ทางรัก…ในดาลัต บทที่ 4 : โฮจิมินห์กับอดีตที่อยากลืม

ทางรัก…ในดาลัต บทที่ 4 : โฮจิมินห์กับอดีตที่อยากลืม

โดย : ปุณรสา

ทางรัก…ในดาลัต โดย ปุณรสา กับเรื่องราวของรสริน หญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเก๋เท่ห์ และเป็นกูรูเรื่องความสัมพันธ์ แต่ใครจะรู้ว่าชีวิตจริงของเธอไม่ได้เป็นอย่างนั้น เพราะเธอล้มเหลวทุกด้าน แต่การที่เธอตัดสินใจไปดาลัต เมืองดอกไม้ของเวียดนามจะทำให้ชีวิตของเธอกลับมาดูดีได้ไหม นิยายออนไลน์ ที่ อ่านเอา อยากให้คุณ อ่านออนไลน์

**************************

– 4 –

รสรินเดินออกจากห้องหลังจากได้ยินเสียงทูมาเคาะประตูเรียกไม่นาน กายก็เปิดประตูห้องกำลังจะลงไปด้านล่างพอดี กายยังคงเป็นหนุ่มเจ้าสำอางหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเดิม เธอจำได้ว่าช่วงเรียนมัธยมกายเป็นที่ปรารถนาของสาวๆ แทบทุกคน เพื่อนสาวหลายคนเคยปรารภกับเธอว่าเขาเป็นเหตุผลที่พวกเธอลุกขึ้นมาโรงเรียนในทุกๆ เช้า

เป็นเพราะเธอคบหากับอยุทธ์อยู่ ทำให้เธอไม่ได้ติดกับดักเสน่ห์ของกาย เธอมักจะเห็นเขาเป็นเหมือนน้องคนสุดท้องที่ทุกคนมักจะยอมอ่อนข้อให้ ไม่ต้องต่อสู้และไม่ต้องรับผิดชอบอะไรในชีวิตมากนัก นั่นอาจเป็นเพราะกายเป็นน้องคนสุดท้องในครอบครัวจริงๆ

สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกว่ากายเหมือนน้องคนสุดท้อง…ข้อสำคัญอาจเป็นเพราะหน้าตาของกายดูจะอ่อนเยาว์เสมอ แม้กายจะเป็นคนสูงแต่ก็ผอม ไม่ได้ดูคมเข้มแบบอยุทธ์ และไม่ได้ดูแมนแบบผู้ชายตัวใหญ่อย่างพานัส ส่วนพื้นฐานครอบครัวของเขาก็สุขสบายด้วยมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คนในครอบครัวของกายล้วนขยันขันแข็ง ทำให้ไม่ได้หวังพึ่งกายมากนัก กายจึงยังคงเตร็ดเตร่ตามภาษาหนุ่มโสด รสรินเคยเจอกายในผับแห่งหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ผู้หญิงที่มากับกายยังดูเด็กเหมือนยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ แต่ก็คงฐานะไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน เพราะเสื้อผ้าที่เธอคนนั้นสวมใส่แม้จะชิ้นเล็กชิ้นน้อยไปหน่อยแต่ก็ล้วนเป็นเสื้อผ้าแบรนด์เนม สาวน้อยร่างสูงนั่งเบียดกับกายจนแทบจะเรียกว่าเกยกันอยู่แล้ว ผู้หญิงของกายเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร…เซ็กซี่และร้อนแรง รสรินจำผู้หญิงหลายคนที่กายควงระหว่างอยู่มัธยมได้ดี เธอก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผู้ชายที่ดูสุภาพและอ่อนโยนแบบกายทำไมถึงได้มีรสนิยมในตัวผู้หญิงแบบนี้

“เราไม่ได้เห็นโรสแต่งตัวสบายๆ แบบนี้มานาน แบบนี้ค่อยดูเหมือนโรสสมัยมัธยมหน่อย” กายเอ่ยทัก

รสรินใส่เสื้อสีอ่อนกับกางเกงขาสามส่วนลีบติดตัวสีขาว หน้าตาก็แต่งเพียงบางเบา ส่วนผมก็จับรวบไปด้านหลัง ทำให้ใบหน้าของเธอดูเด่นใสขึ้น

“ก็แค่อาหารเย็นในหมู่พวกเราเองไม่ใช่เหรอ ว่าแต่กายเถอะ มาโฮจิมินห์ครั้งนี้ ไม่ได้เอาใครมาด้วยหรือไง”

“ก็เรายังไม่มีโอกาสได้คบใครจริงจังนี่” กายอมยิ้ม

รสรินไม่รู้ว่าจมูกที่คมเป็นสันของกายหรือแววตาที่ดูซุกซนกันแน่ที่ทำให้หญิงสาวหลงใหลเขานักหนา

“เราก็เห็นกายพูดอย่างนี้มาตั้งแต่มัธยมแล้ว เห็นทีไรควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าสักที”

“ก็อยากควงผู้หญิงซ้ำหน้าให้โรสดูเหมือนกันแหละ แต่ยังไม่ใช่สักคน”

ก็ใช่น่ะสิ…ควงผู้หญิงฮอตเสียแบบนั้น แล้วจะให้จบสวยสมใจได้อย่างไรล่ะ…รสรินแอบคิด

“แล้วทางบ้านไม่เป็นห่วงเหรอ” รสรินเดินลงบันไดเคียงข้างกับกาย

“มากที่สุด” กายตอบสั้นๆ ตามสไตล์

“แต่กายก็คงร้อนใจกับใครเขาไม่เป็น”

“เมื่อก่อนก็คงใช่”

“และตอนนี้ล่ะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจและได้แต่ยิ้ม ไม่คิดที่จะตอบคำถามของรสริน เมื่อรสรินเดินลงมาถึงห้องโถงกลาง ทู-แม่บ้านก็ยืนอยู่ตรงหน้าแล้ว คราวนี้ไม่มีเด็กน้อยยืนอยู่ข้างๆ หญิงสูงวัยผายมือเชิญแขกทั้งสองให้ไปยังห้องอาหาร

ทุกคนนั่งพร้อมหน้าบนโต๊ะอาหารแล้ว พอพานัสเห็นรสริน ชายหนุ่มก็รีบลุกขึ้นพร้อมจูงเมเลียเจ้าสาวของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ มาด้วย

“เมเลีย…นี่ไงโรส เพื่อนเจ้าสาวของยูอีกคน” พานัสแนะนำรสรินให้เมเลียด้วยน้ำเสียงสดใส

“ยินดีที่เจอคุณโรส ขอบคุณมากนะคะที่มาเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้” เมเลียจับมือรสรินแสดงความขอบคุณจากใจ

รสรินรู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่งที่เธอไม่ได้ใส่รองเท้าส้นสูงลงมาด้วย เพราะเมเลียเป็นผู้หญิงตัวสูง ผิวคล้ำนิดๆ แต่ก็ไม่ได้ผอมบางแบบนางแบบ ตาปากจมูกก็คมชัดเจน คิ้วที่โกนเสียบางก็ทำให้ใบหน้าของเธอดูเก๋มีสไตล์ เสื้อผ้าที่เธอใส่ก็เป็นชุดกระโปรงแบบสตรีหมายเลขหนึ่งพึ่งจะใส่ ภาพตอนนี้คงเหมือนกับอีวิต้า เปรอง กำลังจับมือกับผู้หญิงป่วยอะไรแบบนั้น

“ไม่รู้ว่าคุณเมเลียจะมาร่วมทานอาหารเย็นด้วย” ถ้ารู้ก็คงแต่งตัวให้ดูดีกว่านี้…รสรินแอบคิดต่ออยู่ในใจ

“…นัสโทรมาบอกว่าคุณกับคุณนุชมาถึงแล้ว พอปลีกตัวจากงานได้ ก็รีบมาที่นี่เลย ตั้งใจมาขอบคุณคุณทั้งสองที่มาช่วยเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้” น้ำเสียงของเมเลียแสดงถึงความจริงใจ

“ยินดีค่ะ” โรสตอบสั้นๆ

“เสียดายแต่ว่าพรุ่งนี้ฉันจะพาพวกคุณไปลองชุดกันไม่ได้ ยังต้องเคลียร์งานอยู่เลยค่ะ เพราะเดี๋ยวจะหยุดหลายวัน” เมเลียหันไปยิ้มหวานกับพานัสเมื่อคิดถึงงานแต่งงานที่กำลังจะมาถึง

“ห้องเสื้ออยู่แถวไหนล่ะคะ เราไปกันเองก็ได้” นีรนุชพูดขึ้น “เราเคยอยู่โฮจิมินห์กันมาก่อน”

รสรินได้แต่พยักหน้ารับตามคำของเพื่อน

“แถวถนนนามกี่เขยเหงี๋ย ใกล้พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติน่ะค่ะ”

“เดี๋ยวผมจัดรถให้กับโรสและนุชเอง ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกจ้ะ” พานัสพูดพร้อมสวมกอดเอวของว่าที่เจ้าสาวของเขา “มาทานอาหารเย็นกันเถอะครับ พร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งที”

“พี่อยุทธ์คะ หยิบผักหอมให้รุ้งหน่อยสิคะ” ปานรุ้งอ้อนเสียงใส หญิงสาวใส่ชุดกระโปรงแขนกุดสีดำ

‘ฉันว่าแล้วว่ายายนั่นต้องอ่อนกว่าพวกเรา แต่มาทำเป็นยกมือไหว้ไม่เป็น’ รสรินคิดในใจเมื่อได้ยินปานรุ้งเรียกอยุทธ์ว่าพี่

“โรสจ๊ะ ทานบั๋นแซ่วนี่สิ” พานัสหมายถึงขนมเบื้องญวน “เดี๋ยวนี้เขาประยุกต์ใส่เห็ดเข็มทองบ้าง หน่อมะพร้าวบ้าง ไม่ได้เป็นไส้แบบเดิมๆ ที่เคยทานแล้วนะ”

พานัสนั้นนั่งอยู่หัวโต๊ะและเมเลียนั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับเธอ แต่แทนที่ศีรษะของเธอจะหันไปทางพานัสเพื่อโต้ตอบ แต่หากลับเป็นเช่นนั้นไม่ เธอเหมือนไม่สามารถควบคุมคอและศีรษะเธอได้ จู่ๆ คอของเธอก็หมุนไปทางอยุทธ์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะอีกฝั่งหนึ่ง และสายตาของเธอก็จับจ้องแต่ที่ใบหน้าของอยุทธ์

อยุทธ์ส่งชามผักสดให้กับปานรุ้งพร้อมกับส่งยิ้มให้

เมื่อเห็นรสรินยังไม่ได้ตักขนมเบื้องญวนที่แนะนำ พานัสก็ตักขนมเบื้องญวนใส่จานหญิงสาว

“ลองชิมดูนะ…โรส”

คราวนี้ถึงตาเธอที่ควรหันกลับไปมองพานัสและกล่าวขอบคุณ แต่เธอก็ยังไม่สามารถบังคับศีรษะและสายตาของเธอได้ ตาของเธอยังคงจับจ้องอยู่แต่ที่ใบหน้าของอยุทธ์

“โรสจ๊ะ” เสียงพานัสเรียกเธออีก

เธออยากหันหน้าไปทางพานัสเสียเหลือเกิน แต่ทำไม…ทำไมไอ้เจ้าคอนี้จึงไม่สามารถหันหนีจากใบหน้าของอยุทธ์ได้

คราวนี้เธอไม่ได้แค่ได้ยินเสียงพานัสคนเดียว เสียงของเมเลีย กายและนีรนุชต่างเรียกชื่อเธอดังลั่น แต่เธอก็ไม่สามารถหันหน้าไปหาใครได้เลย ตาของเธอได้แต่หันมองตามอยุทธ์ที่กำลังหยอกล้อเล่นกับปานรุ้ง

นี่เธอกำลังเป็นอะไรไป รสรินหลับตาและตะโกนเสียงดัง “ไม่…ไม่ ใครก็ได้ช่วยฉันที”

เธอรู้สึกว่าเธอพยายามสะบัดศีรษะเธออย่างแรง และในที่สุดเธอก็ทำได้สำเร็จ

หญิงสาวลืมตาขึ้นบนเตียง…หายใจแรง ห้องทั้งห้องมืดสนิท

“นี่เราฝันไปหรือนี่” รสรินกระซิบกับตัวเอง รู้สึกดีใจที่ทั้งหมดนี้เป็นแค่ความฝัน

อาการฝันแปลกๆ แบบนี้ อาจเป็นเพราะตลอดช่วงมื้อค่ำนั้น เธอพยายามจะไม่มองไปทางอยุทธ์และปานรุ้ง จะว่าไปคืนนี้อยุทธ์ก็ดูดีเสียเหลือเกิน อาจเป็นเพราะเสื้อลินินสีอ่อนที่ตัดกับผิวสีเข้มของเขา ทำให้เธอต้องรับบทหนักที่จะพยายามไม่มองไปทางเขา

เธอลอบถอนหายใจอีกที โล่งอกเหลือเกินที่เรื่องน่าขายหน้านี้เป็นเพียงแค่ความฝัน

รสรินต้องยอมรับว่าทั้งพานัสและอยุทธ์มีรสนิยมเรื่องผู้หญิงดีจริงๆ เธอมักรู้สึกโดดเด่นยามอยู่ในหมู่ผู้หญิงด้วยกัน แต่วันนี้เธอรู้สึกว่าทั้งเมเลียและปานรุ้งเป็นคู่แข่งคนสำคัญของเธอจริงๆ โชคดีที่ทั้งคู่ไม่ได้พักที่นี่ด้วยคืนนี้ ไม่อย่างนั้นเธอคงต้องปรับแผนการแต่งตัวเสียใหม่

ในขณะนั้นรสรินก็ได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ เปิด นีรนุชคงไปเข้าห้องน้ำ เนื่องจากบ้านนี้ออกจะเป็นบ้านเก่า ห้องนอนแต่ละห้องเรียงหน้ากันและไม่มีห้องน้ำในห้องนอน แต่จะต้องไปเข้าห้องน้ำรวมที่อยู่ข้างห้องของนีรนุช พานัสก็ดีเหลือเกิน แม้เธอบอกว่าเธอพักกับนีรนุชได้ แต่เขาก็ยังจัดให้เธอพักคนเดียว ส่วนห้องนอนของเขานั้นก็อยู่ถัดจากเธอไปอีกด้านแล้วถึงจะเป็นห้องนอนของอยุทธ์ ส่วนห้องนอนของกายนั้นอยู่ติดกับห้องน้ำเหมือนกันแต่คนละฝั่งกับห้องของนีรนุช

‘เอ๊ะ…หรือนี่จะเป็นโอกาสดีที่จะไปเอานิตยสารเล่มนั้นจากห้องนุช’ ตอนทูมาส่งเธอทั้งสองที่ห้อง เธอเห็นนีรนุชวางนิตยสารเล่มนั้นไว้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงซึ่งอยู่ห่างจากประตูห้องไปไม่กี่ก้าวเอง

‘ใช่…ตอนนี้คงจะเหมาะที่สุด’ ว่าแล้วรสรินก็ยกผ้าห่มออกจากตัว ดีที่เธอสวมชุดนอนผ้าฝ้ายแขนยาวเป็นชุดยาวเกือบถึงเข่า เรียกได้ว่ามิดชิดพอสมควร

หญิงสาวค่อยๆ เปิดประตู และแง้มประตูไว้เผื่อยามกลับมาจะได้รีบเข้าห้องได้ทัน เมื่อรสรินค่อยๆ ย่องไปยังห้องของนีรนุช เมื่อไปถึง…ก็เป็นโชคของเธออีก เพราะประตูห้องของนีรนุชก็แง้มไว้เล็กน้อยอยู่แล้วเหมือนกัน

รสรินรีบผลักประตูเข้าไป และปิดประตูไว้ในลักษณะเดิม เธออยู่ในความมืดสนิท มีแต่แสงไฟเพียงเล็กน้อยที่ลอดมาจากประตูที่แง้มไว้แล้วเท่านั้น เธอไม่ต้องการแสงไฟเลย เธอรู้ว่าเจ้านิตยสารเล่มนั้นอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าว รสรินค่อยๆ เดินไปอย่างเบาที่สุด ในที่สุดเธอก็เห็นปกที่วาววับของนิตยสารเล่มนั้นอยู่บนโต๊ะข้างหน้าแล้ว หญิงสาวค่อยๆ เอื้อมมือไปยังนิตยสารที่อยู่ตรงหน้า ในขณะที่มือเธอกำลังจะจับนิตยสารเล่มนั้น ก็มีมือที่เธอรู้สึกว่าแข็งแรงกว่าตะปปลงบนมือของเธอ

รสรินกรีดร้องอย่างสุดชีวิต “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดด”

แล้วประตูห้องนีรนุชก็ถูกกระชากเปิด แสงไฟจากทางเดินสาดเข้ามาในห้อง ภาพที่รสรินเห็นคือนีรนุชยืนอยู่ที่หน้าห้องอย่างไม่เข้าใจ แสงไฟทำให้เธอเห็นว่ามือของชายที่ตะปบมือเธออยู่นั้นก็คือกายนั่นเอง รสรินรีบสะบัดมือเธอให้พ้นจากมือของกาย และรีบเดินออกจากห้องนีรนุชมายังทางเดิน

สิ่งที่รสรินเห็นยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่ พานัสกับอยุทธ์กำลังเบียดตัวออกมาจากประตูห้องนอนของเธอ

“เธอสองคนเข้าไปทำอะไรในห้องฉัน” รสรินโวยวายอย่างไม่ชอบใจ

“นั่นเป็นคำถามที่ฉันควรจะถามมากกว่านะ” นีรนุชพูดเสียงเรียบๆ ในแบบของเธอ

กายที่เดินออกมาสมทบหน้าประตูห้องนีรนุชชิงอธิบายก่อน “ผมจะเข้าห้องน้ำ สงสัยเดินเลยมาหน่อย เข้ามาก็รู้ว่าเป็นห้องนุชแล้ว เลยคิดว่าจะอยู่แกล้งนุชสักหน่อย” พูดจบเขาก็ยักไหล่เหมือนนี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

นีรนุชหันมามองหน้ารสริน หญิงสาวพยายามคิดหาข้ออ้าง แต่ก็ดูเหมือนคิดอะไรไม่ได้มากนัก “ฉันก็จะมาเข้า

ห้องน้ำ เดินเปะปะมา เห็นประตูห้องแง้มอยู่ คิดว่าถึงห้องน้ำแล้วก็เลยเดินหลงเข้าไป  และใครจะไปรู้ว่ากายจะอยู่ในนั้นล่ะ พอกายจับมือฉัน ฉันก็ตกใจร้องกรี๊ด…ก็เท่านั้น”

“เฮ้ย…ไอ้กายมันจับมือโรสด้วยละ” พานัสหันไปกระซิบกับอยุทธ์

แต่ยังไม่ทันที่อยุทธ์จะตอบอะไร รสรินก็ถามคนทั้งสองเสียงเข้ม “แล้วเธอสองคนเข้าไปในห้องฉันได้ยังไง”

“ก็ประมาณเดียวกับคุณมั้ง เดินออกจากห้องมา เห็นประตูแง้มอยู่ ก็คิดว่าห้องน้ำ…ก็เท่านั้น” อยุทธ์ตอบไปอย่างนั้น

สำหรับเขา…เขาได้ยินเสียงประตูห้องพานัสเปิด และเมื่อเปิดประตูห้องออกมาก็เห็นพานัสเดินหลบเข้ามาทางห้องของรสริน เขาไม่อยากให้พานัสทำอะไรที่จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต ทำให้เขาต้องรีบตามพานัสเข้ามาในห้องของรสริน แต่ยังไม่ทันไรเขาก็ได้ยินเสียงรสรินกรีดร้อง เขาจึงหันหลังผลักประตูออกมาและพานัสก็ตามออกมาสมทบเขา

“นี่พวกแกไม่ได้ฟังทูบอกเลยหรือไงว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน ถึงได้เดินกันผิดห้องแบบนี้…” พานัสโวยวายขึ้น แต่แล้วก็รู้สึกตัวขึ้นได้ว่าไม่น่าโวยวายเลย เพราะนั่นจะทำให้ตัวเองใช้มุกห้องน้ำแบบคนอื่นไม่ได้

“นัส…คุณเข้าไปในห้องโรสทำไม” รสรินมองพานัสด้วยสายตาเคร่งเครียด

“ก้อ…เออ…คือว่าผมได้ยินประตูห้องโรสเปิด ผมเลยคิดว่าโรสคงยังไม่นอน เลยจะเข้ามาถามว่าจะอยากได้อะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า”

“ทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี” กายที่กำลังยืนกอดอกพิงประตูห้องนีรนุชอยู่ส่งเสียงสมทบ

ไฟด้านล่างเปิดขึ้น และทูรีบวิ่งขึ้นมาทางด้านบน

“เมื่อกี้ได้ยินเสียงร้อง ได้ยินจนถึงห้องพักดิฉัน” ทูมองพานัสและแขกของเจ้านายอย่างงงๆ

“ไม่มีอะไรแล้วจ้ะ…ทู ทุกอย่างเรียบร้อยดี” พานัสพูด “เออ…ว่าแต่ใครต้องการอะไรเพิ่มเติมไหม จะได้ให้ทูไปเอามาให้” พานัสพูดเหมือนแก้เขิน

ดูเหมือนทุกคนจะพร้อมใจกันเดินเข้าห้องโดยไม่คิดจะตอบพานัส พานัสได้แต่พยักหน้าให้ทูกลับไปยังห้องพักของตน

รสรินตั้งใจจะลงมารับประทานอาหารเช้าในช่วงเกือบสิบโมง เพราะเธอไม่อยากจะต้องเผชิญหน้ากับอยุทธ์เกินความจำเป็น เธอหวังว่าเขาคงออกไปหาปานรุ้งที่โรงแรมที่เธอพักแล้ว พวกหนุ่มๆ ไม่ได้มีกิจกรรมใดในวันนี้ นอกจากตอนเย็นที่เป็นงานฉลองหมั้นของพานัสและเมเลียที่โรงแรมเท่านั้น ส่วนเธอและนีรนุชจะต้องออกไปลองชุดเพื่อนเจ้าสาว ในช่วงบ่ายพานัสจะจัดรถมารับที่นี่

หญิงสาวย่องลงบันไดมาอย่างเงียบๆ ด้วยไม่อยากจะต้องเจอกับใคร รสรินรู้สึกดีใจที่เห็นบ้านทั้งบ้านเงียบเชียบ แต่หากพอเดินเข้าไปในห้องอาหารเท่านั้น เธอก็เจอกับอยุทธ์จนได้ เขานั่งอยู่ที่นั่นคนเดียว กำลังดื่มกาแฟยามเช้าพร้อมอ่านหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษของที่นี่อยู่ เธออยากจะผละตัวออกจากห้องในทันที แต่คิดได้ว่าหากทำเช่นนั้นดูเหมือนจะเป็นการเสียฟอร์มไปหน่อย หากใครมาเห็นจะคิดว่าเธอยังแคร์เขาอยู่ นั่นทำให้เธอต้องฝืนใจเดินไปนั่งที่โต๊ะอาหาร เธอเลือกนั่งคนละฝั่งกับเขาอย่างไม่คิดจะสุงสิงด้วย

ทูรีบเดินเข้ามาเพื่อถามไถ่เธอถึงอาหารเช้าที่เธออยากได้ เมื่อได้ออร์เดอร์แล้ว ทูก็เดินจากไป รสรินรู้สึกเหมือนห้องนี้เต็มไปด้วยอากาศของความกระอักกระอ่วน เธอได้แต่เอาโทรศัพท์มือถือของเธอขึ้นมาเพื่อแกล้งเช็กดูเฟซบุ๊กและไลน์      ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนออกจากห้องมา เธอก็เพิ่งตรวจเช็กข้อความทั้งหมด โชคดีที่เธอมีคนอย่างพอลต้องดูแล พอลยังไลน์ข้อความถามเรื่องเล็กน้อยจากเธอ นั่นทำให้เธอยังคงกดโต้ตอบกับเขาได้ ทำให้เธอดูเหมือนไม่ได้สนใจเขาที่นั่งห่างไปไม่กี่ก้าว

อยุทธ์พับหนังสือพิมพ์ลงในที่สุด

“นุชเขาต้องเอาของฝากของพ่อไปให้เพื่อนพ่อแป๊ปนึง เขาฝากให้บอกคุณด้วยว่าเดี๋ยวก็กลับมา”

รสรินพยักหน้าอย่างไม่นึกอยากจะสนใจ แล้วอยุทธ์หันหน้ามาถามหญิงสาวอย่างจริงๆจังๆ “ผมถามคุณจริงๆ ว่าคุณกลับมาที่นี่อีกทำไม”

แม้เช้านี้หญิงสาวไม่ได้เตรียมตัวที่จะพบกับใคร แต่รสรินก็แต่งองค์ทรงเครื่องเสียครบเหมือนจะออกไปเฉิดฉายข้างนอก นั่นยิ่งทำให้อยุทธ์รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย

“ทำไมฉันจะกลับมาที่นี่อีกไม่ได้ นัสเป็นคนเชิญฉัน” รสรินลอยหน้าลอยตาตอบ “อย่าทำเหมือนที่นี่เป็นของคุณคนเดียวสิ ใครๆ ก็มาได้ทั้งนั้น”

“ผมรู้ว่าคนอย่างคุณหากไม่มีผลประโยชน์อะไร คุณไม่เสียเวลามาแน่ๆ”

“ฉันจะมางานแต่งงานเพื่อน และมาเที่ยวเฉยๆ ไม่ได้หรือไง”

“ผมเพียงแต่เห็นว่าคุณทำตัวเลิศหรู ไม่เคยเอ่ยปากบอกใครว่าเคยอยู่ที่นี่ คนอย่างคุณคงไม่ได้กลับมาเวียดนามเพื่อเที่ยวเล่นเฉยๆ แน่”

“นี่อยุทธ์” รสรินหันไปจ้องหน้าชายหนุ่ม “ฉันไม่เคยยุ่งกะคุณในเรื่องใดๆ เลยนะ คุณจะคบหากับใคร ฉันก็ไม่เคยไปยุ่งด้วย แล้วคุณจะมายุ่งอะไรกับฉัน ฉันจะไปไหนมาไหน คุณก็ไม่มีสิทธิ์อะไรจะมายุ่ง และข้อสำคัญ…อย่าเข้าไปในห้องของฉันอีก” รสรินพูดเน้นประโยคสุดท้าย

“คุณก็ยังเป็นคุณอยู่เหมือนเดิม ที่ไม่เคยอยากยอมรับฟังเหตุผลใดๆ เลย”

“เหตุผลอะไรอีก…อยุทธ์ ตลอดเวลาคุณมองตัวเองดีแสนดีมาตลอดใช่ไหม คุณไม่เห็นเลยใช่ไหมว่าสิ่งที่คุณทำนั้นมันเลวร้ายหรือร้ายกาจยังไง เรื่องของเรามันจบไปแล้ว ก็ให้มันจบๆ ไปเถอะ หากคุณตอแยกับฉันมากๆ คราวหน้าฉันจะไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ”

ทูที่ถือชามก๋วยเตี๋ยวเฝออยู่ตรงหน้าห้องทานข้าวถึงขนาดไม่กล้าเดินเข้ามา แม้เธอจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่น้ำเสียงและสีหน้าของคนทั้งสองทำให้เธอหยุดชะงัก เมื่อรสรินหันมาเห็นทูที่ยืนอยู่ตรงหน้าห้อง หญิงสาวก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นยิ้มร่าเริงได้ทันที กวักมือเรียกทูให้มาวางชามเฝอไว้ตรงหน้าเธอ

อยุทธ์ที่ทั้งเช้านั่งรอรสรินเพื่อหวังจะพูดคุยกับเธอ แต่เมื่อการเจรจาครั้งแรกก็ดูเหมือนจะล้มเหลวแล้ว เขาก็ได้แต่ล่าถอย ชายหนุ่มจึงเดินออกจากห้องทานข้าวไปอย่างเงียบๆ

“นุช…เธอว่าไม่แปลกเหรอที่กายอยู่ในห้องเธอเมื่อคืนนี้” รสรินตะโกนถามนีรนุชที่กำลังลองเสื้ออยู่ในห้องลองเสื้อขณะเธอนั่งรออยู่บนโซฟาด้านนอก เธอได้ลองชุดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างไม่มีอะไรต้องแก้ไข

“แปลกยังไง เธอก็เข้าไปอยู่ในห้องฉันเหมือนกัน”

แม้เรื่องเมื่อคืนยังติดใจเธอและเธออยากคุยกับนีรนุชมากกว่านี้ แต่พอเธอได้ยินประโยคนี้ เธอก็ได้แต่ทำจมูกย่นอย่างคนถูกขัดใจ จำเป็นต้องนั่งนิ่งเงียบ นีรนุชรูดประตูผ้าของห้องลองเสื้อออก

รสรินจ้องมองนีรนุชในชุดเพื่อนเจ้าสาว เธอต้องขอชมรสนิยมของเมเลียในการเลือกชุดเพื่อนเจ้าสาว ผ้าซาตินลื่นละมุนสีโอลด์โรสแขนกุดกระชับช่วงตัว…ที่สวยงามนั่นเป็นช่วงคอที่คอปาดเป็นริ้วเหมือนชุดเทพนารีกรีก เธอต้องยอมรับว่าขนาดผู้หญิงที่ดูเคร่งขรึมอย่างนีรนุชใส่ ยังดูสวยสะดุดตาเพราะชุดช่วยดึงความเป็นผู้หญิงในตัวออกมาได้อย่างงดงาม

“ลองถอดแว่นตา และช่วยมัดผมขึ้นไปหน่อยซิ” รสรินพูดกับเพื่อนสาวขณะที่นั่งบนโซฟาหน้าห้องลองเสื้อ

“ทำไมเหรอ”

“ก็ฉันอยากเห็นเธอสวยแบบเต็มๆ หน่อยน่ะสิ” รสรินอดคิดต่อไม่ได้ว่าสมัยนี้เป็นยุคของทั้งเลเซอร์และคอนแทกต์เลนส์แล้ว เพื่อนเธอยังใส่แว่นตาอยู่ได้

นีรนุชถอดแว่นตาส่งให้เพื่อนพร้อมกับรวบผมขึ้นอย่างที่เพื่อนสั่ง

รสรินต้องยอมรับว่าผิวพรรณของนีรนุชน่ามองมาก ด้วยขาวเนียนละเอียดอย่างสาวเกาหลีหรือสาวฮ่องกง ต้นคอและแผ่นหลังที่ชุดเปิดโชว์ให้เห็นบ้างนั้น เธอต้องบอกว่าขณะนี้นีรนุชไม่ได้ดูสวยอย่างเดียวแต่ยังดูเซ็กซี่ด้วย ก็อย่างที่เธอเขียนไว้ในนิตยสารนั่นแหละ…เธอไม่เข้าใจว่านีรนุชจะใส่แว่นตา ไว้ผมเผ้ารุงรัง และแต่งตัวมิดชิดปิดความสวยงามตัวเองไว้ทำไม

“ผิดกันคนละคนเลย”

“ขนาดนั้น” นีรนุชหันไปดูกระจกอีกครั้ง

“ถ้ากันคิ้วอีกนิดหนึ่ง ก็จะเฟี้ยวขึ้นได้อีก”

“ทำไมโรสถึงได้ห่วงเรื่องรูปร่างหน้าตานักนะ เห็นสมัยมัธยมออกจะสบายๆ ชอบอยู่คนเดียว” นี่เป็นการพูดอย่างสุภาพแบบนีรนุช หากเป็นคนอื่นคงพูดว่า ‘ทำไมจะต้องแต่งตัวให้เริดตลอดเวลา เธอจะไปแคร์อะไรกันนักหนา ใครเขาจะนินทา จะไม่คบ จะเป็นไรไป’

“นั่นมันสมัยเด็กๆ…”

โชคดีที่เจ้าของห้องเสื้อเดินเข้ามาทักทายเป็นภาษาอังกฤษเสียก่อน ทำให้รสรินไม่ต้องคิดข้อแก้ตัวใดๆ “สาวๆ เป็นอย่างไรบ้าง”

“ช่วงตัวหลวมไปนิดนึงมั้ยคะ” รสรินติงขึ้น

เจ้าของร้านในชุดทะมัดทะแมงได้แต่พยักหน้าและเดินรอบตัวนีรนุช “อืม…จริงๆ ด้วย”

“แต่ฉันก็ใส่สบายดีแล้วนะคะ” นีรนุชพูดขึ้น

“เชื่อฉันเถอะนุช…ถ้าเอาช่วงอกกับช่วงเอวเข้าอีกนิดนึง เธอจะดูเช้งกว่านี้เยอะ”

“จริงเหรอ” นีรนุชทำท่างง เธอไม่ยักจะเห็นอะไรอย่างที่รสรินเห็น ทั้งคิ้วของเธอจนมาถึงเรื่องเสื้อผ้า

ในที่สุดเจ้าของร้านก็พูดขึ้นว่า “เดี๋ยวฉันขอวัดตัวคุณอีกทีดีกว่า และเดี๋ยวจะแก้ให้และลองดูเลย เพราะยังไงวันพรุ่งนี้พวกคุณก็ต้องไปที่ดาลัตแล้ว ใช่ไหมคะ”

“ค่ะ” นีรนุชพยักหน้ารับ แล้วเธอก็หันมาทางรสริน “โรส…ถ้าเบื่อ ก็ออกไปเดินเล่นก่อนก็ได้ แถวนี้มีร้านกาแฟน่านั่งหลายร้าน”

“อืม…ออกไปเดินเล่นที่สวนหน้าพิพิธภัณฑ์ก็น่าจะดีนะ” เมื่อก่อนนั้นสวนที่มีต้นไม้ใหญ่นี้เป็นที่แฝงตัวของเธอก็ว่าได้ ยามว่างเธอชอบมาขี่จักรยาน วาดรูป เขียนบันทึก ทำการบ้านที่นั่น ใครๆ ก็รู้ว่าหากเธอไม่อยู่บ้านแล้ว ก็สามารถตามตัวเธอได้ที่นี่

“ที่ทำการบ้านของเธอนี่ คงจะคิดถึง”

“เปล่า” รสรินตอบเสียงสูง “ก็แค่อยากเดินเล่นเท่านั้น”

“ตามใจ เดี๋ยวเสร็จแล้วจะออกไปหาที่นั่นนะ”

“จ้ะ” พอพูดจบ รสรินก็ลุกเดินออกไป

 

สวนกว้างกลางลานจัตุรัสใหญ่เคยเป็นที่พักพิงในช่วง 3-4 ปีที่เธออยู่ที่นี่ ฟรองซัวส์มีแกลเลอรีเล็กๆ บริเวณถนนเหวียนเว้ติดกับลานอนุสาวรีย์ของท่านโฮจิมินห์ที่ใครๆ เรียกว่าลุงโฮ เธอจำได้ว่าที่นั่นเป็นห้องเล็กๆ จริงๆ แต่เธอก็ได้ยินฟรองซัวส์บ่นถึงราคาค่าเช่าที่แพงยับ ที่นั่นเป็นที่พักด้วยโดยแม่และฟรองซัวส์อาศัยอยู่ชั้นสอง ประมาณว่าพอขึ้นบันไดไปก็เห็นเตียงและตู้เสื้อผ้า รวมทั้งงานภาพที่ขายไม่ได้ ส่วนเธอนั้นมีห้องเล็กเป็นเพิงเล็กๆ อยู่บนชั้นดาดฟ้าที่จะต้องคอยระวังน้ำรั่วยามฝนตกแรงๆ

เธอไม่เคยเข้าใจเลยว่าทำไมพี่น้องเธอโดยเฉพาะยายไอริสถึงได้อิจฉาเธอนักหนาที่ได้ถูกมารดาเลือกให้มาอยู่ด้วย พื้นเพของบิดามารดาเธอนั้นเป็นคนหนองคาย พ่อของเธอเป็นผู้ชายไทยแบบที่ว่าได้เงินมาต้องดื่มเหล้าและเล่นการพนันก่อนจะตกถึงลูกเมีย พอเธออายุได้แปดปีและไอริสอายุเพียงห้าขวบแม่ก็หอบลูกหนีพ่อเธอมาอยู่บ้านตากับยายที่อยู่จังหวัดเดียวกัน แน่นอนพ่อเธอก็ตามมาง้อ…และแน่นอนที่แม่เธอจะหอบลูกกลับไปอยู่กับพ่อ เป็นอย่างนี้ประมาณสามหรือสี่ครั้ง แม่เธอก็ตัดสินใจไม่กลับไปหาพ่ออีก ส่วนพ่อก็ไม่มีเงินและไม่เข้มแข็งที่จะมายื้อแย่งลูก แล้วพ่อก็ค่อยๆ หายไปจากชีวิตพวกเธอ

หลังจากนั้นแม่ก็เจอกับฟรองซัวส์ในร้านอาหารที่แม่ทำงานอยู่ คงเป็นโชคดีของแม่และพวกเธอที่ฟรองซัวส์จริงใจและรักแม่เธอมาก ตอนนั้นเวียดนามเปิดประเทศใหม่ๆ ฟรองซัวส์คิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่จะไปลงทุนที่นั่นและอีกอย่างแม่เธอก็พูดภาษาเวียดนามใช้ได้

ตอนนั้นแม่เพิ่งแต่งงานกับฟรองซัวส์และรู้ว่าการเอาลูกมาอยู่โฮจิมินห์ ลูกจะต้องเข้าเรียนในโรงเรียนนานาชาติซึ่งค่าเล่าเรียนสูงทีเดียว แม่จึงตัดสินใจที่จะเอาลูกมาเพียงคนเดียว ไอริสแม้จะเป็นน้องคนสุดท้อง แต่เธอก็แก่นแก้ว ดูจะดูแลตัวเองได้ดี ส่วนเธอในตอนนั้นเป็นวัยรุ่นผอมบางที่ดูมีอารมณ์ศิลปินสูง ชอบอยู่คนเดียว ไม่ค่อยจะฟังใครโดยเฉพาะพี่สาว อาจจะเป็นเพราะเธอเป็นลูกคนกลางก็ได้ แม่จึงคิดว่าน่าจะทิ้งไอริสไว้กับนันทนาน่าจะดีกว่า

ขณะที่ไอริสโกรธเคืองที่เธอได้มาอยู่กับแม่ เธอกลับรู้สึกโศกเศร้ากับการไม่ได้อยู่กับพี่น้องและเพื่อนๆ และต้องมาใช้ชีวิตในต่างบ้านต่างเมือง เธอจำได้ว่าในช่วงเดือนแรกๆ ที่มาถึง เธอร้องไห้แทบทุกวันเพราะเธอยังไม่ได้เข้าเรียน เพื่อนก็ไม่มี พูดเวียดนามก็ได้บ้างแต่ฟังไม่รู้เรื่องเลย ไปไหนมาไหนก็ต้องไปกับแม่และฟรองซัวส์ ซึ่งขณะนั้นเธอกำลังเป็นวัยรุ่น มันช่างเป็นวันเวลาที่ทุกข์ทรมานสำหรับเธอ…เธอจึงไม่เคยเข้าใจว่าไอริสจะโกรธแค้นเธอเรื่องที่เธอได้มาอยู่โฮจิมินห์กับแม่ทำไม

แม้ในเวลาต่อมาที่เธอได้เข้าโรงเรียนและมีเพื่อนบ้าง แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่จะสนิทสนมกับใครได้เร็ว จนวันหนึ่งขณะที่เธอเขียนบันทึกอยู่ในสวนสาธารณะแห่งนี้ อยุทธ์ก็ขี่จักรยานผ่านมาโดยบังเอิญ เขาเห็นเธอนั่งเซื่องซึมอยู่ เขาจึงชวนเธอซ้อนท้ายไปขี่จักรยานเที่ยว เธอไม่เคยคิดจะขึ้นไปบนจักรยานของเขา แต่ท่าทางที่ดูจริงใจ และดูเขาจะไม่ยอมไปไหนจนกว่าเธอจะไปกับเขา ทำให้เธอยอมซ้อนจักรยานไปด้วยในที่สุด

ความสนิทสนมของเธอกับอยุทธ์คงไม่ไปไหน หากอยุทธ์ไม่เพียรมาหาเธอทั้งที่บ้านและที่นี่ อยุทธ์พร้อมจะฟังเธอเล่าถึงพี่น้องและเพื่อนๆ ที่จากมา ตอนนั้นเธอรู้สึกเหมือนใจของอยุทธ์เหมือนลูกแก้วใส เขาไม่มีอดีตที่ขมขื่นหรือพ่อแม่ที่หย่าร้าง เขาสนใจฟังเรื่องราวของเธอเหมือนไม่เคยรู้จักเรื่องราวแบบนี้มาก่อน มันเหมือนใจของอยุทธ์ได้สะท้อนทำให้ความเศร้าหมองในใจเธอค่อยๆ เลือนหายไป แต่วันเวลาและความรู้สึกดีๆ เหล่านั้นก็พังทลายในที่สุดเมื่อเขาและเธอกลับไปเรียนมหาวิทยาลัยต่อที่เมืองไทย

วันนี้แม้โฮจิมินห์จะเปลี่ยนไปมาก แต่กลางสวนตรงนี้ยังเป็นสวนสาธารณะเปิดอยู่ ต้นไม้สูงยังยืนเรียงราย ผิดแต่จะมีร้านกาแฟและร้านอาหารเก๋ๆ อยู่รอบนอกมากขึ้นเท่านั้นเอง รสรินยืนพิงแนบไปกับต้นไม้ใหญ่ หวังให้ต้นไม้ซึมซับความทรงจำที่เธอมีต่ออยุทธ์ให้เลือนหายไปจากเธอ หญิงสาวชะโงกหันไปดูเมื่อเธอได้ยินเสียงคนพูดคุยภาษาไทยกัน นั่นทำให้ปานรุ้งกับอยุทธ์ที่เดินลัดสวนมาหันมาเห็นเธอ ปานรุ้งเพิ่งตื๊อให้อยุทธ์พาไปชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ส่วนกายนั้นรู้สึกว่าได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์นี้มาหลายครั้งแล้ว จึงขอไปนั่งรอในร้านกาแฟก่อน

รสรินยังเห็นมือของปานรุ้งเกาะอยู่ที่แขนของอยุทธ์เหมือนเดิม

“คุณโรส มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ ต้องไปลองเสื้อไม่ใช่เหรอ” ปานรุ้งเอ่ยทัก

“ลองเสร็จแล้ว แต่ของนุชยังต้องแก้ไขอีกนิดหน่อย เลยออกมาเดินเล่น” หญิงสาวพูดค่อนข้างห้วน

“รุ้ง…คุณไปที่ร้านกาแฟก่อนเถอะ กายมันรอนานแล้ว เดี๋ยวผมตามไปนะ” อยุทธ์พูดขึ้น

ปานรุ้งขมวดคิ้วไม่พอใจ แต่เธอยอมปล่อยมือออกจากแขนอยุทธ์และทำตามที่อยุทธ์บอก

พอพ้นเงาของปานรุ้ง อยุทธ์ก็เดินเข้ามาหารสรินและพูดด้วยสีหน้ายียวนว่า “ผมหาตัวคุณพบที่นี่อีกจนได้”

รสรินมองอยุทธ์อย่างไม่พอใจ ถ้าเป็นไปได้เธอไม่คิดอยากจะมีอดีตร่วมกับเขา “เก็บเอาไว้สำหรับให้คนรักกันพูดเถอะ คนเกลียดกัน…ฟังแล้ว…สะอิดสะเอียน”

“ก็เพียงแต่ไม่คิดว่าจะได้เจอคุณที่ตรงนี้อีกที่…” อยุทธ์พูดเหมือนจะละประโยค ‘ที่ของเรา’ ไว้

รสรินเอียงคอมองอยุทธ์และพูดน้ำเสียงกึ่งประชด “หวังว่าคุณคงไม่เกิดซึ้ง เกิดโรแมนติกขึ้นมาหรอกนะ”

“อืม เรื่องนั้นคุณไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนั้นผมยังเด็กนะ…ไม่รู้ประสา”  อยุทธ์ทำหน้ากวนใส่ “ผมคิดออกแล้วว่าผู้หญิงอย่างคุณมาเวียดนามทำไม”

“ยังไม่จบอีกเรื่องนั้น…” รสรินขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“มันเป็นช่วงที่คุณเลิกกับเจ้าฝรั่งคนนั้นพอดี” อยุทธ์รีบพูดแทรกขึ้นทั้งๆ ที่รสรินยังพูดไม่จบประโยค “คิดมาหว่านเสน่ห์ใครเป็นพิเศษหรือเปล่า ผมขอเตือนนะว่าเจ้านัสกำลังจะเป็นฝั่งเป็นฝา มันรวยขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของมันเอง หากคุณต้องการสปอนเซอร์ ช่วยหาผู้ชายคนอื่น…ที่ไม่ใช่เพื่อนผมด้วย”

รสรินหัวเราะออกมา “อยุทธ์…หากฉันจะหาสปอนเซอร์ ไม่ต้องมาเวียดนามให้เสียเวลาหรอก ที่กรุงเทพ ฉันแค่กระดิกนิ้ว ผู้ชายก็วิ่งตามมาเป็นพรวน”

“ถ้าอย่างงั้นทำไมคุณไม่อยู่งานหมั้นน้องสาวคุณ คุณมางานของไอ้นัสมันทำไม” คราวนี้อยุทธ์พูดเสียงดุ

รสรินถลึงตาใส่อยุทธ์ “นี่คุณยังติดต่อกับยายไอริสอยู่อีกละสิ ยายไอริสคงคอยเล่าว่าปีเตอร์เป็นสปอนเซอร์ของฉัน ปีเตอร์เลิกกับฉัน พวกคุณคงติดต่อกันทุกวันทุกเวลาละสิ ถึงได้…”

“อ้าว…นี่มาเจอกันได้ยังไง” เสียงพานัสที่ดังขึ้นทำให้คนทั้งสองรีบเก็บอาการ

รสรินรู้แล้วว่าจะทำให้อยุทธ์โกรธได้อย่างไร หญิงสาวรีบเดินไปหาพานัสด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “นี่โรสกำลังรอนัสอยู่พอดีเลย”

แม้พานัสจะรู้สึกงงว่ารสรินรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะคิดว่านีรนุชอาจจะโทร.หารสรินก่อนเขาเดินออกมาที่สวนนี่ก็ได้ พอว่างจากงานที่บริษัท เขาก็รีบขับรถไปหาหญิงสาวทั้งสองที่ห้องเสื้อ แต่กลับเจอกับนีรนุชเพียงคนเดียว หญิงสาวบอกว่ารสรินอยู่ที่นี่ เขาจึงเดินออกมาหา

เมื่อเดินไปถึงตัวพานัส รสรินก็รีบเอามือเกาะแขนพานัสและหันมาทางอยุทธ์ “อยุทธ์…โรสว่าไอเดียที่อยุทธ์บอกโรสเมื่อตะกี้ก็ดีนะ ถ้าอยุทธ์ไม่บอก โรสก็คิดไม่ออกเหมือนกัน”

คราวนี้อยุทธ์ถลึงตามองรสรินบ้าง เธอมองเขากลับด้วยแววของความแค้นแวบหนึ่ง ก่อนจะหันกลับไปยิ้มแย้มกับพานัสเหมือนเดิม “นัส…กลับไปที่ห้องเสื้อเถอะค่ะ เดี๋ยวโรสจะลองชุดเจ้าสาว…เอ้ยไม่ใช่…ชุดเพื่อนเจ้าสาวให้นัสดู”

รสรินควงแขนพานัสเดินออกมาอย่างจงใจ อยุทธ์กับไอริสยังติดต่อกันอยู่ได้อย่างไร…แม่น้องสาวตัวดีไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเธอเลย จากความรู้สึกผิดนิดๆ ที่หนีงานหมั้นของน้องสาวมาได้กลายเป็นความสะใจ…สองคนนี้ได้ทำอะไรลับหลังเธอมากเกินไปแล้ว



Don`t copy text!