ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 4 : ปัญหาต่างๆ ของชาลิสา
โดย : โสภี พรรณราย
ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ โดย โสภี พรรณราย…เมื่อชีวิตของชาลิสาพลิกผันไปจากความร่ำรวย กลายมาเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ เธอต้องงัดเอากลยุทธ์มากมายมาจัดการให้เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายผ่านไปให้ได้ แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจที่เกิดขึ้นทุกทีที่พบกับธีทัต เธอจะรับมืออย่างไร นวนิยายจากอ่านเอา ที่นำมาให้ทุกท่านอ่านออนไลน์ค่ะ
ชาลิสานั่งดื่มกาแฟกับนทีบริเวณฟูดคอร์ตในห้างสรรพสินค้า
นทีนอกจากมีกาแฟแล้ว ยังมีข้าวราดแกงอีกจาน เพราะหิว แต่หญิงสาวไม่ทานอาหาร บอกว่าไม่หิว จะกลับไปกินบ้าน
นทีรู้ว่าชาลิสาต้องประหยัด
เพื่อนสาวทั้งสวยทั้งเก่งคนนี้ เปลี่ยนไปมาก ตั้งแต่ครอบครัวมีปัญหา นทีจะช่วย แต่ชาลิสาปฏิเสธเสมอ
เมื่อก่อนครอบครัวของเธอร่ำรวย พ่อเป็นนักธุรกิจ แม่เป็นสาวสังคม ยายก็เที่ยวเตร่มีเพื่อนฝูงในสังคม
แต่ตอนนี้ล่ะ…
พ่อล้มละลาย เป็นอัมพฤกษ์ พูดได้แต่ไม่ชัดนัก ขาอ่อนแรง อาการไม่หนักมาก แต่ใจไม่สู้ร่างกายเลยไม่ไหว
แม่คิดมาก กลายเป็นโรคซึมเศร้า อารมณ์ผันแปร บางวันดี บางวันก็แย่
ยายล่ะ…เป็นคนแก่ที่เจ้าอารมณ์ ไม่ยอมรับว่าฐานะลูกเขยเปลี่ยนไปแล้ว ยังหลอกตัวเองว่าร่ำรวย ยังเจอเพื่อนฝูง แต่เพื่อนดีก็ดี เพื่อนไม่ดีก็กระแหนะกระแหนจนยิ่งทำให้อารมณ์เสีย
นนทกร…น้องชายอายุห่างจากชาลิสาแค่ปีเดียว เคยเรียนอยู่เมืองนอกก็ถูกเรียกตัวกลับ แต่นนทกรไม่ยอม ต้องบินไปเรียนต่อจนจบ โดยชาลิสากัดฟันขายสมบัติเก่าจำพวกเพชรพลอย และให้น้องชายเรียนจบกลับมา แต่ยังไม่ทำงาน อ้างว่าเงินเดือนน้อย ไม่คุ้มเหนื่อย
ชาลิสารับมือกับครอบครัวด้วยตัวคนเดียว
นทีเห็นใจและเข้าใจเสมอ
“อยากกินอะไร เราเลี้ยงสาเอง”
“นทีเลี้ยงสาบ่อยแล้ว ตอนนี้ไม่หิว”
“อย่าประหยัดเลย”
“ไม่หิวจริงๆ กินไม่ลง”
“รู้ตัวไหม…สาผอมลงและหน้าเคร่งเครียด ไม่สดใสร่าเริงเหมือนสาคนเก่าเลย”
หญิงสาวยิ้มแห้งๆ
“หนึ่งปีที่ผ่านมา เจอหนัก…นทีก็รู้ตลอด เกิดอะไรขึ้นกับบ้านสา เริ่มจากพ่อถูกโกง ล้มละลาย โอ๊ย…อะไรๆ ก็ตามมาเป็นขบวน ตามมาติดๆ แบบไม่ได้พักเลย”
“สาจะเป็นเดอะแบกคนเดียวไม่ได้นะ”
“ไม่ใช่สาจะเป็นใครล่ะ”
นทีทำหน้าหนักใจแทน
“อืม…เข้าใจ…เข้าใจ…เราคนนี้พร้อมช่วยทุกอย่าง”
หญิงสาวกลืนน้ำลายยากเย็น
“นทีช่วยสาเยอะมากเลย ทำให้ผ่านปีที่ยากลำบากมาได้…และเข้มแข็งเพราะคำพูดกำลังใจจากนที”
“วันนี้ที่นัดสามาเพราะไม่เจอหลายวัน อยากรู้ว่าสาเป็นยังไงบ้าง”
ชาลิสาถอนใจยาว
“ก็เรื่อยๆ”
“ร้านกาแฟกับร้านเสื้อของสาเป็นไง”
“ช่วงนี้ยอดขายตก”
“ก็ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีเลย”
“จ่ายค่าเช่า ค่าของค่าเด็ก ก็พอเหลือนิดเดียว ยังดีไม่ขาดทุน”
“สา…ทำธุรกิจตอนนี้เหนื่อยจริงๆ นะ”
“แต่ของนทีไม่มีปัญหานี่”
“เรามีลูกค้าเก่าเยอะ นัดสาหลายวันไม่ว่างสักที วันนี้ยอมมาพบเราแล้ว”
“มาเบิกเงิน…” เสียงเหมือนเบาลง
“ใครต้องการเงินล่ะครั้งนี้”
“ยาย…ขอสามแสน แต่เบิก…แสนเดียว พอแล้ว…ไม่มีให้เบิกมากหรอก” เสียงเหมือนจะหมดแรง
“เอาไปทำอะไร”
ยังไม่ทันตอบ ฝ่ายชายก็โบกมือและตอบแทน
“เอ้อ…นะ…เข้าสังคมของยายนะ สายอมยายเกินไป ต่อไปจะทำยังไง ขืนเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ อยากชวนสามาทำงานกับเรานะ แต่สาต้องดูแลคนที่บ้านกับร้านสองร้าน จะมีเวลาหรือเปล่า ถ้ามาทำงานกับเรา…เราจะให้เงินเดือนสูงๆ”
นทีไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงิน เขาอยู่กับน้องสาว สิณี…อยู่กับกันสองคน ไม่มีพ่อแม่ ตอนพ่อแม่ตายก็ทิ้งมรดกให้ และนทียังยังโชคดีที่สานงานต่อบริษัทรักษาความปลอดภัยและนักสืบจากพ่อแม่ กิจการเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่น่าเชื่อ
นทีช่วยงานพ่อมาตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เขาทำได้ดีกว่ารุ่นเก่าเสียอีก
“เงินเดือนสูงขนาดไหน” ชาลิสาแกล้งถามเล่นๆ
“เท่าที่สาจะเรียกร้อง มากกว่ารายได้ร้านของสาก็ได้นะ”
“รายได้ร้านสองร้าน บางเดือนได้หกหลัก แต่เดือนที่ผ่านมาได้แค่สองสามหมื่น หมายถึงกำไรนะ ถ้ายอดขายสองสามหมื่น…ตายแน่เลย”
“ค่าใช้จ่ายที่บ้านสาเป็นแสนๆ หนัก…หนัก…”
“ตอนนี้ก็พยายามตัดให้น้อยลง ไม่รู้จะตัดตรงไหน ครั้งนี้ยายขอสามแสน แต่เบิกให้ยายแสนเดียว คงโดนบ่นจน…จน…” พูดไม่ถูก
“หนีเข้าห้อง…เอาสำลีอุดหู”
ชาลิสาหัวเราะเบาๆ
“คงต้องทำอย่างนั้น”
“เห็นสาหัวเราะแล้วชอบจัง”
“อยู่กับนทีแล้ว สาสบายใจที่สุด”
“เรามีเงินนะ เป็นธนาคารให้เบิกได้ อย่าเกรงใจ” ดักคอรู้ว่าจะพูด…เกรงใจ
“เป็นเพื่อนกัน ไม่อยากให้มี…เงินเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เสียเพื่อนเพราะเงินเยอะเลย” เสียเพื่อน…ชาลิสาทอดเสียงอย่างอ่อยๆ อย่างปลงๆ “สาก็เสียเพื่อน…เพราะเงิน…เพื่อนบางคนรู้ว่าพ่อล้มละลาย ก็ค่อยๆ ห่างไป”
“แต่เราวิ่งเข้าหานะ”
“ไงล่ะ…เลยต้องมาเลี้ยงกาแฟบ่อยๆ วันหลังไปกินกาแฟที่ร้านสาดีกว่า ไม่ต้องเสียเงิน”
“ไป…ไปสิ…ไปบ่อยๆ อยู่แล้ว พอดีวันนี้มาทำงานที่นี่ เลยลองโทรชวนสามาเจอกัน”
“อืม…ขอถามหน่อยนะ ยังสงสัยเรื่องของนายธีทัตกับน้องสาวที่ชื่อริก้า นทีรู้จักพวกเขาเรอะ”
ชายหนุ่มพยักหน้า เขากินอิ่มแล้วและเลื่อนจานออกห่าง
“คุณธีทัตกับคุณริก้า สองพี่น้องเป็นเจ้าของกิจการเยอะแยะ เราทำงานให้พวกเขาหลายงานแล้ว สองพี่น้องเป็นคนรวยที่อาจมีนิสัยแปลกๆ นิดหนึ่ง แต่ยอมรับได้ จ่ายเงินดี มองข้ามๆ อะไรๆ ไปบ้าง แต่สาก็เหมือนรู้จักเขานี่”
“รู้…รู้…รู้โดยบังเอิญ นายธีทัตคนนี้ไม่ใช่คนซื่อตรงหรือเป็นคนดิบดีเสียเท่าไหร่หรอก”
“ยังไง”
“เล่าเฉพาะนทีนะ อาจเป็นเรื่องผิดศีลธรรมด้วย…” แล้วชาลิสาก็เล่าเหตุการณ์ที่เจอที่โรงแรมให้เพื่อนฟัง
ฟังแล้ว…ฝ่ายชายเหมือนไม่ได้แปลกใจเลย กลับพูดเรียบๆ ว่า
“ถ้ารู้จักคุณธีทัตก่อนหน้านี้ จะรู้ว่าคุณธีทัตเป็นแฟนกับคุณภัทรา”
“แต่ภัทราคนนี้แต่งงานแล้วนะ”
“ก็ไม่รู้สิ…อยู่ๆ คุณภัทราก็แต่งงานกับเสี่ยขจร ซึ่งเป็นคนรุ่นพ่อ เป็นหุ้นส่วนโรงงานกับพ่อคุณธีทัตด้วยนะ เสี่ยขจรรวยมาก เป็นพ่อม่าย มีลูกกับเมียคนแรกสองคนชื่อดนัยกับจิดาภา คุณภัทราเนี่ยสวยมาก และยังสาวมากอายุแค่ยี่สิบกว่า อายุเท่าลูกสาวของเสี่ยเลยละ”
“แต่งงานไปแล้ว ยังแอบคบกับแฟนเก่าเรอะ ถ้าพบอย่างเปิดเผยยังพอรับได้ แต่ดูเหมือนจะพบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ กลัวคนเห็น กลัวคนแอบ ถ่ายรูป พบกันอย่างไม่บริสุทธิ์ใจเลย”
นทีโบกมือ
“มันเรื่องของคนอื่นนะ…สา…พวกเขาเคยรักกัน”
“รักส่วนรัก แต่เรื่องผิดศีลธรรม ควรทำมั้้ยล่ะ”
“เราไม่รู้รายละเอียดจริงๆ ไม่รู้ข้อเท็จจริงด้วย”
“มันผิดปกติแน่ๆ ละ คนน้องป่วยยังอภัยได้ แต่คนพี่…น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี สาว่าต้องมีปัญหาแน่ๆ”
นทีหัวเราะเบาๆ
“เออ…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับสาล่ะ”
ชาลิสาทำปากเบ้ๆ หัวเราะเบาๆ ตาม
“จริงด้วย…เพราะหงุดหงิดกับคนแบบนี้มั้ง”
“ชีวิตเป็นของเขานะ”
“สายังเอาตัวเองไม่รอดเลย” หญิงสาวพึมพำเบาๆ
“สา…ฟังเรานะ” นทีพูดแต่ละคำย้ำชัด “เรายังยืนยันเหมือนเดิม ถ้าสาต้องการความช่วยเหลือให้นึกถึงเรา เรื่องเงินเราก็ช่วยได้นะ”
เรื่อง…เงิน…น่ากลัวที่สุดเลย สำหรับความสัมพันธ์ที่เป็นเพื่อน…เพื่อนรัก เพื่อนที่ชาลิสาจะไม่ยอมให้มีปัญหา จะไม่ยอมเสียเพื่อนตายอย่างนที
เขาช่วยเพราะ…รัก…หญิงสาวเข้าใจ ยิ่งต้องทะนุถนอมความสัมพันธ์ไว้ หญิงสาวซาบซึ้งจนน้ำตาคลอ ได้แต่พยักหน้า แค่พยักหน้า…ซาบซึ้งใจเหลือเกิน
จอดรถแล้วจะก้าวเข้าบ้าน ขาของชาลิสาหนักอึ้ง ย่างก้าวลำบากทุกครั้ง ระยะหลังเป็นบ่อย จนไม่อยากกลับบ้าน
รู้ว่า…กลับมาต้องเผชิญกับอะไร
ปัญหาซ้ำๆ ซากๆ แต่…บ้านคือบ้าน อย่างไรก็ต้องกลับมานอนบ้านทุกคืน
บ้านหลังเล็กลงจากเดิม เป็นคฤหาสน์ก็ถูกยึดมาเหลือบ้านเจ็ดสิบตารางวา
ชั้นล่างมีห้องนอนของคุณยายโสพิศ อีกห้องคือห้องทำงานที่ดัดแปลงเป็นห้องนอนสำหรับสุทินกับพจนีย์ บิดามารดาอยู่ห้องเดียวกัน ส่วนชาลิสากับนนทกรนอนชั้นบน
ขณะนี้ ทุกคนมารวมกันที่ห้องโถง…ดูโทรทัศน์ฆ่าเวลาไปวันๆ
“สวัสดีค่ะ…ยาย…พ่อ…แม่…” ใบหน้าชาลิสาต้องยิ้มแย้มเสมอ เธอคนเดียวเป็นจุดศูนย์กลางคนในบ้าน
“เหนื่อยไหมลูก” แม่พจนีย์ทัก
เห็นแม่อยู่ปกติ ชาลิสาก็รู้สึกดีแล้ว
“นิดหน่อยค่ะ…”
พ่อสุทินนั่งบนเก้าอี้เลื่อน สายตามองลูกสาวอย่างเลื่อนลอยเหมือนคนหมดอะไรตายอยาก ข้างๆ พ่อมีเด็กรับใช้เฝ้าดูแลคนในบ้าน
สาวใช้ชื่อ จวน เป็นคนต่างด้าวแต่พูดภาษาไทยได้ จวนอายุ 20 ปีแล้ว แต่ขยันทำงานดี นอกจากดูแลคนป่วย ยังช่วยทำงานบ้าน
เมื่อก่อนมีคนใช้หลายคน มีคนรถ คนสวน แต่ฐานะที่เปลี่ยนไป…เหลือจวนคนเดียวที่เต็มใจอยู่ และยอมลดเงินเดือนตนด้วย
ยายโสพิศเดินมาสะกิดหลานสาว ถามว่า
“เงินยายล่ะ”
ชาลิสากลืนน้ำลายยากเย็น
“ก้อนสุดท้ายแล้วนะคะ สาไม่มีให้ยายอีก”
ยายพยักหน้า
“เออ…เออ…ก้อนสุดท้าย…เอามา” พูดให้มันผ่านๆ ไป คนแก่รับปากพล่อยๆ เสมอ
“ยาย…สาพูดจริงๆ นะ อย่าใช้ออกสังคมเหมือนเดิมเลยค่ะ…ยาย…นะคะ…สาไม่ไหวจริงๆ”
“เอามาสิ”
จำต้องหยิบเงินปึกหนึ่งส่งให้หญิงชรา
ส่งปึกแรก…ยายยิ้มแย้ม…และรอ…อีกสองปึก ยื่นมือเก้อ
“สามีเท่านี้ค่ะ”
ยายโสพิศชะงักวูบหนึ่ง
“แกพูดเล่นใช่มั้ย”
“พูดจริงค่ะ”
“พูดเล่นอย่างนี้ยายไม่สนุกด้วยหรอก รีบเอาออกมาเลย ยายมีนัดกับเพื่อนๆ พรุ่งนี้แต่เช้า จะไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกัน วันเกิดเพื่อนรักของยาย ยายจะไปเจ้ามือเลี้ยงเพื่อนๆ ทุกคนเลย”
ฟังแล้วชาลิสาชะงักงันแรงยิ่งกว่ายายชะงักในตอนแรก
“ยายก็รู้ว่าครอบครัวเราไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“แต่ยายต้องเหมือนเดิม!”
“สาได้แค่แสนเดียว ถ้าไม่เอาสาจะเอาคืนค่ะ”
ไม่มีทางหรอก อ้อยเข้าปากช้างแล้ว
“แสนก็แสน แต่ไม่ใช่ครั้งนี้นะ คราวหน้าต้องครบ!”
“ยายอยู่บ้านหน่อยได้ไหมคะ ออกไปข้างนอก ใช้แต่เงิน ช่วยอยู่บ้านเถอะค่ะ”
“แกเป็นรุ่นหลาน ริมาสั่งยาย พ่อแก แม่แก เมื่อก่อนยังไม่กล้าเลย ให้เงินยายใช้ไม่มีจำกัด ไม่ต้องเอ่ยปากด้วยซ้ำ”
“ก็บอกยายแล้วไงคะว่าตอนนี้ครอบครัวเราไม่เหมือนเดิมแล้ว”
“ยายก็บอกแกเหมือนกัน ยายต้องเหมือนเดิม…ไอ้ต้องย้ายออกจากบ้านใหญ่ๆ มาหลังเล็กๆ เนี่ยก็อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว ถ้าแกพอมีปัญญาบ้าง ก็รีบไปเอาบ้านหลังเก่ากลับคืนมาเลยนะ ยายไม่ชอบบ้านหลังนี้ อยู่แล้วอึดอัด”
หลังนี้ไม่ได้อึดอัดอย่างที่ยายพูดหรอก แต่จากบ้านเป็นไร่ๆ มาสู่หลังละเจ็ดสิบตารางวา ถือว่าเล็กไปเลย
อาศัยตอนที่ชาลิสาซื้อตอนร้านเสื้อกับร้านกาแฟขายดี ซื้อเพราะขับรถผ่านโครงการ เหลือหลังสุดท้ายเป็นบ้านตัวอย่างได้ราคาพิเศษ จึงตัดสินใจซื้อโดยใช้ชื่อตัวเอง ถึงยังผ่อนธนาคารไม่หมด ก็ได้ชื่อว่าเป็นบ้าน
บ้านหลังนี้ไม่ได้ใช้เงินพ่อกับแม่สักบาท จึงทำให้เป็นบ้านที่ภูมิใจมาก และใช้ประโยชน์ได้ เมื่อบ้านของพ่อถูกยึด ที่นี่จึงรองรับสมาชิกได้อย่างไม่ลำบากมาก
ตอนนี้ค่าใช้จ่ายในบ้านมาจากร้านเสื้อกับร้านกาแฟของหญิงสาว หล่อนจึงต้องบริหารเรื่องเงินให้ผ่านพ้นไปได้เป็นวันๆ