สัญชีวนีมหามนตรา บทที่ 1 : คัมภีร์ลึกลับ

สัญชีวนีมหามนตรา บทที่ 1 : คัมภีร์ลึกลับ

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

สัญชีวนีมหามนตรา เรื่องราวของมนตราลึกลับที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่เพราะโกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ และอาจต้องแลกมาด้วยสิ่งสำคัญ อย่างเช่น…ชีวิตของเครื่องคราม…คนรักของเขานั่นเองคันทรรพจะเลือกอะไร “สัญชีวนีมหามนตรา” โดย หมอกมุงเมือง นวนิยายออนไลน์แนวลึกลับเหนือจริง ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ 

****************************

– 1 –

“ชายผู้เป็นโยคีก็จัดการตั้งพิธีชุบนาง เริ่มการร่ายมนตร์ ทำให้ฟ้าและอากาศเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าหวาดเสียว คือภูตผี มีร่างกายเป็นที่พึงแสยง สำแดงอาการให้เห็นปรากฏต่างๆ ทั้งตระหลบไปด้วยเสียงที่ไม่พึงฟัง คือเสียงหมาหอน เสียงนกฮูกและสัตว์อื่นๆ ชายทั้งสามก็แทงตัวเองให้เลือกตกเป็นเครื่องบูชา นางจัณฑี…” (1)

หนังสือเล่มหนาหนักเล่มนั้นพลัดหลุดจากอุ้งมือของผู้ถือ หล่นลงกระทบพื้นห้องท่ามกลางความเงียบสงัดแห่งรัตติกาล มือยาวเรียวได้รูปสั่นเล็กน้อยด้วยความตื่นเต้น ขณะเอื้อมลงไปหยิบกลับขึ้นมาอีกครั้ง

แสงไฟจากโคมดวงเล็กภายในห้องส่องสะท้อน จับภาพของบุรุษผู้เป็นเจ้าของหนังสือเล่มนั้นได้อย่างถนัดตา นอกเหนือจากใบหน้าเข้มคมคายสมบุรุษเพศแล้ว ยังมีส่วนของคิ้วเข้มหนาเป็นปื้นอันเป็นจุดเด่นบนดวงหน้าก็ขมวดเข้าหากันจนเห็นได้ชัด แววตาหลังกรอบแว่นคู่นั้นเปล่งประกายของความไม่แน่ใจ ในอะไรบางอย่าง

ชายหนุ่มขยับกายลุกขึ้นจากเก้าอี้ทำงานเหมือนกับต้องการระงับความรู้สึกที่ผุดพลุ่งขึ้นมาภายในเค้าหน้าที่เรียบเคร่งขรึมราวกับไร้ความรู้สึก เขาค่อยๆ ปลดแว่นสายตาออกมาพับเก็บ ก่อนจะถอนหายใจยาวลึก หนักหน่วง

ตลอดชีวิตของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผนวกกับปริญญากิตติมศักดิ์ ทางด้านโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยพาราณสีแห่งมัธยมประเทศ ดอกเตอร์ คันธรรพ เทวนาครินยังไม่เคยพบสิ่งใด ที่น่าตื่นเต้น พิศวงและท้าทายความสามารถของเขาได้เท่านี้มาก่อนเลย

มันท้าทายจิตวิญญาณของนักวิทยาศาสตร์ ผู้ใฝ่รู้ในการทดลองค้นคว้า แม้ว่าจะทำให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจไปพร้อมกัน เพราะสิ่งนั้น ต้องเดิมพันด้วยชีวิต!!

ใช่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสรรพชีวิตทั่วไป ที่เขาเคยทดลองในทางวิทยาศาสตร์ แต่ชีวิตในที่นี้ คือการทดลอง โดยใช้มนุษย์เป็นสิ่งทดสอบ

เหมือนอนุสติ จะคอยกระตุ้นเตือน ความถูกต้องและชอบธรรม แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่อาจหักห้ามความรู้สึก อยากรู้ อยากทดลอง ที่ตกตะกอนอยู่ในความคิดนี้ไปได้ เขาสดับเสียงเพรียก เรียกร้องจากมัน และได้ยินเสียงคร่ำครวญหา จากวิญญาณของตัวเองเสียอีกด้วย มันกำลังรอคอยเขาอยู่อย่างหิวกระหาย

ดอกเตอร์คันธรรพ เทวนาครินเดินจากบริเวณห้องทดลองด้านในซึ่งเต็มไปด้วยอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์และห้องสมุดสำหรับค้นคว้าที่อยู่ลึกเข้าไปด้านใน

เขาเดินย้อนกลับไปที่ส่วนทำงานที่แยกออกมาด้านนอก บริเวณนี้สะอาดเอี่ยม มีเพียงโต๊ะเอกสารและชั้นวางหนังสือขนาดย่อม ซึ่งค่อนข้างโปร่งโล่งสบาย และมีระเบียงทอดยาวออกไปสู่อาณาบริเวณส่วนอันร่มรื่นประดับด้วยแมกไม้นานาพันธุ์จนร่มครึ้ม หากในยามราตรีเช่นนี้ มีเพียงแสงจากโคมไฟสีนวลจางๆ ส่องผ่านแนวพุ่มไม้สลัวเข้ามาเท่านั้น

มีบานกระจกสำหรับเลื่อนเปิดปิดออกจากเพื่อให้เจ้าของบ้านจะได้เปิดรับอากาศบริสุทธิ์ คลายความเคร่งเครียดของการทำงานในแต่ละวันลง

บริเวณโต๊ะเอกสารวางซ้อนทับไปด้วยหนังสือและตำรับตำราทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศสามสี่เล่ม ด้านล่างคือส่วนของลิ้นชัก เขาดึงมือลงไปยังลิ้นชักด้านหนึ่งแล้วดึงมันออกมา ก่อนจะสอดมือผ่านเข้าไปอีกครั้งเพื่อกดปุ่มลับด้านในที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษ มันคือส่วนของลิ้นชักลับซ้อนทับอยู่ภายในลิ้นชักปกติโดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

ชายหนุ่มล้วงมือลึกลงไปแล้วขยับเพียงชั่วขณะ ไม่นานเลย เมื่อหยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากภายใต้โต๊ะทำงานปกติ มันเป็นหีบโลหะใบกะทัดรัด แสงโคมไฟเหนือโต๊ะถูกกดเปิดและมันก็กระจ่างจ้าขึ้นอาบเนื้อโลหะให้มันวาวล้อแสงไฟเป็นประกายสีเลื่อมเงินยวงอย่างประหลาด หากก็ไม่อาจระบุได้ชัดเจนว่าสร้างขึ้นจากโลหะชนิดใดกันแน่

รูปทรงสี่เหลี่ยมของมันประกอบด้วยผิวขรุขระที่จำหลักลวดลายประหลาด ทั้งดูน่าสยดสยองและน่าฉงนฉงายไปพร้อมกัน

เพราะมันไม่ได้เป็นลวดลายอันวิจิตรทั่วไปที่นายช่างจะแกะสลักขึ้นมา หากแต่เหมือนถูกสลักให้เป็นรูปทรงเค้าโครงใบหน้าของมนุษย์ขนาดย่อมหลากหลายคนกำลังจะผุดโผล่ออกมาจากผิวโลหะของกล่องใบนี้ ใบหน้าเหล่านั้นเหมือนกำลังอ้าปากส่งเสียงร้องอะไรบางอย่างที่เขาแปลความหมายไม่ออก

นักโบราณคดีหนุ่มหยิบหีบปริศนาขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล เลื่อนกองหนังสือลงไปยังอีกด้านหนึ่งแล้วนั่งพิจารณามันราวกับเป็นวัตถุชิ้นสำคัญ เขาหยิบมันขึ้นพลิกไปมาเหมือนกับการหมุนปุ่มลูกบิดเพื่อขบปริศนาให้ออก เขาใช้เวลากับของสิ่งนี้มานานหลายวันแล้ว สำหรับการหมุนพลิกและพยายามค้นหาตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อเปิดล็อคหีบโลหะใบนี้ แต่ก็ไม่เป็นผล ราวกับมันเป็นหีบตันใบหนึ่งที่ทำขึ้นมาโดยไม่อาจเปิด

แต่เขาไม่เชื่อ!

มือของชายหนุ่มยังหมุนมันไป กดบางจุดหรือเลื่อนบางตำแหน่งที่มีปุ่มปรากฎบนเนื้อหีบโลหะนั้นอย่างนุ่มนวลและค้นหา เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ โดยเขาไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าดวงตะวันเริ่มชิงพลบลงทุกขณะ และในที่สุด…

กริ๊ก!!

เสียงนั้นกังวานขึ้นอย่างเพราะพริ้งราวเสียงแห่งสวรรค์ ใบหน้าเคร่งขรึมปราศจากรอยยิ้มอยู่เป็นนิจ ปรากฏรอยหยักขึ้นที่มุมปากจางๆ ด้วยความพึงใจ บัดนี้เขาได้ประสบผลสำเร็จดังปรารถนาแล้ว

ภาพฝาหีบโลหะค่อยๆ ดีดตัวขึ้นอย่างช้าๆ และเผยให้เห็นถึงวัตถุชิ้นสำคัญที่บรรจุอยู่ภายในอย่างชัดเจน เขานิ่งงันไปชั่วอึดใจเมื่อเห็นแผ่นหนังคร่ำคร่าสีน้ำตาลเข้มถูกพับทบเอาไว้อย่างดี และทันทีเมื่อกลไกของหีบกลดีดฝาเปิดออกมาเต็มที่ แผ่นหนังปริศนาผืนนั้นก็คลี่ตัวขยายออกพร้อมกันไม่ต่างกับการคลี่บานของดอกไม้

มันคลี่กางออกมาเป็นผืนแผ่นเดียวโดยปราศจากรอยย่นยับใดๆ นอกเหนือจากสภาพที่เก่าคร่ำไปตามกาลเวลาเพียงเท่านั้น ส่วนขอบของแผ่นหนังบางส่วนขาดวิ่นไปบ้าง และบางส่วนก็เริ่มเปื่อยยุ่ย แต่กระนั้นก็ตาม สายตาของคันธรรพก็ยังมองเห็นถึงอะไรบางอย่างปรากฏอยู่ในแผ่นหนังผืนนั้น

ด้วยมืออันสั่นเทาแทบเกินควบคุม เขาค่อยๆ ใช้ปากคีบบรรจงหยิบแผ่นหนังบางเฉียบขึ้นมาคลี่ส่องกับแสงโคมไฟที่อยู่เหนือโต๊ะด้วยความระมัดระวัง จากสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำยังพอมองเห็นลายเส้นขยุกขยิกคล้ายกับเป็นสัญลักษณ์หรืออักษรภาษาใดภาษาหนึ่งที่เลือนหายไปจากความทรงจำ

ดอกเตอร์หนุ่มรีบหยิบแว่นตาคู่ใจที่เพิ่งจะพับเก็บใส่กระเป๋าเสื้อออกมาสวมอีกครั้ง ชะโงกใบหน้าเข้าไปจนชิด ขณะพยายามสะกดเสียงตามอักขณะประหลาดที่ปรากฏบนผืนแผ่นหนังอย่างลำบาก

นี่มันอักษรภาษาโบราณชนิดใดกันเล่า?

เขาพยายามทบทวนความรู้ทางอักษรศาสตร์ที่เคยเรียนมา ในมันสมองที่ปั่นหมุนจนเร็วจี๋ไม่ต่างกับลูกข่างในเวลานี้

ในความหนาวเหน็บของอากาศยามพลบ ดอกเตอร์คันธรรพ เทวนาคริน กลับรู้สึกถึงความร้อนอบอ้าวจนต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อที่ผุดขึ้นทั้งซอกคอและขมับ เขารับรู้ว่าอักษราที่ปรากฏเป็นภาษาตะวันออก เมื่อพิจารณาจากลักษณะของรูปทรงและตระกูลภาษา ขณะที่พลิกตำราเปรียบเทียบ

ลักษณะของมันคล้ายพวกภาษาคำติดต่อ แต่ไม่ใช่… เมื่อพิจารณาดูอีกครั้ง มันกลับคล้ายกับกลุ่มภาษาที่มีวิภัติปัจจัย พวกตระกูลภาษาเซเมติก แต่ก็ต้องเลิกคิ้วอย่างฉงนฉงาย ทำไมในบางช่วงของประโยค กลับมีการแยกความ?

คันธรรพไม่แน่ใจว่ามันจัดเป็นกลุ่มภาษาใดกันแน่ นอกจากจะรับรู้ว่า มันเป็นกลุ่มภาษาโบราณประเภทหนึ่ง สมองอันปราดเปรื่องพยายามไล่เรียงองค์ความรู้จากที่เคยศึกษามาก่อน

ณ. ที่ใดที่หนึ่ง ของดินแดนชมพูทวีป ที่เคยไปเยี่ยมเยือน

“ลองซิบรัหมาหิ (2)

“ข้า… ข้าพเจ้า”

เขาพยายามสะกดคำเพื่อแปลความทั้งหมดออกมา ชั่วขณะหนึ่งเมื่อหลับนัยน์ตาลง และดิ่งลึกราวกับอยู่ในห้วงภวังค์ วูบนั้น คันธรรพ รำลึกถึงโยคีท่านหนึ่ง… ศังกรพราหมณ์ ผู้ที่เขาเคยมีโอกาสสนทนาเมื่อครั้งเดินทางไปศึกษาที่ประเทศอินเดีย

ใช่แล้ว มันคือ ภาษากูโบ๊ส! (3)

แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อภาษาดังกล่าวมันเป็นภาษาที่ไม่เผยแพร่สู่บุคคลภายนอก นอกจากการสืบทอดเฉพาะโยคีบางกลุ่มเท่านั้น และปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบโตล่าห์อันเป็นคัมภีร์ยุคโบราณที่กล่าวกันว่าปรมาจารย์ผู้สร้างคัมภีร์นี้ขึ้นเป็นครั้งแรกได้ “ถอดกายทิพย์” ขึ้นไปศึกษายังพรหมโลก และอักขระนิรุกติศาสตร์ของภาษาพรหมก็คือ ภาษากูโบ๊สนี่เอง

เสียงโอมอ่านสังวัธยาย คล้ายเพลงสวดมนตราอันเยือกเย็น แหบต่ำ หากบางครั้งก็ขึ้นสูงจนปลายเสียงผู้เอ่ยสั่นระรัวลิ้นอย่างชาวภารตะ หากเกิดเป็นท่วงทำนองชวนขนลุก เขาพยายามเค้นเสียงออกมาพร้อมกับสภาวการณ์อันตึงเครียดเขม็งรอบด้าน

“เซ็นตูรูอาห์ วันดาสะแลห์ (4)

สุดสิ้นเสียงอ่าน ความปลื้มปิติถั่งท้นไปพร้อมกับความสำเร็จในการสะกดอ่านแผ่นหนังปริศนา นี่คงเป็นมหาคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ที่เคยได้ยินมาก่อนนั่นเอง

สัญชีวนีมหาคัมภีร์!

ความคิดคำนึงของ คันธรรพ เทวนาคริน ย้อนกลับไปเมื่อเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เขามีโอกาสได้พบกับ เวทานต์ สหายรักที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ก่อนจะจากกันไปตามเส้นทางของแต่ละคน กระนั้นก็ยังมีโอกาสได้ติดต่อกันอยู่บ้าง

เวทานต์เป็นทายาทของตระกูลที่ร่ำรวย มีทรัพย์สินมรดกมหาศาล และตัวมันเองก็มีความสนใจในศาสตร์ทางภารตวิทยาอยู่ไม่น้อย

หลังจากที่เขากลับมาจากต่างประเทศไม่นาน วันหนึ่งเวทานต์ก็เป็นฝ่ายเดินทางแวะมาหาถึงที่บ้านด้วยตัวของมันเองและขอพูดคุยเป็นการส่วนตัวที่ห้องทำงานแห่งนี้ก่อนจะหยิบหีบโลหะประหลาดชิ้นนี้ออกมาวางไว้ให้

“กล่องอะไรกันวะ?”

“หีบบรรจุคัมภีร์สัญชีวนี”

มันตอบออกมาอย่างมั่นใจ นัยน์ตาวาววับอย่างประหลาด ในขณะที่เขามัวสนใจกับลวดลายที่ปรากฎบนหีบนั้นมากกว่า

“ตามตำนาน คัมภีร์นี้จะสามารถชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืนกลับมาได้อีกครั้ง ซึ่งก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่ามันจะเป็นความจริงดังคำเล่าขานนั้นหรือไม่ว่ะ”

เขาพลิกหีบรูปทรงและลวดลายประหลาดดูอย่างละเอียด รับรู้จากการสังเกตเนื้อโลหะว่าน่าจะเป็นของโบราณอยู่ไม่น้อย และตอนนั้นก็พยายามหาปุ่มใดๆเพื่อกดเปิดหีบปริศนา แต่ก็ไม่อาจทำได้ เวทานต์หัวเราะ บอกว่ามันเองก็พยายามแล้ว และก็ไม่สำเร็จเช่นเดียวกัน

“นี่แกคิดว่าฉันจะเปิดหีบอันนี้ได้เหรอวะ หือม์ ไอ้เวร”

คันธรรพแกล้งเรียกมัน ด้วยชื่อเล่นเวย์น เป็นไอ้เวร หรือต่อท้ายว่า เวรตะไล ตามความสนิทสนม เวทานต์หัวเราะร่วน

“อ้าวเฮ้ย! แกเองก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ แถมทะลึ่งได้ปริญญาการอ่านภาษาโบราณตะวันออกมาได้อีกนี่หว่า เรื่องแบบนี้ไม่เหนือความสามารถของแกหรอกว่ะ หรือยังไงจะเก็บเฉพาะหีบนี้เอาไว้โชว์ หรือจะทดลองเปิดให้ได้ ก็ดูน่าสนอยู่นะ”

“แกบอกว่าข้างในคือคัมภีร์สัญชีวนี?”

เวทานต์พยักหน้ารับ

“ใช่! จากเท่าที่ฉันรู้มาว่าถ้าหากใครสามารถเปิดมันออกได้สำเร็จ ก็จะพบกับคัมภีร์ที่เก็บซ่อนเอาไว้ข้างใน ฉันเชื่อว่าด้วยความสามารถระดับนักภาษาศาสตร์อย่างแก ก็น่าจะอ่านมันได้ไม่ยาก และถ้าหากจะลองเอาไปใช้ชุบชีวิตคนจริงๆ มันก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยนะ”

คำพูดของเวทานต์ ทำให้เขาหูผึ่งขึ้นมาทันที ในยุคนี้ ศาสตร์ในเรื่องการชะลอวัยเพื่อยืดอายุและความสมบูรณ์พร้อมของมนุษย์พัฒนาจนถึงขีดสุด แต่อย่างไรก็ตามมันก็แค่การ “ชะลอ”เอาไว้ หากสิ่งสำคัญคือ การปลุกชีพขึ้นมาใหม่นั่นสิ?

แม้ฟังแล้วจะดูเหมือนนิทานมหัศจรรย์สำหรับหลอกเด็ก แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อย

“แต่เท่าที่รู้ มันมีข้อแม้บางอย่างอยู่เหมือนกัน การบูชาคัมภีร์เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ แกจะต้องยอมสละเลือดเนื้อ บูชาพระแม่ทุรคา ขณะที่อ่านมนตราบทนี้ไปด้วย”

“พระแม่ทุรคา?”

เขาพึมพำกับตัวเอง  ขณะที่เวทานต์เองเปนฝ่ายหัวเราะเหมือนขบขัน

“อะไรวะ ไปอยู่อินเดียตั้งนมนาม ไม่รู้จักพระแม่ทุรคาได้ยังไง ก็นางเป็นภาคหนึ่งในสามของพระอุมา ชายาพระอิศวรไงล่ะ พระอุมาที่ทรงมีเจ้าแม่กาลีเป็นภาคหนึ่ง แล้วก็พระแม่ทุรคาอีกภาคหนึ่ง เพียงแต่ว่าภาคพระแม่ทุรคา จะมีความพิเศษตรงที่ท่านใช้ศพมนุษย์เป็นตุ้มหู แล้วเอากะโหลกผี มาร้อยเป็นสายสร้อยสังวาลสำหรับสวมคอ นอกจากนี้ยังเอาซี่โครงมาผูกติดกันเป็นเข็มขัด มีหลายพระกรซึ่งประกอบด้วย กงจักร ดาบ ตรีศูล และ… อ้าว! ไหงซาบซึ้งไปเลยเหรอวะไอ้เกลอ ถึงได้หลับตาปี๋ซะขนาดนั้น”

อีกฝ่ายอดแซวเล่นไม่ได้ รู้ดีว่าคันธรรพเป็นคนค่อนข้างจริงจังอยู่ไม่น้อย

“รู้แล้วน่ะว่าแกชำนาญเรื่องพวกนี้มากแค่ไหน แค่แซวเล่นเฉยๆ”

“แต่เรื่องการบูชาเทวรูป พระทุรคาด้วยเลือดเนื้ออะไรนี่สิ มันดูแปลกๆ”

คันธรรพเอ่ยลอยๆ ขึ้นมาอย่างไม่แน่ใจ การเรียนในด้านวิทยาศาสตร์มา ทำให้เขาเองพยายามหาเหตุผลมาอธิบายปรากฎการณ์ต่างๆ ในโลกยุคปัจจุบัน ในขณะที่ความสนใจในทางโบราณคดี เทววิทยา ก็ดูเหมือนจะย้อนเส้นทางกลับเข้าไปหาความเชื่อศรัทธาที่บางทีก็ย้อนแย้งกับเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์อยู่เหมือนกัน

เวทานต์ยักไหล่

“เรื่องแบบนี้มันเป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะเว้ย อย่างที่บ้านข้าเองก็บูชาเทวรูปต่างๆ แต่สำหรับกรณีแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ถ้าอยากพิสูจน์ก็ต้องลอง ใช่มั้ย ไอ้นักกระยาสารท?”

คันธรรพโบกมือเมื่อรู้ว่าสหายช่างเจรจาของเขาพูดไม่หยุดเป็นน้ำไหลไฟดับจนทำให้เลยประเด็นที่ตนเองสงสัยมาไกลพอดู

“ว่าแต่เอ็ง ได้คัมภีร์นี้มาได้ไงวะ เวย์น?”

ไอ้เวร หรือ เวทานต์ พยักหน้าหงึกหงัก แล้วเริ่มลำดับความทรงจำของตัวเองให้เขาฟัง

“แกก็คงพอจะรู้ว่า ที่บ้านของฉันนับถือศาสนาฮินดูและแถวนั้นก็เป็นชุมชนที่มีชาวฮินดูอยู่ไม่น้อย วันหนึ่งมีพราหมณ์แก่ๆคนเหนึ่งที่รู้จักกันดีกับคุณย่าของฉันมาก่อน  แกเดือดร้อนเงินมาก แล้วก็เอาหีบใส่คัมภีร์นี่แหละ มาบอกขอร้องให้ฉันช่วยซื้อเอาไว้ เพื่อแลกกับเงินจำนวนหนึ่ง อันที่จริงฉันก็ชอบสะสมของเก่าพวกนี้นะ มีสะสมเอาไว้บ้าง แต่ราคาที่แกบอกมันสูงจนฉันไม่แน่ใจว่าคุ้มค่าควรแก่การซื้อไว้หรือเปล่า หรือแค่มนุษยธรรม?”

“แกก็เลยตัดสินใจซื้อหีบโบราณอันนี้เอาไว้?”

เวทานต์แบมือทั้งสองออกเป็นเชิงปฏิเสธ

“เปล๊า? ตอนนั้น ก็ไม่มีเงินขนาดนั้นหรอก แค่จะให้เงินช่วยเหลือแกเล็กน้อยแทน แต่พราหมณ์เฒ่านั่นไม่ยอมรับท่าเดียว แกบอกแต่ว่า ไม่ใช่วณิพกขอทาน แต่ต้องการเงินแลกเปลี่ยนกับของๆแกมากกว่า และก็บังเอิญเหลือเกินที่คุณย่าออกมาเห็นเข้าพอดี”

คันธรรพ นึกถึง คุณย่าตลับเพชร หญิงชราวัยย่างเก้าสิบปีซึ่งมีบุคลิกบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกขยาด และหวั่นเกรง แทนที่จะเกิดความประทับใจหรืออบอุ่นใจ แบบผู้ใหญ่ทั่วไปที่เคยรู้จัก

หญิงชรารูปร่างผอมเกร็ง ใบหน้าเสี้ยมแหลม ผิวหนังเหี่ยวย่นตกกระไปทั้งตัว โดยเฉพาะนัยน์ตาคมดุ กร้าวกระด้าง ราวกับเป็นบุรุษเพศ บ่งบอกถึงไหวพริบปฏิภาณอันเฉียบคม ไม่ได้เสื่อมถอยไปตามวัย รวมถึง…

เล่ห์!… เล่ห์ของผู้ที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมายาวนาน และโชกโชน จนทำให้เขารู้สึกหวั่นกลัว ขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ใช่! เขากลัวแววตากร้าวแข็งคู่นี้ กลัวความรู้เท่าทันบางอย่าง คันธรรพเคยพบกับสตรีชราผู้นี้อยู่เพียงครั้ง สองครั้ง เมื่อแวะไปหาเพื่อนที่บ้าน

“เธอน่ะหรือ เพื่อนของเวทานต์ ที่บอกว่าเรียนจบทางภาษาศาสตร์มาจากอินเดีย หึหึ”

เป็นประโยคแหบพร่าที่อีกฝ่ายทักทาย เมื่อเวทานต์ พาเขาไปกราบคุณย่า ที่ห้องพักของท่าน ในท่ามกลางกลิ่นกำยาน หอมประหลาด สายตาคู่นั้นเขม็งมองมาที่เขาเหมือนกับต้องการเจาะลึกเข้าไปในจิตใจ เมื่อท่านถามถึงประวัติ และความสนใจใคร่รู้ในเรื่องราวเก่าๆ แล้วก็หยุดค้างไว้แต่เพียงแค่นั้น”

“คุณย่า…”

แต่แรกเขาตกใจ เหมือนกับว่า เธอหยุดนิ่งไปเฉยๆ คล้ายกับสวิทช์ไฟถูกตัด มีเพียงนัยน์ตาจ้องมองมาที่เขาโดยไม่กระพริบ

เวทานต์เป็นฝ่ายพยักหน้าให้เขากราบลาเธอออกมา และในภาพสุดท้ายที่เห็นคือร่างผอมเกร็งที่นั่งเอนหมอนขวานอยู่บนเตียง ที่มองมาโดยไม่กระดิกร่างสักนิดเดียว! และภายหลังจากนั้น คันธรรพก็ไม่มีโอกาสได้พบกับคุณตลับเพชรอีกเลย

หากเป็นความรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเขาออกมาจากบ้านของเวทานต์ในเย็นวันนั้น สตรีชราผู้นี้ก่อให้เกิดความรู้สึกขนลุกอย่างประหลาด แต่เมื่อเวลาผ่านไปและยุ่งกับภาระงานต่างๆจนแทบลืมชื่อของเธอไปแล้ว ถ้าสหายรักจะไม่พูดขึ้นมาอีกในเวลานี้

“คุณย่าของฉัน ท่านเป็นคนสนใจในศาสตร์ลี้ลับ อย่างไสยเวทย์มนตรา หรือความเชื่อลึกลับเหนือสิ่งพิสูจน์ บางทีมันอาจจะสืบทอดมาตั้งแต่คุณทวด ที่เป็นต้นตระกูลพราหมณ์และเคยเป็นผู้เชี่ยวชาญในมนต์มายาพวกนี้มาก่อนก็ได้ ฉันเคยเล่าให้ฟังแล้วมั้ง ว่าบรรพบุรุษของพวกเราแต่ดั้งเดิมเป็นพราหมณ์ที่สืบทอดมาจากโยคีสำนักปุริสราชาที่อินเดีย ความสนใจเรื่องมายาศาสตร์พวกนี้ก็เลยตกมาถึงคุณย่าด้วย”

“แต่ไม่ได้ตกมาถึงแกเลยล่ะสิ”

เขาเอ่ยย้อนขำๆ และเวทานต์ก็พยักหน้ารับแต่โดยดี สายตาของมันมองตรงมาที่เขา เหมือนกำลังประเมินหรือชั่งใจบางอย่าง

“โดยเฉพาะเกี่ยวกับของที่ลงอาคม เหมือนกับคัมภีร์ที่ว่านี้แหละ ถึงท่านจะไม่รู้ในวิธีการเปิดหีบกล หรือภาษาศาสตร์ นิรุกติศาสตร์ แต่ท่านก็สามารถสัมผัสกับพลัง “ความแรง” ของมันได้ จากประสาทสัมผัสพิเศษของท่าน”

คันธรรพ ยกมือลูบปลายคางอย่างครุ่นคิดตามไปด้วย เขาเชื่อว่าสตรีสูงวัยผู้นั้นมีพลังอำนาจ และความเร้นลับบางอย่าง ที่ทำให้ผู้อยู่ใกล้อย่างเขา ยังอดรู้สึกขยาดหรือหวั่นไหวไม่ได้ แต่อำนาจจิตพิเศษ ที่เหนือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์นั่นสิ ที่เขาไม่แน่ใจนัก

“พอคุณย่าท่านเสียชีวิตลง ฉันก็เลยได้รับเป็นมรดกตกทอดมาด้วย และบอกเล่าสุดท้ายของท่าน ก่อนจะจากไป ก็คือ หีบใบนี้ บรรจุคัมภีร์ที่มีมนตราสำหรับชุบชีวิตมนุษย์ อันมีชื่อว่า สัญชีวนี!”

 

เชิงอรรถ : 

(1) จากนิทานเวตาล เรื่องที่หก : น.ม.ส.

(2) พรหม คือ บรัหมาหิ ส่วน ข้าพเจ้า คือ ลองซิ อ้างอิงจากหนังสือ แว่นส่องจักรวาล พ.ต.อ.ชลอ อุทกภาชน์

(3) ภาษากูโบ๊ส มีสามระดับ คือ ปุริสคาเบ๊ส แบรอเฟน ทั้งสองระดับจะเป็นภาษาพรหม และมินกะเอน ใช้ในกลุ่มพรหมระดับล่างหรือเทพระดับสูง ถ้าเป็นเทวดาทั่วไป จะเป็นภาษาเช็คราวาตี

(4) ขอขอบพระคุณท่าน ที่มา อ้างอิงจากเอกสารเดียวกัน หน้า 125

 



Don`t copy text!