ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 18 : หิมพานต์ไพรสัณฑ์

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 18 : หิมพานต์ไพรสัณฑ์

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

“เหตุใดจึงดูไม่อิดโรยอย่างเช่นทุกครา”

มหิธรถามขึ้นอย่างฉงนสงสัย ด้วยในครานี้สหายเทพอัคคีของตนไม่ใช่เพียงจะดูไม่อิดโรยแรงเลยแม้แต่น้อยทั้งที่เพิ่งผ่านพิธีส่งดาราดับสูญมาหยกๆ อีกทั้งยังดูสดชื่นแจ่มใสกว่าเดิมเป็นไหนๆ

“เช่นนั้นหรือ…” ศิคินที่ทำเป็นไม่สนใจก่อนจะเปิดตำราพระเวทอ่านอยู่บนอาสนะ

“ไหนขอลองเสียหน่อย…”

สิ้นเสียงขององค์ธาราเทพ เสียงก้องกังวานของหยดน้ำทิพย์ก็กระเด็นไปที่กลางศีรษะของเทพอัคคีในทันที ยังไม่ทันจะได้โต้ตอบสิ่งใดเรี่ยวแรงที่มีก็หายไปหมดเสียอย่างนั้น จนตำราพระเวทที่อยู่ในมือหล่นลงที่พื้นเสียงดังตุบ

“ศิคิน!” พายะที่เพิ่งมาถึงกล่าวอย่างร้อนใจ ก่อนเทพทั้งสามองค์จะตรงเข้าไปดูเทพอัคคีที่นอนแผ่อยู่ที่พื้นพลับพลา

“วารีเทพหาง่ายเพียงนั้นหรือองค์ธารา…” เสียงหัวเราะเบาๆ ในลำคอของเทพทั้งสี่ด้วยรู้แน่แล้วว่าเทพอัคคีบัดนี้ถึงสีหน้าจะเปี่ยมไปด้วยความสุขมากกว่าปกติ หากพลังอัคคีในกายนั้นกำลังปั่นป่วนเพียงใด

“เช่นนั้นแล้วท่านมิไปพักหรือเจ้าคะ…”

เสียงที่ดังขึ้นจากทางเข้าพลับพลาทองนั้นทำให้เหล่าเทพทั้งสี่ที่กำลังหัวเราะกันอย่างสนุกสนานหยุดชะงักลง ก่อนจะมองไปที่ประตูในทันทีอย่างพร้อมเพรียง

“องค์มณีดาราหรอกหรือ เข้ามาก่อน…” มหิธรทักขึ้นอย่างกระตือรือร้นก่อนจะเข้าไปเชิญนางมานั่งที่อาสนะในทันที

“มีกิจอันใดหรือมณีดาราถึงมาไกลถึงเพียงนี้”

“ข้านำอาหารทิพย์แลสุราทิพย์จากพระนางวารุณีมาเจ้าค่ะ”

นางพูดพลางวาดมือไปด้านหน้า ก่อนจะปรากฏอาหารคาวหวานผลไม้ต่างๆ มากมายรวมถึงสุราทิพย์ชั้นเลิศจากพระนางวารุณี

“เรารับน้ำใจเจ้าแล้วมณีดารา แล้วอาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ศิคินถามขึ้นพลางนางก็ยิ้มออกมาในทันที

“ดีแล้วเจ้าค่ะ องค์ท่านมิต้องเป็นห่วง”

“อืม…” เขาพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะมองไปยังสิ่งของที่อยู่ตรงหน้า

“เช่นนั้นข้าไม่รบกวนพวกท่านแล้วเจ้าค่ะ ยังมีกิจอีกมากนัก…”

“ขอบใจเจ้ามาก” พายะกล่าวขอบคุณพลางนางก็ค้อมศีรษะลงเล็กๆ ก่อนจะเดินจากไปโดยมีมหิธรตามไปส่งไม่ห่าง

“เมื่อใดนางจะใจอ่อนกับสหายเรากัน…”

ศิคินพูดพลางหยิบโถทองที่ใส่สุราขึ้นมาเปิดก่อนจะใช้ปลายจมูกดมกลิ่นหอมหวานนั้นที่ลอยขึ้นมาแตะที่จมูก พลางนึกถึงกลิ่นกายของใครผู้หนึ่งเมื่อคืนวานที่ลานดาราก่อนจะเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว

“พวกเจ้ากินกันเถิด เราจะขอกลับวิมานไปพักเสียหน่อย…”

“เช่นนั้นดีเลยที่เจ้าจะกลับดาวดึงส์ ช่วยเป็นธุระไปคุ้มกันน้องทิพย์สุคนธากลับไวกูณฐ์ด้วยจะได้หรือไม่”

พายะกล่าวขึ้นพลาง ศิคินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้าคงเหน็ดเหนื่อย เช่นนั้นไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าไปเอง!”

“เรายังมิได้บอกว่าไม่ไปเสียหน่อย เจ้าอยู่ที่นี่เถิด อย่างไรเราก็จะกลับวิมานอยู่แล้วเพียงแวะรับเจ้าทิพย์สุคนธาเสียหน่อยจะเป็นกระไรไป”

ยังไม่ทันที่พายะจะได้พูดตอบอะไรเทพอัคคีก็ร่ายพระเวทหายองค์ไปในทันทีอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงละอองสีแดงที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศเช่นเดิม

“เหมือนจะไม่อยากไปแต่หายองค์เร็วเช่นนั้น แปลกจริงผิดวิสัยศิคินนัก!”

 

ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ส่องสะท้อนอยู่บนคันฉ่องทองนั้นช่างแสนมีความสุขยิ่ง มาลัยแก้วและแก้วสุวรรณผู้รู้ทราบดีอยู่แล้วถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะพยายามไม่ยิ้มออกมาให้ผิดสังเกต

“จะได้กลับไวกูณฐ์หรือเจ้าคะ เหตุใดพี่ท่านจึงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เช่นนั้น”

เจ้าวิมานฉิมพลีกล่าวขึ้นด้วยความมันเขี้ยวผู้เป็นพี่สาว ก่อนใบหน้าของทิพย์สุคนธาจะเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยในทันที

“ที่ใดจะสบายใจเช่นอยู่วิมานของตนเล่าแก้วสุวรรณ…”

นางพูดด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไปในทันที เมื่อยามเดินผ่านทางเดินนั้นโดยม่านของตำหนักที่ถูกถักทอด้วยเส้นของทองคำและประดับอัญมณีสีต่างๆ แว่วเสียงคล้ายระฆังแก้วเมื่อยามกระทบกันมาตามสายลม

ทิพย์สุคนธาที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งหลังม่านนั้น เพียงมองลอดผ่านลายผ้าม่านที่ถักทอด้วยเส้นทองนั้นก็พบกับบุรุษร่างสูงที่แสนคุ้นตา คิ้วคมเข้มที่ขมวดเข้าหากันเมื่อยามเดินวนไปมาอยู่ด้านหน้าตำหนักเฝ้าคอยการมาของคนที่อยู่ด้านใน พลางเมื่อสายลมอ่อนๆ พัดมานั้นก็ทำให้ผ้าพาดสีแดงเข้มที่ไหล่พลิ้วไปมาเล็กๆ

สองแขนที่ไขว้กันอยู่ด้านหลังและใบหน้าที่ตื่นเต้นของศิคินนั้นยิ่งกว่าในช่วงที่ออกศึกคราแรกเสียอีก เขามองไปยังม่านทองที่ยังคงปิดอยู่พลางมองเห็นเงาร่างบางของใครคนหนึ่งที่แสนคุ้นตาเช่นกัน

ทิพย์สุคนธาค่อยๆ เปิดม่านออกพร้อมๆ กับสายลมที่หอบเอากลิ่นกายหอมหวานของนางพัดมาที่เขานั้น ใบหน้าของศิคินก็มิอาจจะห้ามรอยยิ้มที่ฉายชัดขึ้นมาอย่างมีความสุข

“ผู้ใดมาทำลับๆ ล่อๆ ที่หน้าตำหนักอีกแล้วเจ้าคะ…”

แก้วสุวรรณพูดขึ้นพลางทั้งสองที่ยังสบตากันอยู่นั้นก็มองไปที่นางเป็นตาเดียวกัน เจ้าตัวน้อยแห่งวิมานฉิมพลียิ้มอย่างผู้มีชัยก่อนจะรีบวิ่งออกไปในทันที เพราะคำพูดดังกล่าวคือคำพูดที่ทิพย์สุคนธาพูดกับศิคินเมื่อคืนวันพิธีส่งดาราไม่มีผิด

“นางต้องเห็นเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นเมื่อเช้าคงมิพูดเช่นนั้น…” ทิพย์สุคนธาพูดพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนมาลัยแก้วจะพยายามหุบยิ้ม

“เจ้าด้วยหรือ!” นางหันมาทางมาลัยแก้วพลางหลบมามองศิคินทันที แต่เทพอัคคีกลับยิ้มไม่หุบ

“ไปเถิดทิพย์สุคนธา มิเช่นนั้นผู้ใหญ่จักคอยหนา”

ศิคินพูดพลางเดินนำทันทีก่อนทิพย์สุคนธาจะเดินตามไปอย่างว่าง่าย มาลัยแก้วที่ไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ของทั้งสององค์มาก่อนจึงทำได้เพียงรีบเดินตามไปเท่านั้น

“มิมีกิจธุระแล้วหรือเจ้าคะ…” ทิพย์สุคนธาถามขึ้นเสียงเบาพลางมองไปยังเทพอัคคีที่อยู่ข้างตน

“มิมีกิจอันใดแล้ว เพิ่งผ่านพิธีส่งดารามา เจ้าพวกสหายข้าจึงเคี่ยวเข็ญให้ไปพักเสียก่อน”

“บาดเจ็บหรือเจ้าคะ” นางถามขึ้นแทบจะในทันทีแต่ศิคินกลับหยุดเดินแล้วหันมายิ้มน้อยๆ ให้นาง

“เรามิได้เป็นกระไรเลยเจ้าก็รู้ ที่ชายแดนอสุราหาได้มีกิจเร่งด่วนไม่…” ยังไม่ทันที่ศิคินจะพูดจนจบ เจ้าวิมานฉิมพลีก็เดินตรงเข้ามาทักทายพวกเขาทั้งสองในทันที

“ข้านึกว่าจักเป็นองค์วาโยเสียอีก แต่เป็นองค์ศิคินก็ดีแล้ว…มาทางนี้ประเดี๋ยวข้ามีกิจธุระจักเจรจาด้วย ส่วนเจ้าทิพย์สุคนธาไว้ว่างเว้นจากกิจธุระบนไวกูณฐ์วิมานก็มาเปลี่ยนทัศนาชมสวนที่นี่บ้างหนา” องค์สุบรรณกล่าวอย่างเอ็นดูก่อนจะยิ้มให้ทั้งสององค์

“หลานกราบลานะเจ้าคะ”

“เจ้าไปรอเราที่ขบวนก่อน เดี๋ยวเราจะตามไป…”

นางพยักหน้าให้ศิคินพลางยิ้มให้เขาบางๆ เป็นคำตอบก่อนเจ้าวิมานฉิมพลีจะสังเกตเห็นทั้งสองคนก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ด้วยไม่ต้องถามว่าเหตุใดวันนี้นั้นจึงเป็นศิคินที่ปรากฏกายที่ฉิมพลีวิมาน

“เป็นเจ้าหรอกหรือ…”

“อย่างไรเจ้าคะ…”

ใบหน้ายิ้มแย้มขององค์สุบรรณแห่งวิมานฉิมพลีนั้น นานวันเท่านั้นจะฉายชัดขึ้นมาเสียจนเหล่าครุฑาผู้ติดตามยังอดสงสัยไม่ได้ แต่กระนั้นศิคินก็ยังคงต้องรักษามารยาทก่อนจะก้มหน้าลงน้อยๆ เพื่อไม่ให้ประเจิดประเจ้อมากนัก

เมื่อเข้ามายังศาลาแก้วที่กลางสวนด้วยตั้งอยู่ไม่ห่างจากขบวนของทิพย์สุคนธา ทำให้เทพอัคคีที่มองไปยังทิพย์สุคนธาอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงได้สติกลับมาเมื่อได้ยินเสียงการเริ่มบทสนทนาของพญาสุบรรณ

“ทีแรกเราจะไปที่ชายแดนเพื่อหารือกับพวกท่าน หากแต่จะเป็นการเอิกเกริกไปเสียหน่อยจึงจะฝากความไปแทน”

“เจ้าค่ะ…”

สีหน้าที่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดจริงจังนั้นของผู้อาวุโสทำให้ศิคินจู่ๆ ก็รู้สึกสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น

“เราและองค์วาสุกรีต่างรับคำบัญชาขององค์พระนารายณ์ให้คอยจับตามนุษย์ผู้หนึ่ง…คนผู้นั้นคือองค์ทิพยราพสูรที่ลงไปเวียนว่ายในสังสารวัฏ”

ศิคินที่เมื่อได้ยินชื่อขององค์ผู้ครองพิภพอสุราองค์ก่อนก็รู้สึกอึดอัดขึ้นอย่างประหลาด สังหรณ์ไม่ดีเมื่อก่อนหน้านั้นก็ชัดเจนขึ้นในทันที

“อย่างที่เจ้ารู้ดีนั้น ผู้ครองแดนอสุรานามว่ายะษามีจุดประสงค์ที่แท้จริงยังไม่แน่ชัด หากแต่ไม่ใช่ทางที่ดีเป็นแน่ บัดนี้มนุษย์ที่เราเฝ้าดูนั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ประจวบเหมาะกับเวลาที่มีการยกพลที่ชายแดนพิภพอสุราพอดิบพอดี ศิคินเจ้าคิดเห็นประการใด…”

“เป็นได้ว่ามนุษย์ผู้นั้นอยู่ที่แดนอสุราหรือเจ้าคะ” ความคิดที่เฉียบคมของเทพอัคคีหนึ่งในแม่ทัพอันเกรียงไกรของแดนสวรรค์นั้นทำให้องค์สุบรรณพอใจยิ่งนักก่อนจะจับบ่าของศิคินอย่างภูมิใจ

“ที่เราส่งข่าวให้พวกเจ้ามาอารักษ์ทิพย์สุคนธากลับวังนั้นแท้จริงมีความหมาย ด้วยสถานการณ์เช่นนี้เราไม่มีทางนำนางออกจากวังไวกูณฐ์เป็นแน่ หากแต่เมื่อพบกันที่ฉิมพลีก็ไม่ทันการเสียแล้ว เจ้าจงดูสิ่งนี้…”

พญาสุบรรณกล่าวพลางยื่นแผ่นทองเล็กๆ แผ่นหนึ่งให้ศิคิน เป็นแผ่นทองแผ่นเดียวกันกับที่แก้วสุวรรณให้ทิพย์สุคนธาอ่านเมื่อครั้งก่อนมาที่วิมานฉิมพลี

“อย่างไรเจ้าคะ ข้าไม่เข้าใจ เรื่องนี้เกี่ยวข้องอย่างไรกับเจ้าทิพย์สุคนธา”

พญาสุบรรณชั่งใจก่อนจะตัดสินใจเพื่อบอกความจริงบางอย่าง “เพราะนางคือปาริชาตดอกแรกที่เกิดจากไฟชีวิตขององค์ราพสูรเมื่อครั้งพิธีกวนเกษียรสมุทรอย่างไรศิคิน มีเพียงนางที่ปลุกชีพคืนอำนาจแลระลึกชาติให้แด่องค์ราพสูรได้”

เมื่อได้ยินคำตอบ ดั่งสายอัสนีฟาดลงบนร่างของเทพอัคคี ด้วยร่างกายที่ชาไปทั่วร่างพลางความรู้สึกหนาวเย็นที่แผ่ซ่านไปทั่วกายนั้นแม้ไฟในกายของเขาก็มิอาจยับยั้งมันไว้ได้ เขามองออกไปยังนอกศาลาแก้วที่บัดนี้เจ้าของรอยยิ้มสดใสยังคงพูดคุยกับแก้วสุวรรณอย่างสนุกสนาน

“เราอาจต้องทำศึกกับแดนอสุราเทพศิคิน ถ้าถึงขนาดที่แผ่นทองแผ่นนี้ไปยังวิมานไวกูณฐ์ได้แล้วไซร้เราต้องหาตัวไส้ศึกที่แฝงมาให้จงได้”

คิ้วคมที่ผูกกันเป็นปมยุ่งเหยิงอยู่บนใบหน้าของศิคินนั้น ทำให้องค์สุบรรณทำได้เพียงจับไหล่ของเขาเป็นการให้พลังใจอีกครา

“เพลานี้เจ้าต้องอารักษ์ทิพย์สุคนธากลับไปยังไวกูณฐ์เสียก่อน แล้วพวกเราค่อยหาหนทางกันต่อไป”

“เจ้าค่ะ…หลานกราบลา”

เมื่อเดินออกมาจากศาลาแก้วด้วยหัวใจที่หนักอึ้งนั้น ในหัวของศิคินตอนนี้ความคิดเริ่มวิ่งพล่านไปมาด้วยตนนั้นต้องคิดป้องกันในทุกทางเพื่อไม่ให้มีสิ่งใดผิดพลาด

“องค์ศิคินหรือเจ้าคะ!”

มาลัยแก้วที่กล่าวอย่างตกใจก่อนจะมองมาที่เขาด้วยสายตาตื่นตะลึง

“ก็เราอย่างไรมาลัยแก้ว แล้วทิพย์สุคนธาเล่าจะได้กลับไวกูณฐ์กันเสียตอนนี้เลย”

“หากองค์ศิคินอยู่ที่นี่แล้วใครพาองค์ทิพย์สุคนธาไปชมอโนดาตเจ้าคะ แย่แล้วเจ้าค่ะ!”

เพียงพูดจบประโยคของนางอัปสร ร่างของเทพอัคคีก็หายไปในทันทีด้วยความร้อนใจของมาลัยแก้วที่ไม่รู้จะทำเช่นไรดี จึงทำได้เพียงเข้าไปทูลเรื่องนี้กับองค์สุบรรณในทันที

 

ในพนากว้างนั้น ทิวทัศน์แปลกตาที่ปรากฏตรงหน้าทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจของผู้ที่ไม่เคยออกไปที่ใดบ่อยๆ อย่างเช่นทิพย์สุคนธารู้สึกตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด

ภาพของสระน้ำใหญ่ใสดั่งแก้วเจียระไนเสียจนมองเห็นภายใต้พื้นน้ำที่มีพืชพรรณแปลกตามากมายอีกทั้งก้อนรัตนชาติล้ำค่าต่างๆ ที่อยู่ที่พื้นของสระอโนดาตนั้นช่างแสนงดงามเสียจนหญิงสาวอดไม่ได้จะย่อตัวลงนั่งที่พื้นก่อนจะใช้มือเรียวสัมผัสไปที่พื้นน้ำใสเย็นนั้น

“หิมพานต์นั้นมีสระใหญ่อยู่ด้วยกันทั้งหมดเจ็ดสระ หากแต่อโนดาตนั้นงดงามที่สุด เจ้าดูนั่นทิพย์สุคนธา…”

สิ้นเสียงบอกเล่าของศิคินก่อนทิพย์สุคนธาจะมองตามปลายมือที่ชี้ขึ้นไปบนอากาศนั้น

“สระอโนดาตล้อมรอบด้วยเทือกเขาทั้งห้า เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีชื่อว่ากระไรบ้าง” ศิคินถามขึ้น

ทิพย์สุคนธายิ้มเล็กๆ ที่มุมปากพลางลุกขึ้นยืนข้างเขา แล้วมือทั้งสองข้างก็กอดอกด้วยความภาคภูมิใจ

“เทือกเขาอันได้แก่ เขาสุทัสสนะ เขาจิตรกูฏ เขากาฬกูฏ เขาคันธมาทน์ และเขาไกรลาส…” นางพูดขึ้นรวดเดียวจบด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะมองหน้าศิคินยิ้มแป้น

“ถูกต้อง ดีจริงองค์มหิธรคงมิได้สั่งสอนเจ้ามาเสียเปล่าดอกหนา!”

น้ำเสียงกระแทกกระทั้นนั้นทำให้เจ้าคนที่กำลังทำหน้ายิ้มอยู่ถึงกับหุบยิ้มในทันที

“เป็นกระไรรึเจ้าคะ…” นางถามหน้าเครียดพลางมองไปยังเทพอัคคีที่อยู่เบื้องหน้า

“มิมีกระไร เจ้าชมสระอโนดาตไปก่อนเถิดเดี๋ยวเรากลับมา” ศิคินพูดพลางจะเดินออกไปก่อน ทิพย์สุคนธาที่รู้แน่แล้วว่าเขากำลังไม่พอใจจึงได้เรียกไว้

“กลับกันเถิดเจ้าค่ะ ข้าเห็นมามากพอแล้ว…”

“ยัง!” เขากระแทกเสียงอีกครา ทิพย์สุคนธารู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์ตรงหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงเบา

“เช่นนั้นข้ากลับเองนะเจ้าคะ…” พูดจบก็ตั้งจิตจะร่ายพระเวทในทันทีแต่ในเวลาเดียวก็นั้นเองศิคินก็คว้าแขนนางไว้อย่างแรง

“เราบอกว่ายังไม่ได้อย่างไรทิพย์สุคนธา…”

เจ้าปาริชาตรู้สึกได้ถึงแรงบีบของฝ่ามือที่ต้นแขนนั้น ก่อนจะพยายามสะบัดออกแต่ก็ไม่เป็นผล นางมองไปยังเขาด้วยสายตาตัดพ้อด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ภาพตรงหน้าของทิพย์สุคนธาก็เริ่มเลือนรางขึ้นทันทีเหมือนดังว่าสติจะดับลงในทุกขณะ

“ท่าน…”

ทิพย์สุคนธากล่าวพลางมองไปยังคนที่ตรงหน้า และในชั่วขณะที่จะหมดสตินั้นเพียงชั่วอึดใจนางก็กัดฟันตั้งจิตก่อนจะใช้พระเวทหายตัวออกมาจากจุดนั้นในทันที

“บ้าเสียจริง!” เสียงของศิคินตะโกนดังขึ้นหลังจากร่างของทิพย์สุคนธาหายวับไปในอากาศ

เพียงไม่นานหลังจากนั้นร่างของใครผู้หนึ่งที่สูงกำยำในผ้าคลุมสีทมิฬก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมๆ กับทหารอสุราจำนวนหนึ่งที่ติดตามมานั่นเอง

“ไหนเล่าดอกปาริชาต!” เขาถามเสียงเย็นก่อนผู้ที่แปลงเป็นศิคินจะถอนหายใจด้วยความไม่พอใจ

“นางโดนพระเวทนิทรากาลเข้าไป อย่างไรก็ไปได้ไม่ไกลหรอก ชักช้าอย่างพวกเจ้าก็เร่งหากันเองเสีย”

ชายผู้อยู่ภายใต้ผ้าคลุมนั้นถอนหายใจก่อนเขาจะสะบัดมือเบาๆ เป็นสัญญาณให้เหล่าผู้ติดตามออกค้นหาทิพย์สุคนธาในทันที

“ถ้าหากตามนางไม่พบครานี้ รู้ไว้เสียด้วยความเป็นความผิดของเจ้า!”

พูดจบร่างของเขาก็หายไปเช่นกัน ทิ้งไว้เพียงผู้แปลงเป็นเทพอัคคีที่แสดงสีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน เขาชั่งใจอยู่พักหนึ่งด้วยไม่อยากที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปมากกว่านี้แล้วเช่นกัน พลางคำพูดและเหตุการณ์ที่ลานดาราในคืนนั้นก็ชัดเจนขึ้นในจิตเพียงเท่านั้นก็สามารถตัดสินใจได้ในทันที

          “ข้าจะไม่ปล่อยให้นางกลับไวกูณฐ์เป็นอันขาด!”    

บนพื้นหญ้าสีเขียวอ่อนนุ่มนั้นร่างของผู้ที่สติใกล้ดับลงเต็มทีก็ปรากฏขึ้น ร่างบางนอนราบลงไปกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงด้วยจวนเจียนจะหมดสติ ได้แต่พยายามตะเกียกตะกายคลานไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก

          ‘เหตุใดกัน!’

ทิพย์สุคนธาที่ร้องอยู่ในใจเป็นร้อยเป็นพันครั้งพลางตั้งสติพยายามไม่ให้ตนเผลอหลับแต่ก็ยังไม่เป็นผล เมื่อภัยคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวและสติสุดท้ายที่กำลังจะขาดห้วงไปนั้น นางจึงตั้งจิตมั่นโดยแน่ใจแล้วว่าผู้ที่อยู่กับนางที่สระอโนดาตต้องไม่ใช่เทพอัคคีที่นางเคยคุ้นเป็นแน่

“หากข้าและท่านนั้นสามารถสื่อถึงกันได้จริงไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ขอให้ท่านหาข้าพบเถิด”

แล้วสติสุดท้ายของทิพย์สุคนธาก็ดับวูบลงในทันที

 



Don`t copy text!