท ซึ่งมีแนวคิดหลักเหมือนกับปรัชญาในพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง “กรรมนิมิต” ไว้ในคัมภีร์ไบโตล่าห์ เป็นหลักฐานได้ความว่า ผู้ที่ใกล้จะมรณกรรม ก่อนวิญญาณและกายทิพย์ (1) ของผู้นั้น เพื่อจะแสวงหาภพภูมิสำหรับการถือกำเนิดขึ้นใหม่ อายตนะทั้งหลาย เช่น ตา หุ จมูก ลิ้น และกายสัมผัสก็จะดับลงโดยสิ้นเชิง คงเหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือ มโนวิญญาณที่ยังไม่ดับ และจะดับสนิทลง ก็ต่อเมื่อ กายทิพย์ และวิญญาณของผู้ตาย ได้ยึด กรรมนิมิต (2) ออกจากร่างหยาบนั้นไปแล้ว
ความคิดของ ดอกเตอร์นักโบราณคดีสว่างไสว ไปด้วยความปิติ ในความเข้าใจ
แสดงว่า ถ้าหากเราสามารถตรึงมโนวิญญาณนั้นเอาไว้ ด้วยพลังงานบางอย่าง มันก็อาจจะ…
สายตานักวิทยาศาสตร์หนุ่มไล่ไปยังแต่ละตัวอักษรบนหนังสือเล่มนั้น
“อวัยวะของบุคคล ซึ่งใกล้จะมรณกรรม ได้ทำหน้าที่มโนวิญญาณนั้น คือ ต่อมนอสูรนล่าห์ ซึ่งเทียบกับหลักทางกายวิภาคศาสตร์ของแพทย์แผนปัจจุบัน ก็จะเรียกว่า เมดุลลา หรือเมดดัลลา ออบลองกาตา (medulla oblongata) อันเป็นสมองที่เชื่อมต่อกับระบบประสาทไขสันหลัง และยังมีต่อม บิ๊สกู๊ฮูลู๊บ ซึ่งตำรากายวิภาคศาสตร์ก็จะบัญญัติศัพท์ไว้ว่า เป็นต่อมใต้สมองหรือ พิทูอิทารี นั่นเอง”
แสงโคมในยามใกล้รุ่ง แข่งแสงกับดวงตะวันที่เริ่มอรุโณทัยขึ้นทุกขณะ
“ต่อนอสูรนล่าห์ แห่งนี้เอง ที่จะทำหน้าที่ของมโนวิญญาณ ดังนั้น เมื่อบุคคลใดที่ใกล้จะถึงมรณกรรม พลังงานของวิบากกรรม หรือ เรียกว่า พลังงานของกระแสคลื่นสมอง หรือจิต ซึ่งผู้นั้นได้เจตนาก่อกรรมดี และกรรมชั่ว ยังคงเหลือค้างอยู่รอบตัวผู้ใกล้มรณกรรม พลังงานของกระแสคลื่นดังกล่าว จะมีอิทธิพลในการสร้าง “ภาพเสมือนจริง” ขึ้น ณ ต่อมนอสูรนล่าห์นี้ ในขณะเดียวกัน ต่อมบิ๊สกู๊ฮูลู๊บ ก็จะทำหน้าที่ตัดสินให้ผู้นั้นเกิดอารมณ์ อันพึงพอใจต่อภาพนิมิตนั้น ไม่ว่าจะดีหรือเลวอย่างไร ขณะเดียวกัน ปฏิสนธิวิญญาณของบุคคลผู้นั้น ก็จะยึดเอา “ภาพนิมิต” นั้นเป็นอารมณ์ และ กายทิพย์ของบุคคลนั้น ก็จะพาปฏิสนธิวิญญาณ ออกจากร่างกาย เพื่อแสวงหาภพภูมิใหม่ในทันที”
“มหัศจรรย์มาก ไม่น่าเชื่อ” เขาพึมพำเสียงแผ่ว ขนลุกเกรียว
“ถ้า… หากเราใช้พลังงานจากมหาคัมภีร์ สัญชีวนีพันธนาการมโนวิญญาณไว้ มิให้แตกดับได้ล่ะ? เป็นการใช้อำนาจจิตเหนือสนามพลังงาน ในการนำจิตดวงเดิมของผู้ตายมาสถิตในร่างที่ทำการสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่”
นอกจากนั้น มโนวิญญาณอันหลุดลอยไปพร้อมกับกายทิพย์ ก็จะถูกโยงใยด้วยสายใยแห่งชีวิต กับกายหยาบ หากว่า มันแตกดับลงเมื่อใด สายใยนี้ก็จะหลุดออกจากกัน นั่นก็คือ มรณกาล
เขาพร้อมแล้ว!
คันธรรพ เพ่งสายตาเงยจากหนังสือตำราเล่มสำคัญที่เพิ่งอ่านจบลง
พร้อมที่จะฝืนกฎธรรมชาติสักครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่! จิตวิญญาณของนักวิทยาศาสตร์ ผู้กระหายในการค้นคว้าศึกษา กำลังโลดเร่าอยู่ภายในตัวตน ราวกับจะพุ่งปะทุออกมานอกร่าง ในเวลานั้น
นับจากนี้ การทดลองกำลังจะเริ่มต้น!
เชิงอรรถ :
(1) Soul and astral body
(2) จากหนังสือ วิจัยพุทธปรัชญาเปรียบเทียบกับหลักวิทยาศาสตร์ ของ พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์ : ในทางพุทธศาสนา กรรมนิมิต คือกรรมในอดีต ซึ่งผู้ก่อกรรมได้สร้างไว้ในขณะยังมีชีวิตอยู่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือพลังงานของกระแสคลื่นจิตของแต่ละบุคคลที่เหลือค้างอยู่ และพลังงานเหล่านี้มีอิทธิพลต่อบุคคลเหล่านั้น เมื่อถึงเวลาจะมรณกรรม อิทธิพลของกรรมนิมิต จะเป็นแรงส่งสำคัญที่ทำให้บุคคลนั้นไปเกิดในภพใหม่