ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 13 : เสียงคลื่นคลั่ง

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 13 : เสียงคลื่นคลั่ง

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

 

“องค์ศิคินแลองค์มหิธรเล่าอยู่ที่ใด” ท่าทีอึกอักของเทวะทั้งสององค์ทำให้องค์อมรินทร์ที่ทราบดีอยู่แล้วนั้นถึงกับทอดถอนหายใจออกมาในทันที

“มาแล้วเจ้าค่ะ” มหิธรที่มาถึงได้ทันเวลาพอดิบพอดีก่อนจะตามด้วยศิคิน ทั้งสองนั่งคุกเข่าพนมมือขึ้นในทันที

เมื่อเทพทั้งสี่มากันพร้อมหน้า ผู้เป็นดั่งเจ้าของคำประกาศิตนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“พวกเจ้าลุกขึ้นแล้วเข้ามานั่งข้างเรา”

ยังไม่ทันจะสิ้นคำแห่งองค์สหัสนัยน์ร่างของทั้งสี่ก็เข้ามาอยู่ ณ พลับพลาในทันที ละอองแสงสีเขียวมรกตอันเป็นสีประจำองค์นั้นจับไปที่ร่างของศิคินและมหิธรที่เพิ่งมาในทันที ก่อนจะสามารถรับรู้ได้ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น

คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันทันใดเมื่อรับรู้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพิภพเบื้องล่าง

“เรื่องใหญ่เช่นนี้พวกเจ้ายังปิดข้าอีกหรือ…”

น้ำเสียงขององค์เทพที่เอื้อนเอ่ยออกมานั้นเต็มไปด้วยความกังวลและความห่วงใยที่หาใช่นายเหนือหัวมีต่อผู้ใต้บัญชาของตน แต่เป็นความห่วงใยของผู้ที่คอยอบรมอุ้มชูทั้งสี่มาตั้งแต่จุติเป็นเทพนั่นเอง

“มิได้…ด้วยเหตุการณ์ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นอย่างกระชั้น อีกทั้งแต่ละครั้งชี้เป็นชี้ตายชีวิตของทิพย์สุคนธาแลองค์ราพสูร พวกข้าจึงจำต้องแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้ากันไปก่อนเจ้าค่ะ” ศิคินพูดขึ้นก่อนพายะจะรีบเสริม

“อีกทั้งโดยปกตินั้นอันองค์สหัสนัยน์แลองค์เทพอาวุโสในแดนสวรรค์ชั้นฟ้านั้น ต่างต้องเข้าฌานสมาธิด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น” สายตาที่จับจ้องไปยังเทพวาโยพายะที่มักออกรับให้สหายรักอยู่เสมอทำให้คนถูกจ้องทำได้เพียงรีบมองลงที่พื้นในทันทีก่อนจะพูดต่อเสียงอ่อย “จึงมิได้มีจุดประสงค์ที่จะปิดบังเจ้าค่ะ”

“ดีๆ กันทั้งนั้น สมุทราและมหิธรก็เป็นไปกับเจ้าสององค์นี้ด้วย เจ้ามิห่วงองค์เองบ้างหรือศิคิน ดูเจ้าในตอนนี้แม้แต่ร่างจิตยังมิอาจกระทำได้ กว่าจะฟื้นพลังเทพในกายต้องใช้เวลาเท่าใดกัน”

“ข้าทราบดีว่าพลังเทพของข้ามิเหมือนดังกาลก่อน…” ศิคินกล่าวพลางแววตาของความรู้สึกผิดก็ฉายชัด

“ที่ข้าพูดมิได้จักดูแคลนเจ้า หากแต่ที่บอกว่าเจ้ามีสหายเป็นเจ้าสามองค์นี้ ยังจักเอาตนเองเพียงองค์เดียวไปต่อกรกับทิพยอสุราอย่างองค์ยะษาอีก” พูดพลางชี้ไปยังทั้งสี่องค์ทีละองค์ก่อนจะมาหยุดที่พายะ

“เจ้าเองก็เช่นกันพายะ ใจร้อนมิเปลี่ยนถึงขั้นใช้รัศมีเทพของตนเหยียบลงบนอกแม่ทัพของอสุราในแดนเขา สอนเท่าใดมิรู้จำ”

“ข้าอดกลั้นที่สุดแล้วเจ้าค่ะ” องค์พายะพูดพลางก้มหน้ามองพื้นพลับพลาเช่นเดิม ด้วยรู้ว่าไม่สมควรกระทำเช่นนั้น

“อายุเท่าใดกันแล้ว พวกเจ้าสององค์ด้วย สมุทรา มหิธร เสียแรงข้าไว้ใจ” สมุทราและมหิธรที่ในใจคิดแล้วว่าตนคงไม่โดนหางเลขไปด้วยก่อนจะรีบก้มหน้าลงในทันที พลางหันไปบ่นงึมงำกับเจ้าสององค์จอมสร้างเรื่อง

ด้วยความร้อนใจเพราะเป็นห่วงริชา…ศิคินที่ใบหน้าดูเคร่งขรึมอยู่เสมอกลับมีสีหน้าร้อนใจอย่างเห็นได้ชัด เพราะถึงแม้เธอจะมีอัคคีเทพของตนคอยปกป้อง หากแต่ก็ยังมีอีกหลายวิธีหากยะษาและยะศิณาต้องการจะทำร้ายริชาขึ้นมาจริงๆ

“หยุดเพียงเท่านี้ ข้าไม่ได้เรียกพวกเจ้ามาเพื่อตำหนิ หากแต่ในครั้งนี้พวกเจ้าทราบดีว่าเมื่อครั้งพิธีกวนเกษียรสมุทร ด้วยคำที่ว่าแดนสวรรค์นั้นจะไม่ทำสงครามกับแดนอสุราก่อน”

“เช่นนั้นองค์ท่านจะให้พวกเราตรึงกำลังไว้ก่อนหรือเจ้าคะ” พายะกล่าว

“เป็นตามนั้น จะไม่มีการยกพลข้ามแดนเด็ดขาด หากไม่มีทหารอสุราตนใดก้าวล่วงผ่านเขตเส้นแบ่งและ…” องค์อมรินทร์ตั้งใจจะเว้นวรรคครู่หนึ่งก่อนจะมองไปที่ศิษย์รักของตนทั้งหมด

“ไม่ว่าฝ่ายนั้นจะยั่วยุพวกเจ้าด้วยวิธีใด จงตั้งมั่นว่าพวกเจ้าคือเทพผู้นำความสมดุลแห่งธาตุทั้งสี่ของจักรวาลนี้ จงมีสติคิดไตร่ตรองให้จงหนักว่า ทุกการกระทำย่อมนำมาซึ่งผลของการกระทำนั้นเสมอ…”

เพียงยังไม่ทันสิ้นประโยคนั้น ร่างของศิคินก็ร้อนขึ้นในทันทีและเปลวอัคคีเทพก็ลุกท่วมขึ้นที่บริเวณฝ่ามือ เมื่อทุกองค์เห็นดังนั้นก็ร้อนใจเป็นที่สุด ด้วยทราบดีว่าขณะนี้กำลังเกิดเรื่องไม่ดีกับริชาที่แดนมนุษย์อยู่เป็นแน่

“ทิพย์สุคนธาเป็นแน่ ครั้งนี้ข้าจะหลับหูหลับตาลงเหมือนดั่งไม่รับรู้ว่าพวกเจ้าจักทำการใดก็แล้วกัน” ดวงเนตรปิดลงอย่างช้าๆ ก่อนร่างขององค์อินทร์จะค่อยๆ สลายหายไปจากจุดที่เคยประทับอยู่ในทันที

ศิคินเมื่อรู้เช่นนั้นก็รีบร่ายพระเวทหายไปยังจุดที่ริชาอยู่ในทันทีพร้อมๆ กับองค์เทพทั้งสามที่มองสบตากันก่อนจะถอนหายใจ ด้วยทั้งสามองค์น่าจะกำลังคิดบางสิ่งตรงกัน

“เราจะต้องย้ำศิคินอีกไปถึงเมื่อใดกัน” คำพูดตัดพ้อเล็กๆ ขององค์สมุทรากล่าวออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ

“เราจะตามศิคินไป ส่วนเจ้าแลมหิธรกลับไปที่เชิงเขาพระสุเมรุก่อนเถิด ได้ความอย่างไรเราจะแจ้งข่าวมา” พูดพบองค์วาโยพายะก็หายองค์ไปอย่างว่องไวเช่นกัน เหลือเพียงสายลมอ่อนๆ ที่พัดมากระทบร่างของสหายทั้งสอง

 

เสียงปรบมือของเหล่าบรรดาผู้รับชมการแสดงดังอย่างกระหึ่มและพร้อมเพรียงทันทีที่การแสดงโขนจบลง…ริชาและพิภพได้สติขึ้นมาหลังจากเหม่อลอยอยู่นานสองนาน ทั้งสองคนยกมือขึ้นกุมขมับแทบจะพร้อมกันในทันทีก่อนจะหันมาสบตากันอย่างมิได้นัดหมาย

สายตาที่ตื่นตระหนกของริชาคือคำตอบได้เป็นอย่างดี ก่อนพิภพที่คิดอะไรไม่ออกจะรีบจับมือริชาแล้วลุกขึ้นเดินออกมาจากจุดนั้น

ริชายอมเดินตามพิภพออกมาจากบริเวณด้านหน้าเวที ก่อนจะมองไปที่มือของเพื่อนที่ยังจับมือของเธออยู่ แต่กลับไม่เป็นไปอย่างที่ทั้งสองคิดในเมื่อครั้งนี้ไม่มีเหตุการณ์แปลกประหลาดใดๆ เกิดขึ้นเลย

ริชามองไปที่แผ่นหลังของพิภพที่ยืนหยัดอยู่เพื่อเธอเสมอตั้งแต่เล็กจนโต แต่จู่ๆ มันกลับซ้อนทับกับภาพของใครบางคนที่เธอเห็นในนิมิตเมื่อครู่

ฝ่ามือใหญ่ที่โอบอุ้มดอกไม้ดอกหนึ่งที่แววตาแสนเศร้าเกินบรรยาย…

“ภพจะไปไหน…”

เมื่อได้ยินเสียงของริชา ฝีเท้าของพิภพที่เดินสับเท้าอย่างรวดเร็วก็หยุดลง เขาค่อยๆ หันหลังกลับมาก่อนจะปล่อยมือหญิงสาวให้เป็นอิสระ นึกถึงภาพของริชาที่ตัวสั่นเทาด้วยคงเพราะยังคงตกใจเขาจึงยื่นมือไปสัมผัสมือเธอเอาไว้อย่างอ่อนโยน

“ขอโทษที่ทำให้แกตกใจ…” เขากล่าวอย่างรู้สึกผิดหากแต่ได้คำตอบเป็นฝ่ามือของริชาที่สัมผัสที่ไหล่ของเขาเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้เขาอย่างเช่นเคย

“ทำไมไม่เป็นอย่างที่คิดนะ” เขาพึมพำก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้นหญ้าของสนามกว้างที่ห่างออกมาจากเขตผู้คนก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรง ริชาที่เห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงนั่งลงข้างๆ พิภพก่อนจะทิ้งตัวลงนอนเช่นกัน

“ภพ…” เสียงเรียบของริชาพูดขึ้นก่อนคนที่นอนหลับตาอยู่จะหันไปมองตามเสียงเรียกนั้น

“อืม…”

ริชาที่กำลังมองตรงไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่นั้นจู่ๆ ก็เงียบไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา หญิงสาวที่คิดหนักในหัววนไปวนมาว่าควรหรือไม่ที่จะถามเขาออกไปตรงๆ

“ถามมาเถอะชา แกกับฉันยังมีอะไรให้ต้องปิดบังกันอีก”

“ที่แกบอกว่าไม่เป็นอย่างที่แกคิด แกคิดว่าถ้าจับมือฉันแล้วแกจะเห็นภาพอะไรแปลกๆ ในหัวใช่ไหม”

พิภพมองไปยังสีหน้าจริงจังของคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ

“ฉันจะคุยกับแกเรื่องนี้นั่นแหละชา หลายๆ อย่างมันแปลก ฉันอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ แต่ฉันแน่ใจว่าแกก็รู้สึกแล้วแกก็เห็นอย่างที่ฉันเห็นตั้งแต่วันนั้น ตอนที่อยู่บ้านแกที่ชิงช้า…” เขาเว้นจังหวะครู่หนึ่งเพื่อดูว่าริชาจะมีอากัปกิริยาอย่างไรก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจตามมาเป็นคำตอบ

“ฉันจำได้หมด ถึงมันจะไม่ปะติดปะต่อ แต่ตอนนั้นฉันอยู่กับแกแน่ๆ ไม่มีทางที่จะขับรถกลับมาเองได้แต่รู้ตัวอีกทีก็อยู่ที่ห้องนอนแล้ว”

แววตาที่ครุ่นคิดบางสิ่งอยู่นั้นของริชาแทนคำตอบทุกสิ่ง ไม่มีสีหน้าประหลาดใจแต่อย่างใด หากแต่สีหน้าหนักใจยามที่คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปมนั้นก็ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าพิภพพูดเรื่องจริง

“แล้วเมื่อตอนที่ดูโขนแกเห็นเหมือนกันใช่ไหม ทะเลที่มีคลื่น…”

“คลื่นสูงเสียดฟ้ากับภูเขาที่มีพญานาคพันรอบสองฝั่ง มีคนคอยดึงจากทางฝั่งหางแล้วก็ทางฝั่งเศียรนาค”

ยังไม่ทันที่ริชาจะพูดจบพิภพก็พูดสวนขึ้นมาในทันที ทั้งสองคนมองหน้ากันก่อนจะหันขึ้นไปมองบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก แต่กลับรู้สึกเหนื่อยกับเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นมากเหลือเกิน

“ทำไมเรื่องบ้าๆ นี้ต้องเกิดกับเราสองคนด้วยวะ แค่ทำงานก็เหนื่อยจะตายแล้ว”

“เวลาแบบนี้แกยังจะพูดถึงเรื่องงาน สมแล้วที่เป็นไอ้บอสของไอ้แพร” ริชาหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงคำพูดของชมแพรที่มักเรียกพิภพว่าไอ้คุณบอสเสมอ

“แกฝันบ้างไหมชา ถ้าไม่ได้จับมือฉัน…”

ราวยกความหนักอึ้งบางอย่างวางลงได้เสียที คำถามที่ดูเป็นเรื่องที่ถามออกไปได้อย่างยากลำบากก็สามารถพูดออกมาได้ง่ายๆ เสียจนนึกเสียใจอยู่ไม่น้อยที่ไม่พูดเปิดอกกับริชาตั้งแต่แรก

“อืม…ในฝันฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่งไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่ความรู้สึกมันตรงกันข้ามกันเลยนะ แล้วจู่ๆผู้ชายคนที่ฉันฝันถึงบ่อยๆ ก็ดันโผล่มาซะอย่างนั้น คิดแล้วก็ยังไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลย”

ริชาที่ไม่มีสิ่งใดต้องปกปิดพิภพแล้วเช่นกันจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างออกมาอย่างหมดเปลือก

“แกหมายถึงญาติไอ้แพร ศิคินเหรอ!” พิภพที่เมื่อได้ฟังก็ถึงกับลุกขึ้นนั่งในทันที

ริชาที่นอนอยู่ที่พื้นจึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งเช่นกันก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ “แกตกใจใช่ไหม ฉันก็เหมือนกัน”

“ชา ถ้าฉันบอกว่าเมื่อก่อนงานประมูลที่โรงแรม ฉันก็ฝันเห็นเขาเหมือนกัน แกจะเชื่อไหม”

“แกหมายถึงใคร คุณศิคินน่ะเหรอ”

ริชาพยายามเชื่อมโยงความเป็นไปได้ต่างๆ แต่กระนั้นการที่เธอได้เห็นเขากระทำบางอย่างบนดาดฟ้าโรงแรมวันนั้นก็ชัดเจนอยู่ว่าเขาไม่ใช่มนุษย์แบบเธอ แต่พอจะลองถามเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดเขาต้องมาคอยดูแลเธอเช่นนี้ วิษณุก็เรียกหาเธอเสียก่อน ทำให้ศิคินพาเธอหายตัวลงมาจากดาดฟ้าในทันทียิ่งทำให้หญิงสาวตกใจจนแทบพูดอะไรไม่ออก

“ริชา!” พิภพเห็นผู้เป็นเพื่อนนิ่งไปก่อนจะเรียกริชาอีกครั้ง

“ภพ…ฉันว่านะ ถ้าเขากลับมาเราต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องแล้ว ไม่ใช่ว่าจะปล่อยให้เราคิดเองเออเองกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ มันอึดอัด!”

ความรู้สึกมากมายที่อธิบายไม่ได้อัดแน่นสะสมเสียจนจวนเจียนจะระเบิดออกมาเสียให้ได้

ทั้งสองตั้งใจแล้วว่าวันนี้นั้นจะต้องคุยกับศิคินให้รู้เรื่องให้จงได้ ก่อนจะพากันลุกเดินกลับเข้าไปในงานที่ขณะนี้ชมแพรและวิษณุกำลังรอพวกเขาอยู่

“หายไปไหนกันมาลูก พ่อกับแพรมองหากันให้ทั่ว”

“ไปห้องน้ำครับพ่อ…” พิภพตอบไม่เต็มเสียงก่อนจะหันไปมองริชา

“แล้วก็ไม่ชวนฉันเลย คนกำลังปวดๆ” ชมแพรบ่นอุบ

“งั้นเดี๋ยวพ่อขอไปคุยกับอาจารย์ที่เขาฝึกซ้อมโขนก่อนนะ เป็นเพื่อนของพ่อเอง พวกเราจะไปด้วยไหมหรือจะกลับโรงแรมกันไปก่อนก็ได้ น่าจะใช้เวลาพอสมควร…” วิษณุยกมือขึ้นมาทำกระดกแก้วเข้าปากก่อนเจ้าลูกสามคนนั้นจะเข้าใจได้ในทันที

“อย่าดึกนะคะคุณพ่อ ถ้าไม่ไหวก็โทรหาหนูนะ เดี๋ยวหนูมารับเอง”

“ได้เลยครับคุณลูกบังเกิดเกล้า เดี๋ยวถ้ายังไงเดี๋ยวพ่อโทรหานะชา” วิษณุลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดูก่อนริชาจะโผเข้ากอดวิษณุแน่นๆ อยู่ครู่หนึ่ง

“เปลี่ยนใจละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก่อนกลับค่อยนัดกินข้าวกันก็ได้ มันก็น่าจะเหนื่อยเหมือนกัน ไปๆ หาข้าวกินกันดีกว่า จะว่าไปศิคินไปไหนล่ะลูก โทรหาสิว่าเราจะไปกินข้าวกัน”

“เดี๋ยวเรื่องนั้นชาจัดการเอง ไปหาอะไรกินกันเถอะค่ะ”

หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยในขณะที่กำลังรอพนักงานคิดเงินค่าอาหารที่อยู่บนโต๊ะ ริชาพยายามโทร.หาศิคินแต่ดูเหมือนว่าปลายสายจะไม่มีสัญญาณนั่นเอง

“ติดต่อไม่ได้เหรอชา” ชมแพรถามขึ้นก่อนจะลองโทร.หาเขาอีกสาย

“เหมือนจะไม่มีสัญญาณนะ สงสัยจะยุ่งอยู่…”

“เดี๋ยวนี้รู้ดีเชียวนะ ไอ้ทีแรกก็กังวลอยู่ว่าแกสองคนจะทำงานด้วยกันได้ไหม แต่เหมือนจะดีกว่าที่คิดไว้เยอะเลย…” คนพูดแซวพลางยักคิ้วก่อนคนโดนแซวจะทำทีเป็นไม่สนใจ แต่อยู่ๆ ก็รู้สึกหน้าร้อนผ่าว

“ไป กลับโรงแรม พ่อกับภพมาแล้ว พูดอะไรไปเรื่อย…” คนหน้าร้อนได้แต่รีบลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่รถทันที

ในขณะที่กำลังเดินทางกลับโรงแรมนั้น เสียงเพลงเปิดคลอไปในรถเข้ากับบรรยากาศที่ทั้งสี่คนพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เมื่อรถเคลื่อนตัวผ่านถนนเส้นรองซึ่งเป็นทางแยกออกจากเส้นหลักเพื่อไปยังโรงแรมที่พักนั้น จู่ๆ สองข้างทางก็เต็มไปด้วยหมอกหนาขาวโพลนเต็มถนน

พิภพที่เป็นคนขับรถนั้นรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ หมอกก็หนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงขับช้าลงด้วยทัศนวิสัยในการมองเห็นรถที่สวนมานั้นน้อยลงด้วยเช่นกัน

“หมอกหนาจัง ขับระวังนะลูก…” วิษณุกล่าวขึ้นในขณะที่มองไปยังทางข้างหน้าซึ่งเต็มไปด้วยหมอกหนาจนไม่สามารถมองได้ไกลเกินกว่าระยะห้าถึงหกเมตร

“โอ๊ย!” เสียงของริชาที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนตกใจ หญิงสาวรู้สึกถึงความร้อนที่ฝ่ามืออย่างกะทันหันก่อนจะรีบกุมมือของตนไว้

“ชาเป็นอะไร!”

ชมแพรที่นั่งอยู่เบาะหลังเช่นกันถามขึ้นขณะมองเพื่อนสนิทที่กำลังกุมมือไว้แน่น หญิงสาวส่ายหน้าช้าๆก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แต่ความร้อนที่มือก็ยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ วิษณุหันหลังไปมองลูกสาวด้วยความเป็นห่วงก่อนจะพบว่าอาการของริชาไม่สู้ดีนัก

“ไปโรงพยาบาลก่อนไหมชา” พิภพถามขึ้นอย่างร้อนใจ ด้วยเขาเองก็สามารถรับรู้ได้ถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ

แต่ก่อนจะได้ไปที่ใดนั้น หลังจากพิภพมองไปที่กระจกมองหลังเพื่อมองดูริชาในขณะที่หันกลับมามองถนน เพียงเสี้ยววินาทีรถก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่าง แรงปะทะที่เกิดขึ้นทำให้รถยนต์พลิกคว่ำหลายตลบก่อนจะหงายท้องอยู่ที่บริเวณข้างทาง

เหมือนทุกอย่างวูบดับไปครู่หนึ่ง ก่อนริชาจะได้สติขึ้นมา ฝ่ามือของเธอก็ร้อนขึ้นจนถึงขีดสุดก่อนในจังหวะเดียวกันที่ร่างทมิฬหลายสิบร่างพุ่งตรงเข้าใส่รถที่หงายท้องอยู่ในทันที

ทันใดนั้น แต้มอัคคีที่ฝ่ามือของริชาก็สำแดงฤทธิ์ก่อนจะสร้างไฟเทพแผดเผาร่างของอสูรเหล่านั้นจนมันจะกลายเป็นดวงจิตสีต่างๆ ลอยอยู่บริเวณรอบๆ รถ

ท่ามกลางเปลวไฟสีแดงโชติช่วงนั้น ริชาที่มีสติครบทุกประการก็มองไปที่ฝ่ามือของตนในทันทีก่อนจะมองออกยังดวงไฟหลากสีที่ล่องลอยอยู่รอบๆ เหตุการณ์มากมายในอดีตเมื่อสิบปีก่อนที่เคยเกิดขึ้นก็ฉายชัดขึ้นมาในทันที

พิภพค่อยๆ ได้สติกลับมาแล้วเช่นกัน เมื่อร่างกายของเขาสัมผัสกับไฟที่กำลังลุกโชนเป็นดังเกราะป้องกันภัยอยู่รอบรถ ฉับพลันความทรงจำในคืนวันที่บ้านตนจะต้องไปฉลองปีใหม่กับบ้านริชาก็บังเกิดขึ้นเช่นกัน

“อัคคีเทพ ที่อยู่ในร่างของมนุษย์หรือจะสู้ข้า!”

มีเสียงของผู้ชายดังขึ้น ก่อนที่ดวงไฟมากมายจะโจมตีใส่อัคคีนั้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงมากขึ้น พิภพพยายามตะเกียกตะกายเพื่อให้หลุดจากสายเข็มขัดนิรภัยที่คาดอยู่แต่ก็ไม่เป็นผล เขามองไปที่กระจกหลังอีกครั้งก่อนจะพบว่าตอนนี้มีไฟมากมายกำลังไล่ทะลักออกจากฝ่ามือของริชาอย่างไม่ขาดสาย

หญิงสาวกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เพราะร่างของมนุษย์นั้นไม่สามารถทนรับพลังไฟเทพที่มากขนาดนี้ได้ พิภพพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรงแต่ก็ยังไม่เป็นผล เพราะโครงของรถที่ผิดรูปนั้นก็กำลังกดทับร่างของเขาไว้เช่นกัน

“ริชา!”

เขาตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความโมโหที่ตนไม่สามารถทำอะไรได้เลย ร่างของเจ้าของเสียงที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นั้นพร้อมๆ กับเปลวไฟที่อยู่โดยรอบก็ใกล้จะดับลงทุกขณะ จากนั้นร่างของหญิงสาวที่อาบไปด้วยเลือดและบาดแผลที่เกิดจากกระจกสติก็ดับวูบลงในทันที

ยะษายืนอยู่บริเวณหน้ารถก่อนมันจะยิ้มออกมาอย่างสะใจ และใช้พระเวทยกรถที่หงายท้องอยู่นั้นให้กลับมาตั้งตรงดังเดิม มันยกมือขึ้นอีกคราก่อนจะแยกร่างของทั้งสี่คนมานอนเรียงกันอยู่ที่พื้นอย่างง่ายดาย

“ง่ายดายปานนี้ เห็นทีเจ้าคงต้องไปอยู่ที่แดนอสุรากับข้าเสียแล้วละเจ้าปาริชาตดอกน้อย” ยะษาพูดพลางยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก ก่อนจะเอื้อมมือไปหมายสัมผัสร่างของริชาที่ยังคงไม่ได้สติ

กลิ่นหอมประหลาดที่ไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูดได้ก็ลอยคละคลุ้งอยู่ในอากาศ เพียงสังหรณ์ใจวูบหนึ่งก่อนที่ร่างของเขาจะปะทะเข้ากับพลังบางอย่าง

ใบหน้านิ่งเฉยของพิภพที่มองไปยังยะษาที่กำลังจะสัมผัสที่ร่างของริชานั้น ภายใต้เนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผลฉกรรจ์ที่หากเป็นมนุษย์ทั่วไปคงไม่อาจขยับได้อีก แต่พิภพกลับลุกขึ้นแล้วจับมือของยะษาไว้โดยตรง

“องค์ราพสูร!”

สิ้นคำพูดนั้นร่างของยะษาก็ลอยละล่องไปในทันที ก่อนที่ดารันจะเข้ามาพยุงเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองมองไปยังพิภพที่บัดนี้แววตาไร้ซึ่งแววของมนุษย์ หากแต่เป็นพลังขององค์ราพสูรที่ตื่นขึ้นอีกครั้งด้วยพลังของดอกปาริชาต!

รัศมีทิพยสีทองอร่ามที่ล่องลอยออกมาจากร่างของพิภพ บัดนี้ดวงตาที่นิ่งสงบผิดวิสัยมองไปยังร่างบางของริชาที่ยังคงไม่ได้สติก่อนจะหันมองไปยังสองอสุราที่อยู่เบื้องหน้าตน

ตูม!

ยะษายกแขนขึ้นมาป้องกันพลังของราพสูรไว้ได้อย่างทันเวลา หากแต่ยังช้าไปเมื่อบัดนี้ร่างของพิภพปรากฏอยู่ด้านหลังของดารันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเตะเข้าไปที่บริเวณชายโครงอย่างเต็มแรง

ร่างของแม่ทัพอสุราลอยค้างอยู่ในอากาศหากแต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เมื่อร่างของพิภพตั้งท่าจะเข้าไปซ้ำอีกรอบ ยะษาที่เห็นท่าไม่ดีเสียแล้วจึงร่ายพระเวทที่แหวนนิลกาฬที่นิ้วก่อนจะสร้างเชือกพระเวทขึ้นมาแล้วพันธนาการร่างของพิภพเอาไว้

“เพียงร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งไยมีฤทธิ์มากเช่นนี้!” ดารันสบถออกมา

“เพียงกลิ่นของปาริชาตท่านยังมีฤทธิ์เพียงนี้ ปล่อยไว้ไม่ได้…”

พูดจบยะษาก็ร่ายพระเวทเพื่อสะกดพลังราพสูรในกายของพิภพในทันที

เมื่อพิภพสงบลงในที่สุดเขาจึงออกคำสั่งให้ดารันไปรวบรวมร่างของทั้งสามคนที่ยังคงไม่ได้สติอยู่ที่พื้นที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก แต่ก่อนที่มือของแม่ทัพอสุรานั้นจะได้สัมผัสร่างบางของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่นั้น จู่ๆร่างของริชาก็หายวับไปในทันทีเหลือเพียงละอองแสงสีแดงลอยฟุ้งอยู่ ณ ตรงที่ริชาเคยนอนสลบ

“ไม่! ไอ้ศิคิน!” ยะษาตะโกนออกมาอย่างเดือดดาลก่อนจะพบว่าผู้ที่ยืนอยู่เบื้องหน้านั้นคือเทพอัคคีที่บัดนี้ไร้ซึ่งความเมตตาหากแต่แววตาเต็มไปด้วยโทสะ

“มองข้าเช่นนั้น เทพอัคคีพิโรธแล้วใช่หรือไม่” ไม่พูดเปล่า ยะษาส่งดวงจิตของอสูรจำนวนมากเข้าโจมตีศิคินในทันที พร้อมๆ กับร่ายพระเวทเรียกสายฟ้าให้ผ่าลงมาโจมตีโดยไม่สนว่าเหล่าอสุราจะได้รับบาดเจ็บจากการที่เขาโจมตีใส่ศิคินแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นดังนั้นศิคินจึงเหาะขึ้นไปกลางนภาในทันทีพร้อมๆ กับที่ยะษานั้นโจมตีโดยใช้ดวงจิตของเหล่าอสุราตามไปอย่างไม่ลดละ แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะเมื่อฝากให้พายะดูแลริชาแล้ว หน้าที่ของเขาในขณะนี้คือต้องช่วยสามคนที่เหลือจากยะษาให้ได้โดยต้องไม่ทำร้ายดวงจิตอสุราด้วยเช่นกัน

“เอาอย่างไรดีเล่าศิคิน หลบไปหลบมาเช่นนั้นจักช่วยผู้ใดได้…ชักช้าจะไม่ทันการเอาหนา”

เมื่อเห็นว่าโอกาสที่จะได้ตัวของริชานั้นคงจะเป็นไปได้ยากแล้ว เขาจึงต้องรักษาข้อได้เปรียบที่ว่าตอนนี้เขามีพิภพอยู่ในกำมือ

ยะษาที่ดูท่าแล้วว่าศิคินต้องไม่ยอมบุกทะลวงสังหารอสูรเข้ามาเป็นแน่ กระนั้นความคิดชั่วช้าบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัวทันที

“พวกเจ้าเกิดเป็นเทพสูงส่งปานนั้นเชียวหรือ แต่ไหนแต่ไรมาก็ต่างฆ่าพวกเราเป็นผักปลา แล้ววันนี้เกิดละอายกระไร!”

“ที่เจ้าพูดนั้นมิใช่เจ้าหรือที่ก่อสงครามระหว่างแดนทั้งสองจนผู้คนต้องรบรากันยะษา” เมื่อได้ฟังเทพอัคคีกล่าว ยะษาหัวเราะเบาๆ ในลำคอก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูง

“แล้วเป็นเจ้ามิใช่หรือที่ร่างอาบไปด้วยโลหิตของพวกเราชาวอสุรา เทพศิคิน…”

เขาแสยะยิ้มออกมาอย่างผู้มีชัยก่อนจะยื่นมือออกไป ร่างของวิษณุกับชมแพรจึงลอยขึ้นเหนือพื้นดิน พลางที่กลางอากาศก็ปรากฏกริชเล่มเล็กหลายสิบเล่มลอยอยู่ด้านหน้าของทั้งสองคนก่อนกริชนั้นจะขยับตามจังหวะการขยับมือของยะษา

ฉึก! เสียงของกริชปักลงที่บริเวณแขนและขาของชมแพรและวิษณุก่อนเลือดสีแดงสดจะไหลออกมาราวสายน้ำ

“ไม่!”

สิ้นคำของเทพอัคคีดั่งทุกอย่างพังทลายลง พระขรรค์ในมือปรากฏขึ้นในทันทีก่อนเขาจะทะยานร่างไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเข้าชนกับดวงจิตอสุรามากมายจนเกิดเป็นแรงระเบิดดังสนั่น ยะษายิ้มด้วยความสะใจเพราะในที่สุดศิคินก็ทนไม่ได้ที่จะเห็นผู้บริสุทธิ์โดนทำร้าย

ร่างของเทพอัคคีกระโจนถึงร่างของทิพยอสุราหนุ่มอย่างรวดเร็ว ก่อนทั้งสองจะเข้าต่อสู้กันโรมรันจนบังเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ

“เจ้ามันไม่หลงเหลือความดีงามในจิตใจบ้างเลยหรือ…” ศิคินตะโกนออกมาด้วยสุรเสียงดังสนั่นก่อนจะกระหน่ำออกแรงฟาดพระขรรค์ลงไปที่ยะษาที่สีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึกผิดใดๆ

“จิตใจที่ดีงามหรือศิคิน แล้วอย่างไร ข้าไม่ได้มาถึงจุดนี้ด้วยจิตใจที่ดีงามเสียหน่อย พูดไปเทพอย่างเจ้าจะมาเข้าใจพวกข้าได้อย่างไร…ดารัน!” ยะษาตะโกนอย่างสุดเสียงก่อนดารันที่หลบอยู่ด้วยพระเวทจะปรากฏกายขึ้นที่ข้างๆ ร่างของมนุษย์ทั้งสามคนที่ด้านล่าง

ศิคินที่เห็นดังนั้นก็พยายามจะเหาะลงไปในทันทีแต่ไม่ทันกาลเสียแล้ว เมื่อร่างของแม่ทัพแดนอสุราหายวับไปพร้อมกับร่างของพิภพ วิษณุ และชมแพรในทันที

เขาเหาะลงไปหยุดที่พื้นก่อนจะมองไปยังร่างของทิพยอสุราที่ลอยตัวอยู่ในอากาศ มันยิ้มที่มุมปากให้เขาแทนคำตอบก่อนร่างนั้นจะหายไปเช่นกัน

“วันนี้ข้ามีเรื่องที่ยังต้องไปทำอีกมาก เอาเวลาของเจ้ารีบไปรับทัณฑ์เสียศิคิน ไม่แน่ว่าอาจจะกลับออกมาทันข้าประกาศศึกก็เป็นได้!”

เสียงของยะษาดังก้องไปทั่วบริเวณ ทิ้งไว้เพียงเทพอัคคีที่บัดนี้คิ้วคมเข้มขมวดเข้าหากันและกรามที่ขบแน่นด้วยความอัดอั้นที่มีอยู่มากมายภายในใจ

 

 



Don`t copy text!