ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 13 : ช่วยชีวิต

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 13 : ช่วยชีวิต

โดย : โสภี พรรณราย

Loading

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ โดย โสภี พรรณราย…เมื่อชีวิตของชาลิสาพลิกผันไปจากความร่ำรวย กลายมาเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ เธอต้องงัดเอากลยุทธ์มากมายมาจัดการให้เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายผ่านไปให้ได้ แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจที่เกิดขึ้นทุกทีที่พบกับธีทัต เธอจะรับมืออย่างไร นวนิยายจากอ่านเอา ที่นำมาให้ทุกท่านอ่านออนไลน์ค่ะ

ชาลิสาตกใจ

ในระหว่างชุลมุน มันเกิดบริเวณประตูด้านหลังของงานที่ตนรับผิดชอบอยู่กับเพื่อนร่วมงานชาย ทั้งยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบที่ยืนคุยกับเพื่อนร่วมงานอย่างสบายๆ เพราะไม่คิดว่าอยู่ๆ ไฟจะดับ

วินาทีนั้น เหมือนชาลิสาถูกชน โดยร่างที่ชนกระโจนผ่านตนเข้าไปในงาน

ภาพสุดท้ายก่อนไฟจะดับ หญิงสาวยังมองไปบริเวณกลางงานอยู่เลย และตรงนั้นก็เห็นธีทัตกับริก้า สองพี่น้องอยู่บริเวณนั้นเหมือนคนเป็นน้องชี้ชวนพี่ชายให้สนใจเพชรชมพู แต่คุยอะไรกันไม่ได้ยิน

และร่างที่ชนต้นกระแทกไหล่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว สัญชาตญาณของชาลิสา…ไม่ปกติแน่ ดูเหมือนจะเห็นดังรางเงามืดว่ามือของคนชนมีอาวุธ

อาวุธ?

กระโจนไปกลางงานเช่นนั้น…

ชาลิสาเริ่มวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพราะเห็นริก้ากำลังตกใจ ยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก

และริก้าก็ถูกกระแทกเข้าจริงๆ ร้องลั่น ล้มลงบนพื้น

“ว้าย!”

ชาลิสารีบเข้าไปประคอง ก่อนถูกเหยียบซ้ำ

“ลุกขึ้นค่ะ”

ริก้าไม่มีแรงลุก ต้องประคองและใช้แรงฉุดให้ริก้ามีกำลังยืนขึ้น และถูกชาลิสาลากตัวให้ออกห่างบริเวณอันตราย

ใช่สิ…ตรงนั้น…กลางงาน

เพชรชมพู…

ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า กำลังมีการโจรกรรมเกิดขึ้น

ไฟดับ…มีคนบุกรุก…เป้าหมายชัดเจน

ริก้าตกใจทำอะไรไม่ถูก รู้แต่ถูกกระแทก และถ้าช้าล้ะก็ ถูกเหยียบซ้ำแน่

แค่ล้ม ร่างกายที่แสนบอบบางก็เจ็บตัวแล้ว ทำอะไรไม่ถูก โชคดีที่มีคนมาช่วย

คนช่วยมีสัญชาตญาณดี และรวดเร็ว

ที่สำคัญที่สุดคนที่บุกรุก มีอาวุธ ถ้ามีอะไรขวางหน้า อาวุธก็คงไม่มีตา และถ้ารู้คนที่บุกรุกใส่แว่นตาดูแสงในความมืด

ในช่วงวิกฤต…และผ่านพ้น กินเวลาไม่กี่วินาที และผ่านไปแล้ว…

ไฟในห้องจัดงานก็เปิดสว่าง

ทุกคนในงานต้องปรับสายตาจากสว่างเป็นมืด จากมืดเป็นสว่าง

ธีทัดห่วงน้องสาวที่สุด เพราะได้ยินเสียงน้องร้องอย่างตกใจในขณะที่ไฟดับ

ไฟสว่างแล้ว…ภาพที่เห็น

ชาลิสาประคองร่างบอบบางของริก้า!

และ…เพชรชมพูหายไปแล้ว!

เรื่องเพชรหาย ไม่สำคัญสำหรับธีทัดเท่าน้องสาวที่อยู่ใกล้ๆ ตนในขณะเกิดเหตุ

และอย่างรวดเร็ว เจ้าของงานรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มาถึง นั่นเป็นเรื่องของทางการแล้ว

แขกในงานถูกขอให้อยู่ร่วมกันในห้องเพื่อสอบสวน

ลักขณาเพิ่งวิ่งมาหาริก้า

“คุณริก้าเป็นอะไรหรือเปล่า?”

ธีทัตโคลงศีรษะ ถามเสียงเย็นๆ

“ตอนเกิดเรื่องหายไปไหน?”

“ณาไปหาของกินค่ะ” ตอบอ่อยๆ ก็อยู่กันในงานแค่นี้จะไปไหนได้

ริก้ามองเลขาสาวที่เป็นญาติกล่าวว่า

“มันน่ากลัวนะ…พี่ณา…เกือบถูกเหยียบแล้วล่ะ”

ถึงคนช่วยจะเป็นชาลิสา แต่ ด้วยหน้าที่แท้ๆ ก็เป็นบอดี้การ์ดในงาน ก็ต้องทำหน้าที่สิ ไม่ถือเป็นความดีความชอบล่ะ

แขกในงานล้วนแต่ตกอกตกใจ

เสี่ยขจรยังสงบนิ่ง ในขณะที่ภัทราตกใจและเสี่ยต้องปลอบ

“ไม่มีอะไรแล้ว”

“มันเกิดขึ้นได้ยังไงคะ” ภัทรามีสีหน้ากังวล

“ไม่มีอะไรหรอก”

“แต่เพชรหายนะคะ”

“เป็นเรื่องของตำรวจต้องจัดการ”

“โอ๊ย…ไม่เคยเจอเลยค่ะ”

จิดาภาเบ้ปากกล่าวลอยๆ ว่า

“เกิดเรื่องทำเป็นขวัญอ่อน”

ดนัยพูดกับน้องสาว

“ใครจะใจแข็งกับเธอล่ะ”

ทางฝ่ายคุณเอกสิทธิ์ที่เดินมาสมทบ และกล่าวขึ้นกลางวงว่า

“งานแบบนี้เกิดขึ้นจนได้”

คุณก่อบุญภรรยาจึงเอ่ย

“ดูแลงานกันอย่างไรล่ะ”

“นั่นสิคะ…คุณแม่ ทำเอาริก้าเกือบตาย” ริก้าโพล่ง

“ใช่ลูก…โธ่…ลูกริก้า ไม่เป็นไรแล้วลูก ปลอดภัยแล้วลูก”

“ถ้าริก้าถูกเหยียบตาย คงตายทุเรศน่าดู”

ลักขณาโพล่งว่า

“งานใหญ่ แต่การรักษาความปลอดภัยแย่ที่สุด”

หากคุณเอกสิทธิ์กล่าวอย่างสุขุมว่า

“ความปลอดภัยไม่ได้แย่หรอก แต่เกลือเป็นหนอน และโจรเป็นพวกมืออาชีพจริงๆ”

เสี่ยขจรเห็นด้วยทันที

“ใช่…ใช่…แน่นอนเลย มืออาชีพ และมีคนในร่วมมือด้วย ไม่งั้นทำไม่สำเร็จหรอก”

“แขกในงานต้องมาวุ่นวาย และมีปัญหาไปด้วย แย่มากครับ” ดนัยบ่น

ทางด้านนทีที่หน้าเครียด คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่นาน พอผละออกมาก็พบชาลิสาที่ยื่นน้ำให้

“ดื่มน้ำก่อน…”

“ขอบคุณน” นทีรับน้ำมาดื่มใบหน้าเคร่งเครียด

ท่าทางนทีเครียดมาก

“บริษัทของเราคงเสียชื่อ ไม่มากก็น้อย…”

“เรื่องใหญ่แบบนี้ สาเข้าใจนทีเลยนะ”

นทีฝืนยิ้ม

“ไม่เคยเจอ…”

“เพราะสามาทำงานครั้งแรกก็เจอเลย สาอาจเป็นตัวซวยก็ได้”

“อ้าว…อ้าว…สาเครียดแทนเราซะแล้ว”

“สาอยากช่วยนะ”

“เห็นสาช่วยคุณริก้า เราว่าสาทำดีที่สุดแล้ว มีสติมาก เรายังยืนยันว่าสาเหมาะกับงานนี้”

“แต่ว่า…”

นทีโบกมือ

“อย่าพูดอะไร เราต้องทำอะไรอีกเยอะ ต้องคุยกับเจ้าหน้าที่กับเจ้าภาพของงานก่อน” แล้วนทีก็ผละไปอย่างรีบร้อน

และแล้วริก้าก็เดินมา ได้ยินที่ชาลิสาคุยกับนที จึงโพล่ง

“คิดว่าคงใช่นะ…ตัวซวย ไปไหนเจอกันมีแต่เรื่อง!”

ชาลิสาหันขวับ

“คุณริก้า!”

ปากนะปาก เหลืออดจึงตอบโต้

“คำพูดจากปากคุณนะเนี่ย เป็นคนอื่นยังพอทน แต่เป็นคุณน่าแปลกใจ”

“เจอบ่อยมีเรื่องทุกครั้ง คงตัวซวยล่ะ”

ชาลิสาโคลงศรีษะ

“ฉันเพิ่งช่วยคุณหยกๆ นะ คนอะไรไม่รู้จักสำนึก”

ริก้าตาโต

“อ๋อ…จะทวงบุญคุณ ช่วยฉันหวังอะไ รหวังรางวัลเรอะ โอ้โฮ้คิดเป็นนะ อยากได้นะ”

ชาลิสาผงะ

“ฉันก็สงสัย คุณคิดเป็นและเวอร์เหลือเกิน”

ตอนช่วยไม่ทันคิดอะไรสักนิด

“ฉันออกกี่งานไม่เคยมีเรื่อง เธอทำงานที่นี่ ทำกับนายนทีก็เกิดเรื่องเลย ต้องหัดพิจารณาตัวเองสิ ไม่ควรปรากฏตัวที่ไหนอีกเลย คงต้องบอกเจ้านายเธอว่าจ้างคนผิด”

“นี่คุณ คุณสมองคุณคิดได้แค่นี้เองเรอะ คิดได้แค่นี้มันน่ารังเกียจ อย่าพูดทำให้เสียชื่อถึงตระกูลเลย” ชาลิสาไม่เบาเลยนะ แรงมาแรงกลับ รู้จักชาลิสาน้อยไปแล้ว

ริก้าไม่พอใจ

“พูดว่าถึงตระกูลกันเลย เธอมันกล้าเกิน รู้จักพวกเราน้อยไปแล้ว ถ้าพี่ธีได้ยินจะรู้สึกอย่างไร”

พี่ธี…เรอะ?”

ได้ยินสิ ได้ยินเต็มๆ เลยล่ะ โดยที่สองสาวไม่รู้ เขาก็อยากฟัง อยากรู้ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไร

ชาลิสายักไหล่

“คำพูดเมื่อพูดออกไปแล้ว ต้องรับผิดชอบตัวเอง ต่อให้พี่ชายคุณมาอยู่ตรงหน้า ฉันก็จะพูด ฉันไม่คิดว่าผิด ฉันทำงานก็ตั้งใจทำงานจนสุดความสามารถ”

“งานยังไม่ต้องพูดถึง แต่มรรยาทแย่มาก เป็นแค่บอดี้การ์ดรักษาความปลอดภัย แต่เถียงแขกในงานฉอดๆ ไปฝึกมรรยาทก่อนนะ”

“มันขึ้นอยู่กับคน จะต้องปฏิบัติต่อคนตรงหน้าเราอย่างไร มันเป็นวิจารณญาณของฉันเอง และฉันรู้จักคุณดี คุณเป็นคนแบบไหน ต้องปฏิบัติอย่างไร ก็เท่านั้น”

ริก้ายิ่งไม่พอใจ ตั้งแต่จำความได้ มีแต่ผู้หญิงตรงหน้าที่พูดจาฉอดๆ ใส่ตนอย่างไม่เกรงกลัวหรือเกรงใจ อย่างที่คนอื่นเคยทำ

“มันจะเกินไปแล้วนะ” กำมือแน่น

“อย่าโกรธเกินไปค่ะ ระวังเครียดจัด สุขภาพเสียหมด รักษาสุขภาพด้วย เป็นลมไป ฉันต้องมาปฐมพยาบาลคุณอีก เหนื่อยหนักกว่าเดิมอีก”

ริก้าอ้าปาก…

“เธอ…เธอ…” ต้องผละจากไปอย่างอารมณ์หงุดหงิด แม้ว่าพี่ลักขณาจะมาทันในตอนท้าย แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้ ต้องปล่อยให้ริก้าระบายอารมณ์ใส่ตนอย่างเคย

ทางด้านเสี่ยขจรคุยกับคุณเอกสิทธิ์อย่างเงียบๆ เพราะในงานยังถูกกันทุกคนไว้สอบสวน

ภัทราสังเกตว่าเสี่ยขจรใจเย็นมาก ทั้งที่ควรหงุดหงิด ยังออกจากงานไม่ได้

หญิงสาวอยากแอบไปพบธีทัตอีกครั้งแต่โอกาสไม่เอื้ออำนวย

ส่วนดนัยมีโอกาสพบกับชาลิสาอีกครั้ง

“คุณชาลิสา…คุณเท่มากครับ ตอนช่วยคุณริก้า” ดนัยต้องหาเรื่องเปิดการสนทนา

“หน้าที่ค่ะ”

“ถ้าผมอยู่ตรงนั้นพอดีล่ะ”

“ไม่รู้นะคะ เพราะมันเป็นสัญชาตญาณค่ะ บางทีถ้าเป็นคุณ คุณอาจเอาตัวรอดเองได้ค่ะ”

“ฟังเหมือนว่า ถ้าเพราะผมเป็นผู้ชาย คุณเลยไม่ช่วย แหม…ทำไมผมรู้สึกน้อยใจจังเลย ทั้งที่เราเพิ่งรู้จักกันไม่นาน ผมน้อยใจจริงๆ นะ”

ชาลิสาเลิกคิ้ว

“คุณคงไม่อ่อนแอเท่าคุณริก้าที่เป็นผู้หญิงหรอกค่ะ”

“บางทีผมก็อยากอ่อนแอเฉพาะอยู่ต่อหน้าคนบางคน”

“พี่นัย!” แล้วมีเสียงโพล่ง

ยัยน้องสาวตัวยุ่งมาขัดจังหวะอีกแล้ว

“พี่นัยมาทำอะไรแถวนี้ คนกำลังเดือดร้อนทั้งงาน ไปกับภาค่ะ ไปเลย” ฉุดแขนพี่ชายไปทันที

ดูเหมือนดนัยจะเชื่อน้องง่ายๆ เพราะรู้นิสัยของจิดาภาที่ชอบโวยวายเสียงดัง อย่ามีปัญหาจะดีกว่า

พอดนัยไป ก็มีบุรุษอีกคนมาแทนที่

“คุณธีทัต…”

เป็นคนที่หญิงสาวไม่อยากเจอตัวที่สุด ทั้งที่พยายามจะหลบหน้าหลบตา

ลูกหนี้คนไหนอยากเจอตัวเจ้าหนี้ล่ะ

“พรุ่งนี้ไปเจอฉันที่บริษัท เวลาเดิม” กล่าวสั้นๆ แล้วจะผละไปเลย แต่ชาลิสาโพล่ง

“ไม่ว่างค่ะ” จะมาออกคำสั่งกันง่ายๆ ได้เรอะ

เขาหันกลับ

“ก็ทำตัวให้ว่าง”

“บอกว่าไม่ว่าง”

“หรือคิดจะเบี้ยวหนี้?”

หญิงสาวกัดริมฝีปาก ว่าแล้วต้องมาในแง่นี้จนได้ คนอย่างเขาหรือจะยอมปล่อยง่ายๆ

“ไม่มี ไม่จ่าย ไม่หนี” หญิงสาวเล่นแง่ตอบ

“ใช่…แต่ควรมีจิตสำนึกบ้างว่า ยังไม่จ่าย ไม่หนี ไม่ว่า แต่ควรมีการเจรจากันบ้าง ไม่ใช่เงียบกริบ และปล่อยเลยตามเลย หรือคิดลอยตัวเหนือปัญหาแบบคนไม่รับผิดชอบ”

“คือ…ว่า…” พูดไม่ออก

“คนอย่างฉัน ไม่ใช่จะยอมปล่อยปัญหาให้ผ่านไปง่ายๆ หรอกนะ อยากลองดูก็ได้”

ไม่มีทางเลือกกับคำพูดหนักแน่น

ใช่…ตนเสียเปรียบแน่ๆ จะหัวแข็งต่อไป อาจเจอปัญหาจริงๆ เพราะท่าทางที่อ่อนลง เขาจึงพูดสรุปง่ายๆ

“พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัท”

 



Don`t copy text!