ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 15 : ทิพย์สุคนธา

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 15 : ทิพย์สุคนธา

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งบรรพกาลไม่อาจนับปี เมื่อครั้งหลังความโกลาหลแห่งพิธีกวนเกษียรสมุทรจบสิ้นลง ณ วิมานทิพย์นามไวกูณฐ์นั้นเป็นวิมานแห่งองค์พระนารายณ์แลพระนางลักษมีเทวี

ร่างอรชรของพระเทวีบัดนี้กำลังบำเพ็ญสมาธิอยู่ภายใต้ท้องนภาใสสกาวและหมู่ดาวดารามากมาย แต่กระนั้นความงามของสิ่งเหล่านั้นก็หาเทียบเทียมกับพระมหาเทวีลักษมีได้ไม่

เหตุที่พระองค์จำต้องเข้าฌานสมาธิอยู่แต่เพียงผู้เดียวนั้น ด้วยเหตุวุ่นวายเมื่อไม่กี่ยามที่ผ่านมาจู่ๆ แดนฟ้าดาวดึงส์ก็เกิดแรงสั่นสะเทือนประหลาด ตลอดจนดวงดาราที่หมดอายุขัยบนฟากฟ้าที่พากันมอดไหม้สีแดงฉาน

ดวงเนตรงดงามที่ปิดสนิทอยู่นั้นจึงค่อยๆ ลืมขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะมองไปยังด้านหน้าของตนที่ปรากฏดอกไม้สีแดงดอกหนึ่งลอยตัวอยู่ รอยยิ้มที่แสนอบอุ่นนั้นคลี่ออกมาน้อยๆ อย่างงดงามเมื่อมองไปยังดอกปาริชาตที่ลอยอยู่เบื้องหน้าพระองค์

“เหตุใดกันหนาเจ้าจึงไม่ร่วงโรย…เจ้าดอกปาริชาตน้อย”

ดั่งว่าเจ้าดอกไม้น้อยนั้นสามารถรับรู้ได้ถึงพระเมตตาที่มหาเทวีมีให้ตน เมื่อละอองสีแดงลอยฟุ้งออกมาจากเกสรด้านในและกลีบดอกที่ขยับไปมาช้าๆ ราวกำลังตอบรับคำของพระเทวีลักษมี

“รู้ความเช่นนี้ มีเจ้าข้าจึงคลายเหงาลงได้บ้าง”

พระนางพูดพลางค่อยๆ แบฝ่ามือออกก่อนที่ดอกปาริชาตนั้นจะค่อยๆ ลอยมาที่ฝ่ามือของพระองค์อย่างว่าง่าย แต่แล้วในครั้งนี้กลับไม่เหมือนดั่งเช่นทุกครั้ง แสงสีแดงฉานส่องสว่างกว่าทุกครั้งและละอองแสงสีทองเจิดจ้าสว่างไสวไปทั่วบริเวณ

ชั่วพริบตานั้นเจ้าดอกไม้น้อยที่อยู่ในฝ่ามือของพระองค์ก็ลอยขึ้นไปบนอากาศช้าๆ แสงสว่างสีแดงสลับสีทองนวลตานั้นเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง และบางสิ่งก็บังเกิดขึ้น จากดอกไม้ดอกน้อยบัดนี้บังเกิดเป็นรูปร่างของเทพธิดาวัยแรกแย้มองค์หนึ่ง

ดรุณีน้อยนั้นล่องลอยอยู่กลางอากาศชั่วขณะ และเมื่อพระนางลักษมีเห็นดังนั้นก็ใช้พลังของตนรับเทพธิดาองค์นั้นลงมาในทันที ร่างที่ไร้สตินั้นซบลงที่ตักของพระนางอย่างน่าเอ็นดูด้วยใบหน้างดงามพริ้มเพรา

“ตื่นเถิดหนาเจ้าปาริชาตดอกน้อย”

สุรเสียงแว่วหวานนั้นทำให้ดวงตาที่เคยปิดสนิทบัดนี้ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ ดวงหน้าหวานที่ซบอยู่ที่ตักนุ่มนั้นค่อยๆ ขยับน้อยๆ ก่อนจะมองขึ้นไป สิ่งแรกที่นางเห็นนั้นคือรอยยิ้มที่แสนคุ้นเคยนั่นเอง

“พระศิริลักษมีหรือเจ้าคะ”

เจ้าปาริชาตน้อยที่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ ด้วยความมึนงง แล้วจึงมองสำรวจไปทั่วไล่ไปตามร่างกายของตนไม่ว่าจะเป็นนิ้วมือ แขนขา และเสื้อผ้าอาภรณ์ณ์ที่ตนสวมใส่

“มันเกิดกระไรขึ้นเจ้าคะ ทำไมข้าจึง…”

“หามีผู้ใดหาคำตอบได้ เมื่อโชคชะตาลิขิตให้เจ้าถือกำเนิดแล้ว ทิพย์สุคนธา…”

เมื่อได้ฟังดังนั้นพระนางจึงประทานนามที่แสนไพเราะนั้นให้แก่เจ้าดอกปาริชาตน้อยด้วยใบหน้าที่งดงามอีกทั้งกลิ่นกายที่หอมระรินนี้

ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใดนั้น แสงสว่างสีขาวก็ส่องสว่างขึ้นก่อนจะปรากฏร่างสีทองทอประกายงดงามขึ้นห่างไปไม่ไกลนัก พระนางที่กำลังแย้มยิ้มกับทิพย์สุคนธาอยู่จึงรีบหมอบกราบลงในทันทีเช่นเดียวกันกับที่เจ้าดอกปาริชาตน้อยจะรีบหมอบราบกราบลงที่พื้นเช่นกัน

“ลุกขึ้นเถิดน้องหญิง แลเจ้าด้วยทิพย์สุคนธา”

“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะพระองค์ เกิดอันใดขึ้นที่ดาวดึงส์เจ้าคะ”

รอยยิ้มคลี่ออก ก่อนพระนารายณ์จะส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบให้กับพระเทวีของพระองค์

“เจ้าวางใจเถิด…เรื่องน่ายินดีนัก บัดนี้นั้นจตุรเทพจะมิขาดเทพอัคคีแล้วหนา…”

“อย่างไรเจ้าคะ”

“ก็ด้วยแรงสั่นสะเทือนเมื่อเช้าแลยังดวงดาราที่มอดม้วยแดงฉานนั้น คือการกำเนิดของเทพอัคคีที่แท่นอัคคีอย่างไรเล่าพระลักษมี”

น้ำเสียงยินดียิ่งนั้นทำให้ทั้งสองที่ฟังอยู่อดยิ้มตามเป็นไม่ได้ ทิพย์สุคนธาที่พยายามคิดตามคำบอกเล่านั้นจึงมองขึ้นไปยังบนฟากฟ้าทันที เพื่อมองหาดวงดาราสีแดงฉานตามคำบอกเล่าขององค์พระนารายณ์

“มิเห็นดอกเจ้าทิพย์สุคนธา แต่อีกไม่นานคงจักได้เห็นอยู่บ้าง ด้วยก็เป็นกิจสำคัญอีกประการของเทพอัคคี”

“เจ้าค่ะ แล้วอยู่ที่ใดเจ้าคะ” ทิพย์สุคนธาถามขึ้นด้วยความสงสัย ด้วยตนเองก็ถือกำเนิดในวันนี้เช่นกัน

“ไพชยนต์ปราสาท องค์อมรินทร์คงอบรมเขาได้ดีกว่าเรานัก”

“อย่าพูดเช่นนั้นเลยเจ้าค่ะ เพียงพระองค์และหม่อมฉันนั้นต้องบำเพ็ญสมาธิอยู่ที่บัลลังก์อนันตนาคเสียแทบตลอดเวลา เจ้าเองก็เช่นกันทิพย์สุคนธา…”

เพียงสิ้นประโยคเท่านั้นก็ปรากฏนางอัปสรมากมายขึ้น และมีนางอัปสรนางหนึ่งที่บังเกิดขึ้นไม่ห่างกายทิพย์สุคนธา

“นางชื่อ มาลัยแก้ว จะมาช่วยดูแลลูกในยามที่พ่อแลแม่ต้องเข้าฌานสมาธิ เจ้าต้องเชื่อฟังนางเหมือนที่เชื่อฟังแม่เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ…” ทิพย์สุคนธารับคำเสียงดังฟังชัดก่อนจะยิ้มให้กับมาลัยแก้วอย่างงดงาม

 

กาลเวลาผันผ่านไปนานหลายร้อยปีไม่อาจนับ พระนางลักษมีและพระนารายณ์นั้นมองทิพย์สุคนธาเป็นดั่งบุตรีด้วยความรักและความเอ็นดูยิ่ง และได้เลี้ยงนางให้เติบใหญ่ขึ้นมา ณ วิมานไวกูณฐ์

ด้วยทั้งสองพระองค์นั้นต้องบำเพ็ญสมาธิและบารมีอยู่แทบจะตลอด จึงมีเพียงมาลัยแก้วที่อยู่ข้างกายทิพย์สุคนธาเท่านั้นท่ามกลางเหล่าเทพธิดารับใช้มากมาย

ณ ตำหนักฝ่ายในที่มีเพียงนางกำนัลอัปสรที่คัดแล้วด้วยมาลัยแก้วเท่านั้น ต่างกำลังช่วยกันดูแลความเรียบร้อยของวิมานอย่างเคร่งครัด ด้วยอีกไม่กี่ยามนั้นจะต้องรับการมาเยือนของแขกสำคัญอย่างธิดาของพญาสุบรรณและธิดาของพญาวาสุกรีที่จะขึ้นมาเรียนรู้พิธีการต่างๆ กับบุตรีเจ้าของวิมาน

มาลัยแก้วเดินไปเดินมาภายในโถงทางเดิน ก่อนจะมองหาผู้เป็นนายของตนอย่างร้อนใจ

“ไปอยู่ที่ใดกันหนา…” นางพึมพำก่อนจะมองออกไปที่ลานกว้างที่ศาลาทองกลางสวนก็พบกับเทพธิดาที่นางตามหา

“อยู่ที่นี่เององค์ทิพย์สุคนธา ข้ากรองมาลัยเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ รอองค์ท่านไปชม”

หญิงสาวในอาภรณ์สีทองที่บัดนี้กำลังหลับตานิ่งสนิทอยู่บนอาสนะไร้ซึ่งการตอบกลับใด มาลัยแก้วที่เห็นดังนั้นจึงเงียบเสียงลงก่อนจะคุกเข่าลงที่ข้างๆ ทิพย์สุคนธาที่ยังคงหลับตานิ่งสนิทอยู่

“องค์ทิพย์สุคนธาเจ้าขา…จวนจะได้เวลาแล้วหนาเจ้าคะ”

ไร้ซึ่งคำตอบใดจากริมฝีปากบางที่บัดนี้ดวงเนตรยังคงปิดสนิท ดวงหน้าหวานบัดนี้ยังคงนิ่งขรึมพลางคิ้วงามจึงขมวดเข้าหากันเป็นปมยามรับรู้ได้ถึงการมาถึงของใครผู้หนึ่ง

“ลืมตาได้แล้วเจ้าจอมแก่น มาลัยแก้วเรียกมิได้ยินหรืออย่างไร”

เสียงเข้มของบุรุษดังขึ้นพร้อมๆ กับแสงสว่างสีเงินยวงที่ส่องแสงสว่างไปทั่ว และคนถูกเรียกว่าเจ้าจอมแก่นก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วจึงเอียงคอมองผู้มาเยือน

“องค์พายะ…” มาลัยแก้วกล่าวอย่างลนลานก่อนจะก้มลงกราบที่พื้น

“เราคนกันเองหนามาลัยแก้ว เราเพียงไปตามนายเจ้าที่ไปเที่ยวเล่นมาเท่านั้น”

เทพวาโยกล่าวพลางมองไปที่ทิพย์สุคนธาที่นั่งทำตาโตมองมาที่เขาด้วยความเอ็นดู แต่ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ ในท่าทางที่แสนยียวนของคนเป็นน้อง

“หนีไปตอนไหนหรือเจ้าคะ หม่อมฉันก็เห็นองค์ท่านอยู่ที่ศาลาตลอด…”

ทั้งสองคนมองมาลัยแก้วก่อนจะหันมาสบตากันแล้วจึงหัวเราะออกมาเบาๆ นั่นยิ่งทำให้นางอัปสรประจำข้างกายของทิพย์สุคนธางวยงงเข้าไปใหญ่

“เราถอดร่างจิตเทพได้แล้วมาลัยแก้ว!” ทิพย์สุคนธากล่าวอย่างตื่นเต้น

“แต่กระนั้นอย่างที่ข้าบอกไว้จำได้หรือไม่ หากไม่จำเป็น…”

“หากไม่จำเป็น…พลังเทพของข้ายังมิกล้าแข็งต้องขยันหมั่นบำเพ็ญจึงจะสามารถใช้ร่างจิตเทพนั้นได้บ่อยครั้งและนานขึ้น หากยังดื้อดึงฝืนใช้ทั้งที่พลังเทพยังไม่กล้าแข็งจะทำให้จิตเทพบาดเจ็บได้ ข้าท่องขึ้นแล้วใจแล้วเจ้าค่ะองค์วาโย…พา…ยะ”

นางลากเสียงยาวพลางลุกขึ้นแล้วจูงมือมาลัยแก้วออกมาจากศาลาในทันที พายะที่เห็นดังนั้นก็เผลอยิ้มออกมาด้วยความเอ็นดูทิพย์สุคนธายิ่งนัก

ด้วยหลายปีมานั้นการเข้าออกวิมานไวกูณฐ์สุดแสนจะเข้มงวดยิ่งนัก มีเพียงผู้ได้รับอนุญาตหรือบรรดาเหล่าเทพที่เข้ามาสอนสั่งวิชาให้ทิพย์สุคนธาเท่านั้นจึงสามารถเข้าออกวิมานได้อย่างสะดวกดาย

องค์พายะ หนึ่งในแม่ทัพทั้งสี่แห่งแดนสวรรค์ผู้ถูกสอนสั่งด้วยองค์อมรินทร์นั้นเก่งกาจเป็นที่เลื่องลือนักจึงได้รับหน้าที่ในการสั่งสอนพระเวทและวิชาต่างๆ ที่สมควรแก่บุตรีผู้ครองวิมานไวกูณฐ์นั้นเอง

“มาลัยงานวันนี้หรือ…”

พายะถามขึ้น เมื่อเจ้าของมืองามกำลังจับมาลัยกรขึ้นมาพินิจอย่างละเอียดลออ

“เจ้าค่ะ แขกไม่มากนักจึงให้เหล่านางอัปสรช่วยกันร้อยขึ้นถวาย รวมถึงให้กับผู้ติดตามของทั้งองค์สุบรรณแลองค์วาสุกรีเจ้าค่ะ”

พายะเงียบไปครู่หนึ่ง ด้วยในการพบปะครั้งนี้นั้นหาได้มีเพียงพิธีมาส่งธิดาของทั้งสองที่วังไวกูณฐ์เท่านั้น

“ทิพย์สุคนธา…” น้ำเสียงจริงจังที่เมื่อคนถูกเรียกได้ยินครั้งใดก็ทราบได้ทันทีว่าพายะนั้นมีกิจธุระให้นางต้องไปทำอีกเป็นแน่

“มาลัยแก้ว มาลัยนี้ใช้ได้แล้ว เดี๋ยวบอกให้ทั่วกันนะว่าร้อยตามนี้ได้เลย”

“เจ้าค่ะ…” เหมือนดั่งรู้หน้าที่ เมื่อได้ยินดังนั้นมาลัยแก้วก็ลุกออกไปจากที่ตรงนั้นในทันที เหลือเพียงองค์พายะและทิพย์สุคนธาเท่านั้น คิ้วงามขมวดเข้าหากันอีกครั้งก่อนคนเป็นพี่จะทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ เป็นคำตอบ

“เจ้าแจ้งแก่มณีดาราได้หรือไม่ งานวันนี้นั้นไม่ใช่เพียงส่งบุตรีของทั้งสององค์เท่านั้น”

เสียงถอนหายใจขององค์ทิพย์สุคนธาดังขึ้นในทันที ด้วยทราบดีว่าเหตุใดองค์พายะจึงมิไปบอกเจ้าของนามมณีดาราด้วยองค์เอง

“พวกท่านนั้นหนา เหตุใดจักต้องใช้พลังเทพพยากรณ์ของนางแต่มิใส่ใจให้ดี บอกนางกระชั้นเช่นนี้อย่าว่าแต่องค์พี่เลยเจ้าค่ะ น้องเองต้องโดนมณีดาราเอ็ดเป็นแน่”

“หากเป็นน้อง…นางหรือจะกล้าเอ็ด แต่ถ้าหากเป็นพวกพี่ก็มิแน่…อย่าถอนหายใจเช่นนั้นเจ้าปาริชาตน้อย เป็นธุระให้พวกข้าเถิดแล้วจะ…”

หลังจากที่เมินหันหลังให้ผู้เป็นพี่อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้ยินเหมือนดั่งว่าเทพวาโยจักมีข้อแลกเปลี่ยนเจ้าจอมแก่นก็หูผึ่งในทันที

“แล้วจะ…” ทิพย์สุคนธาทวนคำ

“แล้วข้าจะให้ศิคินสอนพระเวทที่เจ้าสามารถไปชมดวงดาราที่สิ้นอายุขัย ยอมให้เขาไปส่งดวงดาราเหล่านั้นแบบใกล้ๆ ในลานพิธีได้เลย”

รอยยิ้มที่ปรากฏบนในหน้างดงามนั้นแย้มยิ้มออกมาในทันทีด้วยความพึงพอใจ ด้วยพิธีดังกล่าวนั้นมีเพียงเทพอัคคีเท่านั้นที่สามารถอยู่บนลานพิธีได้

เล่าขานกันว่าในทุกหลายร้อยปีจะมีครั้งหนึ่งซึ่งดวงดารามากมายนับร้อยนับพันหมดอายุขัยอย่างพร้อมเพรียงกัน ทำให้ต้องใช้พลังอัคคีมหาศาลในการร่ายส่งดวงดาวเหล่านั้น และอีกไม่นานนับจากนี้ก็จะถึงพิธีที่ว่านั้น นอกเหนือจากดอกไม้นานาพรรณในอุทยานบนแดนสวรรค์แล้วนั้น

ดวงดาวก็เปรียบดั่งดอกผกาที่ประดับอุทยานบนฟากฟ้ายาวราตรี ที่ไม่ว่ามองยามใดก็งดงามไม่แพ้กัน

“เช่นนั้น ข้าไปวิมานของมณีดารานะเจ้าคะ”

ยังไม่ทันสิ้นคำด้วยน้ำเสียงสดใสนั้น ก็ทราบได้ในทันทีว่าทิพย์สุคนธากำลังมีความสุขเพียงใดแต่กลับกันที่พายะทำได้เพียงกลืนน้ำลายฝืดๆ ลงคอเท่านั้น ด้วยตนก็ทราบดีว่าสหายรักของตนจะกล่าวเช่นไรเมื่อทราบถึงเรื่องที่ตนได้รับปากไปแล้ว

เพียงชั่วอึดใจร่างบางก็ปรากฏขึ้น ณ วิมานแห่งหนึ่ง เมื่อรับรู้ถึงการมาของทิพย์สุคนธานางอัปสรผู้รับใช้เจ้าของวิมานก็เร่งรุดออกมาต้อนรับนางในทันที

“องค์ทิพสุคนธา…”

“อย่ามากพิธีเลย เรามาหามณีดารา”

สีหน้างุนงงของนางอัปสรฉายชัดขึ้นก่อนจะมองไปยังเจ้าวิมานไวกูณฐ์ด้วยความสับสน

“มิอยู่…”

“มิอยู่แล้วเจ้าค่ะ หากแต่เพียงองค์มณีดารากล่าวว่าจะไปยังวิมานไวกูณฐ์เจ้าค่ะ เมื่อครู่องค์พสุธามหิธรเพิ่งมาเชิญเจ้าค่ะ”

เสียงถอนหายใจของทิพย์สุคนธาที่ดังขึ้น ทำให้นางอัปสรใจหลุดลงไปที่ตาตุ่มในทันที จึงรีบหมอบกราบลงที่พื้น

“มิใช่ความผิดเจ้า ไปเถอะเราจะกลับแล้ว”

พูดจบร่างของทิพย์สุคนธาก็หายไปจากบริเวณนั้นในทันที เหลือเพียงละอองเทพสีแดงบางๆ เท่านั้น ด้วยใจที่สับสนไปช่วงขณะและด้วยกำลังนึกโมโหเหล่าสี่แม่ทัพเทพอยู่ไม่น้อย ที่เหตุใดไม่พูดจากันให้รู้ความว่าผู้ใดจะเป็นผู้กล่าวเชิญเทพผู้ทำนายชะตาอย่างองค์มณีดารา

“กิจข้ามีน้อยหรืออย่างไร จึงต้องให้ข้าเทียวไปเทียวมาเช่นนี้”

ทิพย์สุคนธาพึมพำอยู่เช่นนั้นก่อนร่างของนางจะปรากฏ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ลานกว้างเงียบสงัดที่บัดนี้ปรากฏวิมานงามประดับรัตนมณีสีแดงเพลิง รัศมีเทพสีแดงฉานนั้นลอยละล่องออกมากระจัดกระจายในมวลอากาศโดยรอบ เพียงเจ้าดอกปาริชาตน้อยมองปราดเดียวก็ทราบในทันทีว่าคือวิมานของผู้ใด

หากแต่นางกลับนึกฉงนยิ่งนักว่า เหตุใดทุกครั้งที่ไม่ได้ตั้งจิตให้มั่นแล้วใช้พระเวทหายองค์ ตนมักจะมาโผล่ที่นี่เสมอ

“เหตุใดข้าต้องมาที่นี่อีกแล้ว…”

นางพึมพำพลางหันหลังกลับในทันที แต่ยังไม่ทันจะได้ใช้พระเวทเพื่อกลับไปยังวิมานไวกูณฐ์นั้นเสียงของเจ้าของวิมานก็ดังขึ้น

“ผู้ใดมาทำลับๆ ล่อๆ ที่หน้าวิมานข้ากันหนา…”

น้ำเสียงยียวนผสมรวมเข้ากับอารมณ์โมโหเหล่าสี่แม่ทัพเทพเป็นทุนเดิมของทิพย์สุคนธานั้น ร่างบางถอนหายใจยาวอีกครั้งเพื่อสะกดอารมณ์ก่อนจะค่อยๆ หันหลังกลับไปหาเจ้าของวิมานช้าๆ

“นึกว่าผู้ใดกัน ทิพย์สุคนธาเป็นเจ้าอีกแล้วหรือ”

เทพอัคคีกล่าวขึ้นพลางยิ้มให้ทิพย์สุคนธาด้วยท่าทีอารมณ์ดี ทำให้คนที่หัวเสียอยู่เป็นทุนเดิม ฟางเส้นสุดท้ายของการเก็บงำสีหน้าไม่พอใจก็ขาดลงในทันที

“ข้าเองเจ้าค่ะ องค์อัคคี…แลกำลังจะกลับ”

นางยิ้มให้เขาเล็กๆ หากแต่ดวงตาบึ้งตึงก่อนจะหันหลังกลับในทันที ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงรีบหายองค์มาอยู่ที่ด้านหน้าของทิพย์สุคนธาอย่างรวดเร็ว

“จะกลับไวกูณฐ์แล้วเหตุใดมาที่วิมานข้า”

“เจ้าค่ะ ข้าเพียงมาพบมณีดาราแต่องค์มหิธรมาเชิญก่อนหน้าแล้ว…ข้าจึงกำลังจะกลับไวกูณฐ์เจ้าค่ะ” นางตอบเสียยืดยาวแต่นั่นก็หาใช่คำตอบที่ศิคินถามไม่

ในใจคิดหาคำตอบมากมายวกวนไปมา ด้วยนับได้หลายครั้งหลายคราที่ตนจู่ๆ ก็มาโผล่ที่หน้าวิมานของศิคินอย่างไม่รู้ตัวเช่นนี้ ทิพย์สุคนธาเงยหน้ามองศิคินเล็กๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบสิ่งใดออกไปเสียจนเทพอัคคีที่รู้สึกได้เช่นกันว่ากำลังทำให้คนตรงหน้าตนรู้สึกอึดอัด

“เอาเถิด…กลับไวกูณฐ์ของเจ้ากัน อีกไม่กี่เพลาองค์สุบรรณแลองค์วาสุกรีก็จักมาถึงแล้วมิใช่หรือ”

ศิคินยกมือขึ้นโบกครั้งหนึ่งเพื่อร่ายพระเวทหากทิพย์สุคนธากำลังจะอ้าปากค้าน แต่เพียงสิ้นคำพูด ร่างกำยำของชายที่อยู่ตรงหน้าและร่างบางของหญิงสาวก็หายวับไปในทันที เหลือเพียงละอองเทพของพวกเขาเท่านั้นที่ลอยฟุ้งบางๆ อยู่ในอากาศ

 

“ก็เพราะพวกท่านอย่างไรข้าจึงต้องเทียวไปเทียวมาเช่นนี้”

น้ำเสียงที่เจือไปด้วยความไม่สบอารมณ์ดังขึ้นไม่ไกลนักจากศาลาทองที่บัดนี้ พายะ มหิธร สมุทรา และมณีดารากำลังนั่งเสวนากันอยู่อย่างออกรส เมื่อได้ยินเสียงนั้นจึงเงียบลงก่อนจะพบร่างที่แสนคุ้นตาของเทพสององค์ที่ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กัน

ศิคินและทิพย์สุคนธาบัดนี้คิ้วงามสองข้างผูกเป็นปมอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสังเกตเห็นพายะและมหิธรที่กำลังนั่งคุยกับมณีดาราอยู่นางก็อ่อนลงในทันที แล้วจึงเดินตรงไปยังศาลาทองตามด้วยเทพอัคคีที่ยังคงใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่เสมอ

“ทิพย์สุคนธา เหตุใดจึง…” มณีดาราทักทายขึ้นพลางถามไปถึงเทพอัคคีที่เดินตามนางมาติดๆ

“ไม่มีกระไร เพียงบังเอิญพบระหว่างไปหาเจ้าที่วิมาน”

ทิพย์สุคนธาที่พอพูดจบก็หันไปมองค้อนคนเป็นพี่ที่อยู่ข้างๆ มหิธรในทันที พายะที่เห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงหันไปทำทีทักทายศิคินเสียงดัง

“พวกท่านเสวนากันไปนะเจ้าคะ ข้ามีกิจ…อีก…มากที่ต้องไปจัดการ”

นางเดินหน้ามุ่ยคิ้วสั่นออกไปในทันที ก่อนคนเป็นสาเหตุจะเดินไปนั่งที่อาสนะอย่างใจเย็น

“เสียงตอนเจ้าปาริชาตเถียงกับท่าน ฟังคราใดข้าก็ปวดหัวยิ่งนัก” สมุทรากล่าว

“เจ้าปวดหัว กลับกันที่ข้ารื่นรมย์ยิ่งนัก…” เทพอัคคีไม่พูดเปล่าก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์        เมื่อถึงยามที่แขกคนสำคัญมาถึงนั้น ขบวนเสด็จของเจ้าวิมานฉิมพลีและเจ้าบาดาลวาสุกรีก็เคลื่อนมาถึงอย่างพร้อมเพรียง ทั้งสององค์ย่างกรายเข้ามา ณ บริเวณทางเข้าวิมานอย่างองอาจตามด้วยสตรีรูปร่างอรชรงดงามดั่งเทพธิดาอีกสององค์

“มาลัยกรจากหลานเจ้าค่ะ” ทิพย์สุคนธาพูดพลางนางอัปสรจึงได้ถวายพานที่มีมาลัยกรให้กับทั้งสององค์รวมถึงพระธิดาทั้งสองด้วยเช่นกัน

“ไปคุยกันข้างในเถิดหลาน ดูท่าแล้วเหล่าเทพที่รออยู่ด้านในก็คงรอพบพวกเราอยู่เช่นกัน”

“เจ้าค่ะ…”

รอยยิ้มอันงดงามของทิพย์สุคนธาคลี่ออกในทันทีก่อนจะเดินตามพญาสุบรรณและพญาวาสุกรีไปไม่ห่าง

“ปีตินักเจ้าค่ะที่ได้พบองค์ทิพย์สุคนธาอีกครา”

เสียงทักทายจากธิดาองค์สุบรรณดังขึ้นที่ด้านหลัง ก่อนทิพย์สุคนธาจะหันกลับไปยิ้มให้นางน้อยๆ ด้วยตนเองก็ปีติยิ่งนักที่อย่างน้อยบางช่วงเวลานางจะมีคนพูดคุยด้วย นอกเหนือจากนางอัปสรในวิมานและมณีดารา

“แก้วสุวรรณและเนตรธาราสินะ ต่อไปเจ้าเรียกพี่ทิพย์สุคนธาก็พอ เข้าใจหรือไม่”

“เจ้าค่ะ!”

ทั้งสองคนขานรับแทบจะพร้อมกัน ก่อนทั้งหมดจะเดินเข้ามาจนถึงอุทยานกว้างด้านในที่บัดนี้เหล่าบรรดาเทพทั้งสี่และมณีดาราได้ออกมารอรับอยู่แล้ว

พลับพลาทองกว้างถูกเนรมิตขึ้นก่อนทั้งสององค์จะเข้าไปนั่งลงที่ด้านใน แล้วจึงเริ่มเสวนากันอย่างแข็งขัน เจ้าของวิมานที่บัดนี้ได้จัดแจงให้นางอัปสรพาธิดาทั้งสองไปยังห้องรับรองแล้วจึงมาจัดเตรียมเครื่องหอมที่จะจุดระหว่างที่กำลังเสวนากัน

มาลัยกรที่นางเตรียมไว้สำหรับเทพองค์อื่นนั้นตั้งอยู่ที่พานข้างกัน ด้วยตั้งใจร้อยถวายเหล่าบรรดาเทพทั้งสี่และมณีดาราอยู่แล้วนั้น จึงมองหาไปทั่วก็ไม่พบผู้ใดที่ไหว้วานให้ถือพานทองได้เลย

“ให้ข้าช่วยหรือไม่”

เป็นเสียงของมณีดาราที่ตามหาทิพย์สุคนธาอยู่แล้วนั้น ด้วยนางหายไปนานเสียจนนางเองมิมีสิ่งใดจะเสวนา ก็เหล่ามหาบุรุษที่บัดนี้เริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“จะวานเจ้าได้อย่างไร ไปนั่งเถิดเดี๋ยวเราให้มาลัยแก้วมาช่วย”

“เจ้าหนาเจ้า เราเป็นสหายเจ้าจะเป็นกระไรไป”

มณีดาราพูดพลางก้มลงไปยกพานทองนั้นขึ้นมาถือไว้ แต่เพราะด้วยวันนี้นั้นนางมาในฐานะแขกคนสำคัญทำให้ทิพย์สุคนธารู้สึกเกรงอยู่ไม่น้อย จึงทำได้เพียงรีบเข้าไปรับพานมาลัยแล้วยื้อจะมาถือไว้เสียเอง

“วันนี้มิได้ พวกเจ้ามีกิจสำคัญมิใช่หรือ…มณีดารา!”

ขณะที่มือของทั้งสองกำลังยื้อยุดพานมาลัยมาถืออยู่นั้น จู่ๆ สีหน้าของมณีดาราก็นิ่งไปในทันทีพร้อมๆ กับละอองแสงสีขาวสว่างที่ส่องแสงออกมาตามร่างกายของนางอย่างเรืองรอง

“เจ้าจะต้องดับสูญด้วยไฟแห่งเทพอัคคี!”

สุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นนั้น ด้วยความตกใจเมื่อได้ยินคำทำนายของเทพชะตา ทิพย์สุคนธาที่รับรู้ได้ถึงพลังนั้นด้วยความสั่นกลัวจึงเผลอปล่อยมือจากพานมาลัยกรในทันที

เสียงดังสนั่นของพานที่กระทบพื้นพร้อมๆ กับร่างของเทพทั้งสองที่ผละออกจากกันนั้นเพราะใช้พลังมากเกินขีดจำกัดทำให้มณีดาราสิ้นสติในทันที ทิพย์สุคนธาที่ทรุดตัวลงไปที่พื้นนั้นยังคงนิ่งอึ้งไม่ไหวติง ด้วยความหวาดหวั่นใจจากคำพยากรณ์ที่ได้ยินเมื่อครู่

“เป็นกระไรหรือไม่เจ้าทิพย์สุคนธา”

เสียงที่แสนคุ้นหูดังขึ้นที่ข้างกายหาก แต่ร่างนั้นของหญิงสาวกลับสั่นเทาไปด้วยความหวาดกลัวเมื่อฝ่ามือของเจ้าของเสียงนั้นสัมผัสที่กายของนางอย่างแผ่วเบา

ทิพย์สุคนธาค่อยๆ หันกลับมามองไปยังเทพอัคคีที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาที่แสนหวาดหวั่น เนื้อตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุมเสียจนศิคินเองยังสามารถรับรู้ได้ถึงความหวาดกลัวที่แสดงออกทางแววตานั้น จนรู้สึกตกใจกับท่าทีของนางที่เป็นเช่นนี้

พลางเสียงของมณีดาราก็ดังขึ้นย้ำเตือนในจิตของทิพย์สุคนธาอีกครา…

“เจ้าจะต้องดับสูญด้วยไฟแห่งเทพอัคคี!”

 

 



Don`t copy text!