ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 9 : ทองหลางนอกฤดู

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยมาตามสายลมเป็นระยะเมื่อยามมันพัดผ่านกายของหญิงสาวหน้าตาสะสวยที่อยู่ตรงหน้าริชาในขณะนี้ ทองหลางนามนั้นคือชื่อของแม่นางไม้ประจำต้นทองหลางใหญ่ที่หยั่งราก ณ สวนหน้าบ้านของเธอมานานหลายสิบปี

“ถ้าตามที่แม่ทองหลางเล่า คือหลังจากที่หนูกับเพื่อนสลบไปก็มีคนมาที่นี่อีกหลายคนเหรอคะ” ริชาถามขึ้นด้วยความตกใจ เพราะหลังจากที่พิภพเดินเข้ามาจับมือของเธอนั้นทุกอย่างก็ดับวูบลงในทันที

“ใช่จ้ะ ฉันต้องขอโทษจริงๆ ตอนนั้นเสียงมันดังมาก รู้แต่ว่ามีทั้งผู้หญิงผู้ชายหลายคนชุลมุนกันอยู่พักใหญ่แล้วก็เงียบไป พอฉันแน่ใจแล้วว่าทุกอย่างสงบลงก็เห็นว่าหนูกับเพื่อนเข้าบ้านกันไปแล้ว พอจะตามเข้าไปดูก็…”

ทองหลางเงียบลงก่อนจะมองไปที่ดอกกุหลาบสีขาวที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่ราวกับว่ามันจะทำเป็นเงียบปากไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น

“แล้วก็อะไรคะ…”

“ถามเจ้าดอกกุหลาบเลยจ้ะ ฉันพูดไม่ได้จริงๆ” นางพูดพลางยกดอกกุหลาบวางไปด้านหน้าของริชาก่อนจะยิ้มให้เธอด้วยสีหน้าที่อธิบายได้ยาก

“แล้วทำไมโยนมาที่ฉันได้ล่ะแม่ทองหลาง” กุหลาบขาวเสียงดังขึ้นมาในทันทีหลังจากเงียบอยู่นานสองนาน

“ก็แกนั่นแหละเล่า อีกไม่กี่วันก็เหี่ยวแล้ว คงไม่โดนโทษอะไรหรอก”

ทั้งสองเถียงกันอยู่พักใหญ่ก่อนริชาที่ฟังอยู่นานสองนานจะรีบห้ามทัพ “ถ้ามันจะทำให้ทั้งคู่เดือดร้อนก็ไม่ต้องเล่าให้ชาฟังก็ได้นะคะ อย่าทะเลาะกันเลย”

สายตาที่แสนสับสนและน้ำเสียงเศร้าสร้อยของริชานั้นทำให้ทั้งดอกกุหลาบและนางไม้หยุดเถียงกันในทันที ก่อนที่แม่ทองหลางจะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“มีคนมาช่วยหนูกับเพื่อนไว้จ้ะ ถึงฉันจะบอกหนูไม่ได้ทั้งหมดว่าเขาเป็นใครแต่เขาเป็นห่วงหนูมากๆ เลยนะตอนที่หนูสลบไป ฉันพูดได้เท่านี้จริงๆ”

นางพูดพลางลูบที่ไหล่ของริชาอย่างเบามือ ก่อนริชาที่พอมองสีหน้ากระอักกระอ่วนของแม่ทองหลางก็ทราบได้ในทันทีว่านางกำลังคิดหนักเพียงใด

“เขาอยู่ใกล้ๆ ฉันเหรอคะ” ริชาถามขึ้นพลันในหัวก็ปรากฏภาพของใครคนหนึ่ง

“ฉันบอกหนูริชาได้เท่านี้จริงๆ จ้ะ แต่ฉันเชื่อว่าเขาจะเป็นคนบอกหนูด้วยตัวเองแน่ๆ เชื่อฉันเถอะนะ”

เหมือนจะได้คำตอบแต่ดูก็เหมือนจะไม่ได้คำตอบเช่นกัน สองมือกุมขยับในทันทีก่อนจะฟุบหน้าลงที่หนังสืออย่างสิ้นหวังอีกครั้ง

แม่ทองหลางเมื่อเห็นดังนั้นก็รู้สึกสงสารริชาจับใจ ด้วยเธอนั้นอยู่ที่นี่มานาน มองเห็นครอบครัวนี้มาตั้งแต่สมัยที่วิษณุเองยังเป็นเด็กจนแต่งงานมีครอบครัว จนกระทั่งมีเด็กหญิงตัวเล็กที่สามารถมองเห็นเธอได้จึงทำให้เธอรู้สึกว่าได้มีตัวตนขึ้นมาบ้าง

ริชาที่เหมือนเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นได้ก็เงยหน้าจากหนังสืออีกครั้ง “เดี๋ยวก่อนนะคะ ที่แม่ทองหลางบอกว่าฉันกลับมามองเห็นแม่ทองหลางอีกนี่มันยังไงเหรอคะ…อันนี้เล่าได้ใช่ไหมคะ”

สายตาลังเลของแม่ทองหลางดูจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว เธอนิ่งไปครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมพูดในที่สุด

“ฉันคิดว่าได้นะ ที่จริงตอนหนูริชายังเด็กก็มองเห็นฉันจ้ะ แต่กลัวว่าหนูจะตกใจฉันเลยตั้งใจว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่รบกวนหนู แต่หลังจากเหตุการณ์ที่แม่หนูเสีย…” แม่ทองหลางหยุดชะงักเล็กน้อยด้วยเมื่อพูดถึงเหตุการณ์ในวันที่คุณแม่ของเธอเสียชีวิต สีหน้าของริชานั้นก็เศร้าลงอย่างเห็นได้ชัดเจน

“ไม่เป็นไรค่ะ แม่ทองหลางเล่าต่อเถอะ”

“หลังจากที่แม่หนูเสีย หนูก็มองไม่เห็นฉันอีกเลย ไม่ว่าฉันจะพยายามขนาดไหนก็ตาม วันนี้ฉันเลยดีใจมากไปหน่อยที่หนูกลับมามองเห็นฉันอีกครั้ง”

ริชาที่ยิ่งคิดก็ยิ่งหาคำตอบให้คำถามของตัวเองไม่ได้จึงทำได้เพียงถอนหายใจยาวๆ ออกมาเท่านั้น        “อย่าไปคิดมากเลยนะคนสวย…” กุหลาบขาวกล่าวปลอบใจ

“นั่นสินะ คิดมากไปก็เท่านั้น ไม่มีอะไรจะแปลกไปกว่าฉันตอนนี้แล้ว…ไหนจะผู้ชายในฝันที่อยู่ๆ ก็ดันมีตัวตนจริงๆ ขึ้นมา กุหลาบพูดได้ แล้วก็แม่ทองหลางตรงหน้าอีก…”

ริชาตัดพ้อให้กับชีวิตที่แสนแปลกประหลาดของเธอ ก่อนแม่ทองหลางจะจับมือของริชาเอาไว้ก่อนลูบเบาๆ

“ไม่เป็นไรนะ ถ้าต่อไปนี้ไม่รู้จะเล่าเรื่องเหลือเชื่อพวกนี้ให้ใครฟังก็ยังมีฉันรับฟังหนูอยู่ ที่จริงชื่อเราก็ความหมายเดียวกันนะ ทองหลางกับปาริชาต พูดแล้วก็ชวนคิดถึงแม่แก้วของหนูเลยนะริชา”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นราวกับริชามีชีวิตชีวาคนเดิมกลับมาอีกครั้ง เพราะหลายๆ อย่างที่เกี่ยวกับแม่นั้นในบางครั้งก็ราวกับว่ามีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่หล่นหายไปตามกาลเวลา

“ถ้าแม่ทองหลางไม่พูดขึ้นมาชาเองก็เหมือนบางครั้งจะลืมไป ที่แม่เคยบอกว่าชื่อริชามาจากที่แม่กับพ่อตัดพยางค์บางพยางค์จากคำว่าปาริชาตออก ก็เลยเหลือคำว่าริชาที่อยู่ตรงกลาง แต่ที่จริงก็เพราะแม่ไม่อยากให้ชื่อหนูซ้ำกับคนอื่นมากกว่า”

ริชาพูดไปด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมากขึ้น ด้วยนึกถึงตอนที่ตนยังเป็นเด็กแล้วถามแม่ว่าทำไมถึงตั้งชื่อเธอว่าริชา

“ปีนั้นที่แม่ของหนูตั้งท้องหนู ดอกทองหลางบานสะพรั่งเต็มต้นทั้งที่ไม่ใช่ฤดูที่ดอกทองหลางจะบานขนาดฉันเองยังแปลกใจ แม่แก้วก็เลยเอาไปตั้งเป็นชื่อหนูจ้ะ”

บรรยากาศรอบตัวดูจะเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเสมอเมื่อคนเราหวนระลึกถึงช่วงเวลาที่แสนมีความสุข ริชาตอนนี้รู้สึกสุขใจเมื่อได้พูดคุยกับแม่ทองหลางถึงครั้งเมื่อตนยังเป็นเพียงเด็กตัวเล็ก และเรื่องของพ่อแม่ของตนเองสมัยตั้งแต่ที่ยังคบหากันอย่างสนุกสนาน

 

อีกทางด้านหนึ่งที่แดนทิพย์แห่งพิภพอสุรา ร่างใหญ่กำยำที่ได้รับบาดเจ็บจากพลังเทพของผู้เคยเป็นนายเหนือหัวของตนนั้นกำลังนั่งสมาธิเข้าฌานบำเพ็ญเพื่อรักษาอาการดังกล่าว พลันภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีตก็ปรากฏแจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง

“สมแล้วที่เป็นศิษย์เอกขององค์ราหู เห็นทีพิภพอสุราของเราจะต้องยิ่งใหญ่เกรียงไกรเป็นแน่ในวันที่เจ้าขึ้นปกครอง…ราพสูร”

สายตาชื่นชมของผู้อาวุโสแห่งแดนอสุรามองไปยังเด็กหนุ่มที่ตอนนี้สามารถใช้พระเวทบัญชามณีอสุรกาลได้ทั้งที่ยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มเท่านั้น

“ยะษา เจ้าเองก็ต้องคอยสนับสนุนองค์ท่าน เข้าใจที่เราพูดหรือไม่”

ราพสูรในตอนนั้นเป็นที่รักใคร่อย่างมากของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสและเหล่าผู้ทรงฤทธิ์ต่างๆ ในบรรดาทิพยอสุราที่มีอายุไล่เลี่ยกัน

“ข้าเองก็ทำได้เช่นกัน” ยะษากล่าวขึ้นก่อนจะลอยตัวขึ้นไปในอากาศ จากนั้นจึงเริ่มใช้พระเวทเพื่อควบคุมมณีอสุรกาล

แสงสว่างเจิดจ้าสีทองอร่ามถูกส่งไปที่ดวงมณีที่อยู่เบื้องหน้าของเด็กหนุ่มนั้น ก่อนดวงมณีจะเรืองแสงสีเดียวกับผู้ถ่ายทอดพลังทิพย์ไปสู่มันในทันที ยะษาที่เห็นดังนั้นกลับรู้สึกปีติยิ่งนักก่อนจะยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจ

หากแต่เพียงชั่วอึดใจนั้นหลังจากที่ได้รับพลังจากยะษาแล้วมณีอสุรกาลก็เริ่มมีปฏิกิริยาบางอย่าง อัญมณีสีนิลที่ยอดปราสาทก็เปล่งแสงสว่างไสวยิ่งขึ้นกว่าเดิมก่อนจะมีเสียงดังกึกก้องสนั่นพิภพ คลื่นพลังที่ถูกส่งออกมานั้นระเบิดขึ้นอย่างรุนแรงเสียจนร่างของยะษาที่ลอยตัวอยู่ไม่ห่างกระเด็นออกมาจากจุดที่เขาอยู่ในทันที

ด้วยเพราะพลังที่ไม่คุ้นชินนั้นทำให้เกิดเปลวเพลิงสีแดงฉานลุกไหม้ขึ้นก่อนจะส่งดวงไฟขนาดใหญ่ไปยังเจ้าของพลังนั้น ยะษามองลูกไฟนั้นอย่างสิ้นหวังด้วยตนนั้นบาดเจ็บอย่างหนักจากคลื่นพลังของดวงมณีเมื่อก่อนหน้าจึงไม่มีทางใดเลยที่เขาจะสามารถหลบดวงไฟนี้ได้

ตูม!

ในวินาทีที่ลูกไฟจะถึงตัวของเขานั้น แสงสว่างสีทองที่แสนเจิดจ้าก็ปรากฏขึ้นพร้อมๆ กับเสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาท ร่างของใครผู้หนึ่งกำลังยืนประจันหน้ากับดวงไฟขนาดใหญ่ ใบหน้าคมสันหมดจดบัดนี้กำลังเพ่งสมาธิไปที่พลังของตนเพื่อสกัดลูกไฟนั้นไว้

แสนง่ายดายดั่งนับนิ้วมือเมื่อเพียงชั่วครู่เท่านั้น ดวงไฟขนาดมหึมาก็สลายหายไปในทันทีดั่งเดียวกับความภาคภูมิใจในตนเองของยะษาที่ระเหิดแห้งหายไปแล้วตลอดกาล

นามนั้นคือองค์ราพสูร…ผู้เกรียงไกรจึงลอยตัวขึ้นไปที่มณียอดปราสาทก่อนจะใช้พระเวทเพื่อทำให้มันสงบลงในทันที ยะษาที่สติใกล้ขาดห้วงนั้นทำได้เพียงมองร่างอันสง่างามขององค์ราพสูรที่เข้ามาช่วยเหลือตนด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“ยะษา เจ้าหนาเจ้า…มณีอสุรกาลไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะมาล้อเล่นด้วยได้ เป็นอย่างไรบ้าง”

เสียงของผู้อาวุโสดังขึ้นกับในจังหวะเดียวกันกับที่สติของเขานั้นกำลังดำดิ่งสู่ความมืดมิดและเจ็บปวด

 

“พี่ท่าน เป็นอย่างไรบ้าง…” เสียงหวานของยะศิณาที่ดังขึ้นทำให้ยะษาค่อยๆ ลืมตามองไปยังน้องสาวที่เพิ่งเข้ามาในห้อง

“ข้าไม่เป็นกระไรยะศิณา คงเพราะพลังของดอกปาริชาตนั้นทำให้เศษเสี้ยวของดวงจิตองค์ราพสูรตื่นขึ้น…แล้วเจ้าเล่าเป็นอย่างไร” เขาพูดขณะกำลังออกจากสมาธิอย่างช้าๆ แล้วจึงนั่งนิ่งอยู่ที่อาสนะ

“ข้าไม่เป็นกระไรเจ้าค่ะ แต่ดารันบาดเจ็บไม่ใช่น้อย เราจะยกพลจริงๆ รึท่านพี่”

แววตาของยะศิณามีท่าทีกังวลอยู่มากมองไปยังคนเป็นพี่ เหมือนกำลังอ้อนวอนให้เขานั้นเปลี่ยนแปลงคำสั่งเพราะด้วยความโมโหตั้งแต่กลับมาเหยียบพิภพอสุรา

คำสั่งแรกของยะษานั้นคือให้เร่งแต่งทัพประชุมพลแล้วยกไปที่ชายแดนในทันที!

“พี่จะช่วยดารันเอง ไปเรียกเข้ามาเถิด”

“แต่ท่านพี่ ครานี้ไม่ใช่เพียงองค์ศิคิน ดูจากอาการบาดเจ็บของดารัน…องค์พายะก็คงจะไม่ยอมเป็นแน่ถ้าหากอุบัติเป็นศึกใหญ่อีกข้าเกรงว่า…” ดวงเนตรงดงามบัดนี้สั่นระริกด้วยความหวาดกลัวของยะศิณา ยิ่งทวีความไม่พอใจขององค์ทิพยายะษาให้มากขึ้นไปอีก

“เหตุใดต้องเกรงยะศิณา โอกาสเช่นนี้หากไม่รีบไขว่คว้าเอาไว้เมื่อใดข้าแลเจ้าจักมีที่ให้ยืนหยัดในจักรวาลนี้กัน” ด้วยสายตาที่แสนมุ่งมั่นนั้นของยะษาเขารู้ดีว่ากำลังกระทำสิ่งใดอยู่และจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาขวางแผนการของเขาเป็นอันขาด

“ดารัน!”

สุรเสียงทรงอำนาจดังขึ้นในทันทีก่อนที่ร่างของแม่ทัพแห่งแดนอสุราจะค่อยๆ ปรากฏต่อหน้าของผู้เป็นนายด้วยสภาพที่สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก เพราะเขานั้นมิใช่ทิพยอสุราดังเช่นยะษาและยะศิณา ทำให้เมื่อบาดเจ็บด้วยพลังเทพร่างกายจึงฟื้นฟูได้ช้ากว่าหลายเท่าตัว

“รวมพลไปที่ชายแดนเขาพระสุเมรุ ส่วนเจ้ายะศิณาไปคอยจับตาดูพวกมนุษย์นั้นไว้ มีอะไรให้รีบรายงานเราทันที…ตอนนี้!”

สีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนของทั้งดารันและยะศิณาที่สบตากันในทันที ทั้งสองไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้จึงทำได้เพียงรับคำสั่งจากยะษา จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งในทันที

“รับบัญชาองค์ยะษา!”

 

เสียงกระดิ่งดังขึ้นเมื่อยามที่มีลูกค้าเปิดประตูเข้ามานั้นในเช้าที่ไม่สดใสเท่าใดนักของคนที่นอนดึกกว่าปกติอย่างริชา ซึ่งในขณะนี้เป็นเวลาสมควรอย่างยิ่งที่จะดื่มกาแฟร้อนๆ อีกสักแก้ว แต่ดูเหมือนแค่คิดลูกค้าก็เข้ามาไม่ขาดสาย

“เดี๋ยวรบกวนพี่ระวังๆ ดอกไม้หน่อยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”

ริชาพูดกำชับกับคนที่นำดอกไม้ไปส่งให้ลูกค้าก่อนจะอ้าปากหาวไปครั้งหนึ่ง กลิ่นกาแฟร้อนหอมๆ ก็ลอยมาเหมือนดั่งว่าเขาได้ยินเธอกำลังคิด และไม่นานจากนั้นศิคินที่วันนี้สวมเอี๊ยมกันเปื้อนสีดำก็ออกมาพร้อมกับแก้วกาแฟสองแก้ว

“พักก่อนครับ ส่วนนี่กาแฟของคุณ…”

“ขอบคุณค่ะ” ริชายื่นมือไปรับแก้วกาแฟไว้ก่อนทั้งสองคนจะเดินมานั่งจิบกาแฟที่โซฟารับแขก

“เมื่อคืนคุณนอนน้อยเหรอ เห็นไม่ค่อยสดชื่นตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว” ศิคินถามพลางยกกาแฟขึ้นจิบ

“ก็เมื่อคืนฉันคุย…” ริชาที่นึกถึงแม่ทองหลางและดอกกุหลาบสีขาวเมื่อคืน โดยเธอนั่งคุยอยู่กับทั้งสองจนครึ่งค่อนคืนก็ถึงกับรีบกลืนคำพูดลงคอในทันที

“ช่างมันเถอะค่ะ แต่จริงๆ คุณไม่จำเป็นต้องมาช่วยงานฉันที่ร้านก็ได้นะคะ แค่ส่วนของงานที่โรงแรมพิภพก็พอ…ฉันทำไหวแค่นี้เอง” เมื่อพูดจบริชาก็ยกแก้วกาแฟขึ้นจิบก่อนจะมองไปที่ศิคินด้วยเธอนั้นก็ไม่อยากทำร้ายจิตใจเขาเท่าใดนัก

“ดอกกุหลาบสีขาวที่เอามาจากบ้าน ผมเอาใส่แจกันให้แล้วนะอยู่ตรงนั้น” เขาพูดพลางชี้ไปที่ดอกกุหลาบสีขาวดอกหนึ่งที่กลีบของมันจากที่เคยเป็นสีขาวเริ่มมีร่องรอยของความเหี่ยวเฉาให้เห็น

“ขอบคุณค่ะ…” ริชากล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ หากแต่สีหน้าที่อ่านยากของศิคินนั้นทำให้เดาไม่ถูกเลยว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่

ใบหน้าเปื้อนยิ้มที่บางครั้งดวงตาก็ฉายชัดความโศกเศร้าบางอย่างราวกับว่ากำลังแบกโลกไว้ทั้งใบ

เสียงกระดิ่งดังขึ้นอีกครั้ง เป็นศิคินที่ลุกขึ้นไปรับออร์เดอร์ดอกไม้ในทันทีจนริชาที่ถือแก้วกาแฟอยู่วางแทบไม่ทัน ริชามองเขานิ่งไม่วางตาก่อนที่จะได้ยินเสียงของดอกกุหลาบขาวอีกครั้ง

“ไม่ไปทำงานล่ะคนสวย”

“รู้แล้วค่ะเจ้านาย” เธอวางแก้วลงแทบจะในทันทีก่อนจะเดินไปยืนข้างๆ ศิคินที่หลังเคาน์เตอร์

หลังจากช่วงเช้าที่แสนวุ่นวายผ่านไปเมื่อลูกค้าในวันนี้เยอะเสียจนทั้งสองคนแทบจะไม่ได้นั่ง ริชาที่เมื่อส่งออร์เดอร์สุดท้ายเรียบร้อยก็รีบปิดประตูก่อนจะแขวนป้ายพักกลางวันในทันที

“ตอนเที่ยงคุณอยากกินอะไรคะ”

เธอถามศิคินพลางหยิบมือถือขึ้นมาเพื่อเลือกเมนูอาหารเที่ยง คนถูกถามไม่รู้จะตอบว่าอย่างไรดีเพราะโดยปกติแล้วนั้นเทพอย่างเขาอิ่มทิพย์ไม่จำเป็นต้องรับประทานอาหารอะไร

“ผมทานอะไรก็ได้ครับ คุณเลือกได้เลย” ศิคินตอบ

“เอาแบบนั้นก็ได้ค่ะ” ริชาพูดพลางทิ้งตัวลงที่โซฟาอย่างหมดแรงก่อนจะหันไปมองดอกกุหลาบสีขาวในแจกันที่อยู่ข้างๆ และมองตามหลังศิคินที่เดินเข้าไปในครัว

“นี่คุณกุหลาบขาวหิว เหมือนกันเหรอทำไมถึงเงียบเชียว”

“ไม่ใช่แบบนั้นคนสวย ฉันแค่…เหนื่อย” เสียงที่ฟังดูไม่สู้ดีนักของดอกไม้ขาวจนริชาที่ได้ยินถึงกับตกใจจนรีบนำแจกันไปถือไว้ในมือ

“ก็อย่างว่า ชีวิตดอกกุหลาบที่ตัดแล้วก็แค่นี้ จะอยู่ไปได้กี่วันกันเชียว”

คำตัดพ้อทำให้คนถือแจกันอยู่ถึงกับมือสั่นเล็กๆ ริชามองไปยังดอกกุกลาบสีขาวด้วยดวงตาที่แดงก่ำด้วยเธอทราบดีว่ามันกำลังจะสื่อถึงอะไร

“ริชา ถึงจะรู้จักกันไม่กี่วันแต่ขอบคุณมากนะที่ดูแลฉันกับเพื่อนๆ เป็นอย่างดี ก่อนจะไปถึงจะพูดอะไรไม่ได้มากเท่าไหร่แต่พ่อหนุ่มคนนั้นเขาเป็นคนดีนะ”

ริชาที่ได้ฟังกุหลาบพูดจึงมองไปยังศิคินที่ยืนมองเธออยู่ตรงประตูที่ห่างออกไปไม่ไกล ดวงตาที่แดงก่ำนั้นมองไปที่เขาเช่นกัน ศิคินจึงค่อยๆ หันหลังเพราะริชาเองกำลังคิดว่าไม่อยากให้เขามองมาที่เธอ

“รู้ไหมเกิดเป็นอะไรไม่สำคัญหรอก อยู่ที่ว่าเธอได้ทำอะไรให้กับคนรอบๆ ตัวมากกว่า ดูอย่างดอกไม้แบบพวกเธอสิ ที่จริงแล้วเป็นอะไรที่พิเศษมากเลยนะ…ทั้งโอกาสพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะความสุข ความยินดี ความเศร้า เป็นความรู้สึกต่างๆ ให้กับคนบนโลกนี้ ขอบคุณเหมือนกันนะ”

“จริงๆ เหรอ แบบนี้ก็ดีแล้วละ แล้วถ้ามีโอกาสคงจะได้พบกันอีกนะ…”

เสียงเงียบไปพร้อมๆ กับที่กลีบดอกสีขาวของกุหลาบกลีบหนึ่งนั้นร่วงลงมาที่มือของเธอ ริชาก็ปล่อยโฮออกมาในทันทีเพราะถึงจะอยู่ด้วยกันไม่กี่วัน แต่เพราะเป็นไม่กี่วันที่ชีวิตของริชานั้นได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย

หยาดน้ำตาของริชาที่ตอนนี้ไม่ใช่เพียงความเสียใจ แต่ยังมีความรู้สึกสับสนในเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นอีกมากมายจนไม่สามารถบรรยายออกมาได้ก็ปะทุออกมาพร้อมๆ กัน

เธอกอดแจกันที่มีกุหลาบที่จะไม่มีวันส่งเสียงอีกแล้วไว้แน่น ก่อนจะปล่อยให้ความรู้สึกต่างๆ ประเดประดังออกมา…

ท่ามกลางม่านน้ำตานั้น ร่างของใครคนหนึ่งก็ปรากฏตรงหน้าเธอเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง ศิคินย่อตัวลงก่อนจะใช้สองมือเช็ดน้ำตาให้ริชาอย่างอ่อนโยน

“ริชา…คุณอย่างร้องไห้เลยนะ ทุกอย่างต่างเดินไปในวิถีทางของมัน”

ทันทีที่ฝ่ามือของเทพอัคคีสัมผัสที่ใบหน้าของริชานั้น ภาพความทรงจำของสนามหญ้าที่โรงพยาบาลในคืนวันที่แม่ของริชาเสียชีวิตก็เข้ามาแทนที่ ละอองแสงสีทองสลับแดงที่ลอยละล่องออกมาจากฝ่ามือของทั้งสองคนดั่งเช่นเดียวกันกับคืนนั้น ใบหน้าที่เธอเฝ้าตามหาแท้จริงแล้วเป็นเขา คนที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้ไม่ผิดแน่

“เป็นคุณใช่ไหมวันนั้น…ที่โรงพยาบาล”

ดวงตาที่ตกตะลึงของชายตรงหน้านั้นกลับเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด เพราะเมื่อความทรงจำของริชาเริ่มกลับมานั้นหมายความว่าพระเวทที่เขาใช้กับเธอจะไม่ได้ผลอีกต่อไป

“ที่สนามนั้นจะเป็นไปได้ยังไงครับ…ถ้าสิบปีที่แล้วเป็นผมจริงๆ แล้วตอนนี้ผมจะอายุเท่าไหร่กัน” เขาพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น แต่ดูเหมือนไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถโกหกริชาได้เลย

“คุณรู้เหรอคะว่าฉันกำลังพูดถึงเรื่องอะไร แล้วรู้ได้ยังไงว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นเมื่อสิบปีก่อนที่สนามหญ้า…” ริชายังคงไม่ยอมแพ้และพยายามจะต้อนให้ศิคินจนมุมให้ได้

“ผมแค่…”

เขารีบแก้ตัวเสียงตะกุกตะกัก หากแต่ยังไม่ทันที่ศิคินจะพูดจบเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นในทันทีพร้อมกับที่สายตาของคนทั้งสองคนมองไปที่ทิศทางเดียวกันแทบจะในทันที หญิงสาวสวยในชุดเดรสสีดำสนิทที่ก้าวย่างเข้ามาในร้านด้วยท่วงท่าที่แสนสง่างาม

ริชามองด้วยความงุนงงสงสัยว่าหล่อนเข้ามาในร้านได้อย่างไรเมื่อเธอเป็นคนล็อกประตูเองกับมือ

“สวัสดีค่ะนี่ร้านคุณริชาใช่ไหมคะ ฉันมาสั่งดอกไม้” หล่อนพูดทักทายขึ้นก่อนจะหันไปยิ้มให้ศิคินอย่างผู้มีชัย

“ยะศิณา!”

 



Don`t copy text!