ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 21 : ดวงจิตอธิษฐาน

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 21 : ดวงจิตอธิษฐาน

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

สายลมอ่อนพัดโชยหอบกลิ่นหอมของมวลผกาในอุทยานให้หอมไกลไปทั่วทิศ ทิพย์สุคนธาที่บัดนี้รู้ตัวอีกครั้งตนนั้นก็กำลังเดินอยู่ในอุทยานที่แสนคุ้นตา หากแต่ว่าเหล่าเทพธิดาและเทพบุตรที่เดินกันในขวักไขว่นั้นหามีผู้ใดมองเห็นนางแม่เพียงสักองค์เดียว

นางนึกฉงนพลางเดินต่อไปเรื่อยก็พบเข้ากับศิคินที่กำลังยืนอยู่เพียงลำพัง

“องค์ศิคิน…” นางเรียกเขาแต่ไร้ซึ่งการตอบกลับใด และเหมือนดั่งเช่นเทพธิดาและเทพบุตรที่มองนางผ่านเลยไปเช่นกัน ‘ไม่เห็นข้าหรือ…’ ทิพย์สุคนธานึกในใจก่อนจะคิดเล่นสนุก

“ศิคิน…”

เสียงเรียกของผู้เป็นสหายทำให้ทั้งศิคินและทิพยสุคนธาหันไปมองแทบจะในทันที

“องค์สมุทรา…” เขากล่าวทักก่อนทั้งสองจะเดินออกไปโดยมีเจ้าทิพย์สุคนธาเดินตามด้านหลังอย่างสบายอารมณ์

“งานชมดอกปาริชาตครานี้ เห็นว่าพระลักษมีแลน้องทิพย์สุคนธาจะลงมาที่อุทยานด้วย”

“พายะแจ้งแก่ท่านหรือสมุทรา” ศิคินถามขึ้นด้วยแปลกใจก่อนจะมองไปยังองค์วาโยพายะที่บัดนี้กำลังทำหน้าที่บังคับสายลมอยู่

ทิพย์สุคนธาที่เดินตามมานั้นรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยเมื่อฟังแล้วนั้นทุกอย่างดูผิดแปลกอย่างเห็นได้ชัด ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่างแจ้งเมื่อนางเห็นขบวนเสด็จของวิมานไวกูณฐ์อยู่ตรงหน้าอย่างเต็มตา

“นั่นองค์แม่และ…ข้า…” นางพึมพำอย่างตกใจพลางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อตั้งสติก็จดจำได้ในทันทีว่านั่นคือคราแรกที่ตนลงมาที่อุทยานบุณฑริกวัน

สมุทราและศิคินเมื่อเห็นขบวนเสด็จแห่งวิมานไวกูณฐ์ก็รุดเร่งเข้าไปต้อนรับในทันที หากแต่ในเวลาเดียวกันนั้นก็ถึงกำหนดเวลาที่ดอกปาริชาตผลิดอกเช่นกัน แสงสว่างสีขาวกระจ่างส่องสว่างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงดั่งแก้วประพาฬเรืองรองไปทั่วในทันที

ทิพย์สุคนธามองไปยังตนเองในขบวนเสด็จนั้น ก่อนร่างของนางเมื่อครั้งอดีตก็ส่องแสงเรืองรองเช่นกันแล้วจึงค่อยๆ ลอยตัวขึ้นตามแรงลมของเทพวาโยที่พัดผ่านมานำพาไปยังต้นปาริชาต

ทิพย์สุคนธาที่เห็นดังนั้นจะตามออกไป ก็เหมือนดังมีบางสิ่งฉุดรั้งเอาไว้ก่อนจะพบว่าตนนั้นต้องเดินตามเพียงศิคินเท่านั้น

“หรือจะเป็นความทรงจำของท่าน…” เมื่อรู้ดังนั้นนางจึงยืนนิ่งมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ด้านหลังของเทพอัคคี

สิ้นแสงสว่างเรืองรองของต้นปาริชาตไม่นานนัก ปาริชาตก็ผลิดอกบานสะพรั่งไปทั้งต้น ทิพย์สุคนธาที่ถูกดึงเข้าไปนั้นก็ปรากฏกายขึ้นก่อนจะเหาะไปในอากาศอย่างงดงามตามแรงลมที่พายะบังคับอยู่ พลันด้านหลังนางนั้นก็หอบเอาดอกปาริชาตตามนางไปด้วยทุกหนแห่งเพื่อแจกจ่ายมันให้กับเหล่าเทพธิดาและเทพบุตรที่หวังจะเชยชมแล้วซึ่งอดีตที่ผันผ่าน

“เพิ่งเคยได้ยลนางใกล้ๆ เช่นนี้”

สมุทรากล่าวในขณะที่ศิคินยังคงนิ่งเงียบมองไปยังทิพย์สุคนธาที่ยิ้มแย้มอย่างงดงาม เพียงชั่วอึดใจเทพธิดาผู้กำเนิดจากดอกปาริชาตนั้นก็เหาะมาใกล้ศิคินในทันทีด้วยลมวาโยขององค์พายะพลางยื่นดอกปาริชาตให้เขาดอกหนึ่ง

ศิคินเพียงได้ยลใบหน้างดงามนั้นเป็นครั้งแรกราวกับทุกอย่างหยุดหมุนลงในทันที ไม่มีแม้แต่สัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนของพายะหรือแม้แต่เสียงอื้ออึงของเหล่าเทพทั้งหลาย เหมือนดั่งทิพย์สุคนธาที่หยุดอยู่ตรงหน้าของเทพอัคคีก่อนเขาจะยื่นมือไปรับดอกปาริชาตจากนางไว้

“วันนั้นจำไม่เห็นจะได้เลยว่าพบท่านด้วย” เจ้าทิพย์สุคนธาที่ยืนอยู่ด้านหลังกล่าวพลางมองไปยังเทพอัคคีที่ยังคงนิ่งมองดอกปาริชาตในมือ หากแต่เขากลับปล่อยมันให้หลุดลอยไปตามลมในทันที

“เหตุใด!”

เป็นนางเองในครานี้ที่ตกตะลึงกับภาพตรงหน้าก่อนจะพยายามระงับโทสะไม่ให้กล่าวโทษองค์ศิคิน

“กระนั้นคราแรกที่พบกันท่านก็ทิ้งสิ่งที่ข้าให้เลยหรือ เช่นนั้นสิหนาไม่ว่าคราใดที่พวกเราไปชมดอกปาริชาตกันท่านจึงไม่ยอมไปด้วยพวกข้าเลย!”

ทิพย์สุคนธาพึมพำอยู่คนเดียวอย่างหัวเสียก่อนจะถอนหายใจออกมายาวๆ แล้วทำท่าจะเดินจากไปด้วยความไม่สบอารมณ์นัก

“เพียงพานพบเจ้าใจเราก็เบิกบาน เติมเต็ม…เสียจนเราไม่ปรารถนาล่วงรู้อนาคต แม้แต่อดีตที่ผันผ่านก็ไม่สำคัญให้กล่าวถึงอีกต่อไป ข้าเพียงต้องการเพ่งพินิจเจ้าที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น”

น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นหากแต่ทำให้คนที่กำลังจะหันหลังเดินจากไปนั้นหยุดชะงักลง ก่อนจะหันกลับมามองเขาช้าๆ ก็พบว่าเทพอัคคียามนี้สามารถมองเห็นตนได้แล้ว

“ท่านเห็นข้าหรือเจ้าคะ…”

“แล้วเหตุใดจะมองไม่เห็นกัน ถึงเวลาต้องกลับแล้วทิพย์สุคนธา…”

เขาพูดพลางเดินเข้ามาจับมือของนางไว้ก่อนแสงสีแดงจะสว่างไสวไปทั่ว ความอบอุ่นที่สัมผัสได้จากสองฝ่ามือนั้นช่างแสนสบายอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน และแล้วอัคคีเทพก็โอบรัดทั้งคู่ไว้ก่อนทุกอย่างจะสว่างขาวโพลนไปทั่ว

 

 สัมผัสอ่อนนุ่มของเตียงที่เคยคุ้นนั้นและยังมีกลิ่นกำยานหอมที่โชยมาตามลม ดวงตาที่ปิดสนิทของทิพย์สุคนธาก็ค่อยๆ กะพริบถี่ นางค่อยๆ ลืมตาขึ้นก่อนจะทราบได้ในทันทีว่าตนอยู่ที่วิมานไวกูณฐ์

“เจ้าทิพย์สุคนธา” น้ำเสียงแว่วหวานที่แสนคุ้นเคย

“องค์แม่เจ้าคะ” นางโผเข้ากอดพระลักษมีในทันทีก่อนมาลัยแก้วที่ก้มหมอบกราบอยู่ที่พื้นนั้นจะร่ำไห้ออกมาด้วยความดีใจเช่นกัน

“ยังเจ็บหรือไม่…”

“ไม่แล้วเจ้าค่ะองค์แม่ เราไม่เป็นกระไรเสียหน่อยมาลัยแก้ว หยุดร้องเถอะนะ…”

“ข้าคิดว่าจะไม่ได้พบองค์ทิพย์สุคนธาแล้วเจ้าค่ะ” นางพูดพลางร่ำไห้หนักขึ้นกว่าเดิมก่อนจะยิ้มออกมาได้เมื่อเจ้าทิพย์สุคนธาลงไปกอดนางไว้เช่นกัน แต่เมื่อกระทำเช่นนั้นมาลัยแก้วก็ยิ่งร่ำไห้หนักขึ้นกว่าเดิม

ถือเป็นเรื่องปีติยินดียิ่งนักสำหรับวิมานไวกูณฐ์เมื่อทิพย์สุคนธาฟื้นตื่นขึ้นมา อาการบาดเจ็บต่างๆค่อยๆ ดีขึ้นในทุกขณะและเหล่าเทพต่างๆ ที่แวะเวียนกันมาเยี่ยมเยียนทิพย์สุคนธาอย่างไม่ขาดสาย แต่หากไม่ใช่องค์ที่เจ้าดอกปาริชาตกำลังเฝ้ารอ

เวลาที่ผ่านเลยไปหลายวันมานี้ไม่ใช่เพียงจะไม่เห็นแม้เงาร่างของศิคิน หากแต่เหล่าบรรดาเทพทั้งสามยังหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถามของนางด้วยซ้ำไป

“แม้แต่หน้าวิมานก็เงียบสงัด…”

ทิพย์สุคนธาพึมพำขึ้นพลางมองไปยังวิมานอัคคีซึ่งบัดนี้ดูเงียบสงัดไร้ชีวิตชีวายิ่ง นางจึงค่อยๆ เดินไปก่อนจะทรุดตัวนั่งอยู่ที่ศาลาแก้วข้างๆ ลานฝึกซ้อมที่บัดนี้ไร้ซึ่งเงาของจตุรเทพทั้งสี่ ด้วยสถานการณ์ระหว่างแดนอสุราและแดนสวรรค์ไม่สู้ดีนัก

ด้วยในใจยามนี้นั้นมีเพียงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในป่าหิมพานต์ อีกทั้งความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับจากการโจมตีของอีกฝ่ายก่อนเจ้าตัวจะหมดสติไปยังคงชัดเจนในความทรงจำ หากแต่ไม่ว่าจะถามใครว่านางกลับมาหายดีเช่นนี้ได้อย่างไรก็มิมีผู้ได้ยอมปริปากแม้แต่คำเดียว

“จะเป็นอย่างไรบ้างหนา”

เสียงของศิคินที่ดังขึ้นนั้นดั่งว่าลอยมาตามสายลม หากแต่เสียงนั้นกลับฟังดูใกล้เกินกว่าจะเป็นเสียงที่ดังมาจากที่อื่น ทิพย์สุคนธาสะดุ้งตกใจก่อนจะมองไปรอบตัวหากแต่ไร้ซึ่งเงาของเทพอัคคี

“หรือจะไปหานางที่ไวกูณฐ์ ไม่ได้…”

เสียงของศิคินดังขึ้นอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้นั้นกลับดังฟังชัดเสียจนทิพย์สุคนธาต้องมองไปรอบๆ ตัวอีกที หากแต่ครั้งนี้ก็ยังคงไร้เงาของเทพอัคคีอย่างเช่นเคย

“เสียงอยู่ที่นี่แล้วตัวอยู่ที่ใด…”

ทิพย์สุคนธาลุกขึ้นจากอาสนะช้าๆ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง หากแต่สายตาก็ยังคงจับจ้องไปยังวิมานอัคคีที่อยู่เบื้องหน้า ในขณะเดียวกันนั้นดวงเนตรคมก็ค่อยๆ หลับตาลงก่อนจะตั้งจิตไปยังเจ้าของวิมานที่ได้ยินเพียงเสียงเข้มหากแต่ไม่อาจรู้ได้ว่าอยู่ที่ใด

เพียงชั่วพริบตาที่ทิพย์สุคนธาลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่แสนคุ้นตานั้นคือสายลมเย็นที่หอบเอากลิ่นของเหล่าผกาหอมในอุทยานใหญ่บุณฑริกวันลอยเข้ามาปะทะใบหน้า

เบื้องหน้าคือต้นทองหลางใหญ่ที่บัดนี้แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่วราวกับว่าต้นปาริชาตนั้นรับรู้ได้ถึงการมาเยือนของนาง ทำให้ในยามแรกที่มันยังคงนิ่งสงบกลับค่อยๆ ขยับใบและกิ่งก้านช้าๆ ก่อนละอองสีทองสลับแดงจะลอยละล่องไปทั่ว

ร่างองอาจของเทพอัคคีบัดนี้เอนกายลงที่พื้นหญ้าอ่อนนุ่มพลางหลับตาสนิท ทิพย์สุคนธาที่มองไปยังศิคินพลันในจิตก็ปรากฏภาพเมื่อครั้งที่เข้าไปในความทรงจำของเขาเมื่อครั้งที่พบกันที่นี่เป็นครั้งแรก

‘เหตุใดไม่มาเยี่ยมข้าที่ไวกูณฐ์เลยหนา…’

นางนึกขึ้นในใจ หากแต่องค์ศิคินที่กำลังเอนกายอยู่ที่พื้นกลับลืมตาขึ้นอย่างตกใจก่อนจะพบกับทิพย์สุคนธาที่กำลังยืนอยู่ไม่ไกลจากตนนัก เขามองนางอย่างประหลาดใจด้วยเขานั้นได้ยินเสียงของนางอย่างชัดเจนในจิต

“ทิพย์สุคนธา”

ศิคินกล่าวขึ้นอย่างตกใจ หากแต่ริมฝีปากของเขาไม่แม้แต่จะขยับ ทั้งสองกลับได้ยินความคิดของอีกฝ่ายในทันที ทิพย์สุคนธาที่เห็นดังนั้นก็นิ่งไปชั่วขณะด้วยแน่ใจแล้วว่าเสียงที่นางได้ยินเมื่อครั้งที่อยู่หน้าวิมานอัคคีนั้นคือความคิดของเทพอัคคีเช่นกัน

ก่อนจะได้กล่าวสิ่งใดออกมานั้น ร่างกำยำของเทพอัคคีก็โผเข้ากอดร่างบางของเจ้าดอกปาริชาตไว้ในทันทีด้วยความห่วงหายิ่งนัก ทิพย์สุคนธารับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นก่อนจะกอดเขาไว้แน่นเช่นกัน

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใด เจ้าดอกปาริชาตจึงค่อยๆ ผละจากอ้อมกอดนั้นช้าๆ ก่อนทั้งสองจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้นหญ้าใต้ต้นทองหลางใหญ่

“ห่วงข้าเช่นนี้ ไยไม่มาที่ไวกูณฐ์เลยเจ้าคะ”

นางถามขึ้นตาใส หากแต่ศิคินกลับไม่รู้จะตอบเช่นไร ด้วยเขานั้นรู้สึกผิดยิ่งนักที่ทำให้นางนั้นเกือบจะต้องดับขันธ์

“ทิพย์สุคนธา เมื่อครานั้นที่ไวกูณฐ์…” คิ้มเข้มผูกเข้าหากันนั้นพร้อมๆ กับแววตาของศิคินที่อยู่ตรงหน้า และเหนือสิ่งอื่นใดความรู้สึกมากมายของเขาที่หลั่งไหลเข้ามาที่ทิพย์สุคนธานั้นทำให้นางนึกสงสัยอยู่ไม่น้อยว่าแท้จริงแล้วเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่

“คราไหนเจ้าคะ…”

ทิพย์สุคนธาพยายามควบคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นเครือด้วยกลัวคำตอบของคำถาม

“คราที่มณีดาราบอกกับเจ้าว่า…เจ้าจะดับสูญด้วยไฟอัคคีแห่งเราเช่นนั้นหรือ”

ดวงตาแดงก่ำของศิคินคือคำตอบที่แท้จริงที่สุด และด้วยความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาในทุกขณะเพราะคำทำนายของเทวะพยากรณ์นั้นไม่เคยผิดพลาด เขาเบือนหน้าหนีไปอีกด้านด้วยไม่อยากให้ทิพย์สุคนธามองเห็นความเจ็บปวดที่ฉายชัดบนใบหน้านั้น

มือบางค่อยๆ เอื้อมมือไปจับฝ่ามือใหญ่ของเขาเอาไว้ จากนั้นศิคินจึงค่อยๆ หันหน้ากลับมาที่นางเช่นกัน ด้วยเมื่อครั้งที่ดวงใจอัคคีของเขาเข้าไปในดวงจิตของทิพย์สุคนธานั้น ไม่ใช่เพียงนางที่เข้าไปในความทรงจำของเขาเพราะศิคินเองก็เข้าไปในความทรงจำในวันที่ทิพย์สุคนธาได้ยินคำพยากรณ์เช่นกัน

“ไยเลยจักต้องเก็บเรื่องราวกาลข้างหน้าที่ยังไม่เกิดขึ้นมาคิดใส่ใจด้วย พี่ท่านจักปล่อยให้ข้ามอดม้วยด้วยอัคคีแห่งท่านหรือ”

ทิพย์สุคนธาจับมือของศิคินไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ด้วยในยามนี้นั้นนางสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกมากมายของศิคินที่ถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน ทั้งความกลัว ความโศกเศร้า และความรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทันใดนั้นน้ำตาของเจ้าดอกปาริชาตก็ค่อยๆ ไหลออกมาอาบแก้มนวลในทันที

นางมองไปที่ดวงตาของศิคินด้วยความสงสัยว่า เหตุใดทั้งสองคนจึงสามารถรับรู้ได้ถึงกันและกันเช่นนี้หากแต่เสียงที่ดังก้องในใจนั้นก็แทนคำตอบต่างๆ ได้เป็นอย่างดี

นางเอื้อมมือไปสัมผัสที่หน้าอกแกร่งอย่างเบามือ พลางน้ำตาก็ไหลออกมาไม่หยุดด้วยบัดนี้ดวงใจของเขาอยู่ที่นาง!

“เช่นนั้นก็จักเป็นเพียงคำทำนาย ทิพย์สุคนธา…”

เขาพูดพลางเช็ดน้ำตาที่อาบแก้มนั้นให้ทิพย์สุคนธา ก่อนจะก้มลงไปจุมพิตที่ริมฝีปากของนางอย่างแผ่วเบา ดั่งโลกหยุดหมุนทุกเสียงของสรรพสิ่งพลันเงียบลงไปชั่วขณะ มีเพียงสัมผัสอันนุ่มนวลที่ริมฝีปากเท่านั้น

ดวงตาที่เป็นประกายของทิพย์สุคนธามองไปยังดวงหน้าคมที่อยู่ในระยะประชิดเช่นนี้เป็นครั้งแรก ฝ่ามือทั้งสองข้างของทั้งสองคนร้อนขึ้นช้าๆ ก่อนที่เปลวไปสีแดงฉานจะค่อยๆ ลุกโชนโอบล้อมทั้งสองคนไว้ ภาพเมื่อครั้งที่ศิคินถอดดวงใจครึ่งหนึ่งของตนเพื่อมอบให้นางก็ปรากฏ

ดวงเนตรสองข้างที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตานั้นยังคงไม่อาจหยุดไหล ด้วยทราบดีว่าเป็นวิธีที่อันตรายและเจ็บปวดเพียงใด เพราะเหตุนี้เหตุผลที่ว่าตนตื่นขึ้นมาได้อย่างไรที่วิมานไวกูณฐ์ก็กระจ่างชัดเจน

พลังอัคคีเทพและพลังไฟชีวิตของศิคินนั้นหลอมรวมเข้าในร่างของทั้งสองในทันที พลันกลิ่นหอมจากกลิ่นกายของทิพย์สุคนธาก็ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณ…

ละอองแก้วสีแดงประพาฬของกลีบดอกปาริชาตนั้นเมื่อสัมผัสกับพลังที่คุ้นเคยบางอย่าง ความรู้สึกเมื่อครั้งกาลก่อนที่ลืมเลือนไปแล้วนั้นก็ชัดเจนขึ้น แสงสว่างสีแดงเจิดจ้าหากแต่ไม่ใช่อัคคีเทพของศิคินและกลิ่นหอมของดอกปาริชาตที่ทั้งสองเคยคุ้นก็เข้ามาแทนที่

บังเกิดเป็นภาพนิมิตในอดีตชาติไหลทะลักเข้ามาในจิตของเทพทั้งสององค์…

 

ภายใต้แสงรัศมีแห่งต้นไม่ทิพย์นั้นบนฝ่ามือของใครผู้หนึ่งปรากฏดอกไม้สีแดงฉานราวแก้วประพาฬผลิบานอยู่บนฝ่ามือแกร่ง เขามองไปยังดอกไม้ทิพย์ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยพลางยิ้มออกมาให้กับชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไป

เมื่อดอกไม้ล่องลอยไปอยู่ที่หัตถาแห่งองค์พระนารายณ์ ร่างขององค์ราพสูรก็คุกเข่าลงในทันทีก่อนจะน้อมรับโทษทัณฑ์ที่ตนลักพานำต้นปาริชาตมาไกลถึงแดนทิพยอสุรา

ชั่วขณะที่ร่างทองของเจ้าเหนือหัวทิพย์อสุรากำลังจะสลายไปนั้น ดวงเนตรคมจับจ้องไปยังดอกปาริชาตดอกแรกที่ล่องลอยอยู่เบื้องหน้า

‘อันใดเล่าแบ่งแยกสูงส่งต่ำต้อย ข้านี้นั้นแม้ตั้งตนในความถูกต้องเสมอมาหากแต่ก็ยังคงเป็นเพียงผู้ที่หลงในกิเลสด้วยไร้สติเพียงชั่ววูบเท่านั้น’ เขานึกตัดพ้อในจิตก่อนมองร่างกายของตนจะค่อยๆ สูญสลายไปอย่างช้าๆ

“สิ่งใดวัดสูงต่ำดีชั่วกันหากไม่ใช่การกระทำ ข้าต่ำต้อยพลั้งผิดเพียงนั้นหรือเจ้าปาริชาตจึงต้องได้รับโทษทัณฑ์ถึงเพียงนี้”

ถ้อยคำตัดพ้อต่างๆ บังเกิดในจิตพลางมองไปยังเบื้องหน้า แต่ความรู้สึกกลับว่างเปล่าลงทุกขณะ

“เพียงเราเกิดในแดนอสุราเช่นนั้นหรือจึงถูกตัดสินว่าไม่คู่ควร…แล้วเจ้าเล่าปาริชาต ดอกไม้ทิพย์สูงส่งเพียงนั้นหากแต่เหล่าเทพเหตุใดจึงได้สิทธิ์ครอบครองเจ้ากันหนา”

รอยยิ้มคลี่ออกช้าๆ ที่ริมฝีปากและพยายามจะขยับเอื้อนเอ่ยบางสิ่ง ราพสูรที่ยอมรับแล้วซึ่งชะตากรรมของตนพลางมองไปยังแสงสีแดงสุดท้ายของกลีบดอกใสราวแก้วมณี

“คงดีไม่น้อยหากมีสักวันที่เจ้าจักร่วงหล่นมาที่เราบ้าง…”

เมื่อสิ้นจิตสุดท้ายขององค์เทพอสุรา ก็บังเกิดไฟเทพขึ้นด้วยเจ้าพิภพอสุรายังมิได้เข้าพิธีผลาญไฟ (1) เพราะราพสูรไม่ได้ดับขันธ์อย่างเช่นเจ้าพิภพองค์ก่อน เมื่อเห็นดังนั้นองค์พระนารายณ์จึงนำไฟแห่งชีวิตสุดท้ายของราพสูรกลับมาที่แดนเทพในทันที

ภาพในนิมิตจึงปรากฏวิมานที่แสนคุ้นตา…ศิคินและทิพย์สุคนธาเฝ้ามองเหตุการณ์นั้นด้วยใจลุ้นระทึกพลางเมื่อปรากฏวิมานเทพอัคคีอยู่เบื้องหน้าหัวใจของศิคินก็เต้นระส่ำไม่เป็นจังหวะ

“เรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ…”

ทิพย์สุคนธาพูดพลางจับมือศิคินไว้แน่น ก่อนจะกลับหันหลังในทันทีแล้วออกแรงจูงมือของเทพอัคคีให้เดินตามตนมา หากแต่ร่างของศิคินนั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย ก่อนเขาจะเอื้อมมือไปเพื่อหมายจะเปิดประตูวิมานของตน

“พี่ท่านอย่าเปิดประตูวิมานเข้าไปนะเจ้าคะ”

เป็นคำขอร้องอย่างอ้อนวอนของทิพย์สุคนธา ศิคินที่ได้ฟังก็ชะงักมือไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะหันกลับมามองนางด้วยสายตาที่เจ็บปวด

“แล้วมันจักเปลี่ยนสิ่งใดได้เล่าทิพย์สุคนธา…”

เมื่อจบคำของศิคินนั้นเขาก็ปล่อยมือของทิพย์สุคนธาในทันทีพลางผลักประตูวิมานอัคคีเข้าไป หากแต่เพียงไม่กี่ก้าวแรงสั่นสะเทือนก็เกิดขึ้น ก่อนแสงสว่างจากแท่นอัคคีภายในห้องพิธีจะส่องแสงเรืองรองไปทั่วบริเวณ

“ศิคิน!”

ทิพย์สุคนธาตะโกนอย่างสุดเสียง ด้วยรู้แน่แล้วว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่ไหนแต่ไรมาที่ตนมักมาปรากฏที่วิมานอัคคีหรือในที่ที่ศิคินอยู่ เช่นเดียวกับที่ศิคินนั้นที่บางคราก็มักมาปรากฏอยู่ต่อหน้านางโดยบังเอิญอยู่หลายครั้งหลายคราเช่นกัน

ทุกอย่างล้วนแล้วเกิดจากพลังของไฟเทพของราพสูรที่เป็นต้นกำเนิดของปาริชาตดอกแรกอย่างนางและเทพอัคคีนั้นก็จุติจากไฟชีวิตสุดท้ายที่เหลืออยู่ของเจ้าพิภพอสุราเช่นกัน จึงเป็นคำตอบที่ว่าเหตุใดมีเพียงดวงใจครึ่งหนึ่งของเทพอัคคีเท่านั้นที่สามารถยับยั้งไฟพิษหะลาหละในกายของนางได้

เมื่อแสงสว่างสุดท้ายสงบลงและแท่นอัคคีที่กลับมาลุกโชนอีกครั้ง ใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มของเทพอัคคีที่ทิพย์สุคนธารู้จักนั้นก็สลายมอดไหม้ไปพร้อมๆ กับเปลวไฟเช่นกัน

หลงเหลือเพียงความนิ่งเฉยที่ฉายชัดก่อนจะมองมาที่นางด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

“แล้วมันจักเปลี่ยนสิ่งใดได้เล่าทิพย์สุคนธา เพราะอย่างไรเสียเราก็คือเขา…”

 

เชิงอรรถ : 

(1) พิธีถอดไฟชีวิตครั้งสุดท้ายของทิพยอสุราที่จะดับขันธ์ เพื่อใช้หล่อเลี้ยงพิภพอสุราและแสงสว่างของมณีอสุรกาล

 

 



Don`t copy text!