ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 9 : จากเจ้าหนี้กลายเป็นลูกหนี้

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 9 : จากเจ้าหนี้กลายเป็นลูกหนี้

โดย : โสภี พรรณราย

Loading

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ โดย โสภี พรรณราย…เมื่อชีวิตของชาลิสาพลิกผันไปจากความร่ำรวย กลายมาเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ เธอต้องงัดเอากลยุทธ์มากมายมาจัดการให้เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายผ่านไปให้ได้ แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจที่เกิดขึ้นทุกทีที่พบกับธีทัต เธอจะรับมืออย่างไร นวนิยายจากอ่านเอา ที่นำมาให้ทุกท่านอ่านออนไลน์ค่ะ

ชาลิสาก้าวเข้ามาในห้องทำงานของธีทัต

ห้องดูโล่งสะอาด และเป็นระเบียบ ดูไม่ต่างกับบุคลิกของชายหนุ่มที่ขรึม ดุ และดูเจ้าระเบียบ

ห้องทำงานของเขาแยกเป็นสองส่วน ด้านในเป็นห้องทำงาน และด้านหน้าเป็นที่รับแขก มีโต๊ะ เก้าอี้โซฟาสำหรับนั่งรอได้หลายคน

เลขาสาวของธีทัตเชิญให้ชาลิสานั่งรอ โดยยกน้ำเย็นมาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว เมื่อแขกสาวปฏิเสธเครื่องดื่มชากาแฟ

เมื่อได้อยู่เพียงลำพัง หญิงสาวก็มองไปรอบๆ มีตู้โชว์จัดเรียงรายงดงาม เป็นตู้โชว์เปิดโล่ง ปราศจากกระจกกั้นให้รกสายตา กวาดตาและหยุดสะดุดที่รูปปั้นสุดท้าย

รูปปั้นนางฟ้าจีนที่สวยงาม สูงราวฟุตครึ่ง กับอาภรณ์จีนที่ดูพลิ้ว ปั้นได้ราวกับมีชีวิต นิ้วที่กรีดกรายมีผ้าแพรที่แกะสลักบางเบาจนเกือบเห็นเป็นผ้าแพรจริงๆ ไม่ใช่หินสลักอย่างที่ควรเป็น

“นางมารร้าย!”

คือนางมารร้ายของตนใช่หรือไม่?

ชื่อที่ชาลิสาตั้งให้กับรูปปั้นนี้ ที่เห็นตั้งแต่เด็ก และเคยเป็นเพื่อนคุยของตนยามเหงา

ใช่สิ…ใช่นางมารร้ายของตน

บิดาเคยซื้อมาจากร้านวัตถุโบราณที่นานมากแล้ว นานกว่าสามสิบปี มีอายุมากกว่าตนเสียอีก

เคยเห็นตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่จำความได้ ตั้งแต่เล็กจนโต…และจนตอนอายุยี่สิบเศษ วันหนึ่งก็หายไป

ชาลิสาจำได้ตอนนั้น ได้ถามบิดาว่า

“พ่อคะ…นางมารร้ายของสาหายไปไหนคะ?”

บิดาทำท่าอึดอัด

“เอ้อ…”

“ตกแตกหรือคะ?” ใจหายวาบ แต่ถ้าตกแตกจริงก็ทำใจแล้วล่ะ

วัตถุโบราณ…ของโชว์งดงาม…ล้วนเป็นของนอกกาย ย่อมมีสูญเสีย สูญหาย แตกหัก

หรือจะมี ‘ของ’ สองสิ่งเหมือนกันบนโลกนี้

พ่อเคยบอกว่ามีชิ้นเดียว และหายากมาก

“ขายใช้หนี้”

หญิงสาวตกใจ

“ของที่คุณพ่อรักมากนะคะ”

“ขายได้ต้องขาย สุดท้ายจะเหลือแต่ชีวิตที่ต้องขาย และมันก็ไร้ค่าแล้วล่ะ”

“หมายถึง…?”

“ร่างกายที่จะเน่าเปื่อยไงล่ะ”

“ขายให้ใครคะ?”

“ใช้หนี้ เจ้าหนี้…”

“เจ้าหนี้คือใคร?”

“แกอย่ายุ่งเลย การค้าของพ่อแกไม่เคยยุ่งเกี่ยว แกต้องรับผิดชอบร้านถึงสองร้าน แกก็ทำของแกไป”

แต่หญิงสาวสังเกตว่าบิดามีใบหน้ากังวล กลัดกลุ้มอย่างหนัก

“คุณพ่อไหวมั้ยคะ?”

ท่านถอนใจยาว

“ไหวหรือไม่ไหว ก็ต้องสู้สักตั้ง คนอย่างนายสุทิน ไม่ล้มง่ายๆ หรอก”

ชาลิสาคิดถึง…วันนั้น…ที่คุยกับบิดา

วันนั้น…มันก็นานพอ นานพอจะรู้ว่า บิดาทนทุกข์แสนทรมานและจนมาวันนี้

สมบัติของเก่าที่ท่านรักมาก

หญิงสาวต้องรู้ให้ได้ เป็นชิ้นเดียวกันหรือไม่

ค่อยๆ เอื้อมมือไป…ค่อยๆ สัมผัส ไม่ต้องสัมผัสทั้งตัวนางฟ้า แค่…สัมผัสกับนิ้วมือ

นิ้วของนางฟ้าที่กรีดกาย ยกขึ้นระดับอก ที่ปั้นอย่างอ่อนช้อยด้วยหินหยกแกะสลัก นิ้วเรียวเล็กที่ยื่นออกห่างจากตัวที่ตั้งสง่า งดงาม

นิ้ว…นางมารร้าย…

นิ้ว…ที่ชาลิสาแอบตั้งชื่อในใจ

นิ้วชี้…ที่ชี้ออกไปตามสายตา

นิ้วชี้…เจ้าปัญหา…ของตน…ถ้าใช่…ถ้าใช่…นะ…ถ้า…ใช่…

วูบเดียวที่ตัดสินใจ…จับ…และหักเบาๆ

หัก!

หลุดมือในตำแหน่งเดิม จุดเดิม

ใช่…ใช่จริงๆ

มีแต่ตนคนเดียวที่รู้ว่านิวชี้หัก ก็เพราะ… เพราะ…ตนเป็นคนทำหักนั่นเอง และแอบติดกาวไว้ ไม่กล้ารายงานบิดา

ใจหายวาบ…กับเสียงดุดันข้างด้านหลัง

“คุณทำอะไรกับวัตถุโบราณของผม!”

หญิงสาวหันขวับมาทันที และหลักฐาน ‘นิ้วหยก’ ก็ยังอยู่ในมือของตน

“เอ้อ…เอ้อ…”

พูดไม่ออกเลย ก็…ก็…เธอหักเองกับมือ ใช่สิ เพราะความซนในวัยรุ่น เล่นและวิ่งชนกับวัตถุโบราณนางฟ้าของพ่อ จนตกพื้นกระแทกนิ้วชี้หัก…

นิ้วชี้ที่โดดเด่น กางออกกรีดกรายในท่าร่ายรำ มันก็เลยกระแทกส่วนนี้ตรงๆ

นนทกรก็อยู่ในเหตุการณ์ ตัวดีเลยล่ะ ที่ทำให้ตนวิ่งไล่น้องชายจนเป็นเรื่อง

นิ้วหักก็วิ่งหายไปเลย เพราะตกใจ แต่ชาลิสาต้องรับผิดชอบการกระทำ ให้บอกบิดา…ไม่ได้…โดนดุแน่ จึงแก้ไขเฉพาะหน้า ติดกาวซะเองเลย

และขณะนี้ก็เป็นหลักฐานว่า วัตถุชิ้นนี้เป็นชิ้นเดียวกับที่บ้านและถูกเปลี่ยนมือจนมาถึงเขา

“อะไรบนมือคุณ?” เขาย้ำถาม

“เอ้อ…เอ้อ…” ชาลิสาหน้าเสีย “มันหักอยู่ก่อนแล้ว”

เขาแค่นหัวเราะ

“หักอยู่ก่อน?”

“ค่ะ…ค่ะ..มันเคยหักแล้ว”

“อ๋อ…มันหักแล้ว…คุณก็เลยมาหักซ้ำ”

คำพูดของชลิสา ชวนตลกจริงๆ นะ

“มันเคยหัก…” แม้จะยืนยัน แต่หญิงสาวเองก็ยังรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า เป็นคำพูดที่แย่ที่สุด ไม่ชวนเชื่อที่สุด

บอกไปเลยว่า เคยเป็นสมบัติของบ้านตน เขาคงหัวเราะตาย

“ฉัน…ฉัน…”

“รู้มั้ย…ราคาเท่าไหร่?” คำถามเย็นๆ เย็นวาบ

ราคา…ราคา…ใช่ มหาศาล…แพงมาก…มาก…ขึ้นอยู่กับคนชอบ ประเมินไม่ถูกเลย

“ฉัน…ขอโทษ…”

“ของเก่าแก่ แค่คำว่าขอโทษ…”

“ฉันไม่ตั้งใจ”

“ขนาดไม่ตั้งใจ แต่ยังอยู่บนมือเธอเลย ถ้าตั้งใจอาจตกแตกกระจายบนพื้น…”

ชาลิสาอึดอัดและลำบากใจมาก…มากที่สุด จนแทบอธิบายความรู้สึกไม่ได้

แล้วต้องฮึดสู้ ขืนอ่อนแอจะคุยกันไม่รู้เรื่อง

“ฉัน…ฉัน…ขอเข้าประเด็นก่อนนะคะ ฉันมาทวงหนี้ตามที่เราตกลงกัน ฉันเอาหลักฐานมาด้วยมีภาพคุณีริก้าป่วนที่ร้าน ไล่ลูกค้าของฉัน แย่งชุดที่ลูกค้าเลือก จนลูกค้าต้องออกจากร้าน ฉันเสียหาย”

เขา…รับฟังอย่างสงบ แต่เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาอย่างแน่นอน

“แล้วเราจะไม่พูดถึงเรื่องเธอทำลายวัตถุโบราณของฉันหรือ?”

หญิงสาวสูดลมหายใจลึกๆ ต้องสู้…

“ทีละเรื่องสิ พูดเรื่องที่ฉันมาวันนี้ก่อน” แล้วก็โมโหตัวเอง มาทวงหนี้แต่เกิดเรื่อง โอ๊ย…ถ้าคุณยอมจ่ายง่ายๆ ไม่ดูหลักฐานมันก็ไม่เกิดเรื่องวันนี้

“ว่าไป”

“ฉันต้องการเงินคืน ค่าเสียหายจริงๆ สามหมื่นหกพัน บวกสองเท่า เพราะฉันมีหลักฐานกล้องวงจรปิดที่ร้าน รวมเป็นเจ็ดหมื่นสองพัน”

“ราคาขายเลยนะ”

“แน่นอนค่ะ ใครจะโง่คิดราคาต้นทุน”

“อือม์…ก็ควรจ่าย”

“แน่นอนค่ะ ต้องจ่าย คนอย่างคุณคงรักษาสัจจะ บริษัทใหญ่โตโรงแรมหรู ความซื่อสัตย์กับความน่าเชื่อถือต้องมาก่อนมังคะ”

“สัจจะมี หลักฐานมี ก็ต้องจ่าย”

“เขียนเช็คมาเลยค่ะ”

“แล้วค่าเสียหายวัตถุโบราณ?”

ชาลิสาพยายามจะเชิดหน้า หยิ่งเข้าไว้…ใจสู้เข้าไว้ อย่าเป็นคนอ่อนแอหรือยอมแพ้ง่ายๆ

“ทีละเรื่องได้ไหม อย่าปนกัน ฉันชอบเคลียร์ทีละเรื่อง คุณริก้าทำร้านชั้นเสียหายก็จ่ายมาก่อน” และเน้นอย่างจริงจังว่า “ทีละเรื่องค่ะ”

ธีทัตแค่นหัวเราะ

“ได้…จัดการทีละเรื่อง!”

เขาเดินไปที่โต๊ะทำงาน และเขียนเช็คเงินสดเจ็ดหมื่นสองพันบาทและเดินกลับมายื่นให้หญิงสาว

“ฉันรักษาคำพูด!”

ในขณะที่เขาเขียนเช็ค ตอนนั้น ชาลิสาวุ่นวายและสับสนกับความคิดของตนที่สุด จะต้องหาทางแก้ปัญหา แต่…แต่…ก็ไม่รู้ว่าปัญหานี้จะแก้ได้หรือไม่…ถ้าหมายถึง…เงิน

รับเช็คแล้วรีบเก็บไว้ในกระเป๋าถือ

โทษตัวเองที่เรื่องมาก อยากรู้มากเกินไปว่า ‘นางมารร้าย’ นี้เป็นของที่บ้านตนหรือของอีกชิ้นที่เหมือนมากๆ

หักนิ้วทำไม…ทำไม…mew,

ชาลิสา…ชาลิสา…ชาลิสา เป็นหนี้เก่ายังไม่พอเรอt จะสร้างหนี้ใหม่อีก…อีก…อีก…เท่าไหร่กันล่ะ

“คราวนี้พูดเรื่องที่สองได้หรือยัง?”

“ค่ะ…ค่ะ…” กำมือแน่น

“รู้ราคาวัตถุโบราณนี้หรือหรือไม่?”

“ราคา…พอ…พอ…รู้” บิดาก็เคยพูดคร่าวๆ วัตถุโบราณหลายชิ้น แต่อาจจำสับสนบ้าง

วัตถุ…นางมาร…หรือนางฟ้านี้ ประเมินน่าจะหลายสิบล้าน แล้วแต่คนชื่นชอบ

“แล้วเท่าไหร่กัน?”

“แล้วคุณซื้อมาเท่าไหร่?” หญิงสาวย้อนถาม

“เป็นของเสี่ยขจร ให้มาเป็นของขวัญคุณพ่อ แล้วท่านก็ยกให้ผม”

เสี่ยขจร!

อีกแล้ว…ใช่เลย…คนที่พ่อต้องใช้หนี้จนล้มละลาย

“คนโกง!” เผลอโพล่ง

“พูดอะไรนะ?”

ต้องระงับอารมณ์อย่างที่สุด เขา…ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ของตน ตนต้องรู้จักแยกแยะ

“งั้นคุณก็ไม่รู้ราคาสิคะ”

“เสี่ยบอกผม”

“เท่าไหร่คะ?”

“เธอว่าเท่าไหร่ล่ะ?”

“ยี่สิบล้าน” ใช่…ถ้าจำไม่ผิดนะ…คนราวๆ นี้

“ห้าสิบล้าน!”

ชาลิสาตาโต

“ขนาดนั้น?”

“และตอนนี้ก็คงไม่ถึงแล้ว เพราะนิ้วหยกในมือเธอ”

“ฉันไม่มีเงินขนาดนั้น” หญิงสาวพูดความจริง “ก็ได้ คุณจะเรียกตำรวจมาจับฉันฐานทำลายวัตถุโบราณของคุณก็ได้ ฉันยอมเป็นคดี แต่ไม่มีเงินจ่าย!”

ธีทัตเลิกคิ้ว

“แจ้งความ?”

“เรียกเลย…เรียกตำรวจมาจับเลย ฉันไม่มี…ไม่จ่ายและไม่หนี”

“ลูกหนี้พันธุ์ใหม่”

“ก็ไม่มีจริงๆ นี่”

“แล้วยังกล้าแตะต้องวัตถุโบราณ?”

“เพราะฉันอยากพิสูจน์อะไรบางอย่าง”

“อะไรล่ะ?”

“เอ้อ…เปล่า…เปล่า เอาเป็นว่าฉันยอมรับผิด ยอมเป็นหนี้ในส่วนนี้ แต่ว่าห้าสิบล้าน มาเอาชีวิตฉันไปก็ได้ ฉันยอม ฉันผิดเอง ฉันดื้อรั้นอยากพิสูจน์อะไรบางอย่างเอง เรียกตำรวจมาจับเลย”

ชายหนุ่มโคลงศีรษะ ลูกหนี้คนนี้แปลกดี

“ฉันไม่เข้าใจเธอ”

หญิงสาวโบกมือ พูดเสียงดังฟังชัด

“ไม่เห็นต้องทำความเข้าใจอะไรเลย ฟังชัดๆ นะ…ฉันไม่มีเงินจ่าย…ไม่มีเงิน ถ้าคุณเรียกตำรวจ ฉันก็ยอม ฉันก็ต้องยอม แต่ถ้าคุณไม่เรียก ฉันจะทยอยจ่ายคืนทุกเดือน ตามกำลังที่มี รับรองว่าไม่ต่ำกว่าแสน เพราะฉันเป็นแม่ค้า มีร้านค้า มีเงินหมุนเวียนบ้าง ฉันจะกัดฟันจ่ายคุณอย่างซื่อสัตย์ ไม่คด ไม่โกง”

“เชื่อได้?”

“ก็ดูหน้าฉันสิ”

“ฉันเห็นคำว่า โกงแน่อยู่หน้าผากเธอชัดเลย”

“อย่าดูถูกฉัน” เสียงหญิงสาวเข้ม “ฉันไม่ชอบ และฉันจะเดินออกไปแล้ว เดินกลับไป คุณจะปล่อยฉันกลับ หรือจับฉันก็ขึ้นอยู่กับคุณเลือก ถ้าคุณเลือกปล่อย ฉันสัญญาจะไม่เบี้ยวหนี้คุณ”

พ่อเคยบอกว่า มีชิ้นเดียว และหายากมาก



Don`t copy text!