สัญชีวนีมหามนตรา บทที่ 5 : เด็กที่หาย

สัญชีวนีมหามนตรา บทที่ 5 : เด็กที่หาย

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

สัญชีวนีมหามนตรา เรื่องราวของมนตราลึกลับที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ และอาจต้องแลกมาด้วยสิ่งสำคัญ อย่างเช่น…ชีวิตของเครื่องคราม…คนรักของเขานั่นเองคันทรรพจะเลือกอะไร “สัญชีวนีมหามนตรา” โดย หมอกมุงเมือง นวนิยายออนไลน์แนวลึกลับเหนือจริง ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ 

****************************

– 5 –

เครื่องคราม ราชเมธา ตื่นนอนเอาเกือบเที่ยงของวันใหม่ สาวสวย แต่งกายด้วยชุดลำลองเข้ารูปเดินนวยนาดลงมายังชั้นล่างที่จัดเป็นห้องนั่งเล่นและสมาชิกในครอบครัวกำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส

“ว่าไงจ๊ะ แม่เครื่อง วันนี้จะออกไปไหนอีกหรือเปล่า?”

คุณหญิงกาบแก้ว ในอาภรณ์หรูหรา แม้จะอยู่กับบ้าน เอ่ยทักบุตรีขึ้นก่อน ขณะที่หล่อนทรุดนั่งลง แล้วหยิบถ้วยกาแฟที่สาวใช้ผู้รู้งาน นำมาเสิร์ฟให้พอดี

“ยังไม่รู้เลยค่ะ วันนี้เบื่อๆชอบกล ว่าแต่คุณพ่อล่ะคะ”

ผู้เป็นมารดาบุ้ยปาก ไปด้านนอก

“ตาโอมน่ะสิมาคุยตั้งแต่สายๆแล้ว ท่าทางเคร่งเครียดอยู่ไม่น้อยเลยล่ะ”

ตาโอม ที่คุณหญิงกาบแก้ว พูดถึง ก็คือร้อยตำรวจเอกโองการ นายตำรวจหนุ่มซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับหล่อน และสนิทสนมกับคุณวันชัย บิดาของหล่อนเป็นอย่างมาก จนแวะเวียนมาหาอยู่บ่อยครั้ง เครื่องครามนิ่วหน้าเล็กน้อย

“วันนี้พี่โอม แกว่างเหรอคะ ปกติ เสาร์ อาทิตย์ ยังไม่วายออกไปทำคดีไม่หยุดหย่อน จนเครื่องนึกว่าจะเป็นนายตำรวจดีเด่นไปซะแล้ว”

หล่อนเอ่ยอย่างไม่สนใจนักในความสนใจของเครื่องคราม เห็นจะมีแต่เพียงดอกเตอร์คันธรรพ เท่านั้นที่อยู่ในสายตา หากยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อบิดากับนายตำรวจหนุ่มก็เดินตรงเข้ามาพอดี

“อ้าวยายเครื่อง ตื่นแล้วเหรอ เห็นตาโอมบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับเราพอดี”

คราวนี้ เป็นเครื่องครามเสียเองที่ประหลาดใจแทน

********************************

“เมื่อวานเครื่องกลับมาดึกหน่อย เลยตื่นสายไปนิด พี่โอมมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”

หล่อนเอ่ยทักทายนายตำรวจหนุ่มอย่างเป็นกันเองด้วยความคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก ปกติโองการก็ค่อนข้างขี้เล่น พูดคุยหยอกล้อหล่อนบ้างพอหอมปากหอมคอเวลาเจอกัน แต่คราวนี้ อดแปลกใจไม่ได้ที่พี่โอมมีหน้าตาเคร่งขรึมจริงจังกว่าเดิม

“เมื่อวานเครื่องไปบ้านดอกเตอร์คันธรรพมาหรือ?”

หล่อนพยักหน้ารับแต่โดยดี

“ใช่! พอดีนัดกันว่าจะออกไปดินเนอร์กัน นี่เครื่องยังจอดรถทิ้งไว้ที่บ้านธรรพอยู่เลย ว่าบ่ายๆจะไปกลับไปเอารถ”

“มีคนมาแจ้งความคนหาย เขาอยู่ในซอยเดียวกับ บ้านของดอกเตอร์คันธรรพ”

“อ้าว แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคุณธรรพหรือเครื่องด้วยล่ะคะ ในซอยนั้นก็ยังมีคนอื่นอีกตั้งเยอะแยะ หรือคิดว่าเครื่องไปลักพาตัวเขามาเหรอ?”

เครื่องครามอดส่งเสียงร้องขึ้นมาก่อนไม่ได้ แต่โองการก็รีบโบกมือห้ามไว้ก่อนอย่างรู้ทัน

“ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย อย่าเพิ่งโวยสิยายเครื่อง ฉันแค่จะบอกว่ามีพยาน เขาเห็นว่าไอ้เด็กเฉลิมที่ว่าหายตัวไปน่ะ มันเป็นฝ่ายปีนเข้าไปในบ้านของดอกเตอร์คันธรรพ แล้วก็ไม่กลับออกมาอีกเลย!”

******************************

คันธรรพ เทวนาคริน กำลังนั่งเผชิญหน้ากับนายตำรวจหนุ่มโองการ และอีกฝั่งหนึ่งก็คือ ชายหนุ่มหุ่นผอมกระหร่องสองคนที่ชื่อสมชัย และโซ้ยตี๋ ซึ่งต่างก็เป็นผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ ในขณะที่หญิงสูงวัยที่บอกกับเขาว่าเป็นมารดาของเฉลิม กำลังนั่งร้องไห้กระซิก นัยน์ตาแดงก่ำอยู่อีกด้านหนึ่งโดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว

“คุณเห็นเด็กคนนั้นปีนเข้ามาในบ้านของผมหรือครับ?”

เขาถาม พยานวัยรุ่นน่าจะอายุเกิดยี่สิบปีแล้ว แต่ท่าทางก็ดูลอกแล่กไม่น่าไว้วางใจสักเท่าไร โดยเฉพาะนายโซ้ยตี๋ ซึ่งนัยน์ตาเรียวรีตามชื่อของมันเหลียวมองรอบๆ เหมือนพยายามจะสำรวจรอบบริเวณบ้านอย่างสนอกสนใจเป็นพิเศษ

“ใช่ครับ ผมเจอมันเดินลับๆล่อๆอยู่ในซอย ไอ้เหลิมมันเป็นลูกหนี้ของเสี่ยพลเจ้านายผมเอง เมื่อคืนก็ว่าจะเข้าไปทักทายซะหน่อยตามมารยาท แต่ไม่ทันซะก่อน พอไปถึงก็เห็นมันวิ่งผลุบหายเข้าไปในบ้านของคุณพอดี น่าจะตอนที่รถสวนออกมาไม่นานหรอก”

สมชัย ซึ่งน่าจะอาวุโสกว่าเป็นฝ่ายตอบห้วนๆด้วยท่าทียียวนกวนประสาทไม่น้อย

“แล้วอย่างนั้นทำไมคุณไม่เข้าไปแจ้งเจ้าของบ้านล่ะ?”

อีกฝ่ายยักไหล่ด้วยท่าทางกวนๆ ตามสไตล์

“ก็ผมไม่รู้นี่หว่า ว่ามันเข้าไปหาใครในบ้านหรือเปล่า แค่นึกว่าไปธุระสักพักจะออกมา เลยยืนดักรอกับไอ้โซ้ยตี๋จนขาแข็งนี่แหละ รอเท่าไรก็ไม่เห็นมันออกมาสักที กะว่าจะเข้าไปตามเองในบ้าน เดี๋ยวก็โดนข้อหาบุกรุกเข้าไปอีก”

ชายชื่อโซ้ยตี๋รีบพยักหน้าหงึกหงักตามรุ่นพี่ของมัน

“แล้วพอตอนเช้า น้าสายหยุดก็มาโวยวายว่า กลุ่มพวกผมไปทำร้ายไอ้เหลิมลูกแกหรือเปล่าถึงหายตัวไปเลย ก็เลยคิดกันว่า ไอ้เหลิมมันคงไม่ได้ออกมาจากบ้านหลังนี้ตั้งแต่เมื่อคืน”

“นี่มันกล่าวหากันชัดๆนะ”

คราวนี้เป็นเสียงเครื่องคราม ที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ นายตำรวจหนุ่ม และอดรนทนไม่ได้ จนต้องโวยวายออกมาตามประสาคนใจร้อน

“จริงๆแล้ว ฉันน่าจะให้ดอกเตอร์คันธรรพ แจ้งความที่เด็กเวรนั่นมาเข้ามาบุกรุกบ้านเขาในยามวิกาลเสียด้วยซ้ำ แถมแกสองคนเองนั่นแหละ ยังรู้เห็นเป็นใจ หรือคอยดูต้นทางด้วยหรือเปล่านี่สิ? บางทีอาจจะมีเอี่ยวด้วยล่ะมั้ง?”

หล่อนดักคอตามประสาคนใจร้อน พูดเร็วคิดเร็วจน “พยานปากเอก” อย่างไอ้โซ้ยตี๋ กับไอ้ชัยถึงกับสะดุ้งโหยง

“เฮ้ย ผมปล่าวนะ แค่เห็นเฉยๆ ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นอะไรสักหน่อย อย่ามาพูดพล่อยๆนะเจ๊ แบบนี้ เดี๋ยวก็สวยหรอก”

“ใช่! พูดแบบนี้ เดี๋ยวอาจจะโดนฟ้องกลับนะป้า”

สมชัยรีบเสริม และเปลี่ยนสรรพนามจากเจ๊เป็นป้าทันที

คราวนี้ เครื่องครามแทบจะร้องกรี๊ด ใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เมื่อได้ยินเสียงเรียกสรรพนามตัวเองในแบบที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หล่อนลุกขึ้นชี้หน้าอีกฝ่ายแล้วส่งเสียงเกรี้ยวกราด ขณะที่วัยรุ่นหนุ่มทั้งคุ่ต่างก็โวยวายโต้กลับชนิดไม่มีใครยอมใคร

โองการเองมองภาพเครื่องครามกำลังบู๊กับสองเด็กหนุ่มขี้ยาอย่างนึกขันแทนที่จะตกใจ ไม่นึกว่าลูกพี่ลูกน้องสาวของเขาคนนี้จะกลายเป็น “ขาวีน” ซะขนาดนี้ เป็นภาพที่เขาไม่ค่อยเห็น “คุณหนูเครื่องคราม” ในมุมนี้สักเท่าไร นอกจากมุมของสาวไฮโซ เจ้าสำอางที่ถูกสปอยล์จนเคยตัว และใจร้อนเป็นไฟเสียมากกว่า

แต่โดยหน้าที่โองการ ก็ต้องเป็นฝ่ายห้ามทัพเสียก่อน

และกว่าทุกอย่างจะกลับเข้าสู่สภาพปกติได้อีกครั้ง ผู้กองหนุ่มเองก็แทบจะหมดแรงหมดเสียงไปเสียก่อนแล้ว

ถ้าหากว่า…

“ผู้กองต้องการพบกับผมหรือครับ?”

เสียงเนิบช้าเยือกเย็นดังมาจากทางเบื้องหลัง จนทำให้ทั้งร้อยตำรวจเอกโองการ และทุกคนต้องหันกลับไปพร้อมกัน

เบื้องหน้า ร่างของ เฉลิม เปี่ยมสุข ยืนตระหง่านอยู่ที่กรอบประตูห้องด้านใน โดยมิได้ขยับเขยื้อนร่างกายแต่อย่างใด นอกจากเสียงที่เปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาและแหบพร่าราวเสียงกระซิบ ผิดแผกจากตัวตนของมันแต่เดิมโดยสิ้นเชิง และที่น่าประหลาดใจสำหรับ ผู้กองโองการ ก็คือ…

ในขณะที่อากาศภายนอกร้อนอบอ้าวจนแทบเหงื่อแตก เด็กหนุ่มปริศนากลับสวมเสื้อโค้ทคลุมไปทั้งร่าง ราวกับมันอยู่ท่ามกลางอากาศเย็นยะเยือกกลางฤดูหนาวไม่มีผิด!

ร้อยตำรวจเอกโองการ อรรถเวทย์ พยายามหาคำตอบของปริศนาที่ตนเองสงสัยอยู่หลายครั้ง เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ทำให้นายตำรวจหนุ่ม เรียกว่า “หงายเงิบ” หรือ “งงเป็นไก่ตาแตก” ซึ่งก็คงแทบไม่ต่างกับ นางสายหยุด มารดาของนายเฉลิมเอง ที่มองภาพเบื้องหน้าของลูกชายตัวเองเหมือนกับไม่เชื่อสายตา

ไอ้เด็กเวรตะไลนั่น บอกแต่เพียงว่า เข้ามาติดต่อกับดอกเตอร์คันธรรพ เพื่อของานทำ และบัดนี้ เขาก็อนุญาตให้มันทำงานและพักอาศัยอยู่ภายในบ้านของเขาได้เหมือนกับนางเนียม และเจ้าอั๋น คนสวนทุกประการ ไม่มีการพูดถึงการบุกรุกเข้ามาในบ้านยามวิกาล เหมือนกับคำกล่าวหาของนายโซ้ยตี๋และนายสมชัย ก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

ทุกอย่างในเรื่องราวชุลมุนชุลเกนี้ เหมือนจะจบลงได้ด้วยดีปราศจากปัญหาขัดแย้งใดๆ แต่ด้วยสัญชาตญาณนายตำรวจ โองการ กลับรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง

ใช่! ทุกอย่างมันดูลงตัวเกินไป ง่ายดายเหมือนกับถูกเตรียมคำตอบนั้นเอาไว้แล้ว และที่สำคัญ แม้ว่าเขาจะไม่เคยหน้าเจ้าเฉลิมนี่มาก่อน หากแต่เพียงได้เห็นเพียงครั้งแรก โองการ กลับรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีท่าทางและลักษณะผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด

ลักษณะอาการแข็งทื่อเหมือนคนป่วยหรือไม่สบายด้วยโรคอะไรบางอย่างจนต้องสวมเสื้อคลุมปิดตลอดลำคอลงมา แม้ว่าเขาจะพยายามซักถามเบาะแส มันก็เพียงแต่ตอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงติดอยู่ในลำคอผสมเสียงลมผ่านออกมา อย่างที่เขารู้สึกเหมือนกับคุยกับผู้ป่วยที่เจาะคอเสียมากกว่า หรือไม่อีกทีก็คือมันไม่ได้เต็มใจที่จะตอบเท่าใดนัก

ท่าทางแบบนี้แหละ ยิ่งกระตุ้นความสงสัยให้มากยิ่งขึ้นไปอีก จนโองการคิดว่า แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะจบลงไปแล้ว แต่เขาเองอาจจะต้องสืบให้ลึกลงไปอีกว่ามีความจริงอะไร ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ ผืนน้ำที่ราบเรียบเหมือนทะเลไร้คลื่นเช่นนี้

และคนที่จะช่วยเขาได้ดีที่สุด ก็คือ เครื่องคราม ราชเมธา!

***********************

ไม่น่าเชื่อ! มหามนตราบทนั้นจะสามารถชุบชีวิตคนขึ้นมาได้ราวกับปาฏิหาริย์ สภาพของ นายเฉลิมที่เขาพบนอนจมกองเลือด และศีรษะแทบขาดสะบั้น อยู่เบื้องหน้าองค์พระทุรคา กับ สภาพของมันในเวลานี้ ก่อให้เกิดความปลื้มปิติอย่างมหาศาลในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาทำสำเร็จแล้ว!!

ด้วยการทดลองปลุกชีวิตมนุษย์ขึ้นมาได้อย่างฉุกเฉิน แค่เพียงครั้งแรกเท่านั้น

คันธรรพ เทวนาคริน เดินย้อนกลับเข้าไปยังห้องทดลองของตนเอง เขานึกถึงเหตุการณ์ในคืนวันนั้น ที่พบศพของมันในสภาพแหลกเหลวยับเยินอย่างน่าสยดสยอง สติที่ยังมีอยู่ทำให้ตัดสินใจรีบลากร่างของมัน ตรงไปยังห้องทดลองที่อยู่ติดกันกับห้องพิพิธภัณฑ์ ด้วยประตูทางเชื่อมพิเศษ โดยไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

โชคดีที่ทุกอย่างเกิดขึ้นในยามวิกาล และในสถานที่อันรโหฐานเช่นนี้

ในเวลานั้น ดอกเตอร์หนุ่มแทบจะหายมึนเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่ในขณะเดียวกัน ความหวั่นกลัว หวาดหวั่น และความสงสัย ต่อความตายของศพเบื้องหน้า กลับปลาสนาการไป เมื่อความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งพลุ่งขึ้นมากดทับทุกความรู้สึกก่อนหน้าจนหายเหือดไปสิ้น

มันคือความกระหายต่อผลลัพธ์ กระหายที่จะได้พิสูจน์ความจริงบางอย่าง

เขาทดลอง หยิบคัมภีร์ในหีบโลหะออกมาอีกครั้ง ณ เบื้องหน้า ศพที่นอนแน่นิ่งปราศจากชีวิตและวิญญาณบนพื้นห้อง ก่อนจะเอ่ยโอมอ่านอักขรา ด้วยท่วงทำนองที่เกิดขึ้นก่อนหน้า

 

“ในพิธีชุบวิญญาณนั้น จะต้องสละเลือดและเนื้อ เพื่อบูชาเทพพระทุรคา อันเป็นเทพาสูรที่กระหายในโลหิตและความตาย ยามกรีดโลหิตให้หยาดลงไป เป็นการพลีกรรมบวงสรวงนั้น เจ้าจักต้องอ่านคัมภีร์สัญชีวนีไว้ มิให้หยุดทุกกระบวนความโดยเด็ดขาด”

 

เขามั่นใจว่า องค์เทพทุรคา ได้ทรงรับรู้ถึงการเซ่นบวงสรวงด้วยโลหิตของเขามาโดยตลอด จนบังเกิดปาฏิหาริย์ขึ้นในคืนวันนี้พอดี และเป็นเสมือนโอกาสอันดีที่เปิดช่องให้เขาได้ทดลองใช้คัมภีร์สัญชีวนีในการปลุกวิญญาณ ทรชนของมันให้คืนกลับขึ้นมาอีกครั้ง

ด้วยเวลาอันจำกัด ชายหนุ่ม พยายามรวบรวมสมาธิของตนเองมิให้ตื่นตระหนกจนเกินควบคุม ณ เบื้องหน้าร่างอสุภะของมิจฉาชีพชะตาขาดที่นอนรออยู่เบื้องหน้า แล้วเริ่มต้นการอ่านอักษรกูโบ๊ส อย่างต่อเนื่องมิขาดสาย

สรรพสำเนียงที่เปล่งออกมา ด้วยภาษาอันแปลกประหลาดระคนสะพรึง ก่อเกิดคลื่นพลังบางอย่าง โหมกระหน่ำแทบไม่ต่างกับการยืนหยัดอยู่กลางม่านพายุ ทุกถ้อยคำที่เปล่งออกมา คันธรรพหลุดออกจากโลกแห่งความเป็นจริงในเวลานั้น ไม่รับรู้สิ่งใด แม้แต่องค์เทวรูปที่ริมโอษฐ์ขยับเลื่อนและฉีกรอยแย้มสรวลขึ้น จนเห็นไรทนต์ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด!

ก่อนที่กระแสคลื่นที่มองไม่เห็นจะยุติลง

เนิ่นนานในความเงียบงัน พร้อมกับสมาธิอันมุ่งมั่น คราวนี้ เมื่อเขาลืมตาขึ้นก็มองเห็นกลุ่มควัน ลอยผ่านเข้ามาจากช่องประตูที่เชื่อมต่อจากห้องพิพิธภัณฑ์ อันบรรจุเทวรูปพระทุรคา กลุ่มควันสีขาวขมุกขมัว เคลื่อนผ่านเข้ามาราวกับมีชีวิต แล้วหมุนวนอยู่เหนือร่างไร้ชีวิตนั้นชั่วขณะ แล้วค่อยๆเลื่อนผ่านเข้าสู่บริเวณกระหม่อมของศพ ที่นอนแน่นิ่งอยู่

มันคือตำแหน่ง “สหัสสาร”ในทางโยคศาสตร์ที่ใช้รับสัญญาณคลื่นสูงสุดนั่นเอง

ในคัมภีร์โยคศาสตร์ของโลกตะวันออก กล่าวถึง ปรากฎการณ์ของดอกบัว กงจักร (1) อันเป็นสถานีรับคลื่นพลังงานที่แผ่ออกมาจากสรรพสิ่งทั้งปวงในมหาจักรวาล

มูลาธาร ณ ปลายกระดูกสันหลังซึ่งรับคลื่นแห่งปฐวีธาตุ สวาธิษฐาน ณ ปลายอวัยเพศ รับอาโปธาตุ มณิปุระ ณ ระดับสะดือรับสัญญาณคลื่นแห่งเตโช อนาหตะ รับสัญญาณคลื่นแห่งวาโย วิศุทธะ ณ ระดับกระดูกสันหลังต้นคอ รับอากาศธาตุ อาชญา ตั้งอยู่ ณ อุณาโลมระหว่างคิ้วทั้งสอง หรือทางกายวิภาคศาสตร์คือตำแหน่งของต่อมใต้สมอง สำหรับรับคลื่นจากสรรพธาตุในห้วงจักรวาล และสหัสสาร ตำแหน่งกระหม่อม เหนือสมอง รับสัญญาณโชติ อันเป็นคลื่นพลังงานสูงสุด

การกำหนดจิตในการปฏิบัติสมาธิ ก็คือการเปิดคลื่นปุ่มสัญญาณทั้งเจ็ด ขึ้นพร้อมกัน!

และบัดนี้ ณ จุดสหัสสาร ของร่างนั้น ก็ได้รับการกระตุ้นแล้ว ด้วยการส่งผ่านของ การสังวัธยายคัมภีร์สัญชีวนีอันศักดิ์สิทธิ์

ฉับพลันนั้นเอง นัยน์ตาของมันก็เบิกกว้างขึ้น ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะผุดลุกขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ต่างกับการเล่นมายากล

มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่มนต์บทสุดท้ายของสัญชีวนี จบสิ้นลงพอดี

**************************

นายตำรวจสืบสวนคนนั้นกลับไปแล้ว พร้อมกับพยานปากเอกที่งวยงงอย่างเห็นได้ชัด คันธรรพโบกมือเป็นสัญญาณให้ “เฉลิม” เดินตัวแข็งทื่อกลับเข้าไปยังห้องทดลองด้านใน ขณะที่แม่เนียม เป็นฝ่ายเข้ามาซักถามด้วยความสงสัยเสียเอง

“คุณธรรพว่าจะดีหรือคะ ไปรับใครก็ไม่รู้จัก ให้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ เนียมเกรงว่าท่าทางเจ้าเฉลิมคนนี้มันดูประหลาด ไม่น่าไว้ใจเลยนะคะ เนียมกลัวว่า… เอ้อ”

นางเอ่ยด้วยความกังวล แต่เขาเป็นฝ่ายสั่นศีรษะปฏิเสธ

“เนียมไม่ต้องห่วงหรอก ฉันจะให้เจ้าเฉลิมพักในห้องทดลองนั่นแหละ จะได้ไม่ออกมาจุ้นจ้านให้เนียมกับเจ้าอั๋นกังวลใจไป”

แม้ว่าหญิงชราแม่บ้านจะยังติดใจสงสัย แต่นางก็ไม่กล้าถามอะไรมาก เพราะท่าทีของอีกฝ่าย ดูเหมือนจะไม่อยากตอบอะไรอีกต่อไป นางจึงได้แต่เดินย้อนกลับออกไปด้านนอก และสวนกับไอ้อั๋น เด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่อาศัยเรือนพักด้านหลังคฤหาสน์เทวนาคริน เด็กหนุ่มหน้าซื่อหน้าตาตื่นไม่ต่างกับนางเช่นกัน ที่เพิ่งรู้ข่าวว่าเพียงแค่ข้ามคืน เจ้านายก็รับสมาชิกใหม่เข้ามาอยู่ในบ้านเสียแล้ว แถมยังมีประวัติเป็นเด็กติดยาในซอยอีกต่างหาก

“เอาเถอะวะ อั๋น ป้าว่ายังไง อีกไม่นานมันจะต้องออกลายแน่ กาหัวเอาไว้ได้เลย คุณธรรพนะคุณธรรพ ไม่น่าเอาคนพรรค์นี้มาไว้ในบ้านเลย อันตรายจะตายไป!”

บ่นออกไป โดยไม่รู้แม้แต่น้อยว่าคำพูดของตัวเอง จะกลายเป็นจริงในเวลาต่อมา แม้จะไม่ใช่ในสิ่งที่นางคิดก็ตามที

 

เชิงอรรถ : 

(1) ในปัจจุบันจะเรียกว่า จักระ

 



Don`t copy text!