ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 20 : พิธีต้องห้าม

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 20 : พิธีต้องห้าม

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

 

ทุกวินาทีที่ผ่านพ้นไปนั้นช่างแสนยาวนาน ยิ่งด้วยทุกเสี้ยววินาทีที่ผ่านไปนั้นหมายถึงชีวิตของทิพย์สุคนธาที่กำลังนับถอยหลังไปทุกขณะ เทพอัคคีปรากฏกาย ณ ทางเข้านาคพิภพก่อนนาคราชผู้เฝ้าทางเข้านั้นยังไม่ทันได้กล่าวถามสิ่งใด เทพอัคคีก็เหาะตรงไปยังวิมานขององค์พญาวาสุกรีในทันที

“จะช้าอยู่ไยตามไปเสีย!” นาคบริวารกล่าวก่อนจะกลายร่างเป็นนาคราชแล้วว่ายตามหลังเทพอัคคีไปในทันที

เมื่อมาถึงยังบริเวณด้านหน้าวิมานนั้น เหล่าทหารในร่างของพญานาคราชมากมายก็ปรากฏกายขึ้นในทันทีด้วยไม่ทราบถึงเหตุผลของผู้ที่มาเยือนนี้

“เราคือเทพอัคคีศิคิน จงหลีกทางไปเสีย เรามีธุระต้องเข้าเฝ้าองค์วาสุกรี!”

“จงแจ้งกิจธุระของท่านมาเสียก่อน ไม่เช่นนั้นพวกข้าคงมิอาจให้ท่านผ่านไปได้…”

พญานาคราชกล่าว ด้วยที่แห่งนี้นั้นคือนาคพิภพหาใช่ดาวดึงส์ ทุกที่ล้วนมีกฎระเบียบเป็นของตัวเองเช่นกัน

“หากจักเอาความในตอนนี้ ข้ามิมีเวลาถึงเพียงนั้น”

ศิคินพูดพลางดึงดันจะเข้าไปให้ได้ หากแต่ทหารนาคราชก็เข้ามาขวางไว้ในทันที ด้วยไม่มีใจจะทำร้ายผู้ใดเทพอัคคีจึงแผ่รัศมีเทพออกก่อนแสงสว่างนั้นจะกระจายตัวเป็นวงกว้าง สะท้อนเหล่าทหารนาคราชรักษาวังกระเด็นไปคนละทิศละทาง

“หยุดได้แล้วศิคิน!”

สุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นนั้นพร้อมๆ กับร่างของพญาวาสุกรีนาคราชในร่างของมาณพหนุ่มและพระธิดาเนตรธาราผู้ไปทูลเชิญมาห้ามเหตุวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้

“หลานกราบประทานอภัยเจ้าค่ะ หากแต่เจ้าทิพย์สุคนธานั้นต้องไฟพิษประหลาด”

ตามร่างกายของศิคินนั้นเต็มไปด้วยร่องรอยของบาดแผลไหม้ทั่วร่าง ก่อนเจ้าพิภพบาดาลจะใช้พระเวทเพื่อตรวจดู

“เป็นไปตามที่องค์สุบรรณบอก พิษนั้นหาใช่เพียงหะลาหละเท่านั้น หากแต่กลับร้ายแรงกว่านั้นนัก ไปฉิมพลีกับเราบัดเดี๋ยวนี้ เวลามิคอยท่าแล้วศิคิน”

ร่างของเทพศิคินและพญาวาสุกรีนาคราชหายไปจากบริเวณหน้าวิมานนาคพิภพในทันที เพียงชั่วอึดใจนั้นจึงปรากฏที่หน้าตำหนัก ณ วิมานฉิมพลี

ภาพที่เห็นตรงหน้านั้นทำให้ศิคินรีบพุ่งตัวเข้าไปในทันที ด้วยไฟสีดำที่โหมกระหน่ำบนร่างของทิพย์สุคนธานั้นรุนแรงเสียจนสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน องค์พญาวาสุกรีที่เห็นดังนั้นจึงใช้พิษของตนเข้าช่วยเหลือหากแต่ทำลายได้เพียงบางส่วนเท่านั้นเปลวไฟสีดำจึงสงบลงอีกครั้ง

“เป็นอย่างไร” พญาสุบรรณถามเสียงเครียด

“เพียงทำให้มันสงบลงเท่านั้น หากฝืนดึงมันออกมาจากร่างของทิพย์สุคนธาแล้วนั้น ข้าเกรงว่า…”

เพียงเท่านั้นสถานการณ์ก็กลับตึงเครียดขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ พายะและมหิธรที่ไปตามไล่ล่าชายปริศนาผู้นั้นเพิ่งกลับมาถึงก็ตรงเข้ามาที่ภายในตำหนัก ก่อนจะพบร่างที่ไร้สติของผู้เป็นน้องนอนแน่นิ่งอยู่

“มันหายไปราวอากาศธาตุ เจ็บใจยิ่งนัก!” พายะสบถขึ้น

“เราทำกระไรเลยมิได้หรือเจ้าคะ…”

น้ำเสียงสิ้นหวังของศิคินกล่าวขึ้นก่อนจะมองไปยังทิพย์สุคนธาด้วยสายตาเลื่อนลอย ความปวดใจที่ไม่อาจอธิบายนี้นั้นดูแล้วช่างแสนเจ็บปวดจนไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ เพียงมองไปยังร่างของนางที่เขาเฝ้าทะนุถนอมมาโดยตลอด

“วารีเทพเพียงช่วยยื้อเวลาดับขันธ์ของนางเท่านั้น หากดึงมันออกจากร่างทิพย์สุคนธาไม่ได้เช่นนั้นก็เหลือเพียงวิธีเดียวเท่านั้น…จักต้องใช้ไฟล้างไฟ”

สายตาขององค์วาสุกรีมองไปยังองค์อัคคีศิคินในทันที หากแต่วิธีนั้นกลับอันตรายยิ่ง

“มีเพียงไฟของเจ้าเท่านั้นองค์อัคคีที่จักต้านไฟประลัยกัลป์ร้ายนี้ได้ หากแต่วิธีนี้นั้นอันตรายต่อเจ้ายิ่งนักศิคิน ไม่สู้พวกเราอาจหาทางอื่นได้…”

สีหน้าลังเลนั้นทำให้ศิคินมองไปยังทิพย์สุคนธาที่มีสีหน้าแสนทุกข์ทรมานของนาง ที่พยายามต่อกรกับไฟพิษ…เขาก็ตัดสินใจได้ทันที

“ไม่ว่าจะอันตรายเพียงใด หรือหากแม้แต่ต้องแลกด้วยชีวิตของข้า เพียงเพื่อช่วยทิพย์สุคนธาแล้วนั้น…ข้าจักไม่ลังเลแม้แต่น้อย”

“มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นในตอนนี้ คือเจ้าต้องแบ่งแก่นกำเนิดไฟอัคคีของเจ้าให้นาง มีเพียงแบ่งดวงใจให้ทิพย์สุคนธาเท่านั้น จึงจักสามารถรักษาชีวิตแลดวงจิตของเจ้าดอกปาริชาตของเจ้าไว้ได้”

เมื่อได้ยินคำว่าแบ่งดวงใจ สีหน้าขององค์เทพทั้งหมดก็ถอดสีในทันที ด้วยรู้แน่อยู่แก่ใจแล้วว่าเป็นพิธีต้องห้ามและยังอันตรายเป็นอย่างมาก

“เช่นนั้นก็จงนำดวงใจข้าไป!” เป็นคำตอบแสนหนักแน่นของศิคินโดยที่หาได้เกรงกลัวความเจ็บปวดหรืออันตรายใดไม่

“พิธีต้องห้ามที่หากว่ากระทำไม่สำเร็จแล้วนั้น อาจเป็นเจ้าเองที่ต้องดับขันธ์”

เสียงของสมุทรากล่าวขึ้นพลางเสียงกรีดร้องของทิพย์สุคนธาก็ดังขึ้นอีกครา ไอสีดำเริ่มปะทุออกมาอีกครั้งจนองค์วาสุกรีต้องเข้าไปช่วยห้ามพิษ ความร้อนของมันทำให้เจ้าดอกปาริชาตที่บัดนี้แม้ไม่มีสติสัมปชัญญะใดหากแต่ดิ้นทุรนทุรายไปมาอย่างน่าสงสาร

“ไม่มีเวลาแล้ว จักทำอย่างไรพวกเจ้าจงตัดสินใจ เวลาไม่คอยท่า”

“ไปห้องพิธีของเราศิคิน และพวกเจ้าทั้งสามด้วย พิธีนี้หากต้องใช้ผู้ร่วมบริกรรมจึงจะสำเร็จได้”

 

ในห้องพิธีแสนเงียบสงัดนั้น ศิคินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางโดยมี องค์พญาสุบรรณ องค์พายะ องค์สมุทรา และองค์มหิธรนั่งขัดสมาธิหันด้านหน้าเข้าหาเทพอัคคีทั้งสี่ทิศ

“พวกเจ้าจงตั้งมั่นเพื่อป้องกันมิให้ดวงจิตของเทพอัคคีได้รับบาดเจ็บ หากแต่ศิคินเมื่อยามที่ดึงดวงใจออกมาแล้ว ยามที่มันแบ่งแยกเป็นสองจะเจ็บปวดเจียนแตกดับ หากแต่ในระหว่างพิธีนั้นเจ้าจะต้องมีสติสัมปชัญญะอย่างครบถ้วน ไม่เช่นนั้นพิธีจะไม่สำเร็จ”

“เริ่มกันเถอะเจ้าค่ะ…”

 

รัศมีเทพของเทพทั้งห้าองค์ที่เรืองรองขึ้นค่อยๆ สว่างและแผ่ออกปกคลุมไปทั่วห้องพิธีอย่างรวดเร็ว ศิคินตั้งสมาธิไปที่ดวงใจของตนเองก่อนรัศมีเทพสีทองนั้นจะเจือไปด้วยรัศมีสีแดงของอัคคีเทพอย่างชัดเจน

เพียงชั่วอึดใจนั้นความเจ็บปวดมากมายก็ค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น สันกรามของใบหน้าคมขบเข้าหากันในทันทีเพื่อไม่ให้เสียงใดเล็ดลอดออกมา เมื่อเห็นผู้เป็นดั่งพี่น้องของตนต้องเจ็บปวดเทพทั้งสามก็ตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยบนร่างของศิคินนั้นค่อยๆ ปรากฏแสงสว่างขึ้นที่กลางอกในทันที

ทันทีที่แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นพร้อมๆ กับเสียงร้องของเทพอัคคีที่ดังอย่างมิอาจอดทนได้อีกต่อไป สติที่ใกล้จะดับสิ้นลงทุกขณะของศิคินด้วยความเจ็บปวดยิ่งกว่าบาดแผลใดที่เคยได้รับ เหมือนกำลังโดนฉีกกระชากร่างกายเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น

“อดทนไว้ศิคิน ใกล้แล้ว!”

เทพอัคคียังพยายามกัดฟันแน่น หากแต่บัดนี้นั้นดวงใจที่อยู่ภายในกายของเขาก็ค่อยๆ ฉีกกระชากก่อนจะเริ่มแบ่งออกเป็นครึ่งหนึ่งในทันที

เสียงร้องอย่างสุดเสียงของเทพอัคคีนั้นทำให้ทั้งสามเทพที่เติบโตมาด้วยกันถึงกับขบกรามแน่น ดวงตาแดงก่ำด้วยเริ่มเอ่อล้นไปด้วยน้ำตาและความโกรธาเมื่อนึกถึงสิ่งที่ผู้เป็นน้องทั้งสององค์ถูกกระทำ

เมื่อแสงสว่างที่กลางอกของศิคินนั้นหายไปพร้อมๆ กับเพลิงอัคคีที่ลุกขึ้นโชติช่วง ดวงใจครึ่งหนึ่งของเทพอัคคีที่ถูกแบ่งออกมานั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศก่อนจะแปรสภาพไปเป็นอัญมณีทรงกลมสีแดงเพลิง

ศิคินที่ร่างกายนั้นเจ็บปวดดั่งถูกแบ่งชิ้นส่วนช้าๆ เป็นหมื่นๆ ชิ้นหากแต่กำลังพยายามรวบรวมสติไว้ เขายื่นมือของตนออกไปก่อนอัญมณีเม็ดนั้นจะลอยลงมาอยู่ที่เจ้าของมันอย่างช้าๆ พายะเมื่อเห็นว่าพิธีเสร็จสิ้นแล้วนั้นจึงตรงเข้าไปประคองร่างของศิคินไว้ในทันที

“เป็นอย่างไร…” เขาถามด้วยดวงตาแดงก่ำ หากแต่คนถูกถามได้แต่ยิ้มตอบด้วยใบหน้าที่สุขใจ

“พาเราไปหาทิพย์สุคนธาเร็วเข้า…”

ใบหน้าที่ซีดเผือดนั้นเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาด้วยความร้อนของไฟประลัยกัลป์ มือบางที่เมื่อครั้งจับพระขรรค์สู้ยิบตานั้นบัดนี้กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใด มีเพียงเสียงครางอู้อี้ในลำคอเท่านั้นด้วยความทรมานที่เกิดจากพิษร้าย

ศิคินย่อตัวลงช้าๆ ที่ตั่งทองด้วยสติที่จวนเจียนจะดับลงแล้วเช่นกัน เพราะนางต้องปกป้องเขาทำให้ถึงกับต้องดับขันธ์ หากแต่สีหน้าที่เจ็บปวดทุกข์ทรมานของทิพย์สุคนธานั้นยิ่งทำให้ผู้เฝ้าทะนุถนอมนางมาโดยตลอดนั้นเจ็บปวดเสียยิ่งกว่า

อัญมณีสีแดงเพลิงนั้นค่อยๆ ลอยจากฝ่ามือของศิคินก่อนจะเข้าไปที่กลางอกของทิพย์สุคนธาในทันที ในขณะเดียวกันนั้นเองก็บังเกิดอัคคีเทพสีแดงฉานทั่วร่างของเทพทั้งสอง

ศิคินยังคงจับมือของทิพย์สุคนธาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนจะพบว่าไฟสีดำและร่องรอยบาดแผลต่างๆ หายไปจนหมดสิ้น

“มันจักติดร่างและดวงจิตของทิพย์สุคนธาตลอดกาล…”

สิ้นเสียงขององค์พญาวาสุกรี ที่กลางฝ่ามือของศิคินและทิพย์สุคนธาก็ปรากฏสัญลักษณ์บางอย่าง แต้มสีแดงฉานดั่งเปลวไฟที่ล้อมรอบด้วยสีทองสุกสว่างก่อนมันจะค่อยๆ เลือนรางหายไป

เทพอัคคีที่เห็นดังนั้นก็ทราบได้ในทันทีว่า นั่นคือแต้มอัคคีของตนที่เคยปรากฏเมื่อครั้งหนึ่งนั้นคือเมื่อวันที่เขาจุติ บัดนี้สีหน้าของทิพย์สุคนธาดีขึ้นเรื่อยๆ และร่างกายที่ไม่ได้ร้อนรุ่มดังไฟผลาญ

“ต่อแต่นี้ไม่ว่าจะไปที่ใด อัคคีของข้าจะคุ้มครองเจ้า”

เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วนั้น ร่างที่ไร้เรี่ยวแรงของเทพอัคคีก็ล้มลงเช่นกัน ร่างกายแบกรับความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไปและศิคินก็หมดสติลงในทันที!

 

พิภพอสุรา ณ เวลาปัจจุบัน

ชั่วขณะที่ดวงตายังคงปิดสนิท สัมผัสแรกที่เขารู้สึกนั้นคือความอ่อนนุ่มของผ้าเนื้อดีที่ฝ่ามือและกลิ่นหอมของกำยานลอยฟุ้งในอากาศ พิภพค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะพบว่าตนอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นตาแม้แต่น้อย

“ฟื้นแล้วรึ…” เสียงหวานของหญิงสาวดังขึ้นภายในห้องหากแต่ไม่สามารถมองเห็นได้

พิภพกำลังสับสนไปหมดด้วยความทรงจำสุดท้ายของเขานั้นคือภาพอุบัติเหตุที่รถพลิกคว่ำ แต่กระนั้นตามเนื้อตัวของเขาก็ไร้ซึ่งบาดแผลใด เขามองไปทั่วห้องกว้างก็พบร่างของวิษณุและชมแพรที่ยังไม่สตินอนหลับอยู่ที่พื้นเช่นกัน

“พ่อครับ…ไอ้แพร!”

ทั้งสองคนได้สติในทันที แต่เพราะยังคงมึนงงอยู่ด้วยฤทธิ์ของกลิ่นกำยานทำให้ไม่มีเรี่ยวแรงในการขยับร่างกาย

“เขามิได้ทานทนต่อกำยานอสุราได้เหมือนท่านนะเจ้าคะ ปลุกไปก็เสียแรงเปล่า…”

ยะศิณาปรากฏกายขึ้นในชุดที่ดูแปลกตาออกไป พิภพที่เห็นดังนั้นก็ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก ทำได้เพียงมองไปที่หญิงสาวเท่านั้น

“กลัวข้ารึเจ้าคะ…” นางพูดพลางขยับเดินเข้าไปหาเขา แต่พิภพกลับก้าวถอยหลังในทันที

“ที่นี่ที่ไหน แล้วทำไมต้องจับตัวพวกเรามาแบบนี้” เขารวบรวมสติก่อนจะถามขึ้นพลาง ทิพยอสุราก็ร่ายพระเวทขึ้นในทันทีด้วยไม่รู้จะอธิบายเช่นไร

“ข้าจะเปิดเนตรทิพย์ให้กับท่าน”

ภายในห้องที่เดิมนั้นในสายตาของมนุษย์เป็นเพียงศิลาแลงธรรมดา กลับค่อยๆ เรืองแสงสีทองออกมาเช่นเดียวกันกับรอบๆ ตัวของยะศิณาที่มีละอองสีทองลอยฟุ้งไปทั่ว พิภพที่เห็นดังนั้นก็ถึงกับอ้าปากค้างในทันทีก่อนที่บริเวณหลังคาที่เคยปิดทึบนั้นจะค่อยๆ ใสขึ้นดั่งแก้ว สามามองเห็นท้องฟ้าและบริเวณโดยรอบได้อย่างถนัดตา

“ที่นี่คือแดนทิพยอสุราเจ้าค่ะ…”

แววตาของพิภพดูอ่อนลงเมื่อมองไปยังยะศิณานั้น ก่อนดวงหน้าหวานจะดูเศร้าสร้อยอย่างประหลาด แต่กลับกันตรงที่เมื่อยามได้ยินชื่อดินแดนแห่งนี้นั้นทั้งๆ ที่ตัวพิภพเองไม่เคยมาที่นี่มาก่อน หากไม่ได้รู้สึกแปลกที่แปลกทางแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยเสียด้วยซ้ำ

ไร้ซึ่งเสียงการตอบกลับจากพิภพ ด้วยนางทิพยอสุรานั้นรู้อยู่แก่ใจแล้วว่าไม่ว่าอย่างไรหากไม่ได้พลังจากดอกปาริชาตของริชา ก็ไม่มีทางที่เขาจะจดจำเรื่องราวต่างๆ ได้ หากแต่นางก็อยากจะฝืนลองดู

มือบางค่อยๆ ยกขึ้นพลางร่างของเขาและนางก็มาปรากฏ ณ ลานหินกว้าง พิภพจดจำได้ในทันทีด้วยเหมือนกับสถานที่ที่เขาฝันถึงอยู่บ่อยครั้ง นางจึงร่ายพระเวทอีกคราก่อนครั้งนี้มณียอดปราสาทจะปรากฏอยู่เบื้องหน้าของพิภพอย่างชัดเจน

ความรู้สึกบางอย่างถาโถมเข้ามาในทันที พิภพที่เหมือนดั่งว่ากำลังต้องมนต์อยู่นั้นจึงค่อยๆ เอื้อมมือไปยังมณีสีดำอย่างไม่อาจควบคุม

“อย่า!”

เสียงของยะษาดังขึ้นก่อนจะใช้พระเวทกระชากร่างของทั้งสองที่ลอยอยู่กลางอากาศให้ลงมายังพื้นดินในทันที

“เจ้าจะกระทำสิ่งใดยะศิณา คิดหรือว่าเพียงสัมผัสมณีอสุรากาลแล้วเขาจะจดจำได้ทั้งหมด”

“ท่านพี่ก็รู้ว่ามณีอสุรกาลและกระถางอสุราอัคคีเชื่อมโยงกับองค์ท่านเพียงผู้เดียว อย่างน้อยหากจะมีทางใดที่ไม่ต้องเปิดศึกกับแดนสวรรค์ก็ควรจะลองมิใช่หรือ!”

พิภพที่ได้ฟังทุกคำพูดก็ถึงกับสับสนขึ้นมาในทันที เพราะแม้ในตอนนี้ทุกอย่างจะเหมือนราวกับว่าตนกำลังอยู่ในความฝัน หากแต่ทุกสิ่งทุกอย่างในตอนนี้นั้นคือความจริงทุกประการ

“เพียงภาพความทรงจำยะศิณา มนุษย์ผู้นั้นเมื่อครั้งในอดีตเจ้าเคยให้เขาสัมผัสมณีอสุรกาล…เจ้าจดจำได้หรือไม่ว่าเป็นเช่นไร”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้นร่างของยะศิณาก็ชาไปทั่วร่างจนไม่อาจขยับ ก่อนภาพของพิภพเมื่อหลายพันปีก่อนจะปรากฏขึ้นทับซ้อนกับพิภพที่กำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาหวาดหวั่นไม่ต่างกัน

“มันจะเพียงจดจำได้หากแต่ไม่ใช่ความรู้สึกขององค์ราพสูร และเมื่อมันจะจุติเป็นสิ่งใดที่เราไม่อาจรู้ได้ด้วยจิตใจอันดำมืด ก็เพราะมันเกิดเป็นมนุษย์อย่างไรเล่ายะศิณา”

ยะษาพูดออกมาอย่างเย้อหยันก่อนยะศิณาที่คิดถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งก่อนจะน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม

“ดำมืดเหรอครับ อะไรใช้วัดสีขาวดำความดีชั่วกัน…” พิภพที่ทนฟังอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด

“เจ้าว่าอย่างไรนะ…” ยะษาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ด้วยเพียงมนุษย์กำลังกล้าต่อปากต่อคำกับเจ้าแห่งพิภพอสุราเช่นเขา

“อย่างที่ผมพูดไป อะไรใช้วัดความดีความชั่วกันหากไม่วัดที่การกระทำ…พวกเรามนุษย์ที่พวกคุณว่าต่ำต้อยนั้นวัดกันด้วยตรงนี้” เขาใช้นิ้วชี้ไปที่ขมับก่อนจะลดมือลงแล้วพูดต่อ

“ความคิดและการกระทำ…แต่ถ้าหากพวกคุณจะวัดพวกเราจากชาติกำเนิดว่ามนุษย์นั้นต่ำต้อยเพียงเพราะพวกเขาไม่ได้มีพลังวิเศษอย่างพวกคุณ…จะแพ้พวกคุณก็คงไม่แปลก แต่ถ้าเป็นสิ่งที่พวกคุณกำลังทำผมก็ไม่เห็นว่ามันจะดีและสูงส่งอย่างที่พูดตรงไหน!”

“ปากดีไม่เปลี่ยน!” ยะษาสบถขึ้นพลางใช้พระเวทมัดแขนของพิภพเอาไว้ก่อนจะใช้รัศมีทิพยอสุราของตนกดให้พิภพคุกเข่าลง

“เช่นนั้นมนุษย์ตัวน้อย ก็จงมาวัดกันว่าใครกันแน่จะแพ้อยู่ร่ำไป!”

 

 



Don`t copy text!