ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 14 : เป็นหนึ่งเดียว

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 14 : เป็นหนึ่งเดียว

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

 

ณ เมืองฟ้าวิมานของเทพอัคคีที่ขณะนี้ร่างของใครผู้หนึ่งกำลังสลบไม่ได้สติและอีกผู้หนึ่งที่กำลังร้อนใจจนนั่งไม่ติด ชายหนุ่มผู้สวมเกราะรบสีเงินยวงและผ้าพาดสีเดียวกันที่ไหล่ซ้ายเขาเดินวนไปวนมาภายในห้องก่อนจะมองไปยังร่างของริชาที่นอนอยู่บนเตียงทอง

พายะนิ่งไปครู่หนึ่ง หากแต่เพียงมองนิ่งไปยังใบหน้าที่แสนคุ้นเคยนั้น ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกบางๆ พลางความทรงจำมากมายก็หลั่งไหลกลับเข้ามาราวเพียงผ่านพ้นไปเมื่อวันวาน

“ผันผ่าน เนิ่นนานมิอาจนับปี บัดนี้เจ้ากลับคืนสู่ดาวดึงส์แล้วหนา…”

ดวงตาที่ร้อนผ่าวนั้นเมื่อสิ้นเสียงพึมพำนั้นขององค์วาโยพายะ ภายในห้องเล็กๆ ที่ถูกลงกลอนอย่างแน่นหนาที่อยู่ถัดเข้าไปด้านในห้องนอนก็บังเกิดเสียงสว่างสีแดงลอดผ่านช่องประตูออกมาจนเขาที่กำลังพินิจมองใบหน้าของริชาอยู่นั้นถึงกับต้องหันมองไปยังแสงสว่างสีแดงนั้นในทันที

เขาเดินตรงไปประตูด้วยความสงสัย หากทราบดีว่าด้านหลังประตูนั้นคือห้องพิธีแห่งวิมานเทพอัคคี แสงสว่างนั้นยังคงส่องแสงลอดผ่านประตูออกมา และเมื่อเขาสัมผัสพลังของบางสิ่งที่อยู่หลังประตูนั้นได้ เทพวาโยก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ชั่วขณะก่อนจะร่ายพระเวทเปิดประตูในทันที

ศิคินที่เพิ่งมาถึงยังวิมานของตนนั้น เมื่อเข้ามาในห้องของตนก็พบเพียงร่างของริชาที่นอนอยู่บนเตียงทอง เขาตรงเข้าไปดูเธอในทันทีก่อนจะพบว่าบาดแผลต่างๆ พายะเป็นคนรักษาให้เธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ไร้ซึ่งร่องรอยของบาดแผลใด เขาจึงมองไปรอบๆ ก่อนจะไม่พบแม้เงาของสหายคนสนิท แต่เมื่อได้ยินเสียงของกลอนประตูที่ดังขึ้นจากห้องด้านในสุด เทพอัคคีขณะนี้ดวงเนตรเบิกกว้างขึ้นด้วยความตกใจก่อนจะรีบหายองค์ไปยังบริเวณที่พายะอยู่ในทันที แต่ก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง

“ด้วยเหตุนี้พลังเทพของเจ้าจึงไม่เหมือนเดิมใช่หรือไม่ศิคิน…” เขาถามขึ้นเมื่อรับรู้ได้ถึงการมาของศิคินด้วยน้ำเสียงเรียบและนิ่งสงบของสหายที่มักจะครื้นเครงสนุกสนาน

“เราเพียงเตรียมไว้เผื่อต้องใช้เท่านั้น…”

“ถึงกับเตรียมแท่นผนึกอัคคีไว้เพื่อรักษาสมดุลของจักรวาลนี้…เจ้าตั้งใจจะทำถึงเพียงใดกันศิคิน”

พายะพูดพลางค่อยๆ หันหลังมาสบตาผู้เป็นเพื่อนช้าๆ โดยที่ด้านหลังของเขานั้นคือแท่นอัญมณีสีเพลิงที่บัดนี้ส่องแสงสีแดงและมีเปลวเพลิงลุกโชนออกมาเป็นจังหวะเหมือนรับรู้ได้ถึงการมาของผู้เป็นนาย

“เราเองก็ตอบไม่ได้พายะ”

แววตาที่มุ่งมั่นของศิคินนั้นแน่แท้แล้วว่าได้ตัดสินใจแล้ว “เราจะไม่ยอมให้เหตุการณ์มันกลับมาซ้ำรอยโดยที่เราทำได้เพียงจ้องมองโดยไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้เลย เราจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นอีก”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นพายะที่รู้แน่แล้วว่าเปลี่ยนใจศิคินไม่ได้จึงทำได้เพียงเดินตรงเข้าไปจับไหล่ของศิคินไว้แน่น

“แต่เรา สมุทราแลมหิธร จะไม่ยินยอมให้มันเกิดขึ้นหรือกระนั้น…” คำพูดที่ยากเกินกว่าจะกล่าวออกมานั้นทำให้พายะทำได้เพียงขบกรามแน่นก่อนจะมองไปที่สหายด้วยดวงตาแดงก่ำ

“หรือถึงกระนั้นก็ขอให้เป็นทางเลือกสุดท้ายเถิดศิคิน”

เจ้าของวิมานทำได้เพียงพยักหน้าเป็นคำตอบ ด้วยไม่สามารถพูดรับปากเขาได้เช่นกัน

“พายะ เรามีเรื่องอยากฝากฝังเจ้า ช่วงที่เราต้องไปที่ถ้ำทัณฑ์อัคคีขอฝากริชาด้วย ถึงอยู่ที่นี่นางจะปลอดภัยก็ตาม แต่ถ้าเรื่องที่เรานำนางขึ้นมาที่วิมานแพร่กระจายออกไปจะมิเป็นผลดี”

“เหตุใดต้องไปถ้ำทัณฑ์อัคคี…”

ยังไม่ทันที่จะได้ตอบนั้น ที่รอบข้อมือของศิคินก็ปรากฏอักขระสีแดงฉานขึ้น พายะที่เห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“เจ้าหนาเจ้า หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้…เราละอยากซัดหน้าไอ้ทิพยอสุรานั่นเสียจริง!” พายะกล่าวออกมาอย่างเหลืออด

“อีกทั้งเรื่องที่ห้องพิธีนั้นทั้งมหิธรและสมุทรา เรายังไม่อยากให้เจ้าพวกนั้นรู้เรื่องแท่นอัคคี เข้าใจหรือไม่” ศิคินกำชับพายะอีกครั้งก่อนคนโดนกำชับจะพยักหน้าอย่างขอไปที

“รู้แล้วๆ เราจะพยายามหากเจ้าสององค์นั้นรู้ขึ้นมา..เราคงได้เรื่องปวดหัวเพิ่มอีกเป็นแน่”

“เราฝากด้วยหนาพายะ…”

เทพวาโยพายะบัดนี้รู้สึกคิดหนักหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน ก่อนจะรีบกลับไปยังเขตแดนที่เขาพระสุเมรุในทันที

ภายในวิมานเงียบสงัด บางคราแว่วเสียงของระฆังแก้วมาตามสายลมอ่อนๆ ที่พัดมาอย่างเย็นกายละอองสีทองสลับแดงที่ลอยฟุ้งบางๆ อยู่ในอากาศนั้นเกิดจากรัศมีเทพของผู้เป็นเจ้าของวิมาน บนตั่งเตียงทองบัดนี้ร่างของหญิงสาวที่ยังคงหลับตานิ่งสนิท

ศิคินทรุดตัวลงนั่งที่ข้างๆ ริชาก่อนจะจับมือเธออย่างทะนุถนอม เขาลูบมือบางนั้นอย่างแผ่วเบาก่อนจะมองไปยังเธอด้วยสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย อักขระที่ข้อมือของเขาเรืองแสงสีแดงขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณบอกว่าเขานั้นต้องไปแล้ว

“อยู่ที่วิมานนี้เ จ้าจักปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง เช่นนั้นก็จงหลับให้สบายเถิดริชา…”

เขากล่าวพลางก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของเธออย่างแผ่วเบาและเนิ่นนาน เมื่อได้เวลาที่ศิคินต้องเดินทางไปที่ถ้ำใต้เชิงเขาไกรลาสแล้วนั้น พระเวทของเทพอัคคีก็ถูกร่ายขึ้นอีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันวิมานโดยมีเพียงพายะ สมุทรา และมหิธรเท่านั้นที่สามารถข้ามผ่านม่านพระเวทที่ป้องกันวิมานนี้เข้าไปได้

เมื่อมาถึงที่บริเวณทางเข้าที่ถูกปิดด้วยประตูหินขนาดใหญ่ เมื่อยามมันสัมผัสกับอักขระที่รอบข้อมือของเทพอัคคี แรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นพื้นพสุธาก็ดังขึ้นจนแม้แต่สหายทั้งสามที่ชายแดนพิภพสวรรค์ที่เชิงเขาพระสุเมรุยังรับรู้ได้

อัคคีเทพยามก้าวผ่านบานประตูหินนั้นเข้าไป แสงสว่างจากหินเหลวร้อนก็ปะทุขึ้นในทันที ศิคินหาได้เกรงกลัวกับทัณฑ์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ มีเพียงสิ่งเดียวที่ตอนนี้เขาเป็นกังวลยิ่งนักนั่นคือ จะทำอย่างไรไม่ให้ตนต้องเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์ของริชาอีก

เมื่อถึงใจกลางของถ้ำทัณฑ์อัคคีนั้น เขาจึงนั่งขัดสมาธิลงก่อนแล้วจึงหลับตาตั้งจิตมั่น

“ทิพย์สุคนธา…”

ในความทรงจำที่ผุดขึ้นมานั้นร่างของเทพธิดาที่แสนคุ้นตากำลังหลับตาสนิทอยู่ที่ใต้ต้นปาริชาตใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงเรียกนั้นเจ้าของนามที่แสนไพเราะนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะยิ้มให้ศิคินอย่างอ่อนหวาน

“เหตุใดข้านั้นจึงเป็นเหตุให้เจ้าต้องพบกับความทุกข์ทนอยู่เรื่อยไป”

เขาพึมพำกับหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าหากแต่ไร้ซึ่งคำตอบใด สุรเสียงของอัสนีผ่าลงมาที่เขาก็ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสายพร้อมด้วยความร้อนของไฟลาวาที่ถาโถมเข้ามาพร้อมๆ กัน ศิคินกำมือทั้งสองแน่นด้วยความเจ็บปวดและกรามที่ขบเข้าหากันเพื่อไม่ให้เสียงใดเล็ดลอดออกมา

ริชาที่นอนนิ่งอยู่ภายในห้องแต่แรกนั้นจู่ๆ เหมือนดั่งว่ารับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของศิคินผ่านทางแต้มอัคคีที่ฝ่ามือ ร่างที่ไม่ได้สติของริชานั้นจึงเริ่มพลิกไปพลิกมาในทันทีด้วยความเจ็บปวดพร้อมๆ กันกับที่เทพอัคคีกำลังต้องทัณฑ์

ร่างของริชากำลังดิ้นไปมาบนเตียงด้วยความเจ็บปวดนั้นไม่นานก็สงบพร้อมๆ กับที่ปรากฏแสงสว่างสีขาวนวลส่องลงมาจากเบื้องบน ก่อนจะปกคลุมทั่วร่างกายของเธออยู่ครู่หนึ่ง

“ธิดาแห่งเรา…” เสียงแว่วหวานดังออกมาจากแสงสว่างสีขาวนวลนั้น ก่อนสีหน้าที่เดิมเคยเจ็บปวดของริชาจะหายไปในที่สุด

“เพื่อสิ้นสุดกรงกรรมนี้ เพียงหลับฝันเท่านั้น…”

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและเมตตานั้นดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ สลายกลายเป็นละอองสีขาวระยิบระยับปกคลุมไปทั่วร่างกายของริชา และบริเวณภายในห้องนั้นเหมือนดั่งดวงดารานับร้อยนับพัน

เมื่อผ่านพ้นความเจ็บปวดนั้น ในจิตของริชาบัดนี้บังเกิดห้วงฝันอีกครั้ง สัมผัสที่ชัดเจนที่ฝ่าเท้านั้นแม้จะกำลังเหยียบย่างอยู่บนพื้นหญ้าสีเขียวขจีหากแต่อ่อนนุ่มราวผืนผ้าไหมเนื้อดี ยามมองไปรอบๆ นั้นช่างแสนคุ้นตาด้วยกลิ่นหอมประหลาดที่หญิงสาวมักได้กลิ่นเสมอเมื่อยามฝันถึงสถานที่เดิมอยู่ซ้ำไปซ้ำมา

“สวนนี้อีกแล้ว…”

ริชาพึมพำก่อนจะมองไปรอบๆ ที่ดอกไม้นานาพรรณสีสันและรูปร่างที่ดูประหลาดแต่งดงามนั้นช่างแตกต่างกับบรรดาดอกไม้ที่ร้านของเธอเป็นอย่างมาก กลีบดอกที่งดงามดั่งแก้วมณีที่มีละอองเกสรสีต่างๆ ตามสีของกลีบดอกนั้นยังคงทำให้คนมองเห็นใจเต้นระรัวได้อยู่เสมอ

“สวยจัง…”

ปากพูดไปพลางเดินชมสวนงามนี้ไปเรื่อยๆ อย่างเพลิดเพลิน จนกระทั่งมาถึงต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ที่ ณ ใจกลางอุทยานนี้ แสงสีทองเรืองรองที่ส่องสว่างออกมาจากลำต้นและกิ่งก้านนั้นช่างแสนงดงามจับตา

เมื่อยามเดินเข้ามาที่ใต้ต้นไม้นั้น ริชามองขึ้นไปเพื่อสำรวจดูว่าแท้จริงแล้วนั้นใบของมันมีสีเงินสลับทองทั้งต้น ช่างเป็นต้นไม้ที่สวยวิจิตรเสียจนริชาอดไม่ได้ที่จะค่อยๆ ยื่นมือไปสัมผัสลำต้นของมันอย่างเบามือ

“นามนั้นคือต้นปาริชาต…” เสียงของหญิงสาวที่ดังขึ้นจากทางด้านหลังนั้นทำให้ริชาที่กำลังใช้มือสัมผัสลำต้นของมันตกใจอยู่ไม่น้อยก่อนจะรีบดึงมือกลับ

“ต้องขออภัยด้วยนะคะที่ฉันเข้ามาที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต”

ริชาพูดพลางค่อยๆ หันกลับไปด้านหลังช้าๆ เมื่อเห็นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าอย่างถนัดตานั้นเหมือนดั่งมีสายฟ้าที่ฟาดลงมาที่เธอในทันทีจนทำให้ร่างกายนี้ชาจนไร้ซึ่งความรู้สึกใด

ใบหน้าที่งดงามอ่อนเยาว์นั้นได้สัดส่วนทั้งดวงตา จมูก และริมฝีปากบางดั่งกลีบผกา รอยยิ้มที่อ่อนหวานนั้นงามเสียจนดอกไม้ต่างๆ ในอุทยานมิอาจเทียบเทียม แต่กระนั้นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของริชานั้นกลับมีใบหน้าเหมือนกับริชาทุกประการ เหมือนดั่งว่าตอนนี้กำลังมองเงาสะท้อนของตนในกระจกใสก็ไม่ปาน

“พบกันเสียที”

“คุณเป็นใครกัน” คิ้วที่ขมวดเข้าหากันของริชานั้นดั่งเงาสะท้อนไปยังหญิงสาวผู้นั้นเพราะเธอก็กำลังขมวดคิ้วเช่นกัน

“ไยถามเช่นนั้น…”

หญิงสาวที่มีใบหน้าเหมือนกับริชาถามขึ้นก่อนจะค่อยๆ ก้าวเข้าหาริชาทีละก้าว ทีละก้าว ทำให้ร่างของริชาขยับเข้าหาเธอด้วยเช่นกัน

“เดิมทีแล้วข้าเองก็คือเจ้า แลเจ้าเองก็คือข้า…จะทิพย์สุคนธาหรือริชาจะเรียกอย่างใดก็คือหนึ่งเดียวกันเสมอมา”

เธอพูดด้วยเสียงกังวานหวานก่อนที่ทั้งสองจะค่อยๆ ยื่นมือออกมาสัมผัสกัน ร่างกายของทั้งสองคนก็ค่อยๆ เรืองแสงสว่างสีแดงออกมาเช่นเดียวกับที่ต้นปาริชาตส่องแสงสว่างเรืองรองไปทั้งอุทยานบุณฑริกวัน (1) 

“ถึงเวลาที่เจ้าต้องจดจำให้ได้เสียที…ต้นเหตุอันก่อให้เกิดกงล้อแห่งโชคชะตานี้!”

 

เชิงอรรถ :

(1) หนึ่งในอุทยานบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่สถิตของต้นปาริชาต

 

 



Don`t copy text!