ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 11 : เสี่ยขจรต้นเหตุปัญหา

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 11 : เสี่ยขจรต้นเหตุปัญหา

โดย : โสภี พรรณราย

Loading

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ โดย โสภี พรรณราย…เมื่อชีวิตของชาลิสาพลิกผันไปจากความร่ำรวย กลายมาเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ เธอต้องงัดเอากลยุทธ์มากมายมาจัดการให้เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายผ่านไปให้ได้ แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจที่เกิดขึ้นทุกทีที่พบกับธีทัต เธอจะรับมืออย่างไร นวนิยายจากอ่านเอา ที่นำมาให้ทุกท่านอ่านออนไลน์ค่ะ

มื้ออาหารเย็นที่พร้อมหน้าครอบครัวเสียขจร กับภรรยาสาวคนสวย ภัทรา และลูกชายลูกสาว ดนัยกับจิดาภา

ตอนแรกก็เงียบๆ แต่จิดาภาทำลายความเงียบ

“งานโชว์เพชรอาทิตย์หน้า ภาไม่ไปนะคะ”

ดนัยหันมาทางน้องสาว

“งานโปรดของเธอเลยนะ ทำไมไม่ไป?”

น้องสาวเบ้ปาก

“กี่งาน…กี่งานก็โชว์เพชร ชักเบื่อแล้วสิคะ มีของจนเต็มตู้แล้ว เดี๋ยวเตี่ยก็ต้องเสียเงินซื้ออีก หมดทีเป็นร้อยล้าน ขนหน้าแข้งเตี่ยไม่ร่วงก็จริง แต่คนอื่นน่ะสิ จะคอยชุบมือเปิบ”

เอาแล้ว…มีไหมจะไม่ ‘แขวะ’ แม่เลี้ยงแสนสวย

ภัทราก็ใช่ย่อย ตอบโต้ทันควัน

“คนอื่นก็มีฐานะมีศักดิ์มีศรี ตำแหน่งภรรยาเสี่ยขจร มันก็ต้องมีอะไรอวดสังคมบ้าง”

“อวดจนเกินอวด”

“ต้องถามพ่อคุณนะ ต้องการภรรยาแบบไหน โทรมๆ หรือสวยๆ”

จิดาภาเบ้ปากอีกครั้ง

“สวย…และกอบโกย”

เสี่ยขจรโบกมือ

“กินข้าวไม่ต้องพูดมาก งานเพชรวันอาทิตย์ จะไปก็ไป ไม่ไปก็ไม่ต้องไป”

ดนัยรีบพูดว่า

“ไปสิครับ รู้สึกเตี่ยจะให้ความสำคัญมาก”

“มันไม่ใช่งานธรรมดาแบบทุกครั้ง…มันพิเศษ…” เสี่ยขจรพูดด้วยน้ำเสียงต่ำๆ โดยเฉพาะคำว่า…พิเศษ…

“ครับ…ครับเตี่ย…งานนี้ เพชรงามที่นำมาโชว์ เพิ่งขุดพบไม่นาน และเป็นเพชรชมพูที่หายาก เม็ดเดียวประเมินค่าไม่ถูกเลยครับ”

“ใช่…ขนาดเพชรชมพูที่เคยประมูล น้ำหนักแค่สิบกะรัตนิดๆ ยังประมูลไปสามสิบห้าล้านดอลลาร์ นี่ราวยี่สิบกะรัตหาไม่ได้ง่ายๆ ในโลกเลย”

“เตี่ยจะซื้อหรือครับ?”

“เขาไม่ขาย…แค่มาโชว์ เป็นไฮไลท์ที่เรียกลูกค้า”

“งั้นจะไปให้เสียเวลาทำไมคะ?” จิดาภาถาม

“ก็ต้องไปสิ” เสี่ยขจรพูดเสียงต่ำๆ ตามเคย

“งั้นภาไปก็ได้ค่ะ ดีเลย เขาไม่ขาย แต่จะไม่ต้องเสียเงิน”

เสียขจรพยักหน้าช้าๆ อย่างคนสุขุม

“เตี่ยจะไม่เสียเงินสักบาท”

“ภัทอยากเห็นแล้วสิ เพชรสีชมพูจะสวยขนาดไหน จะดูให้เป็นบุญตาค่ะ” ภัทราพูดกับสามี

จิดาภาอดไม่ได้โพล่ง

“น่าจะดูแค่รูปถ่ายไปพลางๆ ยั่วน้ำลาย”

“ดูของจริงน่าจะดีกว่า”

“ก็ดีนะ…เป็นบุญตา ถ้าไม่ใช่เพราะเตี่ย…จะมีโอกาสเข้างานหรูๆ แบบนี้หรือเปล่า”

เสี่ยขจรโคลงศีรษะ และอิ่มเลย…ลุกจากโต๊ะ

เมียสาว…กับ…ลูกสาว วางตัวเป็นกลางไม่ถูก และไม่จำเป็น ไม่เห็นความสำคัญ

เมียก็เมีย…ลูกก็ลูก…สำหรับเสี่ยแล้ว ความสำเร็จ ความยิ่งใหญ่ อำนาจ เงินตรา คือความต้องการสูงสุด คือเป้าหมายในชีวิตต่างหาก

“ขอเถอะ อย่าทำให้เตี่ยต้องปวดหัวเลย เถียงกันน้อยๆ หน่อย เตี่ยทำกิจการใหญ่ ทำงานใหญ่ ใช้หัวมากกว่าคนปกติ”

“โอ๊ย…พี่นัย…ลูกชายคนโปรดของเตี่ย ห่วงเสี่ย คอยดูนะ เตี่ยจะยกกิจการให้หรือเปล่า หรือจะถูกคนอื่นแย่งไปหมด”

ดนัยโคลงศีรษะ ลุกจากโต๊ะไปอีกคน

ภัทราพูดลอยๆ ว่า

“มันต้องดูว่า ใครมีความสำคัญมากกว่าใคร”

เหมือนทุกคนจะรู้นิสัยของเสี่ยขจรดี รักตัวเองที่หนึ่ง ไม่มีใครสำคัญที่สุดสำหรับผู้ชายคนนี้

“ก็อย่าสำคัญตัวผิด แม่ฉันสำคัญที่สุดที่ทำให้เตี่ยประสบความสำเร็จ อยู่เบื้องหลังเตี่ย”

“พูดถึงคนตายทำไม ฉันต่างหากเป็นแม่เลี้ยงของคุณ”

“ไม่ยอมรับ ชั่วชีวิตก็ไม่ยอมรับ!”

“เอาเถอะ ไม่ถือสาคนไม่ยอมรับความจริง น่าเบื่อ!” ภัทราก็ลุกขึ้นจากโต๊ะอาหารทันที

จิดาภาจะพูดอะไรได้ล่ะ ได้แต่กัดฟันกรอดๆ ไม่รู้ว่าเตี่ยคว้านังคนนี้มาเป็นเมียแทนแม่ได้อย่างไร

ไม่อาจแทนที่แม่เลย…

แม่…ที่ทั้งเก่ง ทั้งสวย ทั้งมีอำนาจ มีความกล้าที่ทำให้เตี่ยประสบความสำเร็จ…ทุกอย่างล้วนมาจาก…แม่…

และแม่ก็ตายอย่างอนาถนัก

ทำการค้าอย่างเทาๆ…อย่างใช้อิทธิพล…ย่อมมีศัตรูปองร้าย

รถระเบิด…น่าจะตายทั้งเตี่ย ทั้งแม่ แต่วันนั้นบังเอิญเตี่ยไม่สบาย แม่เข้าบริษัทคนเดียว

กี่ปีแล้ว…กี่ปีแล้วที่สูญเสียแม่

ถ้าแม่ยังอยู่ ไม่มีวันที่จะมีหญิงคนไหนเคียงข้างเตี่ยได้เลย ไม่มีใครมีอำนาจและบารมีเทียบเท่าแม่ได้เลย

ภัทรามีแต่ความสวยและความทะเยอทะยานแค่นั้น

 

“เมื่อไหร่แกจะเอาเงินมาให้ยาย?” ยายโสพิศทวงเงินทันทีที่ชาลิสาก้าวเข้าบ้าน

หายไปไหนหมด ดึกแล้วน่าจะนอนกันแล้ว แต่ยายยังออกมาดักรอชาลิสา

“ยายยังไม่นอนอีก?” หญิงสาวถาม

“รอแก”

“สากลับดึกค่ะ วันหลังอย่ารอ”

“ใช่สิ…ตอนเช้าก็ออกแต่เช้า…เช้า…มาก…มาก…กลางคืนหมู่นี้ก็ดึกมาก…มาก…ทุกคืน”

“สาทำงานค่ะ ยาย”

“กับแค่สองร้าน มีเด็กดูแลแทนแกอยู่”

“มันขายไม่ดีค่ะ เลยต้องดูๆ หน่อยค่ะ”

“ขายไม่ดีก็เซ้งร้านไปเลย แกจะได้มีเงินก้อน ไม่ลำบาก”

“ไม่ง่ายอย่างนั้นนะคะ”

“แล้วยากอะไร?”

“ร้านของสา…สาตั้งต้นมาหลายปี อนาคตอาจดีก็ได้ค่ะ”

“อนาคต…อนาคต…ยายเห็นแกหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ทุกวัน แกยังหวังลมๆ แล้งๆ อีก”

“ยังไงสาก็อยากสู้จนถึงที่สุดค่ะ”

“ตามใจแก ร้านของแกนี่…แค่เอาเงินมาให้ยายก็พอ”

“ยังค่ะ…สายังไม่มีเงินก้อน”

“ก็แกได้จากคนรวยมานี่ ที่น้องสาวทำตัวงี่เง่าที่ร้านแกไง”

ชาลิสาตาโต

“ยายรู้ด้วย?”

“เออ…เออ…ก็กรมันบอก”

“ข่าวเร็วนะคะ ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

“รีบหาเงินมาให้ยาย เดี๋ยวยายจะอดไปล่องเรือสำราญกับเพื่อนๆ”

“งดสักทริปไม่เป็นไรมั้งคะ”

“ทริปนี้ไม่แพงเลย ระยะสั้นด้วย”

“ไว้ก่อนนะคะ” ชาลิสาตัดบท

 

ชาลิสาก้าวเข้ามาในห้องของบิดา เช้าวันรุ่งขึ้น

คุณสุทินนั่งบนเก้าอี้รถเข็น สายตาเหม่อมองตาลอยออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายขยับได้แค่บางส่วน ไม่สมบูรณ์เปอร์เซนต์ และมารดา แม่พจนีย์ก็เฝ้าดูแลบิดาไม่ห่าง

“วันนี้พ่อเป็นไงคะแม่?” ชาลิสาถามมารดา ทั้งที่รู้ว่ามารดาซึมเศร้า ไม่ค่อยยอมพูดมาก แต่แม่กินยาประจำ

“เหมือนเดิมจ้ะ”

“พ่อผอมลงนะคะ”

“ไม่ค่อยยอมกินข้าว”

“สาซื้ออาหารเสริมโปรตีนมาหลายกระป๋อง เสริมระหว่างมื้ออาหารนะคะ”

“รสชาติไม่อร่อย พ่อก็ไม่ค่อยกิน”

“สาซื้อไว้หลายรสค่ะ เผื่อจะถูกใจพ่อสักรส”

“เด็กจวนก็พยายามเปลี่ยนหลายๆ รสชาติสลับไปทุกวัน”

“แม่ก็ผอมนะคะ”

คุณพจนีย์ยิ้มแห้งๆ

“แม่ยังกินได้”

“แม่คะ…สาขอโทษที่ยังทำให้ครอบครัวเรากลับไปเหมือนเดิมไม่ได้”

“ไม่ใช่ความผิดของแกเลย”

“สาอยากให้ทุกอย่างดีขึ้น…ดีขึ้น”

มารดาโคลงศีรษะ

“ไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิมแล้ว สงสารพ่อนะ ท่านรับไม่ได้มากที่สุด”

“สาจะพยายามทำทุกอย่างให้ดีขึ้นค่ะ กำลังมีรายได้เพิ่ม นทีหางานให้สาเพิ่ม หวังพึ่งรายได้จากร้านของสาสองร้านไม่ได้แล้ว สาจะไปช่วยนทีค่ะ บริษัทรักษาความปลอดภัยต้องการคนช่วย นทีเห็นสาเคยฝึกการต่อสู้และการป้องกันตัว ให้สาลองงานแรก งานแสดงเพชรพลอย งานแบบนี้ต้องรักษาความปลอดภัยสูงสุดเลยค่ะ เพราะเพชรโชว์มาจากนอก และเป็นเพชรหายากมากค่ะ มูลค่าสูง…”

“มันจะอันตรายสิ”

“ยิ่งเสี่ยง งานเสี่ยง เงินก็ดีค่ะ”

“ถ้าเกิดมีโจรปล้นเพชรขึ้นมาล่ะ”

หญิงสาวเบ้ปาก

“จริงๆ แล้ว โอกาสมันยากนะคะ นอกจากมีพวกสาที่เฝ้าระวัง ก็ยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบค่ะ มูลค่าเพชรยิ่งสูง ก็ยิ่งต้องมีคนเฝ้าระวังมากขึ้น โจรคงไม่กล้าปล้นหรอกค่ะ”

“เกิดปล้นจริงๆ ล่ะ”

“พวกเราต้องเต็มที่ค่ะ”

“แม่ไม่อยากให้แกไปเสี่ยง”

“นทีให้ค่าจ้างสูงมาก…”

มารดายิ้มแห้งๆ อ่านออกว่า

“นทีให้ลูกเป็นพิเศษคนเดียวน่ะสิ ป่านนี้นทียังไม่ยอมมีแฟนสักคน คงรอแกอยู่นะ”

“เราเป็นเพื่อนรักกันนะคะ”

“แกก็ไม่ใจอ่อนสักที”

“ความรู้สึกของสาเปลี่ยนไม่ได้ค่ะ”

“ทุกคนเปลี่ยนได้ เปิดใจได้ เพียงแต่ลูกยังปิดอยู่ คนรักกันเริ่มต้นจากเพื่อนเยอะแยะ”

หญิงสาวพยักหน้า

“ก็อาจจะนะคะ ถ้าถึงวันนั้น วันที่สามีความรู้สึกกับนที ใครได้เป็นแฟนนที โชคดีจะตาย”

“ไปทำงานกับนที จะได้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น จะได้เห็นทุกแง่มุมของเขาไงล่ะค่ะ”

“ค่ะ แม่ก็พยายามเป็นแม่สื่อให้เขานะคะ เขาถึงรักแม่เหลือเกิน เวลาเจอหน้า จะถามถึงแม่เสมอ”

“เขาฝากของมาให้แม่ถึงบ้านบ่อยๆ แทบจะทุกอาทิตย์ มีเด็กมอไซค์มาส่งขนมประจำ”

“นทีทำคะแนนผ่านแม่ สารู้สึกดีค่ะ” หญิงสาวหันไปทางบิดา…ท่านยังคงเหม่อลอย หล่อนจับมือบิดา และพึมพำว่า “ไม่อยากให้พ่อเป็นแบบนี้เลย เพราะเสี่ยขจรใช่ไหมคะ เพราะคนคนนี้ใช่ไหมคะ สาเกลียดมัน”

ท่านยังคงเงียบ

“สาจะไปทำงานกับนที งานแรกก็เป็นงานหินเลยค่ะ โชว์อัญมณี เท่าที่รู้…งานนี้เฉพาะแขกรับเชิญระดับชาติทั้งนั้น และต้อง…เจอ…กับ…มันด้วย…เสี่ยขจร…!”

มือของบิดาที่หญิงสาวกุมอยู่กระตุกอย่างแรง

“พ่อ…คะ…พ่อ…”

“มัน…มัน…ไอ้…ขจร…” ประโยคแรกของท่านในวันนี้ และขณะนี้

“พ่อคะ…”

“แกอย่าเข้าใกล้มัน มันอันตราย”

“ไม่ค่ะ ไม่ถึงขนาดนั้น สาก็ทำหน้าที่ของสาไป”

“ระวังมันด้วย…ท่าทางมันสงบๆ เงียบๆ แต่มันร้ายลึก มันร้ายกว่าภาพภายนอกที่เห็น”

“ค่ะ…ค่ะ…สารู้”

“มันจ้องแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่ยอมเสียอะไรเลย มันต้องได้ มันต้องกอบโกย ทั้งเงินและอำนาจ ระวังบอดี้การ์ดของมันด้วย”

“บอดี้การ์ดหรือคะ?”

ใช่…หญิงสาวเคยเห็นตามภาพหนังสือพิมพ์ เสี่ยงขจรจะมีบอดี้การ์ดมากหน้าหลายตา แต่ที่ตามประกบเกือบทุกแห่งหน จะมีแค่หนึ่งหญิงกับหนึ่งชายที่พิเศษ ใส่สูทผูกเน็คไท หล่อและสวย โดดเด่นจนต้องมองเหลียวหลัง

“ตัวอันตรายทั้งนั้น อย่าให้ภาพมาหลอกลวงได้”

“พ่อพูดหมายถึงอะไรคะ?”

“แกอย่าไปทำงานใกล้ชิดกับพวกมันเลย เลวอยู่กับคนเลว เชื่อพ่อนะ ห่างๆ พวกมันไว้” คุณสุทินเค้นคำพูดอย่างยากเย็นเตือนบุตรสาว



Don`t copy text!