ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 23 : ทัณฑ์เทวะ

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 23 : ทัณฑ์เทวะ

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

เสียงกังวานของระฆังแก้วที่ดังขึ้นนั้นก่อนสายลมวูบหนึ่งจะพัดผ่านมาอย่างรวดเร็วเมื่อยามที่องค์ สมุทราส่งจิตไปยังองค์พายะและองค์มหิธร เพียงชั่วอึดใจทั้งสององค์ก็ปรากฏกายที่พลับพลาสุดเขตแดนในทันที

“เหตุใดจึงเผยสันดานดิบเช่นนี้!”

องค์วาโยกล่าวอย่างตกใจ ด้วยเหล่าทหารแดนอสุรานั้นต่างมีรูปร่างที่แปลกไป อีกทั้งยังร้องคำรามดั่งเช่นสัตว์ป่ากำลังขู่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ก่อนพวกมันจะเริ่มเข้าโจมตีกันเองและบางพวกก็ตรงเข้ามาที่ชายแดนเทพ

“เรื่องนี้ต้องสืบให้แน่ชัด ตอนนี้พวกเจ้ารีบร่ายพระเวทป้องกันเขตแดนก่อนเถอะ”

มหิธรพูดพลางเหาะออกไปจากบริเวณที่ทั้งหมดยืนอยู่ในทันที ก่อนจะสั่งให้เหล่าทหารแดนเทพตรึงกำลังเอาไว้ที่ชายแดน

ร่างขององค์พสุธาจึงค่อยๆ เรืองแสงสีทองอย่างเจิดจ้า ก่อนจะปรากฏกำแพงดินขนาดใหญ่ขึ้นขวางเหล่าอสุราที่ตรงเข้ามา หากแต่ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของพวกมันจึงทำได้เพียงซื้อเวลาเท่านั้น

‘ร่ายพระเวทป้องกันต้องใช้เวลามากนัก เช่นนี้จะไม่ทันกาล’ ศิคินคิดพลางลอยตัวขึ้นกลางอากาศจึงพบว่าเหล่าอสุรานั้นผ่านกำแพงพสุธาของมหิธรเข้ามาใกล้ทุกขณะ

“ศิคิน อย่างไร!”

“พายะ เห็นทีครานี้คงไม่อาจหลีกเลี่ยงการปะทะ แลสมุทรา…ในฐานะที่เจ้าอาวุโสที่สุดในพวกเราเช่นนั้นให้เจ้าตัดสินใจ!”

องค์สมุทรามองไปยังเหล่าสหายที่ยังคงร่ายพระเวทป้องกัน หากแต่เสียงฝีเท้าของเหล่าอสุราที่ดังสนั่นกึกก้องกลับใกล้เข้ามาทุกขณะ…เขาจึงพยักหน้าตอบรับ

“เหล่าทหารแดนสวรรค์รับบัญชาข้า เตรียมรับการปะทะ!”

สุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นก่อนที่เหล่าอสุราทั้งหลายนั้นจะผ่านแนวการป้องกันเข้ามาได้อย่างรวดเร็ว เสียงโห่ร้องของสงครามก็ดังกึกก้องขึ้นในทันที โดยที่ลูกไฟเหล่านั้นยังคงโจมตีใส่เหล่าทหารทั้งสองแดนอย่างไม่หยุดหย่อน

เทพอัคคีพยายามหลีกเลี่ยงไม่ใช้พลังอัคคีเทพของตน ด้วยกลัวว่าจะแผดเผาเหล่าทหารของฝ่ายตนจึงทำได้เพียงใช้พระขรรค์ปัดป้องเหล่าอสุราเท่านั้น เขามองไปยังตามร่างกายของเหล่าอสุราร่างยักษ์ก็พบว่าตามร่องรอยของแผลที่ถูกดวงไฟมีเปลวไฟสีแดงฉานลุกโชนอยู่ตลอดเวลา

“พายะ!”

เสียงของเทพอัคคีดังขึ้นในจิตทำให้องค์วาโยถึงกับชะงักมือที่กำลังถือพระขรรค์ แล้วพลาดท่าโดนกระบองของเหล่าอสุราโจมตีเข้าอย่างจัง หากแต่เขากลับใช้พลังของรัศมีเทพป้องกันไว้ได้ทัน

“อย่างไรศิคิน มันใช่เวลาที่เจ้าจักเรียกข้าหรือ!”

“ฟังข้า! ที่แผลของพวกมันมีแผลเปลวไฟบางอย่าง ข้าต้องหาต้นเหตุ…เช่นนั้นจักต้องเข้าไปในพิภพอสุรา”

“ไม่ได้!”

ยังไม่ทันที่พายะจะกล่าวสิ่งใดต่อไป ร่างของเทพอัคคีก็ทะยานขึ้นไปยังท้องนภาอย่างรวดเร็ว เหลือทิ้งไว้เพียงละอองแสงสีแดงอันเป็นสีประจำกายของศิคินเท่านั้น

ร่างของเทพอัคคีเหาะเข้ามาที่ใจกลางของแดนอสุราก่อนจะรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่ด้านบนสุดของปราสาทใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้า แสงสว่างสีแดงฉานและอัญมณีสีนิลสนิทที่ประดับอยู่เหนือยอดปราสาทบัดนี้กำลังลุกไหม้เต็มไปด้วยเปลวไฟสีแดงฉานราวโลหิต

ร่างกำยำของเจ้าเหนือพิภพอสุรานามยะษาที่บัดนี้กำลังใช้พลังของตนเข้าไปที่ใจกลางของดวงมณีราวกับว่าเขาเป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์วิปลาสเช่นนี้ แต่หากเมื่อมองพินิจให้ดีแล้วนั้นเขาก็กำลังได้รับบาดเจ็บจากเปลวไฟของดวงมณีเช่นกัน

ศิคินมองภาพที่เกิดขึ้นด้วยความงุนงง หากแต่ในตอนนั้นเองร่างของยะษาก็ทานทนต่อพลังของดวงมณีไม่ไหวอีกต่อไป เขาจึงค่อยๆ หมดสติและร่างของเขาก็ร่วงลงไปที่พื้นในทันที

“มีเพียงเจ้า…”

เสียงของใครผู้หนึ่งดังขึ้นในจิตของศิคิน หากแต่เทพอัคคีกลับมองไปยังมณียอดปราสาทด้วยความสับสน

“มณีอสุรกาลทรงอัคคี มีเพียงเจ้า…ศิคิน เพราะเจ้าก็คือเราเช่นกัน!”

องค์อัคคีหน้าถอดสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็ทราบได้ในทันทีว่าคือผู้ใด ภาพนิมิตเมื่อครั้งที่องค์ราพสูรนั้นสัมผัสที่มณีอสุรกาลครั้งแรกก็ปรากฏชัดในจิตของศิคินในทันที เขาพยายามสลัดภาพนั้นออกหากแต่ใจหนึ่งก็ยังคงยากที่จะทำใจยอมรับถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของตน

“ข้าคือศิคิน และจะไม่มีวันเป็นใครเด็ดขาด…”

ดั่งสามารถตัดสินใจได้แล้วนั้น ร่างของเทพอัคคีก็ลอยตรงเข้าไปหามณีอสุรกาล ร่างองอาจนั้นเรืองแสงรัศมีเทพของตนออกมาอย่างเจิดจ้าก่อนอัคคีเทพจะปรากฏที่ฝ่ามือทั้งสองของศิคิน แล้วจึงส่งมันเข้าไปที่มณีอสุรากาลที่กำลังลุกโชนด้วยเปลวเพลิง

ยะศิณาเห็นภาพที่อยู่ตรงนั้นจากเบื้องล่างนั้นกุมมือของตนไว้แน่น ด้วยไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตนเห็น พลังเทพของศิคินที่สามารถสะกดพลังของมณีอสุกาลให้สงบลงอย่างช้าๆ

นางจึงได้คำตอบจากคำถามที่อยู่ในหัวมานานแสนนาน เหตุที่ว่าไฟชีวิตสุดท้ายขององค์ราพสูรนั้นอยู่ที่ใด!

“แท้จริงแล้ว ไฟชีวิตสุดท้ายขององค์ราพสูรนั้นจุติเป็นเทพอัคคีศิคินเช่นนั้นหรือ…”

ยะษาที่ได้สติขึ้นมาพึมพำขึ้น ในขณะที่ร่างกายไม่อาจขยับหากแต่มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่สามารถเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดได้

รัศมีเทพเจิดจ้าของศิคินนั้นส่องสว่างไปทั่วบริเวณ ก่อนที่อัคคีเทพของเขาจะโอบล้อมดวงมณีอสุรกาลไว้ได้จนกระทั่งในที่สุดมันก็ค่อยๆ สงบลง

สิ้นแสงทองอร่ามหลงเหลือไว้เพียงละอองแสงสีแดงเพลิง ร่างของเทพอัคคีหอบหายใจถี่เป็นจังหวะด้วยความเหนื่อยล้าเพราะต้นกำเนิดพลังของตนหลงเหลือเพียงกึ่งหนึ่ง ความเจ็บปวดบางอย่างที่บริเวณกลางหน้าอกก็ฉายชัดขึ้นทันทีบนใบหน้าคม

“เหตุใดจักต้องทำถึงเพียงนี้ มิกลัวชีวิตเจ้าต้องดับขันธ์หรือ”

เสียงของใครผู้หนึ่งที่ดังขึ้นในจิตอีกครา หากแต่ครั้งนี้…ศิคินรู้สึกเจ็บที่หน้าอกเล็กๆ ก่อนจะพบว่ามีร่องรอยของบาดแผลเกิดขึ้นจากไฟของมณีอสุรกาล

“ผู้ใดกัน!”

เขาถามเสียงเข้มในขณะที่รับรู้ได้ถึงสติของตนที่จวนเจียนจะดับลง ด้วยฝืนใช้พลังอัคคีเทพมากเกินไป

“ข้าจักเป็นผู้ใดได้นอกจากผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเจ้า”

ศิคินมองไปยังลูกแก้วสีดำสนิทที่อยู่เบื้องหน้าตนในทันที ก่อนจะพบเพียงเงาร่างของตนที่สะท้อนที่ดวงมณีเท่านั้น

“ข้าก็คือเจ้าอย่างไรศิคิน หากแต่เพียงเงาที่สะท้อนเท่านั้น อย่าได้คิดว่าข้าจักอ่อนแออย่างเช่นเจ้าที่ยอมมอบสิ่งสำคัญที่สุดให้กับนาง จนอ่อนแอถึงเพียงนี้!”

เงาร่างของเขาที่สะท้อนที่มณีอสุรกาลกล่าวขึ้น ก่อนศิคินจะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่ค่อยๆ เข้าครอบงำสติของตน

“ไม่ว่าผู้ใดเกิดมาชาติกำเนิดสูงต่ำเพียงใดดั่งเหรียญที่มีสองด้านเสมอ ความดีและความชั่ว สีขาวและสีดำ แสงสว่างและความมืด อยู่ที่ว่ายามนี้เจ้าเลือกอย่างไรศิคิน!”

ร่างของเทพอัคคีบัดนี้บอบช้ำไปด้วยบาดแผลที่เกิดจากดวงไฟของมณีอสุรกาล อีกทั้งยังฝืนใช้พลังอัคคีมหาศาลทั้งที่ยังไม่ฟื้นตัวจากพิธีแบ่งดวงใจให้ทิพย์สุคนธา ทำให้บาดแผลที่ถูกดวงไฟจากดวงมณีที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นสัญชาตญาณดิบมีผลกับศิคินได้ง่ายดาย

เทพอัคคีพยายามพยุงสติของตนไม่ให้ดับลง ก่อนจะเร่งเหาะกลับไปชายแดนในทันที

“ช้าไปแล้วตัวข้า!”

เมื่อสติดับวูบลงนั้น ร่างของศิคินก็ถูกครอบงำด้วยส่วนดำมืดภายในจิตใจในทันที ดวงตาที่นิ่งไร้แววใดมองไปที่เหล่าบรรดาทหารอสุราและทหารแดนสวรรค์ที่โรมรันพันตูกันอยู่อย่างไม่อาจแยกออกได้ ก่อนที่ริมฝีปากจะค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาอย่างน่ากลัวราวกับกำลังกระหายเติมเต็มบางสิ่ง

พระขรรค์ในมือของเทพอัคคียามนี้ส่องสว่างขึ้น พลันเปลวไฟจากปลายพระขรรค์ก็โจมตีไปยังจุดที่มีการสู้รบกันในทันที ร่างของเทพอัคคียามนี้ร่อนลงที่ใจกลางสมรภูมิก่อนจะกวัดแกว่งสังหารเหล่าอสุราอย่างไม่เลือกหน้าในทันที

เปลวไฟที่แผดเผาเหล่าบรรดาอสุรานั้นกลับทำให้เหล่าทหารแดนสวรรค์ได้รับลูกหลงกันไปตามๆ กัน เสียงร้องระงมด้วยความเจ็บปวดของทหารทั้งสองฝ่ายนั้นเทพอัคคีหาได้ใส่ใจไม่ ก่อนจะวาดพระขรรค์ในมือไปด้านหน้าใส่เหล่าอสุราอย่างไม่ลดละอย่างบ้าคลั่ง

“ไฟของศิคิน เป็นไปไม่ได้!” พายะตะโกนก้องก่อนสมุทราและมหิธรที่ต่อสู้ติดพันอยู่นั้นจะหันไปมองในทิศทางเดียวกัน

ทั้งสามต่างตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้า เมื่อบัดนี้เทพอัคคีที่พวกเขาเคยรู้จักไม่เหลือแม้เค้าร่างเดิมอีกต่อไป…

สนามรบนองไปด้วยเลือดของเหล่าอสุราสีแดงฉานและอัคคีเทพที่แผดเผาทุกสรรพสิ่งเสียจนได้กลิ่นเหม็นไหม้ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ใบหน้าของศิคินที่สังหารอสุราด้วยพระขรรค์และอัคคีเทพนิ่งเฉยก่อนเขาจะหัวเราะออกมาอย่างสุดเสียงด้วยความสะใจ

ตูม!

เสียงกึกก้องกัมปนาทที่ดังขึ้นยามที่พระขรรค์เทพกระทบบางสิ่งพร้อมๆ กับฝุ่นตลบอบอวลของแรงระเบิดนั้น ก็บังเกิดแสงสว่างสีทองขึ้นพร้อมๆ กับอัคคีเทพที่โอบล้อมร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งไว้

ศิคินพลั้งมือฟาดพระขรรค์ของตนลงไปเต็มแรง ก่อนจะพบว่าสิ่งที่หยุดเขาไว้นั้นคืออัคคีเทพของเขาเอง

อัคคีเทพสีแดงฉานนั้นโอบล้อมป้องกันผู้เป็นเจ้าของหัวใจอีกครึ่งหนึ่งของเขาไว้ก่อนที่รัศมีเทพของนางจะจางหายไป จึงปรากฏร่างงดงามของเทพธิดาที่เขาคุ้นตายิ่งที่บัดนี้ดวงเนตรนั้นกลับเต็มไปด้วยน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่ขาดสาย

ทิพย์สุคนธามองภาพของศิคินที่อยู่ตรงหน้าหากแต่ไม่อาจกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาได้ โลหิตสีแดงฉานนั้นอาบไปทั่วร่างของเทพอัคคีไม่พ้นแม้แต่บนใบหน้าที่เคยส่งยิ้มให้นางอย่างอ่อนโยนอยู่เสมอ

แววตามั่นคงของทิพย์สุคนธานั้นยังคงฉายชัดซึ่งความเจ็บปวดจนเผลอขบกรามแน่น…

ศิคินเมื่อได้มองเห็นทิพย์สุคนธาอีกครั้งและแต้มอัคคีที่อยู่บนฝ่ามือของทั้งสองคนก็เรืองแสงขึ้น ทำให้สติของเทพอัคคีค่อยๆ กลับคืนมาดังเดิม

“นางจะดับสูญด้วยไฟแห่งข้า…” เขาพึมพำพลางแววตาของศิคินก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง

ร่างบางมองมาที่เขาด้วยดวงตาแดงก่ำ หากพยายามขยับเข้าหาทีละก้าวในทันที แต่ศิคินเองกลับค่อยๆ ขยับถอยทีละก้าวเช่นกัน

“อย่าเข้ามานะทิพย์สุคนธา พี่ไม่อยากให้เจ้าเห็น…”

เทพอัคคีพูดพลางทิ้งพระขรรค์ของตนลงที่พื้น แล้วจึงค่อยๆ หันหลังให้ทิพย์สุคนธาในทันที ด้วยเขาเองไม่อาจทนเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดและผิดหวังของทิพย์สุคนธาได้

สองฝ่ามือและร่างกายของตนแดงฉานไปด้วยโลหิตของเหล่าอสุรา ยิ่งเห็นเช่นนี้ดวงตาของเทพอัคคีก็ไม่อาจจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้เช่นกัน

ทิพย์สุคนธามองไปยังแผ่นหลังของศิคินด้วยนึกสงสัยว่าเหตุใดเขาที่กำลังรู้สึกมากมายเช่นนี้ยังเลือกที่จะแบกรับมันไว้ผู้เดียว ทั้งที่นางเองสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกทั้งหมดของเขาได้เช่นกัน

ร่างบางโผเข้ากอดเทพอัคคีจากทางด้านหลังเมื่อเห็นว่าศิคินกำลังจะใช้พระเวทหายองค์ไปอีกครั้ง แม้โลหิตเปรอะเปื้อนบนร่างของเขานั้นนางก็หาได้ใส่ใจแต่อย่างใดไม่ เพียงบัดนี้ต้องการให้เขาปล่อยวางทุกอย่างลงเท่านั้น

“แม้อดีตที่ผันผ่านไปหรือแม้แต่ภายภาคหน้าจะเป็นเช่นไร เราสองหาตอบได้ไม่ ข้ารู้แน่ว่าพี่ท่านจะไม่เผาผลาญข้า…”

ศิคินที่ได้ยินดังนั้นจึงหันกลับมากอดทิพย์สุคนธาไว้ในทันที ก่อนจะใช้สองมือนั้นเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน

“หากแต่ข้ากลัวว่าวันหนึ่งจะเป็นผู้เผาผลาญเจ้าด้วยมือข้า…”

สิ้นเสียงคำรามลั่นของเหล่าอสุราเมื่อยามแสงทองส่องสว่างไปทั่วท้องนภาที่ยามนี้เสียงร้องฟังคล้ายคชสารขนาดใหญ่ ขบวนเสด็จแห่งองค์อมรินทร์ที่ทรงช้างเอราวัณนั้นปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหนือเขตแดนในทันที

“องค์วาโย เจ้าจงติดตามพิทักษ์องค์ทิพย์สุคนธากลับไวกูณฐ์บัดเดี๋ยวนี้!”

“เจ้าค่ะ…”

ดั่งคำประกาศิตนั้น พายะจึงจำต้องกลับไปพร้อมกับทิพย์สุคนธาโดยทันที ด้วยเจ้าผู้ปกครองแดนสวรรค์ดาวดึงส์นั้นหาได้ยินยอมให้เขาอยู่ฟังคำพิพากษาของสหายรักอย่างศิคินไม่

องค์วาโยพายะทำได้เพียงเดินตรงไปยังเหล่าเทพธิดาที่นำโดยมาลัยแก้วที่ยังคงจับมือบางของทิพย์สุคนธาเอาไว้แน่น หากแต่สายตาของผู้ที่เรียกขานตนว่าพี่นั้นกลับมองไปยังเทพอัคคีอย่างไม่วางตาแม้แต่น้อย

“กลับกันก่อนเถิดเจ้าทิพย์สุคนธา…”

ฝ่ามือของพายะทำได้เพียงสัมผัสที่ไหล่ของนางเบาๆ ก่อนทิพย์สุคนธาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ร้ายแรงเพียงนั้นหรือเจ้าคะ…” พูดพลางน้ำตาของนางก็ไหลออกมาไม่ขาดสาย หากแต่พายะกลับพยักหน้าครั้งหนึ่ง

“พี่ไม่อยากให้เจ้าฟังและเชื่อว่าศิคินก็คิดเช่นกัน”

เพียงสายลมของเทพวาโยพายะพัดผ่านร่างกายอย่างแผ่วเบานั้น เพียงชั่วพริบตาเบื้องหน้าของทิพย์สุคนธาก็ปรากฏสวนกว้างหน้าวิมานไวกูณฐ์ในทันที

ศาลาแก้วยามนี้นั้นแว่วเสียงกังวานของระฆังแก้วยามต้องสายลม อีกทั้งยังหอบนำกลิ่นหอมอ่อนจากเหล่าพฤกษาในสวนที่บัดนี้เบ่งบานกันอย่างถ้วนทั่ว ละอองเกสรของเหล่าหมู่ผกานั้นชูช่อขึ้นเมื่อยามทิพย์สุคนธาก้าวย่างผ่าน หากแต่องค์พายะและมาลัยแก้วนั้นกลับไม่กล้าปล่อยนางไว้เพียงลำพังหากแต่ทำได้เพียงเดินตามห่างๆ เท่านั้น

เพียงพินิจดวงหน้าและแววตาที่เศร้าหมองของนางนั้นหากแต่อาภรณ์พรรณกลับไม่จรัสแสงรัศมีเทพอย่างที่เคยเป็นมา มาลัยแก้วเห็นดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะมองไปยังทิพย์สุคนธาอีกครั้ง มีเพียงคราบโลหิตสีแดงฉานที่เลอะเปื้อนอยู่ที่สไบสีแดงอ่อนและผ้าแถบสีขาวเท่านั้น

“ฝากเจ้าอยู่เป็นเพื่อนนางด้วย เรายังมีกิจที่ชายแดน…”

“เจ้าค่ะ…”

เมื่อองค์พายะกลับไปแล้วนั้น ทิพย์สุคนธาค่อยๆนั่งลงที่ศาลาแก้วกลางสวนจึงเห็นพี่เลี้ยงคนสนิทที่เดินตรงเข้ามาแต่ไกล นางรับรู้ได้ถึงสายตาที่คอยเป็นห่วงเป็นใยที่ส่งมาอยู่ไม่ขาดเสียจนทิพย์สุคนธาอดรู้สึกหน่วงหนักที่ใจอยู่ไม่น้อยที่เห็นดวงตาแดงก่ำของมาลัยแก้ว

เพียงฝ่ามือของมาลัยแก้วที่ค่อยๆ ร่ายพระเวทนั้น อาภรณ์งามที่เคยเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบโลหิตนั้นก็ค่อยๆ กลับมางดงามดังเดิม ทิพย์สุคนธามองไปตามร่างกายของตนอีกครั้งก็พบว่าไร้ซึ่งร่องรอยใด นางมองไปที่มาลัยแก้วคราหนึ่งก่อนจะโผล่เข้ากอด

“เจ้าเองก็เป็นทุกข์ใจเพราะเราเช่นนั้นหรือ…”

“องค์ทิพย์สุคนธาเจ้าขา หากจะมีผู้ใดกล่าวว่าเพียงเห็นน้ำตาของผู้เป็นที่รักนั้นเหมือนดั่งใจเราจักขาดสิ้น ข้าว่าก็คงเห็นจริงแล้วในวันนี้”

มาลัยแก้วพูดพลางกอดนางไว้แน่นเช่นกัน ก่อนทิพย์สุคนธาจะผละออกจากนางช้าๆ แล้วยิ้มออกมาบางๆ

“เช่นนั้นข้าก็จักไม่ร่ำไห้อย่างง่ายดายอีก ดีหรือไม่…” นางพูดปานเสียงกระซิบด้วยพยายามไม่ให้น้ำตาไหลออกมา

เสียงสะอื้นไห้ของมาลัยแก้วที่ดังขึ้นนั้น ทำให้กลายเป็นทิพย์สุคนธาเสียเองที่ต้องคอยกอดปลอบนางเสียยกใหญ่ ร่างบางใช้มือเล็กนั้นเช็ดน้ำตาให้กับผู้เป็นพี่เลี้ยงอย่างเบามือด้วยรู้อยู่เต็มอกว่านางเป็นห่วงตนเพียงใด

สิ้นเสียงสะอื้น ภายนอกศาลาก็ปรากฏแสงสีแดงเรืองรองขึ้นพร้อมๆ กับรัศมีเทพสีทองระยิบระยับตา แต้มอัคคีที่อุ่นขึ้นที่ฝ่ามือของเจ้าดอกปาริชาตนั้นก็ทำให้ทิพย์สุคนธารับรู้ได้ในทันทีว่าคือผู้ใด

ศิคินที่บัดนี้ร่างกายไร้ซึ่งร่องรอยของบาดแผลและคราบโลหิต หากแต่ใบหน้าและแววตากลับไม่สู้ดีเท่าใดนัก หากแต่ยังคงยิ้มได้ในทันทีเมื่อเห็นธิดาแห่งวิมานไวกูณฐ์วิ่งตรงเข้ามายังตนอย่างรวดเร็ว

“เหตุใดต้องวิ่ง…”

เขาพูดขึ้นด้วยความเอ็นดู ก่อนคนถูกถามจะนึกขึ้นได้ว่าไม่ควรวิ่งจึงทำได้เพียงค่อยยืดหลังตรงก่อนจะหันไปพยักหน้าเบาๆ ให้เหล่าเทพธิดาประจำวิมาน รวมถึงมาลัยแก้วเองที่แอบยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากก่อนจะเคารพองค์เทพทั้งสองแล้วจึงปลีกตัวออกไป

เมื่ออยู่เพียงลำพัง ทิพย์สุคนธาก็จับแขนกำยำของศิคินยกขึ้น ก่อนจะจับเขาหมุนไปมาด้วยเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่ายังหลงเหลือร่องรอยบาดแผลอยู่หรือไม่

“เจ้าทิพย์สุคนธา…” ศิคินเรียกพลางกลั้นขำในลำคอก่อนคนถูกเรียกจะมองตาใส

“ดูให้แน่ใจอย่างไรเจ้าค่ะ ข้ากลัวท่านเจ็บอีก…”

นางกล่าวหน้าตาย หากแต่ยอมปล่อยมือจากแขนของเขาในทันที ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะใช้สองนิ้วของเขาดันที่หน้าผากของทิพย์สุคนธาเบาๆ

“แกล้งข้าอยู่เรื่อย…”

รอยยิ้มที่แสนงดงามของทิพย์สุคนธาที่อยู่ตรงหน้าของเขายามนี้ ทำให้โลกดูราวกับจะสดใสขึ้นมาเพียงชั่วขณะหนึ่ง

รอยยิ้มจางๆ ของศิคินค่อยๆ หายไปในทันทีเมื่อที่กลางหน้าผากของทิพย์สุคนธาปรากฏละอองแสงสีแดงออกมา จากนั้นจึงแปรสภาพกลายเป็นจุดสีแดงเล็กๆ อยู่ที่บริเวณกึ่งกลางหน้าผาก

“ศิคิน…”

นางขานนามเขาแสนแผ่วเบาปานเสียงกระซิบ ภายในน้ำเสียงที่แสนงุนงงสงสัยนั้นมองไปที่เทพอัคคีอย่างต้องการคำตอบ หากแต่เมื่อนั้นข้อมือทั้งสองข้างของเทพอัคคีก็ปรากฏอักขระสีแดงฉานที่เรืองแสงสีแดงออกมาในทันที

คำตอบตรงหน้ากระจ่างชัดเสียจนไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใด ทิพย์สุคนธาทรุดลงไปคุกเข่าที่พื้นในทันทีก่อนจะปิดหน้าร้องได้โฮดังลั่น ศิคินจึงทำได้เพียงทรุดลงไปกอดปลอบนางไว้แน่น

“ถ้ำทัณฑ์อัคคีหรือเจ้าะ…”

“เพียงไม่กี่เพลา เราเป็นเทพอัคคีหนา เจ้าจำได้หรือไม่”

เสียงอึกอักพูดออกมาอย่างยากลำบากภายใต้ดวงตาแดงก่ำ เขาไม่อาจร้องออกมาด้วยไม่อยากให้ทิพย์สุคนธาต้องเป็นห่วงเขามากไปกว่าเดิม

“หากเพียงไม่กี่เพลา เหตุใดต้องใช้พระเวทไม่ให้ข้ารับรู้ความรู้สึกของท่านกัน”

คำพูดฟังแทบไม่ได้ศัพท์ของทิพย์สุคนธาหากแต่กระนั้นศิคินก็ยังคงกอดนางไว้แน่น เขาเองรู้ดีแก่ใจว่าการรับทัณฑ์นี้รุนแรงเพียงใดด้วยเป็นโทษทัณฑ์สูงสุด ในการที่เขากระทำการสังหารทั้งเหล่าทหารเทพและเหล่าทหารอสุราด้วยมือของเขาเอง

“พี่ไม่อยากให้เจ้าร้องทิพย์สุคนธา หากเจ้าร้องอยู่เช่นนี้พี่ไหนเลยจักมีสมาธิต้านทานสายฟ้าแห่งวัชระแลความร้อนจากไฟใต้พิภพสวรรค์กัน…”

ฝ่ามือใหญ่ที่เช็ดน้ำตาให้ทิพย์สุคนธาอย่างทะนุถนอม ก่อนอักขระที่ข้อมือของเขาจะส่องแสงเรืองรองขึ้นอีกครา

 

หลังจากกลับจากวิมานไวกูณฐ์นั้นเบื้องหน้าของเทพอัคคีบัดนี้คือประตูหินสูงเสียดฟ้าที่เบื้องล่างของเขาไกรลาส ศิคินเดินตรงเข้าไปที่ด้านหน้าทางเข้าถ้ำทันที และเพียงอักขระที่ข้อมือของเขาก็ค่อยๆ เรืองแสงขึ้นก่อนเสียงดังจากการเคลื่อนตัวของหินที่มีน้ำหนักมหาศาลจะดังขึ้นพร้อมๆ กับแรงสั่นไหวจนสัมผัสได้

“พวกเจ้ามิต้องไปประจำอยู่ที่ชายแดนอสุราหรอกหรือ…”

เสียงของศิคินกล่าวทักทายสหายดังขึ้น ก่อนมหิธรจะคลายพระเวทออกจึงปรากฏร่างของเทพทั้งสามองค์อย่างพร้อมเพรียงกัน

“สมุทราบอกว่าจักมาคอยช่วยดับไฟให้เจ้ายามเจ้ากลับออกมา ส่วนข้าและพายะนั้นก็…”

มหิธรกล่าวขึ้น หากเทพอัคคีทำได้เพียงสะบัดมือเป็นสัญญาณให้พวกเขากลับไป ก่อนจะหันหลังแล้วเดินเข้าไปในถ้ำทันที ทิ้งให้ทั้งสามองค์ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาวๆ ในท่าทางไร้กังวลใดๆ ของศิคิน

“บอกแล้วอย่างไรว่าไม่ต้องมา องค์อัคคีนั้นตาแดงก่ำอีกแล้ว”

พายะหันไปโวยวายกับเหล่าเทพทั้งสอง ก่อนคนที่น้ำตาคลอจะเป็นเขาเสียเอง

เมื่อเข้ามาภายในถ้ำนั้น เครื่องทรงต่างๆ ของเทพอัคคีจึงค่อยๆ อันตรธานหายไปในทันที เหลือเพียงผ้านุ่งสีขาวและแผ่นอกที่เปลือยเปล่าเท่านั้น หากแต่ศิคินกลับเดินต่อไปข้างหน้าอย่างตั้งใจก่อนจะค่อยๆ นั่งลงที่ใจกลางของถ้ำทัณฑ์อัคคี

ทันใดนั้นหินเหลวร้อนมากมายก็ถาโถมเข้ามาภายในถ้ำ ก่อนจะปรากฏวัชระ (1) อาวุธประจำกายขององค์อมรินทร์ขึ้น ศิคินที่เห็นดังนั้นจึงค่อยๆ พนมมือขึ้นที่กลางหน้าอกก่อนจะหลับตาลงเพื่อตั้งสมาธิ

ยามที่สายอัสนีฝ่าลงมาครั้งแล้วครั้งเล่านั้น สร้างความเจ็บปวดให้กับเทพอัคคีเป็นอย่างมาก หากแต่เขากลับไม่แม้แต่จะร้องออกมา ศิคินพยายามรวบรวมสมาธิให้มากที่สุด ด้วยรู้ดีว่าตนนั้นพลังในกายลดลงไปกว่าครึ่งและยังไม่หายดีจากพิธีแบ่งดวงใจ

แม้บาดแผลที่เกิดขึ้นภายนอกจะสาหัสเพียงใดหากแต่สามารถรักษาให้หายได้ แต่เมื่อใดที่ดวงจิตของตนบาดเจ็บนั้นกลับเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้เวลาเป็นอย่างมาก ด้วยศึกระหว่างสองแดนยังไม่สงบลง อีกทั้งทิพย์สุคนธานั้นยังคงเป็นเป้าหมายของเหล่าแดนอสุรา ศิคินจึงไม่อาจละวางได้แม้เพียงน้อย

 

เชิงอรรถ : 

(1) อาวุธประจำกายของพระอินทร์ หรืออีกชื่อหนึ่งคือ สายฟ้า

 



Don`t copy text!