ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 22 : มณีอสุรกาล

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 22 : มณีอสุรกาล

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

ในยามที่เสียงกลองรบดังสนั่น ณ สุดขอบดินแดน ร่างบางระหงที่ยังคงเหม่อมองไปยังทิศทางของห้องขังนักโทษแห่งพิภพอสุราจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาน้อยๆ

องค์ยะษาหลังจากกลับมาจากการชิงตัวดอกปาริชาตที่หิมพานต์นั้นก็ได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก หลังจากการปะทะกับเหล่าแม่ทัพเทพทั้งหลายแห่งแดนสวรรค์

นางเฝ้าพินิจทบทวนอยู่นาน ด้วยหากว่าการที่นางนำมนุษย์ผู้เป็นร่างจุติขององค์ราพสูรกลับมาที่แดนอสุราหลังจากวันนั้น ยะษาก็ไม่เคยให้ผู้ใดได้พบเขาอีกเลย

อีกทั้งสงครามที่กำลังปะทุขึ้นในขณะนี้เริ่มมีทหารแดนสวรรค์และทหารอสุราของนางสิ้นชีพเพิ่มขึ้นในทุกวัน จึงทำให้ผู้ที่ไม่ประสงค์จะเบียดเบียนชีวิตผู้อื่นอย่างนางเริ่มตั้งคำถามขึ้นเกี่ยวกับการกระทำของพวกตนว่า การฟื้นโทษทัณฑ์เพื่อคืนชีพให้องค์ราพสูรเมื่อต้องแลกกับชีวิตผู้คนบริสุทธิ์มากมายแล้วมันคุ้มค่ากันเช่นนั้นหรือ

“ยิ่งกว่าคุ้มค่า เจ้ามิรู้หรืออย่างไรว่าหากไม่มีองค์ราพสูร…พิภพนี้ต้องมืดดับเมื่อมณีอสุรากาลไม่เปิดรับข้า…”

เสียงของยะษาที่ดังขึ้นจากด้านหลังนั้นทำให้ยะศิณาสะดุ้งตกใจ ก่อนจะรีบหันหลังกลับมามองผู้เป็นพี่ในทันที

“หากต้องมืดดับลงเพียงไฟฟืนต่างๆ ยังเพียงพอให้แสงสว่างได้ แต่ใจเราต้องมืดดับด้วยหรือพี่ท่านเมื่อต้องแลกด้วยชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมายเช่นนี้”

นางพูดพลางมองไปยังผู้เป็นพี่ที่บัดนี้ใบหน้าเรียบเฉย หากแต่กลับทำได้เพียงส่ายหน้าช้าๆ

“เจ้ามิอยากให้องค์ราพสูรฟื้นคืนแล้วเช่นนั้นหรือ ไม่ใช่เพียงมณีอสรุกาลเท่านั้นแต่ไฟแห่งชีวิตของท่านยังสามารถเปิดกระถางอสุราอัคคีได้อีกครั้ง เช่นนั้นจะให้เราและเหล่าอสุราไม่ถูกดูถูกเหยียดหยามอีกต่อไปจากเหล่าเทพ!”

ยะศิณากลืนคำพูดมากมายลงในลำคอแทบจะในทันที ด้วยเมื่อยามนึกถึงเหตุการณ์ที่เมื่อต้องติดตามผู้เป็นพี่เข้าไปแดนเทพในบางครั้งนั้น สายตาดูถูกเหยียดหยามของเหล่าทหารเทพหรือแม้แต่เทพธิดาต่างๆ ที่มองนางไม่ต่างจากสิ่งของโสโครกน่ารังเกียจทั้งที่นางเองก็เป็นดังทิพยเทพธิดาเช่นกัน

“เอาเถิด ถึงอย่างไรเหตุการณ์ที่หิมพานต์เมื่อคราก่อนก็ยังมิส่งผลหนักหนากะไรนัก มีเพียงการปะทะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าอยู่ที่ในห้องเช่นนี้คงหน่ายอยู่ไม่น้อย เช่นนั้นข้าอนุญาตให้เจ้าไปดูเจ้ามนุษย์นั้นเสียหน่อยคงหายหน่ายได้กระมัง”

“ข้าลาเจ้าค่ะท่านพี่…”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นยะศิณาจึงเร่งไปที่คุกที่กักขังในทันที โดยที่ยะษานั้นมองตามผู้เป็นน้องสาวจนสุดสายตา

“ข้าจะไม่ให้มีผู้ใดมามองเราด้วยสายตาเหยียดหยามเช่นนั้นอีก…ดารัน!” สุรเสียงทรงอำนาจกล่าวขึ้นก่อนจะจะปรากฏร่างของแม่ทัพแดนอสุราในทันที

“จัดพลับพลาเสีย เราจะเจรจากับฝ่ายเทพ…”

สายตาของดารันช้อนมองไปยังผู้เป็นนายเหนือหัวอย่างไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน

“อันความที่ยะศิณากล่าวนั้นก็มีส่วนจริงอยู่ไม่น้อย ถึงจะไม่ชัดเจนว่าฝ่ายเราที่กระทำการลุกล้ำแดนเทพก่อนทำให้เกิดสงครามในครั้งนี้ เพราะองค์เทพวุ่นวายทั้งสองตามมาทันจนเห็นว่าข้าข้ามเขตแดนเข้ามา”

“เช่นนั้นนอกจากพลับพลาทอง องค์ยะษาประสงค์สิ่งใดอีกหรือไม่”

ยะษายิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะวาดมือไปในอากาศ ก็ปรากฏจดหมายเจรจาที่ทำขึ้นจากแผ่นทองคำแผ่นหนึ่ง

“เจ้านำสิ่งนี้ส่งให้ถึงเหล่าแม่ทัพเทพเสียเถิด…ไปได้!”

“รับบัญชา…”

หลังจากร่างของดารันค่อยๆ เลือนหายไปด้วยพระเวทแล้วนั้น ผู้เป็นนายก็ได้ใช้พระเวทเพื่อมองไปยังคุกใต้ดินที่กักขังมนุษย์หนุ่มที่ยะศิณาเร่งลงไปดูเช่นกัน ร่างของมนุษย์ผู้นั้นไม่อาจทนทานกับพลังของเหล่าอสุราได้ทำให้รู้สึกอ่อนแรงอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งแรงกดทับของพลังต่างๆ ทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่แทบจะตลอดเวลา

ยะศิณาเร่งเข้าไปดูแลและช่วยเหลือเขาในทันที ก่อนชายหนุ่มจะมีสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อยเพราะด้วยพระเวทของทิพยอสุราที่ช่วยทำให้เขาไม่ต้องรู้สึกถึงแรงกดทับของพลังต่างๆ ในพิภพแห่งนี้

เขามองพินิจผู้เป็นน้องสาวด้วยรู้ดีแก่ใจว่ายะศิณานั้นมีความรู้สึกเช่นไรกับองค์ราพสูร ด้วยเพราะเหตุนี้นางจึงยินยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาจุติกลับมาเช่นเดิม

“ไม่ว่าผู้ใดก็ต่างงมงายในรัก…หากเจ้ากล่าวว่าใจข้านั้นมืดดับดั่งพิภพนี้ฉันใด ทุกสิ่งที่ข้ามีก็จักเดิมพันไม่ยอมพ่ายในหมากกระดานนี้เป็นแน่”

 

วิมานไพชยนต์ ดาวดึงส์

ดวงหน้าหวานจับจ้องไปยังผู้เป็นพี่ด้วยสายตาจับผิดเมื่อมองไปยังท่าทีเร่งรีบขององค์วาโยพายะที่บัดนี้กำลังยิ้มเจื่อนๆ ให้กับทิพย์สุคนธาอย่างออกพิรุธ

“มา…ถวายมาลัยหรือเจ้า…” เสียงพูดติดขัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนขององค์วาโยก่อนจะมองไปยังมหิธรที่ยืนอยู่ข้างๆ

“เจ้าค่ะ…”

ทิพย์สุคนธาตอบสั้นๆ ก่อนจะมองหาใครผู้หนึ่งที่ตั้งแต่พบกันที่ใต้ต้นปาริชาตนางก็ยังไม่ได้พบหน้าศิคินอีกเลย เหตุด้วยสถานการณ์ที่ชายแดนไม่สู้ดีนักทำให้เหล่าแม่ทัพเทพทั้งสี่ต้องออกไปประจำอยู่ที่ชายแดนระหว่างแดนเทพและแดนอสุรา

“มีเพียงข้าและพายะเท่านั้นแลเจ้า” มหิธรที่กล่าวอย่างรู้ทันก่อนคนเป็นน้องจะคิ้วขมวดเป็นปมในทันที

“อ่านใจข้าอีกแล้วหรือเจ้าคะ…”

“สีหน้าเจ้าฟ้องออกปานนั้น พวกเราไหนเลยต้องใช้พระเวท…”

องค์มหิธรอมยิ้มพลางเสียงถอนหายใจของพายะก็ดังขึ้นก่อนคนคิ้วขมวดเข้าหากันจะเป็นองค์วาโยเสียเอง ก่อนจะยกมือสองข้างขึ้นปิดหูเอาไว้

“เจ้าจักกลับไวกูณฐ์มิใช่หรือทิพย์สุคนธา พวกเรายังมีกิจต้องเข้าเฝ้าองค์อมรินทร์หนา”

สีหน้าที่จริงจังกว่าปกติขององค์วาโยนั้นยามนี้ดูอย่างไรก็เคร่งขรึมผิดวิสัย ทิพย์สุคนธาทำความเคารพองค์เทพทั้งสองก่อนจะเดินออกมาพร้อมๆ กับมาลัยแก้วในทันที

“กิจที่ว่าคงสำคัญนะเจ้าค่ะ องค์พายะยามนี้สีหน้าเหมือนดั่งพายุคลั่งกำลังก่อตัวก็ไม่ปาน”

มาลัยแก้วกล่าวขึ้นหากเจ้าดอกปาริชาตยามนี้นั้นอดสงสัยเป็นไม่ได้เพราะด้วยไม่ได้พบกันมานาน พายะยามปกตินั้นคงต้องถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของนางเป็นวิสัยไม่เคยขาด หากแต่ยามนี้นั้นสีหน้าไม่สู้ดีนักของทั้งสององค์และลางสังหรณ์บางอย่างของทิพย์สุคนธาก็แจ่มชัดขึ้น

“กลับไวกูณฐ์กันเร็ว มาลัยแก้ว…”

เมื่อกลับมาถึงยังวิมานไวกูณฐ์นั้น ก็รุดเข้าในห้องพิธีที่ทิพย์สุคนธามักใช้เป็นสถานที่ในการบำเพ็ญจิต ร่างบางค่อยๆ นั่งลงที่อาสนะสีทองก่อนดวงเนตรงามจะปิดสนิทลงแล้วจึงตั้งมั่นในการถอดจิตเทพในทันที

จิตเทพของทิพย์สุคนธานั้น เมื่อล่องลอยออกจากร่างทิพย์ก็ตรงกลับไปยังวิมานไพชยนต์ในทันที สวนกว้างที่คุ้นตาเนื่องด้วยนางนั้นเพิ่งจะกลับไปเมื่อครู่ ภายในศาลาแก้วยังคงปรากฏมาลัยดอกไม้หอมที่นางร้อยมาถวาย อีกทั้งภายในศาลานั้นยังปรากฏร่างขององค์พายะและองค์มหิธรที่มีสีหน้าไม่สู้ดีเท่าใดนัก

บนแท่นแก้วนั้นองค์อมรินทร์ที่ภายในมือยังคงถือแผ่นทองที่สลักบางสิ่งอยู่ด้านใน หากแต่เนื้อหาใจความว่าอย่างไรนั้นมีเพียงองค์ท่านเท่านั้นที่สามารถรู้ได้

“องค์ยะษาแห่งแดนอสุราส่งมาเช่นนั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ…” พายะตอบเสียงสั่น “จักทำอย่างไรเจ้าคะ…”

คิ้วคมโค้งเข้าหากันแทบจะในทันทีก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง แต่ก่อนที่องค์อมรินทร์จะได้กล่าวสิ่งใดออกมานั้นร่างบางของทิพย์สุคนธาก็เกิดหนักอึ้งขึ้นมาในทันที ดั่งว่ากำลังมีพลังบางอย่างกดทับลงมาที่ตนหากแต่นั่นหมายถึงขีดจำกัดของการถอดจิตเทพนั้นเอง

“เช่นนั้นก็คงต้องทำศึกกันอีกครา เพราะพิภพอสุราย่อมรู้ดีอยู่เต็มอกแล้วเป็นแน่ว่าพวกเราหายอมส่งทิพย์สุคนธาให้อภิเษกกับแดนอสุราไม่”

เจ้าของนามที่ได้ฟังนั้นถึงกับไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดพิภพอสุราถึงขอเจรจาเช่นนี้

“องค์ยะษาผู้นี้ กล้าดีอย่างไรกัน!” พายะสบถขึ้นมาในทันทีก่อนมหิธรจะมองไปที่เขาแล้วจึงส่ายหน้าเบาๆ

“มันหาได้ต้องการพิธีเสกสมรสอันใดดอกพายะ มันเพียงต้องการพลังของนางเท่านั้น…”

“เพียงหาเหตุในการเปิดศึกกับเราเท่านั้น แล้วจักยกเอาเหตุที่ว่าเรามิยอมยกทิพย์สุคนธาให้มาอ้างเหมือนดั่งว่าเรามิรู้ว่านางคือดอกปาริชาตดอกแรกอันจุติจากพลังชีพแห่งองค์ราพสูร…”

ทิพย์สุคนธาไม่แปลกใจเท่าใดนัก ด้วยนึกสงสัยมาโดยตลอดว่าเหตุใดกันถึงเกิดเหตุการณ์เพื่อชิงตัวนางที่ป่าหิมพานต์ หากแต่ความคิดที่วกไปวนมานั้นกลับเป็นเรื่องที่เหล่าผู้บริสุทธิ์มากมายต้องมาเดือดร้อนเพราะตัวนาง

“พวกเจ้ากลับไปที่ชายแดนก่อนเถิด เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องเป็นไปตามคำสัตย์สัญญาที่เคยให้ไว้ว่าเราจักไม่ยกทัพไปแดนอสุราก่อน…”

ร่างของทิพย์สุคนธาบัดนี้หนักอึ้งไปด้วยเกินขีดจำกัดของดวงจิต พลางเมื่อกลับเข้าร่างทิพย์ที่สถิต ณ ไวกูณฐ์นั้นนางก็ถึงกับจวนเจียนจะหมดสติลงในทันที หากแต่เทพธิดาคนสนิทอย่างมาลัยแก้วเข้ามารับไว้ได้ทัน

ร่างบางที่ไร้เรี่ยวแรงนั้นจู่ๆ เมื่อมองแววตาอันอ่อนโยนของมาลัยแก้วดวงเนตรก็พลันร้อนผ่าวขึ้นในทันที ก่อนน้ำตามากมายจะไหลออกมาอย่างไม่อาจควบคุม แล้วจึงโผเข้ากอดมาลัยแก้วไว้แน่น

“เกิดกระไรขึ้นเจ้าคะ!” น้ำเสียงตกใจของมาลัยแก้วก่อนจะกอดทิพย์สุคนธาไว้แน่นเช่นกัน

ทิพย์สุคนธาที่เมื่อได้ยินเสียงของมาลัยแก้วถามเช่นนั้น ก็พยายามจะไม่ร้องไห้ก่อนจะยกมือขึ้น แต้มอัคคีสีแดงก็ปรากฏที่กลางฝ่ามือในทันที

ดั่งสายฟ้าฟาดลงความรู้สึกของเทพอัคคีที่พรั่งพรูมาที่นางอย่างมากมาย ทิพย์สุคนธาที่รับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าของศิคินนั้นก็น้ำตาไหลออกมาในทันที ก่อนจะกระชับกอดร่างของมาลัยแก้วแน่นไร้ซึ่งคำพูดใด มีเพียงเสียงกรีดร้องปานจะขาดใจของธิดาแห่งไวกูณฐ์เท่านั้น

“องค์ท่านเป็นกระไรเจ้าคะ!”

 

ชายแดนอสุรา

ภายในกำแพงหนาของหินศิลาชื้นเต็มไปด้วยตะไคร่หนาสีเข้มเนื่องจากไม่ต้องแสงสว่างเป็นเวลานาน ร่างของหญิงสาวค่อยๆ เดินตรงไปที่ซี่กรงหินนั้นมองไปยังร่างของบุรุษด้านในด้วยดวงตาที่แดงก่ำเมื่อยามมองเห็นสภาพของร่างมนุษย์ที่ไม่อาจทนทานต่อพลังของแดนอสุรา

ใบหน้าที่เลื่อนลอยไร้แววของเขามองไปยังแสงสว่างเดียวที่ลอดผ่านช่องลมเข้ามานั้นแทบจะตลอดเวลา เนื้อตัวที่เต็มไปด้วยร่องรอยของคราบเลือดแห้งกรังนั้นเต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของเล็บมนุษย์ที่พยายามทำร้ายร่างกายของตนเอง

“เปิดประตู…”

ยะศิณาเข้ามาในกรงขังนั้นอย่างช้าๆ หากแต่เขานั้นไม่สามารถรับรู้ได้เลยถึงการมาของนาง ด้วยคงตกอยู่ในพระเวทของยะษาเพื่อไม่ให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งจนทำร้ายร่างกายของตนนั่นเอง

“ท่าน…” เสียงแผ่วเบาของยะศิณาที่แว่วไปตามลมนั้นดั่งว่าเตือนสติของมนุษย์ผู้นั้น ก่อนจะค่อยๆ หันมาหานางช้าๆ

หากแต่เขานั้นกลับพุ่งตรงเข้ามาหมายจะทำร้ายยะศิณาในทันที ร่างบางไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไปเมื่อนางเองเป็นต้นเหตุให้เขาต้องกลับมาพบกับชะตากรรมเช่นนี้  ริมฝีปากบางค่อยๆ ร่ายพระเวทช้าๆก่อนเขานั้นจะสงบลง และยะศิณาก็โผล่เข้ากอดร่างของเขาไว้แน่น

คราบเลือดที่แห้งกรังติดตามเนื้อตัวนั้นทำให้ทหารอสุราที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูถึงกับรีบเบือนหน้าหนีในทันที หากแต่หญิงสาวหาได้รู้สึกรังเกียจเขาแม้แต่น้อย ร่างบางของยะศิณากระชับกอดร่างของเขาไว้แน่นหากรู้ดีว่าพระเวทของนางอยู่ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

“มีเพียงพลังของมณีอสุรกาลเท่านั้นที่อาจพอจะช่วยเรียกสติท่านได้ ไปกันเถิดเจ้าค่ะ!”

พูดจบร่างของทั้งสองก็หายไปจากบริเวณคุกที่กักขังในทันที ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่เหนือปราสาทหินที่เบื้องหน้าของทั้งสองนั้นคือมณีสีดำขนาดใหญ่ที่อยู่เหนือยอดปราสาท

เมื่อรับรู้ได้ถึงการมาของผู้เคยเป็นนายนั้น มณีอสุรกาลก็เกิดการเปลี่ยนแปลงในทันที พลันเมื่อร่างของชายหนุ่มสัมผัสกับเปลวไฟนั้นก็บังเกิดแสงสว่างขึ้นในทันที ยะศิณาที่เห็นภาพดังนั้นก็ดีใจเป็นอย่างมาก ด้วยแน่แก่ใจแล้วว่าอีกไม่นานองค์ราพสูรจักต้องจุติ ไม่จำเป็นต้องใช้พลังของดอกปาริชาตดอกแรกอีกต่อไป

“เช่นนี้ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้ด้วยดีทุกฝ่าย ไม่ต้องรบราฆ่าฟัน ไม่ต้องแลกด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์อีกต่อไป!”

นึกได้ดังนั้นรอยยิ้มที่แสนงดงามของยะศิณาเมื่อมองภาพตรงหน้าก็สุขใจยิ่ง ร่างบางค่อยๆ ร่อนลงที่พื้นอย่างงดงามก่อนจะมองดูภาพตรงหน้าด้วยความปีติยิ่งนัก

“เจ้าทำกระไรลงไป ยะศิณา!”

ยังไม่จะสิ้นสุรเสียงของผู้เป็นพี่ก็บังเกิดแรงระเบิดอย่างรุนแรง แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นทำให้ยะษารีบใช้ร่างของตนกำบังปกป้องร่างของผู้เป็นน้องไว้ก่อนจะพัดปลิวไปตามแรงระเบิดกระทบพื้นอย่างแรง

เมื่อสิ้นแสงสว่างลงก็บังเกิดเปลวไฟลุกโชนขึ้นอย่างรุนแรงที่มณีอสุรกาล ร่างของชายหนุ่มชาวมนุษย์ที่บัดนี้ร่างของมนุษย์ไม่สามารถแบกรับพลังแห่งทิพยอสุราไว้ได้จึงค่อยๆ กลายสภาพเป็นดวงจิตสีขาวกระจ่างล่องลอยอยู่กลางอากาศ

“เหตุใดจึงโง่เขลาเช่นนี้!”

ยะษากล่าวพลางทะยานขึ้นไปรับดวงจิตนั้นก่อนจะใช้พระเวทของตนรักษามันไว้เพื่อไม่ให้มันสลายหายไป เขามองไปยังมณีอสุรกาลที่ลุกโชติช่วงและเปลวไฟมากมายก็ค่อยๆ รวมกันเป็นดวงไฟขนาดใหญ่ก่อนจะบังเกิดแรงระเบิดขึ้นอีกครั้ง

 

ณ พลับพลาทองที่อยู่เบื้องล่างเขาพระสุเมรุนั้น บัดนี้ร่างของเทพอัคคีหนุ่มที่ทอดมองไปยังแดนอสุราจากหน้าต่างพลับพลานั้น มองดูราวกับรูปปั้นที่ใบหน้านิ่งราวกับไร้ชีวิตชีวาหากแต่บัดนี้ในจิตใจนั้นกลับสับสนวุ่นวายอยู่มาก

หลังจากเหตุการณ์ที่ใต้ต้นปาริชาตนั้น ดั่งว่าความทรงจำขององค์ราพสูรเมื่อครั้งอดีตชาตินั้นไหลมาไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เมื่อครั้งผ่านศึกรบรากับแดนเทพอย่างองอาจ สังหารเหล่าทหารเทพมากมายเมื่อครั้งยังไม่นั่งบัลลังก์แห่งทิพยอสุรา หรือแม้แต่เหตุการณ์สำคัญเมื่อครั้งต้องทัณฑ์แห่งองค์พระนารายณ์ก็ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของศิคินไม่หยุด

ตูม!

ดั่งฟ้าจะทลายลงมาก็ไม่ปาน เสียงระเบิดกึกก้องดังขึ้นจนบังเกิดแรงสั่นสะเทือนไปทั่วผืนพิภพ ศิคินมองเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เกิดขึ้น ก่อนจะสังเกตเห็นเป็นลูกไฟจำนวนมากพุ่งกระจัดกระจายไปทั่วพิภพอสุรา

“เกิดกระไรขึ้น!”

สมุทราตะโกนเสียงดังถามไปยังเหล่าทหารด้วยความตกใจ ก่อนเทพทั้งสองจะวิ่งออกมาจากพลับพลาในทันที

“ดวงไฟจากแดนอสุรา โจมตีใส่ทั้งแดนเราและแดนของตน บัดนี้เริ่มมีทหารล้มตายแล้วเจ้าค่ะ!”

“สมุทราระวัง!”

สิ้นเสียงของศิคินลูกไฟลูกหนึ่งก็โจมตีเข้ามาในทันที หากแต่เทพอัคคีสามารถใช้พลังอัคคีเทพของตนทำให้มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ได้ทันก่อนที่มันจะสัมผัสกับร่างของเหล่าทหารเทพ

ศิคินมองไปยังภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น บัดนี้เหล่าทหารแดนอสุรากำลังโดนกลุ่มของลูกไฟมหาศาลเข้าโจมตีอย่างบ้าคลั่ง หากแต่เหล่าอสุราที่เพียงสัมผัสโดนพลังของลูกไฟนั้นก็เริ่มมีอาการแปลกประหลาดขึ้นในทันที

“สมุทรา เจ้าเร่งติดตามพายะและมหิธรกลับมาที่นี่บัดเดี๋ยวนี้!”

อสุราที่สัมผัสเปลวไฟนั้น เมื่อผู้ใดยังไม่สิ้นชีพร่างกายของพวกเหล่าทหารก็ค่อยๆ บิดเบี้ยวเปลี่ยนสภาพไปจากเดิมก่อนจะเริ่มขยายใหญ่ขึ้นในทันที

ร่างกายที่ขยายใหญ่ขึ้นของเหล่าทหารอสุราเหล่านั้น เมื่อบาดแผลสัมผัสกับดวงไฟก็ค่อยๆ เรืองแสงสีแดงออกมาอย่างน่ากลัว พวกมันต่างคลุ้มคลั่งขึ้นแทบจะพร้อมๆ กันในทันทีก่อนจะเริ่มหยุดนิ่งลง หากแต่เสียงร้องคำรามที่ดังสนั่นนั้นทำให้เทพทั้งสององค์ทราบได้ในทันทีว่ายามนี้สงครามทั้งสองพิภพกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

 



Don`t copy text!