수라간 สูตรลับตำรับชายา บทที่ 1 : คำสัญญาของพระราชา

수라간 สูตรลับตำรับชายา บทที่ 1 : คำสัญญาของพระราชา

โดย : นาคเหรา

Loading

수라간 สูตรลับตำรับชายา เรื่องราวอึนบยอล เด็กสาวที่เมื่อยังอ่อนเดียงสาเธอได้รับความเมตตาจากพระราชาคยองมินให้ลิ้มรสข้าวต้มถั่วแดงในวันที่อดอยาก เธอจึงตั้งใจว่า หากโตขึ้น จะเป็นแม่ครัวที่ปรุงอาหารด้วยหัวใจให้จงได้  “수라간 สูตรลับตำรับชายา” โดย นาคเหรา … นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอยากอ่านต่อ อดใจรออีกนิด เนื่องจาก 수라간 สูตรลับตำรับชายา อยู่ในขั้นตอนการรวมเล่มกับสำนักพิมพ์กรู๊ฟพับลิชชิ่ง และสามารถติดตามข่าวได้ทางแฟนเพจของสำนักพิมพ์ @Groove publishing ค่ะ

 

สมัครบัตร Citi Ready Credit

ทุกยอดการสมัครจะมีส่วนแบ่งกลับมาสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอาของพวกเรา 🙂

……………………………………………………………….

-1-

 

ณ ฮันยาง

พระราชาคยองมินเปิดหน้าต่างเกี้ยวเพื่อออกไปทอดพระเนตรบรรยากาศโดยรอบ  สิ่งที่พระองค์เห็นไม่ใช่ทิวทัศน์ที่งดงามนัก เพราะพื้นที่โดยรอบปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลนดูแห้งแล้งและเหน็บหนาว นี่ก็ย่างเข้าสู่กลางปีใหม่แล้วอากาศยังไม่ได้หนาวน้อยลงกว่าตอนปลายปีเลย

สองเดือนกว่าแล้ว ที่โชซอนประสบภัยธรรมชาติ คนทั่วไปอดอยากจนล้มตายไปก็มาก ความโหดร้ายของฤดูกาลเป็นเรื่องที่ชาวโชซอนไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เมื่อถึงล่วงเวลานี้ทุกปี

ปีนี้ราวช่วงเดือนสิบ อากาศจะเริ่มเปลี่ยนแปลงจากเดิม ใบไม้เริ่มทิ้งใบลงสู่พื้นดิน อากาศก็เริ่มเย็นลงเร็วกว่าปกติ ช่วงเวลาดังกล่าวนี้ถือเป็นช่วงเก็บเสบียง ชาวโชซอนต้องพากันกักตุนอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ บ้านไหนที่ฐานะดีหน่อย โรงเสบียงก็มักจะอัดแน่นไปด้วยไหผักดองแบบต่างๆ รวมถึงผักตากแห้งที่มักจะเอามาทำพวกน้ำแกงร้อนๆ มันเทศมันฝรั่งลูกพลับแห้ง เป็นอาหารที่ชาวโชซอนนิยมเก็บกักตุนไว้ พวกขุนนางและคหบดีมักไม่น่าห่วงอะไร เพราะอย่างไรเสีย ก็ยังสามารถสะสมอาหารไว้ได้เยอะกว่าชาวบ้านทั่วไป ถึงอาหารการกินจะไม่อุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ถือว่าขาดแคลน บางบ้านที่พอมีฐานะ ก็จะพากันดองผักไว้ในไหใส่ดินฝังนับสิบไหหรือไม่อาจจะมีมากกว่านั้น เพราะกว่าจะผ่านฤดูหนาวก็ยาวนานนัก

แต่ชาวบ้านที่ยากจนล่ะ…จะมีอาหารกินเพียงพอไหม คำตอบนั้นพระองค์รู้ดีอยู่แล้ว เมื่อทอดพระเนตรออกนอกหน้าต่างเกี้ยว คนจรจัดล้มตายกันเยอะมากจนเห็นศพอยู่ข้างทางเป็นเรื่องชินตาในช่วงนี้ แล้วพระองค์จะทำอย่างไรดีเล่า เพื่อจะแก้ปัญหานี้ให้หมดไปจากแผ่นดิน

พระเนตรคมคายหลับลงช้าๆ อาการนั้นทำให้พระมเหสีแบครยอนจากตระกูลฮัน ทอดพระเนตรตามอย่างเป็นกังวลในพระทัย เพราะสิบปีที่พระราชาคยองมินทรงขึ้นครองราชย์ ต่อจากพระราชาคยองอินพระเชษฐาที่สละราชสมบัติออกไปอยู่ที่เมืองคยองซังเหนือ ทุกปัญหาเกี่ยวกับความอดอยากแร้นแค้นของประชาชน พระองค์ล้วนหาทางแก้ไขให้ดีขึ้น แต่พอฤดูหนาวทีไร คนกลับล้มตายไปมากกว่าเดิม

ว่ากันว่าจะเอาชนะอะไรก็ได้ แต่ถ้าจะชนะธรรมชาติกลับไม่มีใครทำได้ แม้คนผู้นั้นจะเป็นราชาของประเทศก็ตาม

“ชอนฮา…ทรงคิดอะไรอยู่เล่าเพคะ” เสียงของพระมเหสีทำให้พระราชาผินพระพักตร์และละสายพระเนตรจากสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างเกี้ยวเพียงครู่ รอยยิ้มของพระมเหสีทำให้พระองค์ทรงเผยรอยยิ้มตอบ ก่อนจะตรัสบอกออกไปว่า

“คิดถึงประชาชน วันนี้อากาศหนาวนัก สองข้างทางที่เราจะไปสุสานมินยางวอน กลับมีประชาชนมาแห่แหนรอเฝ้าเรา อากาศก็หนาวพื้นดินมีแต่หิมะเต็มไปหมด ถ้าปีนี้ฮันยางหนาวขนาดนี้ แล้วที่เปียงยางจะหนาวเย็นขนาดไหน”

“ก็คงหนาวเย็นจนแม่น้ำแทดงแข็งจนเดินข้ามได้น่ะสิเพคะ ประชาชนคงอดอยากและล้มตายเยอะ ในขณะที่เสบียงคงคลังกลับร่อยหรอเต็มที ฤดูหนาวยาวนานเหลือเกิน” พระมเหสีตรัสความจริงออกไป นั่นทำให้พระราชาคยองมิน ทรงถอนพระปัสสาสะออกมาอย่างอัดอั้น แม้จะทรงชอบฟังเรื่องจริงมากกว่าเรื่องโกหกก็ตาม

“แล้วมีทางใดบ้าง ที่เราจะช่วยประชาชนได้…ยอนฮวา”

พระมเหสีแบครยอนนิ่งเงียบ ไม่รู้ว่าจะให้คำตอบกับพระราชาอย่างไรดี ถ้าหากเป็นเพียงคำพูดเพื่อให้สบายใจพระองค์ก็คงพูดไปแล้ว ตั้งแต่ร่วมทุกข์สุขกันมา พระองค์รู้ดีว่าพระราชาคยองมินเป็นคนเช่นใด ในเมื่อให้คำตอบที่ไม่สามารถทำได้จริง พระมเหสีจึงได้แต่เงียบและมองดูข้างทางที่มีประชาชนมาเฝ้าแห่แหนแทน

ร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่งที่สวมชุดทหารสีดำแดง ผิดกับที่หมวกไม่ได้เป็นลูกปัดไม้เหมือนทหารทั่วไป แต่กลับเป็นลูกปัดหยกสลับกับไข่มุกที่เชื้อพระวงศ์ชอบเอามาสวมกัน คนผู้นั้นขี่ม้าตามหลังคอยระวังให้ขบวนเสด็จ ที่จริงหน้าที่นี้ควรเป็นขององค์ชายยงซานแทกุนผู้เป็นพระราชโอรสองค์โตมากกว่า แต่วันนี้เพราะอากาศหนาวเย็นนัก ท่านชายแฮอินจึงไม่ยอมให้พระอนุชาทั้งสองออกมานอกเกี้ยวเลย ด้วยเกรงว่าน้องจะไม่สบายไป

ท่านชายแฮอินเป็นพระบุตรที่เกิดจากภรรยาเอกขององค์ชายอันพงกุน ท่านชายและน้องสาวคือท่านหญิงแฮจองถูกพระราชาองค์ปัจจุบันรับเป็นพระบุตรและพระธิดาบุญธรรมมาหลายปีแล้ว ก่อนที่พระราชาคยองมินจะอภิเษกกับพระมเหสีแบครยอน

เมื่อคยองมินวังขึ้นครองราชย์เป็นพระราชาแห่งโชซอน ท่านชายและท่านหญิงแฮจองก็ได้รับตำแหน่งเป็นพระบุตรบุญธรรมของกษัตริย์ นอกจากความรักที่ได้แล้วทรัพย์สินเงินทองที่มาจากหลายทาง ทั้งของญาติฝ่ายทางพระมารดาที่เป็นขุนนางมาหลายสมัย และมรดกจากพระบิดาที่แท้จริง ยังมีมรดกด้านทรัพย์สินที่มาจากอดีตพระราชาถึงสองพระองค์ที่มีศักดิ์เป็นพระอัยกาทวดอีกด้วย ท่านชายแฮอินนำเงินในส่วนที่พระองค์ได้ นำมาลงทุนค้าขายกับสองดินแดนคือต้าชิงและวากุก นำผลกำไรมาช่วยพระบิดาบุญธรรมมาช่วยกิจการของรัฐ อีกทั้งพระมเหสีแบรคยอนก็สนับสนุนการค้าขายกับต่างแดน ทำให้รายได้กระจายสู่ชาวบ้านทั่วไป มากกว่าพ่อค้าคนกลาง เรียกได้ว่าความเป็นอยู่ของชาวโชซอนดีกว่าเมื่อก่อนมาก

แต่พอลมหนาวมา ชนชั้นล่างอย่างซังมินและชอนมิน รวมถึงพวกทาสไร้สังกัดกลับต้องอดอยากล้มตาย ยิ่งดินแดนที่อยู่เหนือขึ้นไป ยิ่งลำบากมากขึ้นเป็นเท่าตัว

“แฮอินนา…”

เสียงของพระราชาตรัสเพื่อบอกให้ท่านชายหยุด ร่างสูงใหญ่กว่าเด็กหนุ่มวัยเดียวกัน บอกให้ทั้งขบวนหยุดเพื่อฟังคำสั่ง พระองค์ลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินมาที่เกี้ยวที่ประทับของพระบิดา

“อาปามามา บอกให้ลูกหยุดขบวน มีอะไรผิดสังเกตรึพระเจ้าค่ะ” ท่านชายแฮอินถามอย่างสงสัย

“แน่นอน เจ้าทำบางสิ่งไม่ถูกใจพ่อนัก ขยับเข้ามาใกล้ๆ สิลูก”

ท่านชายแฮอินก้มลงอย่างเป็นกังวล เพราะว่าเดาไม่ได้ว่าสิ่งที่ทำให้พระบิดาไม่พอพระทัยคืออะไร แต่พระองค์ก็ขยับไปใกล้ๆ ตามรับสั่ง พระราชาคยองมินทรงเอาเสื้อคลุมหนังเสือ ที่อยู่ในเกี้ยวออกมาห่มพระวรกายของพระบุตรบุญธรรม ท่ามกลางสายตาตื้นตันของทุกคนที่พบเห็น พระมเหสีแบครยอนทรงยิ้มกว้างแล้วจึงพยักหน้าให้กับท่านชายแฮอิน

“อากาศหนาวถึงกระดูก ใส่เสื้อผ้าบางๆ เช่นนี้ได้อย่างไรเล่า ช่วงที่ยังหนุ่มยังแน่น อาจจะทานทนได้ แต่แก่ตัวไปจะลำบาก ร่างกายของเจ้าต้องอยู่กับเจ้าอีกนาน อีกทั้งเป็นของที่พ่อแม่ให้มา เจ้าควรดูแลร่างกายให้ดีเข้าใจไหม..แฮอินนา”

“พระเจ้าค่ะ อาปามามา” ท่านชายแฮอินรับคำพระบิดา ก่อนจะก้มลงคำนับให้ พระมเหสีแบครยอนเองก็ทอดรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวานมายังท่านชายเหมือนกัน

“คยูซองอา..อีกไกลไหมจะถึงมินยางวอน โรงทานที่ล่วงหน้าไปก่อน ได้จัดเตรียมอาหารสำหรับแจกคนยากไร้รึยัง”

“คนที่ได้รับคำสั่ง ได้เตรียมการทางนั้นพร้อมแล้วพระเจ้าค่ะ…ชอนฮา”

“ งั้น..ก็ดีเลย ข้าแค่อยากทักทายประชาชนบ้าง คงไม่เสียเวลามากนักหรอกนะ เพราะตอนนี้ยังเช้าอยู่มาก นั่นแสดงว่าผู้คนดาษดื่นที่ข้าเห็นตอนนี้ ต้องมานั่งตากน้ำค้างทั้งคืน ไปถึงช้าหน่อยคงไม่เป็นไรกระมัง”

“พระเจ้าค่ะ…ชอนฮา”

เมื่อสิ้นคำตรัสนั้นองพระราชา ขันทีประจำพระองค์ก็ไม่พูดอะไรอีก นอกจากจะบอกให้เกี้ยวหยุดและเดินตามหลังพระราชาที่เพิ่งลงจากเกี้ยวไปอย่างเงียบๆ สองข้างที่ยาวสุดจนถึงมินยางวอน มีประชาชนเกือบทุกชนชั้นมารอรับเสด็จมากมายนัก

พระราชาคยองมินยื่นพระหัตถ์มาจับจูงพระมเหสีให้เดินไปทักทายประชาชนด้วยกัน ทรงยิ้มให้กับคนทุกคนที่มารอรับเสด็จ ในขณะเดียวกันก็สั่งให้ทหารอย่าทำร้ายประชาชนที่พยายามจะถวายของเล็กๆ น้อยๆ ที่พวกเขาได้นำมา ทรงสั่งให้ซังกุงทุกคนรับของที่ประชาชนให้มา ก่อนจะกล่าวคำขอบใจคนเหล่านั้นอย่างไม่ถือพระองค์

“ชอนฮา…มันเทศหวานดีนัก ข้าปลูกเอง”

“ขอบใจเจ้ามาก ข้าชอบกินมันเทศ อากาศหนาวเย็นเหลือเกิน เสบียงมีมากพอกินอยู่รึไม่”

พระราชาตรัสถามอย่างเมตตา

“พอมีขอรับ แต่ถ้าหนาวกว่านี้คงแย่ ปีนี้เพาะปลูกไม่ได้ผลนัก”

“ที่เจ้าให้มา เราจะกินให้หมด ขอบใจเจ้ามากนะ”

“ชอนฮา…ชอนฮา!!”  

 

ซื้อหนังสือที่ www.naiin.com ไม่ว่าเล่มใดก็ตาม

ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา

ชุมชนแห่งการอ่านของพวกเรา : )

แต่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ทันใดนั้นก็มีหญิงชอนมินใส่เสื้อขาด จนมองเห็นผ้าคาดอกสีหม่นๆ นางวิ่งฝ่าฝูงชนมาหน้าเกี้ยวพระที่นั่ง ในอ้อมกอดของนาง มีเด็กที่ดูแล้วไม่น่าจะถึงเจ็ดขวบด้วยซ้ำ พวกทหารได้แต่ขยับเข้าไปใกล้ด้วยสายตาระแวดระวัง เพราะกลัวว่าหญิงคนนี้จะมาทำอะไรผู้เป็นนาย ด้านพระมเหสีแบครยอนก็เสด็จตามพระสวามีไปไม่ห่างกันนัก

“เขาบอกว่าพระราชาจะแจกอาหารให้คนยากไร้ แต่พวกทหารไม่ให้ข้าเข้าไป”

“พระราชาจะไม่แจกที่นี่หรอก เพราะพระองค์จะไปแจกที่หน้าสุสานหลวงมินยางวอน” ทหารคนที่อยู่หน้าสุดพูด นั่นทำให้สีหน้าของหญิงชนชั้นต่ำสลดลงอย่างเห็นได้ชัด เด็กในอ้อมกอดก็มีสีหน้าไม่ดีนัก

“ข้ากับลูกต้องตายแน่ๆ เพราะว่าเราไม่ได้กินอะไรมาตลอดหลายวัน ตอนนี้ลูกน้อยของข้าร้องไห้ไม่ออกด้วยซ้ำ”

ในตอนนั้นพระราชาคยองมิน ทรงบอกให้ทุกคนที่ติดตามมาในขบวนเกี้ยวหยุดทันที เพราะมีทีท่าว่าราชองครักษ์ประจำพระองค์จะเข้ามาดูแลความเรียบร้อย และเป็นได้ว่าการเสด็จแต่ละครั้งผู้ที่ไม่หวังดียังมีอยู่ แต่เสียงที่น่าเวทนานั้น ทำให้พระองค์ต้องไปห้ามปรามเหล่าราชองครักษ์ผู้เคร่งครัดเอาไว้ก่อน  ภาพที่พระองค์เห็น กลับทำให้เหล่าราชองครักษ์ถอยห่าง เพราะรู้สึกเวทนาสภาพของสองแม่ลูกจับใจ

“หมอหลวง ตรวจอาการของเด็กคนนี้สิ!” พระราชาคยองมินตรัส

“แต่ว่า..” หมอหลวงที่ตามเสด็จมีท่าทีอิดออด

“คำสั่งเรา.. เจ้ากล้าขัดรึ!”

“แน่นอนย่อมไม่กล้าพระเจ้าค่ะ แต่ว่าหมอที่รักษาพระราชา ย่อมรักษาคนอื่นไม่ได้ นี่เป็นเพียงหญิงไร้วรรณะนะพระเจ้าค่ะ กระหม่อมเคยแตะต้องแต่พระวรกายของพระองค์ มาวันนี้จะให้แตะต้องร่างกายของชอนมินได้อย่างไร”

หมอหลวงฮอพูดกับพระราชา เรื่องรักษาคนเขาสามารถทำได้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้เข้ามายังสำนักหมอหลวง มือของเขาต้องจำกัดให้รักษาพระราชาและเชื้อพระวงศ์เท่านั้น หากจะทำอะไรนอกเหนือจากนี้ นั่นคือต้องมีพระบรมราชานุญาตเสียก่อน

พระราชาคยองมินมิอาจนิ่งนอนพระทัยได้ เพราะเป็นห่วงว่า เด็กน้อยในอ้อมกอดมารดาจะเป็นอันตรายไป จึงตรัสกับหมอหลวงประจำพระองค์ไปว่า

“รักษาเด็กคนนี้เถิด เพราะชีวิตของเรากับเด็กคนนี้มีค่าเท่ากัน จะเป็นพระราชาหรือคนไร้วรรณะ นั่นก็คือหนึ่งชีวิตที่มีเหมือนกัน หน้าที่ของเราคือดูแลประชาชน ไม่ว่าจะเป็นชนชั้นใด เราจะต้องดูแลเขาให้ได้ และท่านก็เป็นหมอให้ระลึกว่าหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือรักษาคนป่วย ไม่จำกัดว่าคนป่วยจะเป็นใคร”

“แต่ว่า..”

หมอหลวงฮอมีทีท่าลังเล พระมเหสีแบครยอนกลับพยักหน้าเขาให้เป็นเชิงอนุญาต หมอหลวงฮอจึงเดินเข้าไปตรวจร่างกายของเด็กน้อยผู้อ่อนแรงทันที

“เด็กคนนี้อดอยากมานาน ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย อาการไม่น่าเป็นห่วงนัก ให้กินอาหารอ่อนๆและกินยาบำรุง อีกไม่นานก็จะหายเป็นปกติพระเจ้าค่ะ…ชอนฮา”

“ออมซังกุง แบ่งข้าวต้มมาให้นางด้วย เมื่อเช้านี้แฮจองทำมาเผื่อมิใช่รึ นี่ก็คงยังไม่เย็นเท่าไหร่นัก เพราะผ่านมาแค่ไม่กี่มากน้อยเอง”

“เพคะ มามา”

สิ้นคำสั่งนั้น พระมเหสีก็ทรงเดินมาใกล้พระสวามีพลางยิ้มกว้าง พระองค์เอามือแตะศีรษะเด็กน้อยผอมเกร็งอย่างสังเวช ลมหายใจที่สะท้อนขึ้นลงตรงกลางอก กับท่าทีอ่อนแรงนั่น ทำให้พระองค์รู้สึกสงสารจับใจ

“บิดาของเด็กอยู่ไหนเล่า ไฉนเจ้าถึงได้เดินทางมาเพียงลำพังอย่างนี้”

“เราหนีภัยหนาวมาจากเปียงยางเจ้าค่ะ บิดาของเด็กคงจะตายแล้ว”

พูดถึงตรงนี้ชินดัลแรน้ำตาไหลพราก ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่หิวโหยนับสิบ สามีของนางตัดสินใจใช้ตัวเองเป็นตัวล่อ เพื่อให้นางและลูกได้หนีมาได้ ถ้าเขารอดตายจะเป็นเรื่องปาฏิหาริย์มาก พระราชาคยองมินได้ฟังคำจากชินดัลแรก็ได้แต่ถอนพระปัสสาสะด้วยความอัดอั้น เมื่อคิดถึงสภาพของผู้หญิงตัวเล็กๆ อุ้มลูกน้อยฝ่าพายุหิมะมาจากทางเหนือ

“จากเปียงยางมาถึงตรงนี้ ระยะทางมิใช่ของใกล้ เจ้าก็ตัวเล็กบอบบางนัก หอบลูกมาด้วยคงลำบากมากสินะ”

“ข้าขออาหารสักมื้อได้ไหมเจ้าคะ”

ชินดัลแรกล่าวต่อหน้าพระพักตร์ แววตาของนางสั่นไหว สะท้อนแววความปวดร้าวออกมาชัดเจนยิ่งนัก สองมือของนางชูสูงขึ้นเพื่อรอรับอาหารหนึ่งมื้อจากพระราชา

ในขณะที่พระมเหสีแบครยอนเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะช้อนเอาร่างเด็กที่ดูอ่อนแรงมาไว้ในอ้อมกอดของพระองค์แทน ออมซังกุงเดินเข้ามาใกล้ช่วยพยุงมารดาของเด็กน้อย พลางกระซิบเสียงแผ่วเบา

“คำนับพระราชาเสียสิ ตอนนี้พระองค์อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว”

“ท่านพูดจริงรึ!”

ชินดัลแรมีสีหน้าตกตะลึง ตอนนี้พระราชามายืนอยู่ตรงหน้า นี่นางคงไม่ได้ตายไปหรือหลับฝันไปแล้วหรอกนะ สายพระเนตรแห่งความอาทร ทอดมองและยังไม่ละออกไปจากใบหน้านางและลูกน้อยเลย

“ท่านคือพระราชา..พระราชาคยองมิน จริงๆหรือเจ้าคะ”

“ใช่..”

พระราชาทรงตอบสั้นๆ ในขณะที่เสียงของนางสั่นพร่า ดวงตาจับจ้องพระวรกายสูงใหญ่อย่างหวาดกลัว คราวนี้นางได้แต่ก้มหน้าลง ไม่กล้าสบตากับพระองค์ เพราะพอจะรู้มาว่า คนต้อยต่ำไม่ควรจ้องมองประสานสายตากับชนชั้นสูง ยิ่งคนตรงหน้านางเป็นถึงพระราชา ยิ่งไม่น่าจะทำเช่นนั้น ในชีวิตของนางสูญเสียทุกอย่างมาจนถึงตอนนี้ แต่นางไม่อยากสูญเสียลูกไป ความรักทำให้นางไม่อาจเอาความกลัวที่มี มาทำให้ลูกต้องไม่มีอาหารกินได้ ดวงตาแห้งผากไหวสั่นนั่น ทำให้พระราชาคยองมินกลับถอนพระปัสสาสะอีกครั้ง เมื่อเห็นร่างของชินดัลแรสั่นเทาด้วยความกลัว  

“เขาว่ากันว่า พระราชามีเชื้อสายของเทพฮวานิน มีเวทมนตร์วิเศษและมีอำนาจวาสนา พระองค์จะช่วยชีวิตลูกของข้าได้ไหมเจ้าคะ ขออาหารให้ข้าสักมื้อเถิดเจ้าค่ะ”

เมื่อได้ยินคำนั้นแล้ว พระราชคยองมินได้แต่ส่ายพระพักตร์ไปมา ราวกับจะปฏิเสธในสิ่งที่หญิงต่ำศักดิ์คนนั้นพูด พลางคิดอยู่ในพระทัยว่า ถ้าหากพระองค์เป็นเทพเจ้าจริง จะไม่ยอมให้ประชาชนตกอยู่ในสภาวะอดอยากขาดแคลนเช่นนี้เด็ดขาด แต่นี่… พระองค์เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเท่านั้น ไม่มีอำนาจใดๆ ที่จะเสกอาหารได้ทุกมื้อและไม่สามารถหยุดยั้งความตายได้

“ข้าสามารถให้อาหารแก่เจ้าได้ แต่นั่นกลับไม่เพียงพอเลย เพราะความโหดร้ายของภัยหนาวที่พรากเอาชีวิตผู้คนไปทุกปี แต่ข้าก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น ข้ามิใช่ลูกหลานของเทพฮวานินหรอก”

“ทำไมตอนนี้ ข้าถึงอยากให้ท่านเป็นเทพนัก ข้าอยากให้ท่านมีเวทมนตร์ อย่างน้อยที่สุด..ข้าก็อยากได้วันเวลาเก่าๆ กลับคืนมา  พวกเราชาวชอนมินถูกสอนให้รู้ที่ต่ำ แต่ไม่ถูกสอนให้มองที่สูง หากท่านคือคนธรรมดาที่เป็นพระราชา ท่านจะทำอย่างไรให้ความอดอยากของประชาชนหายไปเจ้าคะ” ชินดัลแรพูดออกไปด้วยความอัดอั้น

พระเนตรคมคายหรี่ลงน้อยๆ คำถามนั้นมิได้ตอบยาก แต่ยากที่จะทำตาม ภัยหนาวของมณฑลทางเหนือพรากเอาชีวิตของประชาชนของพระองค์ไปทุกปี จนยากที่จะหยุดยั้งความตายที่คืบคลานเข้ามาได้

“แม้จะไม่ใช่เชื้อสายเทพฮวานินเหมือนกษัตริย์ทันคุน แต่ข้าจะทำงานให้หนักขึ้น จะสอนให้ทุกชนชั้นรู้จักการเพาะปลูก รู้จักการค้าขาย วันนี้อาจจะยังมีคนตาย แต่ข้าจะพยายามลดความโชคร้ายที่ฟากฟ้าประทานมาให้แผ่นดินของเราให้ดีที่สุด ถ้าเป็นคำสัญญาของพระราชา ที่เป็นคนธรรมดาๆ คนนี้ เจ้าจะเชื่อใจข้าได้ไหม”

มเหสีแบครยอนมองสองพระหัตถ์ของพระราชา ที่แตะลงบนบ่าบอบบางของหญิงชอนมินผู้นั้น เช่นเดียวกันกับเด็กน้อยในอ้อมกอดของพระองค์ ที่ก็เริ่มรู้สึกตัวขึ้นบ้างแล้ว

“แม่จ๋า..”

“ท่านแม่ เด็กคนนั้นรู้สึกตัวแล้วพระเจ้าค่ะ รอดตายแล้วนะ ไอ้หนู” ท่านชายแฮอินเอ่ยอย่างดีใจ แต่เด็กที่มีดวงตากลมโตกลับตอบออกมาว่า

“ข้าไม่ใช่ไอ้หนูนะ ข้าเป็นผู้หญิง”

บยอลตอบเหมือนกับจะแย้ง คิดในใจว่าเด็กหนุ่มที่แต่งตัวสง่างามผู้นี้ ทำไมถึงคิดว่านางคือเด็กผู้ชายนะ นี่หน้าตาของนางเหมือนเด็กผู้ชายขนาดนั้นเลยรึ คำตอบนั้นทำให้พระมเหสียิ้มกว้าง ทรงมองสบไปยังดวงตากลมโตของเด็กน้อย แม้จะมีท่าทางเหนื่อยอ่อน แต่เด็กคนนี้ก็จัดได้ว่าเป็นเด็กที่มีหน้าตาสะสวยมากเมื่อโตขึ้น พอเห็นบยอลก็ทำให้พระองค์อยากจะมีพระธิดาที่น่ารักอีกสักองค์   

“ท่าทางเก่งเอาเรื่องไม่เบานะเรา ป่วยจนปากซีด ยังมีแรงต่อล้อต่อเถียงกับลูกชายของข้าอีก”

เด็กหญิงยิ้มน้อยๆ แม้จะดูอ่อนแรง พระมเหสีแบครยอนทรงจับแก้มนางพลางแย้มพระสรวลตอบ

“ท่านตัวหอมจังค่ะ..หอมเหมือนดอกบัว” เด็กหญิงเอ่ยตามที่นางรู้สึก กลิ่นหอมราวกับกลิ่นกุสุมาดูอบอุ่นนุ่มนวลนัก เมื่อทอดมองสบสายพระเนตรกับพระมเหสี นางก็รับรู้ได้ถึงความเมตตาอาทรที่ทอดออกมาด้วย และคำพูดนั้นทำให้พระราชาคยองมินยิ้มกว้าง

“ก็ใช่น่ะสิ…เพราะว่าคนที่โอบกอดเจ้าอยู่เป็นกุสุมาในใจข้า แบครยอน..บัวหลวงของราชา เจ้าโชคดีนักที่ได้อยู่ในอ้อมกอดนาง” พระราชาคยองมินรับสั่ง พร้อมกับทอดสายพระเนตรสื่อด้วยความรักท่วมท้น จนคนรอบข้างสังเกตได้ พระมเหสีเองก็ทรงยิ้มตอบพระสวามีท่าทางเก้อเขิน

บยอลยิ้มน้อยๆ อย่างอ่อนแรง เพราะนี่เป็นครั้งแรกของชีวิตที่นางโดนโอบกอดจากคนชั้นสูง แถมคนชั้นสูงที่โอบกอดนางอยู่ตอนนี้เป็นถึงพระมเหสีของโชซอน นับเป็นโอกาสที่เป็นไปได้ยากมาก เด็กหญิงมองพระพักตร์ของพระมเหสีพลางนึกอยู่ในใจว่า พระองค์ไม่ได้เป็นสตรีที่งดงามมากนัก ถ้าเทียบกับผู้หญิงสวยๆที่นางเคยเห็นที่เปียงยาง แต่แววพระเนตรกลับดูอบอุ่นและสามารถเป็นที่พักพิงใจได้

“ข้าคิดว่าท่านมีจริงอยู่ในคณะละครเร่เสียอีก วันนี้ข้าถูกคนสูงศักดิ์โอบกอดรึ ข้าคงไม่ได้ฝันไปหรอกนะ” เด็กน้อยบอกพลางยิ้มอย่างเหนื่อยอ่อน มเหสีแบครยอนคลี่ยิ้มตอบนาง ก่อนจะเอาพระหัตถ์หยิกแก้มเซียวๆ นั้น อย่างเอ็นดูพลางเอ่ย

“แล้วเจ็บแก้มรึเปล่าล่ะ ถ้าเจ็บก็ไม่ได้ฝัน มีแรงพูดแล้วก็ลุกมากินข้าวต้มเสียสิ”

ชามข้าวต้มอุ่นเกือบเย็นในถาดไม้ ถูกส่งต่อไปให้นาง เด็กน้อยมิได้รักษามารยาท เพราะความหิวโหยบอกให้นางจัดการอาหารที่มีอย่างรวดเร็ว ดวงเนตรคมคายแห่งราชามองสบที่พระมเหสีอย่างมีความหมาย พลันก็ต้องหลุบลงต่ำ เพราะหวนคำนึงได้ว่า

‘นี่…มิใช่ราษฎรที่อดอยากหิวโหยแค่คนเดียวในแผ่นดิน ยังมีคนอีกมากมาย ที่ยังอดอยากหิวโหยเช่นนี้’

“ข้าทำผิดต่อพวกเจ้านัก ข้ามิอาจดูแลพวกเจ้าให้ดี…มิอาจทำให้เจ้ากินอิ่มได้ทุกมื้อ ข้าอยากมีเชื้อสายเทพอย่างที่เจ้ากล่าวเสียแล้ว อย่างน้อยอากาศหนาวเย็นคงไม่ทรมานพวกเรานัก เจ้าจะได้ไม่สูญเสียบิดาไปอย่างไรล่ะ”

“พระองค์ทำดีที่สุดแล้วเพคะ..ชอนฮา วันนี้ข้าวต้มถ้วยเดียวอาจจะไม่เพียงพอสำหรับทุกคนที่หิวโหย แต่ว่าถ้าหากเราตั้งโรงเรียนทุกหัวเมืองที่มี สอนเขาให้ทำอาชีพเลี้ยงตัวได้ พวกเขาจะอยู่กันได้เพคะ”

“โรงเรียนหลวงอย่างนั้นรึ โรงเรียนที่สอนปราชญ์ขงจื๊อน่ะรึ?”

มเหสีแบครยอนทรงส่ายหน้าน้อยๆ พลางยิ้มละไม ก่อนจะตรัสต่อ

“หาใช่ไม่เพคะ แต่เป็นโรงเรียนที่สอนอาชีพให้พวกเขาต่างหาก เช่นสอนการเย็บปัก วันต่อไปเราก็จะมีช่างอาภรณ์ที่งดงาม สอนทำอาหาร ชาวบ้านจักได้รู้ว่าควรเก็บพืชชนิดใดไว้ดองกิน หรือตากกินได้ในหน้าหนาว สอนการเพาะปลูก เขาจะได้ปลูกพืชกินเอง และสอนการค้าขาย เพื่อให้เขารู้จักทำมาหาเลี้ยงชีพ นี่คือโรงเรียนหลวงของหม่อมฉันเพคะ..ชอนฮา”

เด็กน้อยที่กินข้าวต้มจนหมด ได้ยินอย่างนั้นก็เอ่ยออกมาว่า

“ดีค่ะ ข้าจะเป็นแม่ครัวที่ทำข้าวต้มอร่อยที่สุดในโชซอน ว่าแต่ว่าข้าจะเรียนได้ยังไงเจ้าคะ”

มเหสีแบครยอนยิ้มกว้างให้กับเจ้าของดวงตาอ่อนเดียงสา แม้จะมีแววสังเวชที่เห็นเด็กตัวแค่นี้ ต้องมาแบกรับความสูญเสีย แต่แววตาแห่งความหวังที่ทอดทอขึ้นมา ก็หวนให้คิดถึงครั้งที่พระองค์ยังเป็นเด็ก วันที่พระองค์อยากจะเป็นกวี ก็คงมีแววตาเช่นนี้ด้วยเหมือนกัน พระหัตถ์บางแตะมือเล็กๆ บอบบางนั้นพลางตรัส

“เจ้าต้องตั้งใจเรียน แล้ววันหนึ่ง..มิใช่แต่ข้าเท่านั้น ที่จะรอคอยชิมอาหารรสเลิศจากฝีมือเจ้า คนทั่วแผ่นดินก็จะอิ่มเอม เพราะอาหารจากใจที่เจ้าทำ ทำได้ไหมเจ้าเด็กน้อย ว่าแต่ว่า..เจ้าชื่ออะไรรึ?”

“บยอลค่ะ ข้าชื่ออึนบยอล” เด็กหญิงตอบ

“ได้ แม่ดาวดวงน้อยของข้า แล้ววันหนึ่งเจ้าต้องมาทำข้าวต้มที่อร่อยที่สุดให้ข้าชิมด้วย สัญญาแล้วนะ”

เด็กหญิงยิ้ม แม้จะดูเหนื่อยอ่อน มือเล็กๆ ของนางแตะที่พระหัตถ์บอบบาง ก่อนจะเอ่ยตอบพระมเหสีที่อยู่เบื้องหน้าว่า

“เจ้าค่ะ ข้าจะเป็นแม่ครัวอันดับหนึ่งของโชซอนให้ได้ค่ะ”

ทุกคนที่เห็นภาพนั้นก็ยิ้มกว้าง พระราชาคยองมินทรงยิ้มบางๆ แต่ก็ทอดพระเนตรไปยังราษฎรที่อดอยากด้วยความปวดร้าวในพระทัย อย่างที่บอกกับหญิงชั้นต่ำและบุตรสาวผู้หิวโหยของนาง พระองค์เป็นแค่คนธรรมดาเท่านั้น การจะต่อสู้กับความอดอยากของคนอีกนับพันนับหมื่น และอากาศที่เลวร้ายถือเป็นเรื่องที่ยากมาก

‘แต่พระองค์ก็จะทำ’

“คยูซองอา บอกจางยุนโซตามนี้ด้วย ตั้งโรงเรียนหลวงสิบเอ็ดแห่งในทุกหัวเมือง เบิกข้าวสาลีในท้องพระคลังเลี้ยงคนทุกข์ยากทุกวัน วันละมื้อ”

“ถ้าเป็นเช่นนั้น เสบียงในคลังคงไม่พอ แล้วพระองค์จะเสวยอะไรพระเจ้าค่ะ ถ้าเบิกเสบียงหลวงมาเลี้ยงคนทุกข์ยาก อาหารในคลังคงไม่เพียงพอเลี้ยงคนในวัง”

ชาคยูซองแย้งถึงความเป็นจริงข้อนี้ แต่รอยยิ้มจากพระราชาเท่านั้นคือคำตอบที่เขาได้กลับมา

“ข้ากินทุกอย่างที่ประชาชนของข้ากินได้ หากข้าวขาด…ข้าวฟ่างที่แข็งฝืดคอนั่น ก็จะเป็นอาหารของข้า การอดอยากเพราะภัยหนาว ไม่ยาวนานดอก เมื่อเมล็ดพันธุ์แห่งความรู้ฝังรากลงในพื้นดินแล้ว เราจะมีอาหารทุกอย่างกินทั้งปี”

ถ้อยคำนั้น ทำให้ราษฎรทุกข์ยากหลายคน ก้มลงคำนับ พร้อมเปล่งเสียงดังลั่นว่า

“ขอให้พระราชาทรงพระเจริญ! พระราชาทรงพระเจริญ!”

บยอลน้ำตาไหลพรากเมื่อได้ยินถ้อยคำที่พระราชาตรัสออกมา นางก้มลงมองถ้วยข้าวต้มถั่วแดงที่พระราชาและพระมเหสีเป็นผู้มอบให้ เด็กน้อยคิดว่านี่เป็นวาสนาของนางและท่านแม่นัก ที่ได้มาพบเจอพระองค์ในเวลาที่ใกล้ตายเช่นนี้ ข้าวต้มถั่วแดงในยามที่อดอยากขาดแคลน กลับเป็นสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตของนางอยู่รอด แต่เมื่อมารู้สึกตัวอีกที ก็มีมือใหญ่แต่อบอุ่นมาเช็ดน้ำตาที่เอ่อล้นให้

“อย่าร้องไห้ไปเลยนะ ถ้าวันหนึ่งได้เป็นแม่ครัวเลื่องชื่อแล้ว ช่วยทำอาหารอร่อยๆให้ข้ากินด้วย ข้าจะรอกินต็อกฝีมือเจ้า”

เสียงนั้นของท่านชายแฮอินจะเป็นอีกเสียงที่นางจะไม่ลืมชั่วชีวิต…

 

***

สั่งซื้อ Remember Wrinks

เซรั่มบำรุงผิวที่เป็นมาสก์ได้ในหนึ่งเดียว

ทุกยอดการสั่งซื้อจะมีส่วนแบ่งกลับมาเพื่อสนับสนุนเว็บไซต์อ่านเอา

ชุมชนแห่งการอ่านของพวกเรา : )

สั่งซื้อ 1 หลอดราคา 2,090 บาท คลิกที่นี่  >>>>> https://bit.ly/2UT2G40   

สั่งซื้อเซ็ตประหยัดสุดคุ้ม 3 หลอดราคา 2,940 บาท คลิกที่นี่  >>>>> https://bit.ly/2QFzcY9

อ่านเพิ่มเติม เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นี้ คลิกที่นี่ >>>>>>>>>>> http://anowl.co/anowlsabai/remember-wrinks/



Don`t copy text!