สัญชีวนีมหามนตรา บทที่ 4 : หนีไปซะ ก่อนจะไม่มีโอกาส

สัญชีวนีมหามนตรา บทที่ 4 : หนีไปซะ ก่อนจะไม่มีโอกาส

โดย : หมอกมุงเมือง

Loading

สัญชีวนีมหามนตรา เรื่องราวของมนตราลึกลับที่ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นขึ้นมาได้ แต่เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ และอาจต้องแลกมาด้วยสิ่งสำคัญ อย่างเช่น…ชีวิตของเครื่องคราม…คนรักของเขานั่นเองคันทรรพจะเลือกอะไร “สัญชีวนีมหามนตรา” โดย หมอกมุงเมือง นวนิยายออนไลน์แนวลึกลับเหนือจริง ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ 

****************************

– 4 –

 

เครื่องคราม ราชเมธา หัวเราะน้อยๆ เห็นไรฟันขาวเรียงเป็นระเบียบราวกับไข่มุก เมื่อเห็นแม่บ้านของเทวนาคริน เดินตรงเข้ามาพร้อมกับถาดอาหารว่าง นัยน์ตาของหล่อนเป็นประกายวาววับอย่างรู้ทัน

“ฉันเดาว่า คุณธรรพจะต้องบอกกับแม่เนียมว่า ให้รีบออกมารับหน้าคุณเครื่องก่อนนะ แล้วผมจะค่อยตามออกมา ใช่ไหมล่ะ?”

เธอพูดดักคอได้ถูกต้อง ตามที่ ดอกเตอร์ คันธรรพ สั่งมาพอดี แม่เนียมได้แต่ยิ้มเรี่ยราด เอ่ยรับแค่ “ค่ะ” เพียงคำเดียว โดยไม่สามารถเอ่ยแย้งอะไรได้สักคำเดียว นึกในใจว่าคู่หมั้นคนสวยของดอกเตอร์คันธรรพ นี่รู้ทันเจ้านายของแก ทุกอย่างจริงๆ ถ้าได้แต่งงานกันไปก็น่าจะเป็นคู่รักที่เหมาะสมทุกอย่าง ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะ เสียอย่างเดียวจริงๆ

คุณธรรพ นี่แหละ เฉื่อยเป็นน้ำยาเย็น ซะจนผู้หญิงเขาจะเบื่อเอาเสียก่อน!!

“จริงสินะ แม่เนียม เพราะถ้าเขาไม่พูดแบบนี้ ก็ต้องไม่ใช่ ดอกเตอร์คันธรรพ ผู้ชายคนที่ฉันรู้จัก ใช่ไหมล่ะจ๊ะ?”

เครื่องครามเอ่ยลอยๆเหมือนปรารภกับตนเอง ก่อนจะยกแก้วใส่น้ำหวานสีสวยขึ้นจิบ แม่เนียมไม่แน่ใจว่า นั่นเป็นแค่คำพูดรำพึงเฉยๆ หรือว่าเป็นการประชด เจ้านายหนุ่มของเธอกันแน่ หากแต่ยังไม่ทันเอ่ยอะไรต่อ ร่างสูงสง่าของ คันธรรพ เทวนาคริน ก็ก้าวอย่างเร่งรีบตรงเข้ามาถึงพอดี

คู่หมั้นสาวของเขา ทรงกายขึ้นจากเก้าอี้ทันที พร้อมกับคลี่รอยยิ้มทักทาย เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า

“ขอโทษจริงๆครับ เครื่องผมช้าไปหน่อย”

“ไม่เป็นไรค่ะธรรพ นานแค่ไหน เครื่องก็ต้องเป็นฝ่ายรอธรรพอยู่แล้ว ไม่ใช่หรือคะ?”

หญิงสาวช้อนสายตาอ่อนหวานแกมตัดพ้อขึ้นมองหน้าเขา

คันธรรพมองสบตาหญิงคนรัก ผ่านโครงหน้างดงาม ตกแต่งด้วยเครื่องสำอางอย่างดีต้องรสนิยมอย่างที่เขาเคยชื่นชอบ ทว่าภายในดวงตานั้นสิ กลับอ่อนแสงลงอย่างประหลาด ไม่ต่างกับการทอดอาลัยหรือน้อยใจบางอย่าง

“โธ่ เครื่อง ผมขอโทษด้วยนะที่ทำให้คุณต้องมารอ”

เห็นดังนั้น คันธรรพจึงพยายามชวนคุยเพื่อเอาอกเอาใจอีกฝ่ายให้อารมณ์ดีขึ้น เขาคิดไปเองว่านั่นคงเป็นอารมณ์เจ้าแง่แสนงอนอย่างที่เคยเห็นหล่อนแสดงออกอยู่บ่อยครั้ง เมื่อเห็นเขาวุ่นอยู่กับงาน จนไม่มีเวลาให้กับหล่อนเต็มที่อย่างคู่รักคู่อื่น

“เอาเถอะค่ะ เราอย่ามาเสียเวลา ทะเลาะกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเลยนะคะ ใกล้ทุ่มแล้ว เครื่องเริ่มหิวแล้ว ว่าแต่คืนนี้เราจะไปดินเนอร์ที่ไหนกันดีคะ เครื่องให้คุณตัดสินใจก่อนเลย”

เขาพยายามยิ้มแย้มอย่างเอาอกเอาใจเมื่อเปิดประตูรถอีกฝั่งให้หญิงสาวเข้าไปนั่ง ก่อนจะเดินอ้อมไปฝั่งคนขับแล้วก้าวขึ้นประจำที่ ชายหนุ่มเองก็ไม่ใช่นักชิมอาหารหรือผู้เชี่ยวชาญใดๆ รสนิยมเรื่องการกินของเขาเป็นเพียงแค่ภารกิจหนึ่งให้เสร็จสิ้นก่อนจะไปทำงานต่อเท่านั้นเอง แต่เพื่อเอาใจคู่หมั้นสาว เขาจึงเอ่ยชื่อร้านอาหารในโรงแรมแห่งหนึ่งที่เคยได้ยินเพื่อนร่วมงานในมหาวิทยาลัยเอ่ยถึงมาก่อน และหญิงสาวก็พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

แล้วพาหนะคันงาม ก็เคลื่อนออกจากคฤหาสน์เทวนาครินออกไป เมื่อยามพลบสนธยาพอดี

**************************

มันเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เมื่อ “มัน” มองเห็นประตูรั้วเหล็กขนาดใหญ่เปิดกว้างออกจากกันด้วยกลไกอัตโนมัติแล้วพาหนะคันงามของผู้เป็นเจ้าของบ้านก็เคลื่อนผ่านออกมา ในจังหวะเวลานั้นเองเมื่อเหลือบเห็นเพียงหญิงชรา ผู้ดูแลบ้านหันเดินย่องแย่งกลับเข้าไปในตัวตึก โดยไม่ทันสังเกตความผิดปกติใดๆ

และก่อนประตูรั้วจะปิดกลับเข้าหากันนั้นเอง มันรีบพุ่งตัวแทรกกายผ่านเข้ามาภายในบริเวณบ้านหลังนั้นอย่างรวดเร็ว อาศัยความมืดมิดยามราตรีช่วยกำบัง จนผ่านทะลุเข้าสู่บริเวณสนามหญ้าด้านในของตัวบ้านได้สำเร็จ

หวานหมูไอ้เหลิมล่ะเว้ยคราวนี้!

มิจฉาชีพยามรัตติกาลเอ่ยกับตัวเองอย่างมั่นอกมั่นใจ เมื่อมันเงยหน้าขึ้นมองเห็นตัวตึกขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า คาดคะเนจากสายตาแล้วภายในบ้านหลังมหึมาราวคฤหาสน์แห่งนี้น่าจะเต็มไปด้วยทรัพย์สินจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว

อาศัยเงามืดของปีกตึก เมื่อโจรราตรีค่อยๆเดินโหย่งฝีเท้าเลาะลัดผ่านเข้าไปสู่บริเวณด้านในของสวนหย่อมที่ปิดไฟเงียบสนิท บริเวณนี้ในเวลากลางวันคงจะสวยงามน่าดู เมื่อมีทั้งเก้าอี้ สระน้ำเล็กๆ และอ่างน้ำพุประดับข้างกอไม้พุ่มอย่างน่าดู แต่ก็น่าแปลกที่บ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้กลับมีคนรับใช้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น?

หัวขโมยไม่ทันสังเกตเห็นว่า บานหน้าต่างในห้องหนึ่ง ค่อยๆ แง้มออกจากกันช้าๆ เหมือนกับมีมือที่มองไม่เห็นจากด้านในมาผลักออกจากกัน และร่างของมันก็เกือบจะสะดุดชนปังกับหน้าต่างบานนั้นเข้าพอดี

อุ๊บบ!

มันเผลอหลุดปากอุทานแกมสบถออกมาอย่างตกใจ คาดไม่ถึง และท้ายสุดคือความกระหยิ่มยินดี นี่คงเป็นโอกาสที่พระเจ้าส่งมาให้อย่างแน่แท้ เจ้าของบ้านผู้สะเพร่า ดันลืมปิดหน้าต่างห้องบานหนึ่งเข้าพอดี โดยที่มันไม่ต้องเสียเวลางัดแงะให้เหนื่อยแรง

สายตาของมันมองบานหน้าต่างที่ง้างออกอย่างง่ายดายและเป็นช่องว่างที่มันจะผ่านเข้าไปด้านในอย่างพอดิบพอดี โดยแทบไม่ต้องทุบทำลายบานกระจก หรืองัดกลอนประตูให้เป็นหลักฐานมัดตัวในภายหลัง ช่องที่แง้มเปิดเลื่อนขยับอีกเพียงนิดเดียว มันก็สามารถแทรกตัวเล็กๆ ผอมๆ ของมันผ่านเข้าไปภายในได้อย่างง่ายดาย

เสร็จไอ้เหลิมคราวนี้ล่ะวะ!

เฉลิม เปี่ยมสุข เป็นเด็กวัยรุ่นติดยาที่อาศัยอยู่ในซอยแถวนี้นั่นเอง มันพอรู้อยู่บ้างว่าบ้านหลังใหญ่ปลายซอยเปลี่ยวหลังนี้ มีเจ้าของเป็นมหาเศรษฐีใหญ่ ที่มันจะเก็บตัวเงียบไม่สุงสิงกับใคร วันๆ ทำการทดลองอยู่แต่ในบ้านหรือไม่ก็ออกไปสอนหนังสือ นานๆ ทีถึงจะขับรถออกไปข้างนอกด้วยรถเก๋งคันหรูอย่างที่มันเพิ่งเห็นเมื่อครู่

ตอนนี้เฉลิมกำลังเสี้ยนยาอย่างหนัก เงินทองก็ขาดมือ ซ้ำยังถูกตามล่าจากแกงค์ค้ายาที่มันติดหนี้อยู่ไม่ใช่น้อย  พวกนั้นข่มขู่ว่าถ้าเอาเงินมาจ่ายไม่ทันวันพรุ่งนี้ มันอาจจะกลายเป็นศพอยู่ที่ไหนสักแห่ง!

และเฉลิมก็รู้ดีว่าไอ้พวกนั้นเอาจริง เหมือนกับที่มันเคยทำกับลูกหนี้รายอื่นๆ วิธีเดียว ก็คือการหาเงินมาชดใช้หนี้และซื้อยาลอตใหม่ให้ทันก่อนอาการเสี้ยนยาจะกำเริบหนักไปกว่านี้

เมื่อกี้นี้เองตอนกำลังจะกลับเข้าบ้าน มันเพิ่งเห็นไอ้ชัยกับไอ้โซ้ยตี๋ ลูกน้องของแกงค์ที่ว่ากำลังมุ่งหน้าเดินปรี่เข้ามาหาพอดี มันเลยรีบเผ่นหนีผ่านเข้ามาซ่อนตัวในซอยนี้ ก่อนจะพบว่ามันเป็นซอยตัน!

ไม่มีทางหลบหนีใดๆ อีก นอกจากจะติดปีกบิน

แต่แล้วโอกาสทองก็มาถึงในเวลาอันเหมาะสมพอดี ราวกับพระเจ้าเปิดทางให้

และบัดนี้ หัวขโมยตัวร้ายได้โอกาสแทรกตัวผ่านเข้าไปยังบริเวณห้องด้านใน ด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะพบว่า บัดนี้ได้เข้ามายืนอยู่ภายในห้องทำงานของเจ้าของคฤหาสน์หลังงามนั้นแล้ว เมื่อมองผ่านลึกเข้าไปด้านใน ก็เห็นอุปกรณ์ทดลองต่างๆ มากมายที่มันไม่รู้จักสักอย่าง นอกจากขวดแก้วกับตู้กระจก แต่สายตาของหัวขโมย ไม่ได้สนใจสิ่งเหล่านั้น มันเดินสำรวจและพบด้วยความประหลาดใจว่า ห้องนี้เชื่อมต่อกับห้องอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกันโดยไม่ได้ล็อคประตู

เมื่อผลักประตูผ่านเข้าไป มิจฉาชีพวัยรุ่นก็ถึงกับเบิกตากว้างจนแทบถลน ด้วยความโลภสุดระงับ

ห้องข้างในนี้ มันเป็นห้องขนาดใหญ่ที่เรียงรายไปด้วยตู้ไม้กรุกระจกแบบโบราณติดผนัง ภายในตู้เหล่านั้นบรรจุข้าวของล้ำค่า ทั้งถ้วยโถโอชามพวกเครื่องเบญจรงค์ เครื่องเงิน และเครื่องประดับล้ำค่า รวมถึงของสะสมชิ้นอื่นๆ เต็มไปหมด ราวกับเป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อม

นี่มันหลุดเข้ามาอยู่ในถ้ำมหาสมบัติโดยแท้

ก่อนที่หางตาจะสัมผัสถึงเงาอะไรบางอย่างที่เคลื่อนไหว เพียงแวบเดียวพร้อมเสียงหัวเราะแหบๆ เยือกเย็น

ด้วยสัญชาตญาณหัวขโมยตัวแสบก็รีบหันขวับกลับไปทันที แล้วมันก็ต้องเผลอถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อพบว่าด้านริมสุดของห้อง อันเป็นที่ตั้งของเทวรูปหรือรูปปั้นขนาดเท่าคนจริง ปรากฏอยู่ในเงาสลัว และลมที่พัดกิ่งไม้จากด้านนอกที่แกว่งไกวไปมา ก็คงจะทำให้เกิดภาพเงาไม้เคลื่อนไหวเกิดขึ้นนั่นเอง

“โธ่เอ๊ย! กะอีแค่รูปปั้น กูนึกว่าผีหลอกซะแล้ว…  ผีเผอที่ไหนจะมีวะ? ลองโผล่มาสิ ไอ้เหลิมจะต่อยให้หน้าแหกไปเลย”

มันเอ่ยรำพึงกลับตัวเอง เหมือนปลอบใจให้หายกลัวเสียมากกว่า ก่อนเดินตรงปรี่เข้าไปยังบริเวณเทวรูปเบื้องหน้า พลางเอียงคอเพ่งมองด้วยความพิศวง

รูปปั้นอะไรกันวะ น่ากลัวฉิบห่-

มันนึกในใจ เมื่อมองเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยว รูปร่างอันผิดปกติ และเครื่องทรงของเทวรูปที่นำพาซึ่งความสยดสยองทั้งมวลมารวมอยู่ด้วยกัน โดยเฉพาะริมฝีปากสีแดงฉานราวกับเลือดที่อ้าขึ้น เหมือนกับต้องการเอ่ยปากทักทายแย้มยิ้ม มือที่งอกออกมายั้วเยี้ยเหมือนขาตะขาบอย่างที่มันคิดในใจ เต็มไปด้วยอาวุธต่างๆ นานา

มันรีบหันกลับไปทันที เพื่อมองหาสิ่งที่ต้องการมากกว่าเทวรูปสยองเบื้องหน้า หากยังไม่ทันจะฉวยคว้าสิ่งใด เสียงขยับบางอย่างก็ดังมาจากเบื้องหลัง

ใคร?

เฉลิมตั้งใจจะหันกลับไปอีกครั้ง หากก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังใกล้จนแทบจะชิดริมหูจนมันต้องหยุดชะงัก แล้วกลิ่นหนึ่งก็ระเหยมากระทบฆานประสาทจนขุมขนลุกชัน

กลิ่นเลือด… กลิ่นนั้นคาวหืน ชวนอาเจียน มันระเหยอบอวลอยู่ใกล้ จนเหมือนกับอยู่ท่ามกลางกองเลือดที่ท่วมทับรอบกาย

ความรู้สึกเย็นวาบตลอดไขสันหลัง เหมือนกับมีสายตาของใคร กำลังจ้องมองมาจากเบื้องหลัง ทำให้มันต้องค่อยๆ หันหน้ากลับไป ทั้งที่ในใจเองก็พยายามคัดค้านเต็มที่

“รีบออกไปซะ ออกไปจากที่นี่ ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะไม่มีโอกาส”

แต่ก็ช้าเกินไป เพราะเมื่อมันหันศีรษะกลับไปอีกครั้งก็พบว่า เทวรูปสยองนั้น เคลื่อนเข้ามาหยุดอยู่เบื้องหน้า จนแทบประชิดกับร่างของมันโดยไม่ทันตั้งตัว พร้อมเสียงหัวเราะแหบพร่า เหมือนเสียงของหญิงชราแม่มดที่ชวนขนลุก

ไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้องออกมา เมื่อส่วนมือที่แข็งแกร่งของท่อนศิลาข้างหนึ่งก็กดลงไปยังศีรษะของมันจนมิอาจขยับ

“อย่า”

ทรชนพยายามส่งเสียงร้องออกมาสุดเสียงแล้วขยับร่างดิ้นรนหนีสุดชีวิต แต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว

เมื่อมืออีกข้างขององค์เทวรูปที่ถือกงจักรเหล็กอันแหลมคมเอาไว้ ก่อนจะปาดฉับลงมา!

เสียงรถแล่นผ่านเข้ามาในบ้าน กลางดึกสงัด ทำให้แม่เนียมพยายามขยี้ตา มองผ่านแสงไฟจากหน้าหม้อรถที่กราดจับตัวอาคารตึก จนขาวโพลนในความมืด

“นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้วนะ?”

นางพึมพำกับตัวเอง ว่าจะขยับลุกจากที่นอน ก็นึกได้ว่า ยังมี เจ้าอั๋นเด็กหนุ่มคนสวนของบ้านอาศัยอยู่อีกคนหนึ่ง ป่านนี้มันคงจะไปรอรับเจ้าของบ้านแทนแล้ว

หญิงชราเอนกายกลับลงไปนอนตามเดิม อากาศกำลังเย็นสบายจนแทบไม่อยากลุกจากเตียง ขณะที่กำลังเคลิ้มนั้นเอง อุปาทานหรือเปล่า ที่ได้ยินคล้ายเสียงคนร้องไห้ ดังแว่วอยู่ไกลออกไป เหมือนเสียงกระซิบที่ล่องลอยผ่านมากับสายลมยามดึก…

ช่วยด้วยยยยยย

แต่มันก็แผ่วเบาเหลือเกิน จนหญิงสูงวัยผล็อยหลับไปเสียก่อนแล้ว

*********************

คันธรรพ จอดรถเข้าในโรงจอดรถ แล้วเดินกลับเข้ามายังมุขด้านหน้าของอาคาร คืนนี้พระจันทร์แจ่ม กระจ่าง เช่นเดียวกับหัวใจของเขา ที่ครึ้มอกครึ้มใจและเมามึนไปบ้างกับรสเมรัย ที่ปกติไม่ได้ดื่มบ่อยนัก ถ้าหาก เครื่องครามจะไม่คาดคั้นแกมอ้อนวอนอย่างหนัก

“จิบเป็นเพื่อนเครื่องหน่อยสิคะ ไหนบอกว่าจะไม่ขัดใจไงคะ”

ใช่ หลังจากการปรับความเข้าใจ กับหล่อน และสัญญาว่า จะมีเวลาให้ ภายหลังจากการทดลองสำคัญของเขาเสร็จสิ้นลง เครื่องครามก็ดูจะอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย

“หวังว่า งานวิจัยชิ้นนี้ คงจะเป็นงานวิจัยชิ้นสุดท้ายของ ธรรพเสียทีนะคะ จะได้มีเวลาให้กับเครื่องบ้าง”

“ครับ”

เขาตอบ เพราะรู้ดีว่า นี่เป็นงานชิ้นสำคัญที่สุดในชีวิต งานชิ้นเดียวที่จะสร้างปรากฎการณ์สำคัญให้กับโลกใบนี้!

ดอกเตอร์หนุ่มเดินเซเล็กน้อย ตั้งใจว่าจะกลับขึ้นไปยังห้องนอนเลย ถ้าหากว่าเขาจะไม่ได้ยินเสียงกุกกักบางอย่างดังขึ้นเบาๆ ในห้องพิพิธภัณฑ์

เสียงขยับ!

และนั่นเองที่ทำให้ชายหนุ่มแทบหายมึนเป็นปลิดทิ้ง เขาเปลี่ยนความคิด แล้วรีบเดินตรงดิ่งไปยังห้องพิพิธภัณฑ์ที่ตนเองล็อคประตูเอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะไขมันเปิดออกจากกัน

แชะ!

ทันทีเมื่อกดสวิทช์ไฟ เปิดออก ภาพเบื้องหน้าของสภาพศพที่นอนหงายแน่นิ่งอยู่เบื้องหน้าองค์เทวรูปพระทุรคาเทวี ก็แทบจะทำให้เขาลืมหายใจไปในบัดดล

มันเป็นศพที่ลำคอแทบจะขาดแล่งออกจากกัน ด้วยอาวุธสังหารอันคมกริบ ส่วนศีรษะที่ยังติดอยู่กับลำตัวหักงอผิดรูป และตะแคงเอียงมายังเขาพอดี ดวงตาคู่นั้น เบิกโพลงแสดงถึงความหวาดกลัวสุดขีดก่อนชีวิตจะดับลง

คันธรรพ เผลอมองตรงไปยังองค์เทวรูปเบื้องหน้า กุณฑลรูปโครงกระดูกมนุษย์ย่อส่วน ยังขยับไหวไปมา ราวกับเจ้าของร่างศิลานั้น สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง หัตถ์ข้างหนึ่ง ถือกงจักรมีรอยเลือดไหลรินลงมาเป็นทางจนเปรอะเปื้อนฐานเทวรูป

กงจักรนั้นเป็นแค่กงจักรจำลองมิใช่หรือ?

เขาพยายามนึกทบทวนความทรงจำ จากเจ้าของร้านแอนทีคในเวลาก่อนหน้า หากเหตุการณ์ที่นิ้วมือบาดกับขอบกงจักรจนเลือดซึมออกมา ก็ยังจดจำได้ว่ามันคมกริบอยู่ไม่น้อย หากไม่นึกว่ามันจะมีพลานุภาพขนาดสังหารบั่นศีรษะมนุษย์จนแทบขาดแล่งเช่นนี้

ไม่ต่างกับการกลายสภาพเป็นใบจักรมหึมา!

สายตาของเขาเบนกลับขึ้นไปยังส่วนเศียรขององค์เทพ และบัดนี้ ดวงเนตรทั้งสองที่ปูดโปนแดงก่ำ ก็กำลังจ้องมองตรงมายังเขาเป็นเป้าหมายเหมือนกับต้องการท้าทาย

ให้เขาจัดการทดลองกับศพ ที่กำลังรอคอยการพิสูจน์อยู่ ณ เบื้องหน้า!!



Don`t copy text!