ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
โดย : สิปัณฑ์
ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา
รอยยิ้มที่แสนงดงามของยะศิณาส่งให้ริชาและศิคินที่ยืนอยู่ตรงหน้านั้นสร้างความกังวลใจให้เทพอัคคีเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะนางคือทิพยอสุราผู้ทรงฤทธิ์ อีกทั้งพันธสัญญาสงบศึกเมื่อครั้งบรรพกาลที่ถ้าหากครั้งนี้เขาล่วงล้ำเหมือนเมื่อครั้งสิบปีก่อน คงต้องถูกกักบริเวณอยู่ในถ้ำลึกที่เบื้องล่างเขาไกรลาสอีกเป็นแน่
“ไม่ได้พบกันเสียนานเลยนะคะ คุณศิคิน”
“ครับ…”
เป็นคำตอบแสนสั้นของศิคินก่อนจะจับมือของริชาไว้แน่น เขาเดินมาอยู่ด้านหน้าของริชาในทันทีก่อนจะมองไปยังทิพยอสุราอย่างตั้งคำถาม
“กลัวหรือเจ้าคะ” เสียงของยะศิณาดังขึ้นในจิตของศิคิน
“กลับไปเสียยะศิณา เราไม่อยากทำร้ายเจ้า” เขากล่าวเตือนด้วยใบหน้านิ่งเฉยก่อนยะศิณาจะยิ้มเล็กๆออกมา
“ไม่อยากทำร้ายข้าหรือไม่อยากให้นางรู้เจ้าคะว่าท่านคือผู้ใด”
ริชาพยายามสะบัดมือของตนออกจากการเกาะกุมของฝ่ามือแข็งแรงของชายหนุ่ม โดยศิคินที่กำลังคุยกับยะศิณาด้วยจิตอยู่นั้นได้หันมาสบตาเธอเล็กๆ เมื่อนั้นริชาก็หมดสติไปในทันทีโดยมีศิคินใช้สองแขนของตนรับร่างบางนั้นไว้ก่อนจะมองไปยังหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า
“ท่านก็รู้ดีว่าอีกไม่นานเมื่อพลังของดอกปาริชาตในกายของนางตื่นขึ้น…ไม่ว่าพระเวทอันใดของท่านก็ใช้กับนางไม่ได้ แล้วจะเป็นการดีรึเจ้าคะที่จะปกปิดนางจนถึงตอนนั้น” คิ้วคมที่ขมวดเข้าหากันของศิคินและใบหน้าจริงจังของยะศิณานั้นทำให้เขาไม่เข้าใจจุดประสงค์ของการมาในครั้งนี้ของนาง
“เจ้ามีจุดประสงค์อันใดกันแน่ ยะศิณา”
คนถูกถามนิ่งไปชั่วขณะ ด้วยริมฝีปากที่หนักอึ้งนั้นยากนักที่จะเอื้อนเอ่ยบางสิ่งที่อยู่ในใจออกมาให้กับคนที่ยืนอยู่กันคนละฝั่งมาโดยตลอดได้ฟัง
“ข้ามาเจรจา…ท่านแลข้านั้นรู้ดีว่าพี่ชายข้าเป็นคนเยี่ยงไร เขาจะเปิดศึกกับสวรรค์เป็นแน่ ข้าไม่ชอบเบียดเบียนชีวิตสรรพสัตว์ หากแต่สิ่งที่ข้าต้องการนั้นมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือองค์ราพสูรกลับคืนสู่บัลลังก์แห่งทิพยอสุรา”
“ที่ราพสูรต้องเวียนว่ายในสังสารวัฏนั้นก็เพราะการกระทำของตนและคือผลที่เขาได้รับ” ศิคินตอบเสียงเรียบ
“ท่านเป็นเทพ ควรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมมิใช่หรือ ท่านรู้ดีว่าไม่ว่าปาริชาตดอกใดก็ฟื้นคืนพลังและความทรงจำให้องค์ราพสูรไม่ได้นอกจากนาง”
หล่อนพูดพลางเดินเข้ามาใกล้ศิคินทีละก้าว แต่กระนั้นเทพอัคคีก็หาได้เกรงกลัวไม่
“ชีวิตทหารเทพแลทหารอสุราเป็นร้อยเป็นพันแลกกับปาริชาตดอกหนึ่ง…คุ้มกันหรือองค์ศิคิน”
ด้วยเมื่อยกเอาชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์มากมายขึ้นมาทำให้เทพอัคคีอย่างเขาถึงกับไม่สามารถหาคำพูดใดมาถกเถียงนางได้ ศิคินที่คิดเพียงว่าจะปกป้องทั้งริชาและความถูกต้องไปพร้อมๆ กันจึงเริ่มเกิดคำถามขึ้นมาในใจเช่นกัน ด้วยเขาทราบดีว่าเป็นเรื่องที่แสนยากเย็นเพียงใด
“เช่นนั้นข้าจักตอบเจ้าให้ยะศิณา หากวันนี้ที่เจ้าร้องขอเป็นชีวิตข้าแล้วนั้น…ข้าจะให้เจ้าทันทีโดยไม่คิดลังเลเพื่อจบเรื่องวุ่นวายนี้เสียที” เมื่อได้ฟังคำตอบของศิคินหล่อนก็ทราบแน่ชัดแล้วว่าการเจรจานี้จะจบเช่นไร
“แต่ตอนนี้ที่เจ้ากำลังร้องขอจากข้านั้น มีค่ายิ่งกว่าชีวิตของข้าเสียอีก…เจ้าขอมากเกินไปยะศิณา”
โทสะของเทพอัคคีที่กำลังคุกรุ่นนั้นรุนแรงเสียจนสัมผัสได้ เมื่อรัศมีเทพของศิคินที่แผ่ออกมานั้นค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้นเสียจนยะศิณาที่เริ่มรู้สึกถึงแรงกดทับมหาศาลจนเริ่มทนไม่ไหว
“เช่นนั้นก็คงได้บทสรุปของการเจรจาในครั้งนี้แล้ว สงครามต้องบังเกิดและท่านก็ไม่มีหนทางใดจะหลีกเลี่ยงไม่ให้นางเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้เช่นกัน”
เพียงสิ้นประโยคสนทนาเท่านั้นร่างของทิพยอสุรานามว่ายะศิณาก็อันตรธานหายไปในทันที ริชาที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ในอ้อมแขนของศิคินนั้นเมื่อเจ้าของพระเวทค่อยๆ คลายมันออกหญิงสาวจึงลืมตาขึ้นช้าๆ
ริชาเพิ่งกลับมาได้สติและมองไปที่ศิคินอย่างงุนงง ก่อนเขาจะพยุงเธอให้นั่งลงที่โซฟา
“ฉันเป็นอะไรไปคะ…”
“ผมไม่ให้คุณเป็นอะไรหรอกครับ คุณนั่งตรงนี้ก่อนนะเดี๋ยวผมไปเอาน้ำมาให้” เขาตอบเสียงเรียบในขณะที่ใช้มือปัดปอยผมเล็กๆ ที่หล่นลงมายังใบหน้าของริชาอย่างเบามือ
“เดี๋ยวค่ะ แล้วลูกค้าไปไหนแล้ว”
“เธอไปแล้วครับ ไม่มีดอกไม้แบบที่เธอต้องการน่ะ”
สายตางุนงงของริชามองมาที่เขาอย่างตั้งคำถาม แต่ดูท่าแล้วตอนนี้เสียงที่ดังกว่าความสงสัยของริชาดูท่าจะเป็นเสียงท้องร้องนั้นเอง
“หิวเหรอครับ…”
“ไม่ต้องย้ำได้ไหมคะ” เสียงท้องร้องดังเสียจนเจ้าของท้องอยากมุดแผ่นดินหนี “กำลังจะกดสั่งก๋วยเตี๋ยวเจ้าเด็ดมาเผื่อคุณ แต่น่าจะเพราะลูกค้าเข้ามาพอเลยฉันเลยยังไม่ได้สั่งนะคะ”
“งั้นพอดีเลยครับ มีกับข้าวที่ผมเตรียมไว้ในครัว คุณน่าจะพอถูกปาก”
เมื่อทั้งสองคนเดินเข้ามาในครัวเล็กๆ หลังร้าน กลิ่นหอมของกับข้าวที่อยู่บนโต๊ะก็โชยมาในทันที ริชาตื่นเต้นกับอาหารบนโต๊ะเหมือนเด็กๆ ด้วยเพราะกับข้าวแต่ละอย่างมีแต่ของโปรดเธอทั้งนั้น
อาการตื่นเต้นของริชาเรียกสายตาดีใจจากเทพอัคคี ผู้ที่เพิ่งใช้พระเวทเนรมิตอาหารของโปรดเธอได้เป็นอย่างดีจนแทบจะยิ้มไม่หุบ
“คุณไปนั่งเลยเดี๋ยวฉันตักเอง”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เดี๋ยวผมตักไปให้”
หล่อนไม่อยากจะเถียงกับเขาอีกแล้วด้วยตอนนี้เสียงท้องก็ยังคงร้องไม่หยุด เมื่อนั่งลงที่เก้าอี้ไม้และโต๊ะทานข้าวเล็กๆ ที่ปกติแล้วต้องมีชมแพรแม่ครัวประจำร้านเป็นคนเตรียมอาหาร แต่เมื่อพอดูเมนูบนโต๊ะริชาเองก็อดแปลกใจเป็นไม่ได้เมื่อล้วนแล้วแต่เป็นเมนูที่เธอชอบทั้งหมด
ศิคินวางจานข้าวตรงหน้าริชาก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตัวใกล้ๆ
“คุณไม่หิวเหรอ…”
“ผมลืมน่ะ คุณทานก่อนเลย”
เขาลุกขึ้นไปตักข้าวใส่จานอีกรอบด้วยลืมไปเสียสนิทว่าปกติมนุษย์ต้องทานข้าวสามมื้อต่อวัน ศิคินที่ปกติไม่ได้ทำอะไรเช่นนี้ด้วยเพราะเป็นเทพไม่ต้องรับประทานอาหาร
“เดี๋ยวช่วงบ่ายดอกไม้ที่จะจัดในงานประมูลการกุศลจะมาส่งนะคะ ฉันนัดกับคุณลุงเจ้าของร้านไว้แล้ว”
“คุณเนี่ยนะ ขนาดเวลากินข้าวก็ยังจะคุยเรื่องงาน”
เขาใช้ช้อนกลางตักกับข้าวให้ริชาแต่ดูเหมือนเขาเองนั้นแทบจะไม่แตะต้องอาหารเลย ริชาสังเกตตั้งแต่ที่เขาทานข้าวเช้าที่บ้านของตนและในตอนที่ทานข้าวกันที่โรงแรมของพิภพ
“กินก่อนเถอะครับ อย่างอื่นเอาไว้ก่อน…ผมไม่วางยาคุณหรอก”
คนถูกบ่นเงยหน้าขึ้นมาจากจานข้าวช้าๆ ศิคินเหมือนกับว่าได้ยินเธอคิดอยู่ก็ไม่ปานเพราะหลังๆ มานี้ไม่ว่าริชาจะคิดอะไรอยู่เขาก็จะตอบทันทีเหมือนได้ยินความคิดเธออยู่
ช่วงบ่ายผ่านไปอย่างรวดเร็วเมื่อดอกไม้จำนวนมากมาส่งที่ร้าน ทั้งสองคนช่วยกันจัดเรียงแยกประเภทเพื่อให้สะดวกในการขนย้ายไปจัดในสถานที่จริง เพราะงานที่ขนาดใหญ่กว่าปกติและชมแพรเองก็ไม่อยู่ทำให้ริชาจำเป็นต้องใช้บริการทีมงานที่เธอเคยร่วมงานเมื่อต้องออกจัดดอกไม้ในงานสำคัญ
“คุณกลับได้เลยนะ เหลือแค่บางส่วนเท่านั้นเดี๋ยวทีมที่ฉันเคยทำงานด้วยเขาจะมาขนบางส่วนไปก่อน ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมอยู่กับคุณจนเสร็จงาน จะได้ไปส่งคุณที่บ้านด้วย”
“ลืมบอกคุณไปเลย วันนี้ฉันนอนที่นี่ค่ะ เดี๋ยวจะมีดอกไม้อีกชุดจะมาส่งตอนเช้ามากๆ เดี๋ยวฉันตื่นไม่ทันถ้ากลับบ้าน”
“ถ้าอย่างนั้นปิดประตูดีๆ นะครับ แล้วเจอกันวันพรุ่งนี้”
ก่อนจะกลับนั้นศิคินไม่ลืมที่ร่ายพระเวทป้องกันร้านดอกไม้ไว้อีกชั้นหนึ่ง ด้วยเรียนรู้จากวันนี้ที่ยะศิณาเข้ามาโดยที่เขาไม่รู้ตัวเพราะเขาเองนั้นจะต้องกลับไปที่แดนสวรรค์ครู่หนึ่ง
เมื่อกลับมา ณ ชายแดนทิพย์แล้วนั้น ศิคินที่ยังคงอยู่ในชุดลำลองอย่างมนุษย์ชายหนุ่มก็ปรากฏกายอยู่ที่สวนกว้างแห่งหนึ่ง ทางเดินลึกเข้าไปนั้นเป็นพลับพลาทองงดงามยิ่ง ด้วยไม่อยากให้ตนเป็นจุดสนใจนักเขาจึงใช้พระเวทกำบังกายก่อนจะเดินผ่านเหล่าบรรดาทหารเทพที่ผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าเวรยาม
เมื่อเข้ามาภายในพลับพลานั้นจึงพบกับสหายของเขาทั้งสามได้แก่ องค์สมุทรา องค์มหิธร และองค์พายะที่กำลังประชุมหารือกันด้วยสีหน้าจริงจัง แต่เมื่อเท้าของเทพอัคคีสัมผัสที่พื้นห้องนั้น ยังไม่ทันจะได้ก้าวเท้าเดินต่อไปข้างหน้าทั้งสมุทราและมหิธรก็เข้าจับแขนทั้งสองข้างของศิคินไว้ก่อนจะกดให้นั่งลงที่อาสนะในทันที
“เล่นอะไรของพวกเจ้า” อัคคีเทพกล่าวขึ้นก่อนทั้งสามจะไม่ตอบ แต่เป็นสมุทราที่เริ่มร่ายพระเวทเพียงไม่ถึงเศษเสี้ยววินาที รัศมีพลังคล้ายหยดน้ำสีน้ำเงินเข้มก็ลอยไปสัมผัสที่หน้าผากของศิคินในทันที
“สมุทรา…” เสียงเข้มของศิคินเรียกชื่อสหายด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก ก่อนสหายทั้งสามคนจะนั่งลงตรงหน้าเขา
“หากไม่ใช้วารีเทพของข้า มีหรือเจ้าจะยอมอยู่คุยกับพวกเรา แล้วไหนจะสภาพของเจ้าตอนนี้อีก” ด้วยวารีเทพของเทพสมุทราเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสะกดพลังอัคคีต่างๆ ลงได้แต่สามารถใช้กับเทพอัคคีได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น
“พายะไม่เล่าให้พวกเจ้าฟังหรืออย่างไร วารีเทพของเจ้าเหลือเยอะหรือสมุทรา หยดหนึ่งใช้เวลากี่ร้อยปีกันยังมาใช้เล่นกันเป็นเด็กๆ” ศิคินบ่นขึ้นก่อนจะเอนกายลงนอนที่พื้นในทันที ด้วยรู้ดีว่าไม่สามารถหนีไปไหนได้ชั่วขณะ
“ลุกขึ้นมา วารีเทพหยดเดียวทำกระไรเจ้าไม่ได้ดอกศิคิน อีกทั้งเรา พายะ และสมุทราพูดแล้วไม่ใช่หรือมีกระไรต้องแจ้งกัน นี่หากว่ามณีอสุรกาลไม่ทรงอัคคีเรากับเจ้าสมุทราก็คงไม่รู้เรื่องกระไร เจ้าด้วยพายะ บอกแล้วหรือไว้ว่าให้ห้ามศิคินเสียบ้าง”
“ห้ามศิคิน เจ้าก็พูดง่าย ไม่ลองมาทำเสียเองบ้างเล่า” พายะอยู่ๆ ก็โดนหางเลขไปด้วย ก่อนที่เจ้าคนที่ลงไปนอนแผ่กับพื้นครู่หนึ่งจะลุกขึ้นนั่งเช่นกัน
“เราปล่อยให้นางอยู่คนเดียวนานไม่ได้ เช่นนั้นเราจะพูดครั้งเดียว ทางนั้นมาเจรจาขอให้ส่งริชาไปที่แดนอสุรา ไม่เช่นนั้นจะต้องเกิดสงคราม”
“หึ!”
เสียงคำรามในลำคอแทบจะพร้อมกันในทันทีเมื่อสหายทั้งสามของเขาได้ฟังที่ศิคินเล่า ก่อนจะตามด้วยเสียงถอนหายใจ
“ราพสูรลงไปเวียนว่ายในสังสารวัฏเช่นนั้นทุกคนต่างรู้กันดีว่าเพราะเหตุใด หากแต่จะยกเหตุนี้มาเพื่อทำสงครามนั้นดูแล้วก็รู้ทันทีว่าไม่ใช่เพียงการจุติกลับมาของราพสูร แต่เพื่อจะได้ไม่ต้องขึ้นตรงกับสวรรค์เราก็เท่านั้น”
พายะที่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่พอใจเมื่อนึกถึงคำพูดของดารันขึ้นมาเสียจนคิ้วเข้มสองข้างผูกเป็นปม
“ถือว่าเจ้ายังมีสติอยู่ไม่น้อยหากเทียบกับเมื่อก่อน ไม่ใช่นั้นคงต้องทัณฑ์ถ้ำทัณฑ์อัคคีอีกเป็นแน่”
ด้วยแต่ไหนแต่ไรมาในบรรดาเทพทั้งสี่นิสัยใจร้อนหุนหันเป็นอันดับหนึ่งนั้น เทพอัคคีศิคินถือว่าเป็นที่รู้กันดีในหมู่เทพแดนสวรรค์
“เราจะคิดเสียว่าเป็นคำชมหนาสมุทรา ทางนี้มีกระไรก็แจ้งแก่เราด้วย”
ศิคินพูดพลางลุกขึ้นก่อนกำลังจะใช้พระเวทหายองค์กลับไปนั้น สายตาของพายะอาลัยอาวรณ์เขากว่าปกติและมีสีหน้ากังวลเสียจนเขาต้องหันกลับมายิ้มบางๆ ให้สหายเพื่อไม่ให้เขาต้องเป็นห่วง
เมื่อกลับมาถึงร้านดอกไม้ทุกอย่างยังคงปกติดี มีเพียงแสงไฟจากในร้านที่บัดนี้มืดสนิทลงเหลือเพียงแสงไฟจากชั้นสองเท่านั้น แม้เวลาเพียงไม่นานในแดนสวรรค์แต่เมื่อเปรียบเทียบเวลาในแดนมนุษย์นั้นกลับผ่านไปหลายชั่วโมง
ศิคินที่หายองค์ขึ้นไปยังด้านบนก็พบกับหญิงสาวในชุดนอนกางเกงแขนยาวที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ริมระเบียง ริชาพยายามเพ่งสมาธิอ่านหนังสือแต่ดูท่าจะจับใจความไม่ได้เท่าใดนักเพราะสายตาที่เหม่อลอยนั้นกลับคิดเรื่องต่างๆ วนซ้ำไปซ้ำมา
ใกล้เพียงเอื้อมมือแต่ริชาก็ไม่สามารถมองเห็นเขาได้ ศิคินที่นั่งลงข้างๆ เธอนั้นจึงสามารถมองเธอได้อย่างถนัดตามากขึ้น
ใบหน้าของริชายังหลงเหลือร่องรอยของความกังวลอยู่ตลอด เธอค่อยๆ เงยหน้าจากหนังสือเล่มโปรดก่อนจะวางมันลงบนโต๊ะแล้วมองไปยังท้องฟ้ายามราตรี ซึ่งขณะนี้ถูกแทนที่ด้วยแสงไฟจากตึกสูงใหญ่ระฟ้า
“วันนี้ไม่ค่อยเห็นดาวเลย…”
เธอพึมพำก่อนจะยังคงมองท้องฟ้าอยู่อย่างนั้น ความเหนื่อยล้าที่เกาะกุมจิตใจทำให้บางครั้งการมองท้องฟ้าแล้วปล่อยให้เวลาไหลไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมายบ้างก็ดูเป็นการผ่อนคลายปัญหาที่ไร้ทางในตอนนี้ได้บ้างสำหรับตัวเธอเอง
ศิคินที่รับรู้ได้ถึงความรู้สึกของริชานั้นทำได้เพียงกล่าวคำขอโทษในใจนับร้อยนับพันครั้งที่ทำให้คนที่ตนรักต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
“เรารู้ว่าเป็นเรื่องยากเพียงใดที่จะป้องกันไม่ให้เจ้าต้องเข้ามาในเรื่องวุ่นวายของเทพกับอสูรเช่นนี้ แต่ว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเราจะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุดริชา”
ความเหน็บหนาวของสายลมยามดึกนั้นทำให้หญิงสาวที่ตอนนี้อยู่เพียงตัวคนเดียวกระชับกอดร่างกายของตนไว้แน่น ศิคินมองไปยังคนรักของตนพลันรอยยิ้มอบอุ่นก็ฉายชัดบนใบหน้าของเขาในทันทีก่อนจะส่งผ่านความอบอุ่นนั้นไปยังริชา
ความรู้สึกบางอย่างที่ถูกส่งผ่านมานั้น ริชาสามารถรับรู้มันได้ในทันที ร่างกายที่เคยหนาวเย็นจับใจบัดนี้กลับอบอุ่นขึ้นอย่างน่าประหลาด หญิงสาวก้มมองลงที่ฝ่ามือของตนในทันทีก่อนจะสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากจุดแต้มเล็กๆ สีแดงที่ฝ่ามือนั้น หาใช่เปลวไฟที่แผดเผาอย่างเช่นทุกครั้ง
“อุ่นจัง…”
เธอพึมพำก่อนจะมองไปรอบๆ ตัว ศิคินเองกำลังหวั่นใจอยู่ไม่น้อยด้วยกลัวว่าริชาจะสามารถมองเห็นทะลุผ่านพระเวทของเขาได้อีกครั้ง แต่ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่เป็นไปตามอย่างเช่นที่เขากำลังกังวลเพราะริชาค่อยๆ หันกลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง
หลายวันผ่านไปหลังจากจัดเตรียมงานอย่างวุ่นวายมาทั้งวัน ในช่วงเช้าจวบจนวินาทีสุดท้ายริชายังคงตรวจดูความเรียบร้อยของงานอีกครั้ง เธอเดินอย่างรวดเร็วพลางใช้สายตาอันแหลมคมตรวจตราในแต่ละส่วนเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะไม่ทันระวังตัวจนหลังชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ” ริชาลนลานก่อนจะหันหลังไปขออภัยเขาในทันที “อ้าว เป็นคุณหรอกเหรอ…”
“ทำไมครับ แล้วทำไมคุณยังไม่ไปเปลี่ยนชุดอีก พ่อของคุณมาถึงงานแล้วนะ” ศิคินพูดขึ้นแต่สองมือยังคงจับไหล่ริชาไว้แน่น
“งานจะเริ่มอีกตั้งสองชั่วโมงนะคุณ เดี๋ยวค่อยไปก็ได้…พ่อคงอยากมาคุยกับคุณอาตรีน่ะเลยมาไวหน่อย ฉันก็นึกว่าคุณไปเปลี่ยนชุดแล้ว”
“ผมเปลี่ยนชุดแป๊บเดียวเองครับ คุณไปเถอะเดี๋ยวผมตรวจความเรียบร้อยที่เหลือเอง”
“ถ้างั้นฝากด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันมา…ฝากเอา…”
“ช่อดอกไม้ให้พ่อฉันด้วยนะคะ คุณบอกผมหลายรอบแล้วริชา ไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว…”
ศิคินพูดสวนริชาขึ้นมาทันทีก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ริชาที่ได้ยินดังนั้นก็เผลอหัวเราะออกมาเช่นกันก่อนจะเดินแยกจากเขาไปเพื่อเปลี่ยนชุดให้เข้ากับงานเลี้ยงช่วงเย็น
ศิคินมองตามส่งริชาไปจนสุดสายตานั้นจู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงบางสิ่ง ก่อนจะพบว่าบัดนี้ในที่ไม่ห่างไกลจากโรงแรมนักมีความเคลื่อนไหวจากบางสิ่ง
‘ดวงจิตของอสุรา…’
เขาเพียงเพ่งจิตครู่หนึ่งก่อนร่างของเทพอัคคีจะอันตรธานหายไปจากบริเวณนั้นในทันที
เมื่อถึงเวลาที่งานใกล้จะเริ่มเต็มที ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสนิทตอนนี้กำลังยืนรอรับแขกผู้มาเยือนคนแล้วคนเล่า พิภพยิ้มกว้างทันทีที่เห็นวิษณุเดินเข้ามาพร้อมกับธาตรีพ่อของเขา
“ริชาล่ะภพ วันนี้หล่อเป็นพิเศษเลยนะ” วิษณุกล่าวชม
“ขอบคุณครับพ่อ ชาไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวน่าจะลงมาแล้วครับ”
“งั้นแกรอรับริชานะ แล้วค่อยตามพ่อเข้าไป” พิภพพยักหน้าน้อยๆ ก่อนคนเป็นพ่อจะมองหน้าลูกชายแล้วจึงตามด้วยสายตาหยอกล้ออย่างรู้ทันความคิดของพิภพในตอนนี้
พิภพทำได้เพียงชกที่ต้นแขนของธาตรีเบาๆ จากนั้นเมื่อบรรดาพ่อๆ เดินจากไปริชาก็เดินตรงเข้ามาหาเขาพอดี อันที่จริงนั้นที่เขาใจจดใจจ่อไม่ใช่เพียงด้วยเหตุผลที่ว่าวันนี้ริชาจะแต่งตัวสวยเพียงใด หากแต่เขายังอยากคุยเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเธอมากกว่า
“แปลกจริง นึกว่าแกจะเลือกชุดแดงดำซะอีก”
“เปลี่ยนบ้าง ใครมันจะไปใส่สีแดงทุกงาน หน้าแกเครียดๆ นะ มีอะไรรึเปล่า”
ริชาที่เมื่อสังเกตสีหน้าของพิภพก็ทักขึ้นในทันที ผู้เป็นเพื่อนทำได้เพียงส่ายหน้าเป็นคำตอบเท่านั้น ทั้งที่ในใจมีอีกหลายเรื่องที่เขาอยากจะคุยกับริชา แต่ดูเหมือนว่าแขกในงานจะไม่เป็นใจเท่าใดนัก
“ชาแกมีธุระไปไหนต่อรึเปล่า หลังงานเลิกฉันมีอะไรจะคุยกับแกหน่อย…สวัสดีครับคุณอาเชิญด้านในเลยครับ” ริชาที่มองไปที่พิภพ…ที่ถึงปากจะยิ้มไม่หุบแต่สายตาของเขากังวลเป็นอย่างมาก
“ไม่มีนะ ฉันคงกลับบ้านพร้อมพ่อเลย ยังไงพรุ่งนี้ก็ปิดร้านอยู่แล้ว…แกมีอะไรรึเปล่า”
“ไว้เดี๋ยวเราคุยกันทีเดียวเลย ตอนนี้เข้าไปในงานกันเถอะ ใกล้จะเริ่มช่วงประมูลแล้ว…”
“แกเข้าไปก่อนเลยเดี๋ยวฉันรอศิคินก่อน เขาไม่เคยมาเดี๋ยวไม่กล้าเข้าไปในงาน”
พิภพใช้สายตามองสอดส่ายไปทั่วเพื่อมองหาผู้ช่วยคนใหม่ของริชาแต่ก็ไม่พบแม้เงา และริชาเองก็กำลังมองหาศิคินเช่นกัน วินาทีหลังจากนั้นแสงไฟที่เคยส่องสว่างที่หน้างานก็ดับลงในทันที ริชาที่ตกใจเล็กๆเผลอจับแขนของพิภพไว้แน่น
หญิงสาวในชุดเดรสยาวสีดำสนิทเดินเข้ามาในงานพร้อมๆ ชายหนุ่มคนหนึ่ง ร่างกายกำยำล่ำสันของชายคนนั้นเดินเข้ามาในงานก่อนจะหยุดลงที่ตรงหน้าพิภพและริชาที่ยืนอยู่ ผู้ชายที่เดินเข้ามาในงานกับยะศิณานั้นคือยะษาที่ตอนนี้แต่งกายอย่างเช่นมนุษย์ในยุคสมัยนี้ ไม่ว่าจะเป็นผมที่ตัดสั้นหรือแม้แต่ชุดสูทที่สวมทับได้เข้ากับรูปร่างเขาอย่างพอดิบพอดี
เมื่อมองหน้าของพวกเขาทั้งสองคนได้อย่างชัดเจน จู่ๆ ความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างก็แผ่ซ่านอยู่ในจิตใจพิภพอย่างไม่อาจควบคุม ในขณะเดียวกันหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างๆ เขากลับรู้สึกในทางตรงกันข้าม ริชาจับแขนพิภพแน่นขึ้นกว่าเดิมโดยที่เมื่อยะษาสังเกตเห็นจึงยิ้มให้เธอเป็นการทักทาย
“ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะครับ คุณพิภพ…” ยะษายื่นมือขวาไปด้านหน้าก่อนที่พิภพจะยื่นมือของตนออกมาเช่นกัน
“ยินดีครับ…” เขาตอบกลับด้วยความงุนงงเพราะจำไม่ได้ว่าเคยพบกับเขาที่ใดมาก่อน
“แล้วก็ยินดีที่ได้พบนะครับ คุณริชา…”
ยะษาปล่อยมือเขาจากมือของพิภพแล้วจึงหันไปที่ริชาก่อนจะยื่นมือของตนออกไป เธอมองไปที่เขาครู่หนึ่งด้วยในใจเหมือนมีใครกำลังห้ามไม่ให้เธอยื่นมือไปสัมผัสมือของเขา แต่เมื่อมองรอยยิ้มของชายร่างสูงที่อยู่ตรงหน้านั้นก็เป็นเรื่องไม่สมควรนักหากเธอจะปฏิเสธ
“เช่นกันนะคะ…”
พรึ่บ!
ไฟบริเวณหน้างานที่เคยมืดนั้นกลับมาสว่างไสวในทันที แต่ยังไม่ทันที่มือของริชาจะสัมผัสกับมือของยะษา ริชาก็ต้องชะงักในทันทีด้วยความร้อนที่ฝ่ามือของริชาที่ร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน
“แล้วถ้าเป็นผมจะยินดีไหมครับ คุณยะษา…”
เจ้าของเสียงที่พูดดังขึ้นนั้นคือศิคินที่เดินเข้ามาจากด้านหลังของริชาและพิภพ ริชาหันไปด้านหลังในทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา สีหน้าเรียบเฉยของศิคินที่เดินเข้ามาก่อนจะหยุดยืนอยู่ข้างๆ ริชานั้นทำให้รอยยิ้มของยะษาปรากฏบนใบหน้าอีกครั้ง
“คุณรู้จักกันด้วยเหรอคะ”
ริชาถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะในยามปกตินั้นเธอมักจะเห็นศิคินที่ยิ้มแย้มอยู่เสมอ แต่กลับกันในตอนนี้สีหน้าเรียบเฉยและคิ้วสองข้างที่ผูกเป็นปมเข้าหากันอีกทั้งสายตาที่มองไปยังคนที่ชื่อยะษานั้นช่างไม่ปกติเอาเสียเลย
“นึกว่าฝีมือแกจะสนิมขึ้นจนใช้เวลากับอสูรชั้นต่ำพวกนั้นนานกว่านี้เสียอีกศิคิน” เสียงของยะษาที่ดังขึ้นในจิตส่งไปยังเทพอัคคีที่อยู่เบื้องหน้าพร้อมด้วยสายตาที่แสนเย้ยหยัน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 10 : สิ้นคำเจรจา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 8 : ไม่ใช่เพียงต้นหญ้าต้นหนึ่ง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 7 : ผู้ช่วยคนใหม่
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 6 : ใต้เงาทองหลาง
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 5 : ทิพยอสุรา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 4 : ชายปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 3 : ศิคิน
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 2 : หญิงสาวปริศนา
- READ ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 1 : คำปลอบโยนจากฟากฟ้า
- READ ดั่งมนต์สุคนธา : บทนำ