ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 7 : ทวงค่าเสียหาย

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 7 : ทวงค่าเสียหาย

โดย : โสภี พรรณราย

Loading

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ โดย โสภี พรรณราย…เมื่อชีวิตของชาลิสาพลิกผันไปจากความร่ำรวย กลายมาเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ เธอต้องงัดเอากลยุทธ์มากมายมาจัดการให้เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายผ่านไปให้ได้ แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจที่เกิดขึ้นทุกทีที่พบกับธีทัต เธอจะรับมืออย่างไร นวนิยายจากอ่านเอา ที่นำมาให้ทุกท่านอ่านออนไลน์ค่ะ

นนทกรเก็บเครื่องไม่ทัน สอยมาหมาดๆ และไม่คิดว่าพี่สาวจะช่างสังเกตขนาดนี้ และคำถามก็ตามมา

“เอาเงินที่ไหนซื้อ?”

และก็ตอบอย่างรวดเร็ว

“เพื่อนมันให้ยืมครับ”

ชาลิสาเลิกคิ้ว

“อย่าตอบกำกวม อย่าตอบแบบนักการเมืองหน่อยเลย ราคาแพงเป็นแสนขนาดนี้”

“เพื่อนมันรวยครับ เพื่อนผมรวยๆ ทั้งนั้น”

“นายเอาเงินที่ไหนซื้อ?”

ย้ำถามอีกครั้ง เพราะไม่เชื่อเรื่องไปยืมเพื่อน

“ผมว่า…ยืมเพื่อน”

“ใช่…เพื่อนนายรวยๆ ทั้งนั้น ยืมเพื่อนก็ไม่แปลก เพื่อนให้ยืมก็ไม่แปลก แต่ไม่ใช่นิสัยนาย เพราะนายมันอาย กลัวเพื่อนรู้ว่าไม่มีเงิน อายที่อยู่บ้านใหญ่ต้องย้ายมาอยู่หลังเล็ก อายต้องไปยืมคอมใหม่เพื่อน”

“ก็คอมผมมันตกรุ่นแล้ว ก็ต้องมีใหม่”

“เงินจากไหน?”

พอถูกคาดคั้นหนักๆ ก็ต้องพูดอย่างเสียไม่ได้

“ผมก็พอมีของผมบ้างล่ะ เงินที่พ่อเคยส่งไปให้ทุกปีตอนอยู่เมืองนอก ผมก็เก็บไว้บ้างในบัญชี”

“ปกตินายใช้เงินเก่ง รู้จักเก็บด้วย?”

“มันก็ต้องมีบ้างสิครับ”

“แล้วทำไมตอนแรกต้องโกหก?”

“ผมก็กลัวพี่สาจะว่าผมฟุ่มเฟือย ผมอยากได้คอมรุ่นนี้มานานแล้ว จริงๆ มีแพงกว่านี้ แต่ผมเลือกที่พอจ่ายไหว” แล้วก็พึมพำว่า “ไม่รู้ทำไมชีวิตต้องลำบากด้วย ทำไมอยู่ๆ พ่อต้องล้มละลายด้วย ทำไมอยู่ๆ ผมต้องมาลำบากขัดสนอึดอัดกับสภาพแบบนี้”

“เลิกบ่นสักทีได้ไหม บ่นแบบนี้ทุกครั้งที่พูดเรื่องเงิน ไม่มีประโยชน์ และเรียกอดีตกลับมาไม่ได้”

“ผมไม่ชอบชีวิตอย่างงี้”

ชาลิสาโคลงศรีษะ ตัดบทเดินออกจากห้องเลย ไม่ฟังน้องชายแล้ว

 

ภัทราอึดอัดทุกครั้งที่ออกงานคู่กับเสี่ยขจร

ถึงแม้จะได้แต่งตัวสวย เครื่องประดับราคาแพง แต่ตนก็ดูเหมือนเป็นตุ๊กตาแสนสวยที่โชว์ให้เพื่อนๆ ของเสี่ยจ้องมองและกล่าวชื่นชมว่าเสี่ยเก่งมีเมียเด็กและสวย เพราะอายุห่างกันมากเกือบสี่สิบปีทีเดียว

เหมือนพ่อลูกมากกว่า เพราะจิดาภาลูกสาวของเสี่ยขจรก็อายุเท่ากับภัทรา

งานเปิดร้านใหม่ของลูกค้าที่ห้างสรรพสินค้า

ครอบครัวเสียขจรได้รับเชิญมาร่วมงาน ทั้งเสี่ยขจร ภัทรา กับดนัยและจิดาภา ลูกชายลูกสาว

ครอบครัวเจ้าของห้างก็มาร่วมยินดี เพราะลูกค้าที่มาเปิดร้านก็เป็นเพื่อนๆ กันในวงการ

คุณเอกสิทธิ์มากับภรรยา คุณกอบุญ และลูกชายลูกสาว ธีทัตกับริก้า

ระหว่างที่เสียขจรทักทายกับคุณเอกสิทธิ์ ภัทราจ้องมองธีทัตที่คุยกับดนัยประสานคนรุ่นใหม่ไฟแรงและเป็นทายาทรุ่นต่อไปที่จะสานต่อกิจการของพ่อแม่

จิดาภาจึงพูดกับแม่เลี้ยงว่า

“มีพ่อเป็นตัวเป็นตนแล้วนะ อย่าจ้องมองผู้ชายคนอื่นแบบนั้น มันน่าเกลียด”

อายุเท่ากัน…ลูกเลี้ยงกับแม่เลี้ยงมีปัญหากันเสมอ ประกาศศึกแบบเปิดเผยตลอดมา

“มองคนรู้จัก…มองเพื่อนเก่า เป็นเรื่องธรรมดา”

“แน่ใจนะ…แค่คนรู้จัก แค่เพื่อนเก่า…ไม่ใช่แฟนเก่า”

“ความรักสวยงามเสมอ”

“ระวังจะปีนต้นงิ้ว!”

ภัทราผงะ…ใช่สิ ตนเองก็ไม่บริสุทธิ์ใจแล้ว ร่ำร้องจะกลับไปหารักเก่าเสมอ ต้องสูดลมหายใจลึกๆ และโต้กลับให้เจ็บแสบ

“เรอะ…คุณภา…แต่มีคนจ้องจะรอรักเก่าของคนอื่นนะคะ…นะคุณจิดาภา…รักเก่าคนอื่น จะเมตตาให้โอกาสหรือเปล่าล่ะ”

รักเก่า…คนอื่น…

จิดาภากำมือแน่น จะโกหกตัวเองไม่ได้ว่า เธอเองก็ชื่นชอบทธีทัตอยู่นานแล้วตั้งแต่เด็ก เพราะเสี่ยขจรเป็นเพื่อนกับคุณเอกสิทธิ์มานาน ตอนเด็กก็เห็นกันเสมอ เห็นตั้งแต่เล็กจนโต อายุหล่อนก็น้อยกว่าธีทัตปีเดียว จึงเป็นเหมือนเพื่อน

เป็นเพื่อน…จนตัวเองเปลี่ยนความรู้สึกตอนเป็นวัยรุ่น เริ่มรักธีทัต แต่เขาก็ยังแสดงความเป็นเพื่อนตลอดเวลา เขาคบกับภัทรา ตอนนั้นจิดาภาก็อิจฉาภัทรา และไม่ชอบหน้า

และ…และ…ภายหลังพ่อแย่งภัทรามาจากธีทัตเห็นๆ จะๆ อย่างกะทันหัน อย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้

ภัทรา…กลายเป็นแม่เลี้ยงอย่างงงๆ

โอกาสของจิดาภาเกิดอีกครั้ง มีความหวังอีกครั้ง และความต้องการของตน ก็หนีไม่พ้นสายตาแม่เลี้ยงแสนสวย

จิดาภาใช่จะยอมคนง่ายๆ

“อย่างน้อยฉันมีสิทธิ์คิด มีสิทธิ์รัก มีสิทธิ์ชอบ แต่คนอื่นหมดสิทธิ์”

พัชชากัดฟันเบาๆ

“ดูต่อไปสิ!”

จิดาภาตาโต

“พูดคำนี้กับพ่อสิ พูดสิ ถ้าเก่งจริง”

ภัทราจึงยิ้มอย่างยียวน

“ฉัน…คงดำรงตำแหน่งแม่เลี้ยงของคุณและเป็นเมียของเสี่ยขจรในสังคม”

“ไม่กล้าพูดท้าทายกับพ่อ ขี้ขลาด”

“คนเราต้องอยู่ให้เป็น”

“คิดว่าพ่อรัก พ่อหลงใช่ไหม”

“ณ ตอนนี้ก็ใช่”

“แต่พ่อไม่เก็บคนใจคดไว้หรอก”

“ฉันซื่อสัตย์ต่อเสียขจรเสมอ!” ถ้าไม่ยืนยันประโยคนี้ตนจะดำรงฐานะเหมือนเดิมได้อย่างไร

รู้ๆ อยู่เสี้ยขจรที่ดูเหมือนคนอารมณ์ดีตลอดเวลา แต่ลึกๆ นิสัยเสี่ย…ร้ายลึก…น่ากลัว

อย่า…อย่านะ…อย่าทำให้โกรธ

ในขณะนั้นธีทัตเห็นสองสาวจึงเดินมาทักทาย

“คุณภัท…ภา…”

ภัทราอยู่เป็นเสมอ เห็นเสี่ยมองมาก็เลยรีบกล่าวขอตัวและผละไปทางเสี่ยทันที โดยไม่ทักทายตอบ จิดาภาจึงพูดกับธีทัต

“นึกว่าธีจะไม่ทักทายแล้วนะคะ นึกว่าจะมองไม่เห็นภา เพราะมีสายตามองสาวคนอื่นๆ ไม่มองภาเลย”

ธีทัตหัวเราะเบาๆ

“ภาสวยขนาดนี้ เด่นขนาดนี้ มองแต่แรกก็สะดุดตาแล้วครับ”

จิดาภาแกล้งเอามือทุบอกชายหนุ่มเบาๆ

“ปากหวานกับสาวๆ เสมอ หัวใจธี ไม่รู้จะเก็บไว้ให้ใครนะ ภารออยู่นะคะ”

ธีทัตอมยิ้ม แววตาอบอุ่น

“ภาชอบพูดเล่นเสมอ”

จิดาภาผิดหวัง เพราะฝ่ายชายยังไม่เห็นความจริงใจของตน

“ถ้าภาพูดจริงล่ะคะ?”

“หนุ่มๆ รอเข้าแถวแล้วครับ”

“แล้วธีจะเป็นหนึ่งในหนุ่มๆ ไหมล่ะ?”

ยังไม่ทันตอบ มีเพื่อนๆ ในวงการเดินมาทักทาย ธีทัตจึงผละไปพูดคุยด้วย จิดาภาจึงเดินมาหาริก้า หาแนวร่วมไว้เป็นพวกช่วยตน ช่วยเชียร์ตนกับพี่ชายของเธอ

“โอ้โฮ้…วันนี้ริก้าสวยจัง” จิดาภาชม

ริก้าเบ้ปาก

“แต่งตัวสวย ออกงานเกือบทุกวัน จนไม่สนุกแล้ว น่าเบื่อจัง ชีวิตมีอะไรอยู่แค่นี้หรือ”

“ตายแล้ว ยังไม่ทันไรก็บ่นเหมือนคนแก่ มีแต่คนอิจฉาชีวิตอย่างริก้านะ”

ริก้าย่นจมูก

“ไม่รู้สิ เบื่อชอบกล ไม่ตื่นเต้นเลย”

ลักขณาอยู่ใกล้ๆ ริก้าได้ยินคนที่เป็นทั้งญาติและนายพูดก็อดคิดในใจไม่ได้

“ฃบ่นแบบนี้ เดี๋ยวก็มีเรื่องทุกที

ขอเถอะ…ขอ…อย่ามีปัญหา อย่าก่อเรื่อง อย่าทำให้ปวดหัวเลย

และพอจิดาภาผละไป ลักขณาก็เตือนริก้าว่า

“เรามางานคนอื่นนะคะ อย่าเบื่อ อย่าก่อเรื่อง”

ริก้าอมยิ้ม

“พี่ณากลัวเรอะ”

“ให้เกียรติพี่ธีทัตเถอะ คุณพ่อ คุณแม่ด้วย และยังผู้ใหญ่ในวงการธุรกิจ”

“งั้นริก้าก็เหมือนมดตัวเล็กๆ ในงาน”

“เป็นมดดำก็แล้วกัน อย่าเป็นมดแดงกัดเจ็บ มันจะเจ็บมาถึงพี่ด้วย”

ริก้าหัวเราะชอบใจ

“พี่ณากลัวจริงๆ”

“กลัวสิ…กลัวตัวเองจะตกงาน”

“ไม่หรอก พี่ณาทำงานนานที่สุดแล้ว แถมเส้นใหญ่ด้วย ยังไงไม่มีใครกล้าไล่พี่ณาแน่ๆ”

ลักขณาพยักหน้า มันก็จริงล่ะ ตนมีป้ากอบุญที่ยังเมตตาหลานสาวคนนี้เสมอมา

“พี่ไปห้องน้ำนะ อย่าไปไหนล่ะ”

“เชิญเลย พี่ณา เดี๋ยวริก้าดื่มอะไรรอ…”

และพอลักขณาผละไปอีกคน ริก้าก็เดินไปหยิบแก้วน้ำอัดลมดื่มฆ่าเวลาเซ็งๆ

และ…มีใครคนหนึ่งก็ก้าวเข้ามาแทนที่

ครบ…สี่สิบแปดชั่วโมง…สองวันแล้ว ชาลิสารักษาคำพูดของตัวเอง และต้องรักษาผลประโยชน์ของตัวเองด้วย

ต้องยอมรับว่าตนเสมือนคนร้อน ‘เงิน’ ตลอดเวลา

ชีวิตประจำวัน ต้องใช้…เงินและเงิน สืบจนรู้ว่าริก้ามาออกงานที่นี่ จึงตามทันที…ตามสิทธิ์ของตน

ริก้าเห็น…ชาลิสา ตื่นเต้นอีกแล้วสิ

เห็นชาลิสา…ก็สนุกขึ้นทันที ถามห้วนๆ ว่า

“มางานเรอะ?”

“มาพบคุณ!”

“ฉัน…” ริก้าหัวเราะเบาๆ “เออ…ฉันก็ฉัน”

“คุณยังค้างค่าเสียหายฉัน”

“อือม์…วันนี้ฉันเพิ่งเจอเธอเอง ค้างอะไรกัน”

“วันก่อน”

“อ๋อ…ลืมแล้ว วันก่อนมีอะไรเหรอ?” แกล้งโง่

“อย่าทำเป็นความจำเสื่อมขึ้นมาเลยดื้อๆ ไม่เหมือนคนริก้าคนเก่าเลย กล้าทำกล้ารับ”

ชาลิสาจ้องตาหญิงสาวตรงหน้า ที่เธอเองก็ไม่หลบสายตา ทำเสียงเล็กๆ

“เออ…เออ…ความจำกลับมาแล้ว”

“ดีแล้วนะ ไม่เสื่อมแล้วนะ จ่ายเงินมาค่าเสื้อผ้ากับเครื่องประดับ”

“เรอะ…ต้องจ่ายเรอะ ของซื้อของขาย ไม่พอใจสินค้า ทำไมต้องซื้อด้วย ไม่ชอบก็ไม่ซื้อ”

“แต่คุณก่อกวน คุณต้องรับผิดชอบ”

“บอกไปแล้วไม่จ่าย!”

“แน่ใจนะว่าคุณไม่จ่าย”

“แน่นอน”

“คนอย่างชาลิสา ต้องได้ค่าเสียหายนี้ ต้องได้เท่านั้น”

“เนื่องจากกระเป๋าฉันเรอะ ไม่มีทาง!”

“คุณไม่ถามด้วยซ้ำว่าเท่าไหร่ อาจเป็นแค่เศษเงินในกระเป๋าคุณ”

“ใช่…ใช่…ไม่สน ไม่จ่าย”

ดูท่าทางของชาลิสาก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะมีเป้าหมายในการทวงหนี้อยู่แล้ว

เป้าหมายก็อยู่ไม่ไกลเลย

นายธีทัต!

“อาจมีคนไม่หน้าหนาเท่าคุณ” ชาลิสาพูดแรง

ริก้าเลิกคิ้ว

“ใคร…” แล้วก็เอะใจทันที แต่ไม่ทันแล้ว เพราะเสียงชาลิสาตั้งใจพูดดังขึ้นอีกนิด เรียกร้องความสนใจให้คนไม่ไกลนักได้ยิน

“พี่ชายต้องหน้าบางกว่าน้องแน่”

พี่ชาย…พี่ชาย….ไม่ทันจริงๆ ริก้ารู้ตัวว่าพลาด ประมาทเกินไป และพี่ชายก็เดินมาแล้ว

ริก้ามองหน้าชาลิสาอย่างโกรธๆ ลำพังตัวต่อตัวยังพอสนุก แต่ถ้ามีพี่ชายร่วมด้วย มันจะสนุกตรงไหน

แต่ก็ไม่ทันแล้ว จึงรีบพูดกับพี่ชาย

“พี่ธีอย่ามาตรงนี้เลยค่ะ ทัศนวิสัยแถวนี้ไม่สู้ดีเลย มีภาพไม่งามตา”

อย่างไงก็ไม่ทันล่ะ

“มีปัญหาอีกสิท่า?”

“เอ้อ…ไม่มีค่ะ พี่ธี”

“แต่เธอคนนี้คงมี”

“ไม่เป็นไรค่ะ ริกาแก้ปัญหาได้ค่ะ”

แล้วชาลิสาก็โพล่งขึ้นมา

“ถ้าแก้ได้คงจบตั้งแต่สองวันก่อนแล้วล่ะ แต่ต้องยืดเยื้อมาถึงวันนี้เพราะไม่ยอมแก้ปัญหา”

 



Don`t copy text!