Tomorrow, Yesterday  พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 5 : 24 กุมภาพันธ์ (วันพฤหัส)…แผลจากเมื่อวาน

Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้ บทที่ 5 : 24 กุมภาพันธ์ (วันพฤหัส)…แผลจากเมื่อวาน

โดย : ภาณินี

Loading

พบกับนวนิยายรักโรแมนติก “Tomorrow, Yesterday พรุ่งนี้, เมื่อวานนี้” รางวัลชนะเลิศโครงการช่องวันอ่านเอาปีที่ ๓ โดย ภาณินี กับนวนิยายที่จะตั้งคำถามมากมายให้คุณได้ครุ่นคิด นวนิยายที่จะติดตรึงในความทรงจำของคุณตลอดกาล…

ถึงจะคิดไว้อยู่แล้วว่าจะต้องตื่นมาเจอกับเมื่อวานอีก แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกเจ็บไปทั้งตัว เหมือน…เหมือนโดนรุม…ใช่ เหมือนโดนรุม…กระทืบ ทันทีที่นึกเช่นนั้นความทรงจำก็หวนกลับมา คืนก่อนวันนี้เขาไปมีเรื่องกับพวกแก๊งวัยรุ่นและโดนรุมเสียยับ ดีที่ยังลากสังขารกลับมาบ้านได้ พ่อด่าเขาเปิดเปิง เขาปิดประตูล็อกห้องไม่ฟังเสียง แม่พยายามมาเคาะห้อง แต่เขาก็ไม่หือไม่อือ ตกดึก เขารู้ว่าเจ้าแฝดน้องมายืนลังเลๆ อยู่หน้าห้อง เขารู้ว่ามันส่งความห่วงใยอยู่หน้าประตูนั่นเอง เขาเองก็นิ่งเฉย ไม่ได้แสดงออกว่าตอบรับความห่วงใยนั้น

เช้าวันนี้ ถ้าจำไม่ผิด เขาตื่นเอาบ่าย แล้วก็ลงไปทะเลาะกับพ่อตามเคย ก่อนจะควบมอเตอร์ไซค์ออกจากบ้านไปเมาหลับที่ร้านเดิมและกลับเอาเกือบรุ่งเช้า ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะกลับบ้านเสมอ คงเพราะลึกๆ เขารู้ว่าพ่อแม่เป็นห่วง แต่ก็ไม่รู้เป็นเพราะอะไรที่ไม่สามารถพูดดีๆ ด้วยได้ มันมีความรู้สึกน้อยใจเหรอ เขาไม่ค่อยอยากจะยอมรับ แต่ก็คงใช่ เขารู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้มีสายตาสำหรับเขา ไม่ได้มีเวลาและความห่วงใยให้เขา แต่เขาก็ไม่ได้ต้องการมันหรอก เขาแค่รำคาญที่จะต้อง…เรียกร้อง หรือแสดงความอ่อนแอ

มองดูนาฬิกา 24 กุมภาพันธ์ 06.00 น. เขาตื่นเช้ากว่าปกติ ตัดสินใจลุกขึ้น แค่นี้ก็คงเปลี่ยนอะไรได้บ้าง อย่างน้อยถ้าเขาตื่นออกจากบ้านไปแต่เช้าก็คงไม่ต้องทะเลาะกับพ่อ ห้องข้างๆ ยังคงนิ่งสงบ เดินลงมาชั้นล่างของบ้าน เสียงแม่ทำอะไรกุกกักอยู่ในครัว

“ธันย์” แม่เห็นเขาแล้ว

“ตายจริงลูก เมื่อคืนไม่ได้ทำแผลใช่มั้ย มาๆ นั่งลงเดี๋ยวแม่ทำแผลให้” แม่วางของที่อยู่ในมือ มองผ่านๆ ก็รู้ว่ามันคืออะไร

“แม่ไปใส่บาตรก่อนเถอะ เดี๋ยวหลวงตาไม่รอ” แม่ลังเลแต่ก็ตอบรับ

“งั้นรอตรงนี้ เดี๋ยวแม่ใส่บาตรเสร็จจะมาทำแผลให้ แม่ทำท่าจะยกถาดเดินออกไป แล้วก็ทำหน้าแปลกใจที่เขาเอาถาดนั้นมาถือไว้เอง

“ผมไปด้วย” แม่ยิ้ม เขาเดินตามแม่ไปเงียบๆ

จีวรสีส้มสะท้อนแสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าเคลื่อนเข้ามาช้า ในใจเขาสงบอย่างประหลาด เหมือนมีเสียงระฆังดังกังวานอยู่ภายใน

ย่อตัวลงตามแม่ คอยส่งของให้แม่ใส่ในบาตรอีกที หลวงตาให้พร แผ่เมตตา ก่อนจะออกเดินไป ท่านมองตรงมาเหมือนเห็นกระแสความเมตตาที่ตั้งใจส่งมายังเขา

“มีโอกาสก็ทำให้ดีนะโยม สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ทุกอย่างมีเหตุผลของมันเสมอ” ยกมือสาธุ เหมือนท่านรู้อะไร แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากกว่านั้น

เข้าบ้าน นั่งลงให้แม่ทำแผล แม่ค่อยๆ เอาสำลีชุบน้ำซับเลือดที่แห้งกรังให้เขา แม่มือเบาจนเขาแทบไม่รู้สึก แต่ถึงอย่างนั้น แม่ก็ยังคอยถามตลอดว่าเจ็บไหม และทำหน้าเจ็บมากกว่าเขาหลายสิบเท่า เป็นความรู้สึกแปลกๆ เขาเคยชินกับภาพแม่คอยดูแลน้องมากกว่า สมัยเด็กๆ เขาชอบมาคอยล้อเลียนมันว่าเป็นลูกแหง่ติดแม่ เวลาหกล้มมีแผลเขาจะแอบไม่ให้แม่เห็นเสมอ เพราะไม่อยากให้ตัวเองดูอ่อนแอแบบนั้น แต่ยามนี้…ที่เขานั่งให้แม่ทำแผลอยู่ตอนนี้ เขากลับรู้สึกถึงความห่วงหาที่เขาหนีหายจากมันไปเนิ่นนาน

“อ้าว วรรธน์” วรวรรธ์มายืนอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เขาตกใจ เหมือนตัวเองกำลังอ้อนแม่ ความรู้สึกแวบแรกที่เกิดขึ้นคือน้องจะรู้สึกว่าเขามาแย่งแม่ไปรึเปล่า ทันทีที่ความคิดนั้นปรากฏตัวขึ้นหน้ากากแห่งความเย็นชาก็เข้าสวมทันที เขาลุกขึ้น

“ผมไปอาบน้ำก่อน” ลุกเดินจากไป เข้าห้องไปโดยไม่สบตาน้องเลยสักนิด ทำไมเขาต้องโกรธ ทำไมเขาไม่ยิ้มให้น้องชายแล้วชวนมานั่งด้วยกัน ทำไมเขาต้องคิดว่าน้องจะคิดว่าเขาแย่งแม่ หรือเขาคิดว่าน้องแย่งแม่ไปจากตัวเอง นี่เขากลายเป็นเด็กหวงแม่ไปแล้วหรือ ตลอดชีวิตไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อน หรือจริงๆ มันอยู่ตรงนี้มานานแล้ว…อย่างเงียบเชียบ เขาซุกซ่อนมันไว้โดยที่ตัวเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน

คิดได้แค่นั้นก็กระอักกระอ่วนในใจ ตัดสินใจเดินเข้าห้องน้ำ รีบๆ อาบน้ำจะได้พาตัวเองออกไปจากความอึดอัดนี้สักที

กลับออกมาจากห้องน้ำ พบคนหน้าเหมือนกันนั่งรออยู่ที่เตียง รู้สึกปั่นป่วนในช่องท้อง เหมือนมันแผ่พลังบางอย่างออกมารอบๆ พลังที่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว เขารู้จักไอ้หมอนี่ดี มันไม่ค่อยพูด แต่ถ้าพูดแล้วมันพุ่งตรงเป้าเสมอ เหมือนอย่างที่มันชูตบาสนั่นแหละ เขากลัวว่ามันจะรู้ว่าภายในใจเขารู้สึกเช่นไร เหมือนที่พยายามหลบหน้าหลบมาตลอดปีมานี้ กลัวมันจะรู้ว่าเขาน้อยใจ ว่าเขาเจ็บปวดที่มันผลักเขาออกมาจากชีวิต

“แม่ก็คือแม่ ธันย์” นั่นไง มันยิงเข้าเป้าแล้ว “แม่เป็นแม่เรา แล้วก็เป็นแม่นายด้วย นายไม่จำเป็นต้องเสียสละแม่ให้เราคนเดียว แม่อยากกอดนาย อยากดูแลนาย เหมือนที่กอดเราและดูแลเรา”

“พูดบ้าอะไรของนาย เลี่ยนว่ะ” เขาเฉไฉ

“มันคือเรื่องจริงธันย์ นายจะปฏิเสธความรู้สึกตัวเองไปทำไม นายรักแม่ เหมือนที่นายรักเหมียว”

“เดี๋ยวนะ เกี่ยวอะไรกับยายเหมียว”

“ก็นายก็พยายามที่จะเสียสละยัยเหมียวให้เราไงล่ะ”

“มันคนละเรื่องเลย”

“เรื่องเดียวกันเว้ย…นายไม่ต้องเสียสละอะไรให้เรา เพราะเราเกิดมาอ่อนแอกว่า มันไม่ใช่ความผิดของนายสักหน่อย” เขานิ่งไป ใช่…หลายครั้งที่เขารู้สึกผิด ผิดที่แข็งแรงกว่า ผิดที่ทำอะไรได้มากกว่า ทั้งๆ ที่เกิดมาพร้อมกัน โตมาด้วยกัน ทำไมถึงเป็นเขาคนเดียวที่มีสิทธิ์ใช้ชีวิตได้มากกว่า

ทุกครั้งเมื่อมองย้อนไป ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เขามักจะเลือกสิ่งที่ดีกว่าให้น้องเสมอ ไม่ได้คิดเลยว่าบางทีน้องเองก็ไม่ได้ต้องการ

“ไม่ใช่ความผิดของนายเลยธันย์ เราพอใจ และมีความสุขในแบบที่เราเป็น นายไม่ต้องเสียสละอะไรเพื่อเรา” ราวกับเรื่องนี้มันกัดกินใจกันและกันมาตลอด การเสียสละบางมีก็คงทำร้ายความรู้สึกของคนรับได้เช่นกัน

“เรารู้ว่านายรักแล้วก็ห่วงเรา แต่เราก็รักแล้วก็ห่วงนายเหมือนกัน” อย่างไม่มีมาด ไม่มีพิธีรีตองอะไร มันบอกรักเขาง่ายๆ อย่างนั้นเอง หรือมันก็ควรจะเป็นเช่นนี้ ที่ผ่านมาเขาทำให้มันยากเกินไปเองต่างหาก

“โอเค” ตอบรับง่ายๆ ยอมรับทุกอย่างโดยศิโรราบ หวังว่าสิ่งที่นี้จะเปลี่ยนอะไรได้บ้าง

 

แต่งตัวลงมาชั้นล่าง ตั้งใจจะแวะเข้าร้าน ก่อนจะตามไปดูน้องซ้อมดนตรีตอนเย็น พ่อนั่งอยู่ที่โซฟา เหมือนรอที่จะสะสางคดีความกับเขา ไม่ทันได้เตรียมใจ ไม่ทันได้ตั้งตัว

“ไง ตกลงไปทำอะไรมา ทำไมมันจะหาเรื่องกวนใจให้มันน้อยลงหน่อยไม่ได้หรือไง ทำไมต้องทำให้อะไรมันยากไปหมดด้วย”

“ผม…”

“แล้วนี่จะออกไปไหนอีก เลิกเหอะไอ้งานร้านเหล้านั่น แกจะทำให้พ่อแม่เหนื่อยใจไปถึงไหน ฮึ ธันย์ ไม่รู้ไปได้เลือดชั่วมาจากใคร ถึงได้ไม่รักดี”

“พอแล้วคุณ ลูกไม่ได้ตั้งใจ”

“ไม่ได้ตั้งใจอะไร วันๆ ก็ดีหาแต่เรื่อง หนังสือหนังหาก็ไม่เรียน สร้างแต่เรื่องเดือดเนื้อร้อนใจไม่รู้จักจบจักสิ้น ไม่รู้จะเกิดมาทำไม”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมเกิดมาทำไม” สุดท้ายเขาก็ปึงปังออกจากบ้านมาจนได้ หมดความพยายามที่จะทำทุกอย่างให้ดีขึ้นอย่างที่ตั้งใจไว้

ขับรถออกมาด้วยความโกรธ จนเกือบจะชนคนข้ามถนน โชคดีที่เบรกทัน แต่ก็คงทำให้ตกใจไม่น้อย ชิดรถเข้าข้างทาง เดินไปดู กำลังจะถามว่าเจ็บตรงไหน ก็พอดีสะดุดตากับผมสีเขียว

“นายนั่นเอง นึกว่าขี่จรวดอยู่รึไง” ไม่ใช่แค่เขาจำเธอได้ เธอก็จำเขาได้เช่นกัน

“โทษที เจ็บตรงไหนรึเปล่า” ท่าทีรับผิดง่ายๆ น้ำเสียงเจือแววสำนึกผิดนิดๆ ทำเอาชามาไปไม่เป็น ก็ปกติเขาจะเถียงห้วนๆ กวนอารมณ์หน่อยๆ ไม่เคยพูดง่ายๆ แบบนี้สักที

“ไม่เจ็บหรอก”

“จะไปไหนล่ะ ไปส่งไหม” ถ้าไม่เห็นว่าที่มือขวายังมีผ้าพันแผลอยู่ หรือถ้าผิวจะขาวกว่านี้สักนิด เธอคงคิดว่านี่ต้องเป็นวรวรรธน์แน่ๆ แต่เธอก็เชื่อว่าเธอจำไม่ผิด ไม่ใช่แค่ภายนอก แต่ด้วยมวลทั้งหมดที่แผ่ออกมา เธอมั่นใจว่าคนนี้วรธันย์ พอมองดีๆ เลยเห็นรอยฟกช้ำที่หน้า และรอยแตกที่คิ้ว

“เฮ้ย หน้านายไปโดนอะไรมาเนี่ย เมื่อวานตอนแยกกันก็ยังดีๆ อยู่เลย”

“เมื่อวานที่เราเจอกัน มันคือพรุ่งนี้รึเปล่า”

“เออ นั่นสิ แปลว่า…นี่โดนก่อนที่เราจะเจอกันเมื่อวาน เอ๊ย พรุ่งนี้ แต่ก็เมื่อวาน เออ ช่างมันเหอะ ตกลงนายไปโดนอะไรมา”

“ตกลงจะให้ไปส่งรึเปล่า” เขาถาม น้ำเสียงเริ่มห้วนเหมือนเดิม

“นายจะไปไหนล่ะ ไปด้วยได้ไหม” เขามองมาแบบชั่งใจนิดๆ ก่อนจะตอบ

“งั้นก็ขึ้นมา” แล้วเธอก็กระโดดขึ้นซ้อนรถเขา ง่ายๆ อย่างนั้นเอง

 

เย็นวันนั้นกุลญาดาไม่เห็นวรธันย์กับชามามาดูที่ซ้อมดนตรีเหมือนเช่นเคย เหมือนอะไรบางอย่างขาดหายไป นั่งรออยู่นานจนรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง เดินตรงไปหาเพื่อนร่วมวงของแก้วขวัญ เอ่ยปากถามทั้งๆ ที่รู้ว่าคนถูกถามคงสงสัย ในเมื่อทุกคนเข้าใจว่านี่เป็นการเจอกันครั้งแรก และเธอก็ไม่ได้รู้จักทั้งชามาและวรธันย์มาก่อน

“เอ่อ จูลี่คะ วันนี้ชามาไม่มาเหรอะคะ”

“เอ๋…ยัยมาน่ะเหรอ ออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า แล้วเขาก็ไม่ได้มาดูฉันซ้อมดนตรีนานมากแล้วนะ คงไม่มาหรอกค่ะ คุณกุลรู้จักยัยมาด้วยเหรอคะ” เจอย้อนถามมาแบบนี้ กุลญาดาเลยจำต้องโกหก

“เอ่อ เคยเจอกันน่ะค่ะ แกเล่าให้ฟังว่าเป็นหลานของคุณ”

“งั้นเหรอะคะ” เมื่อถามถึงชามาไม่ได้เรื่อง เธอจึงหันไปหาเด็กหนุ่ม

“เอ่อ แล้ววรรธน์พอจะรู้ไหม ทำไมวันนี้ธันย์เขาไม่มา”

“ยังไงนะฮะ”

“ธันย์ พี่ชายฝาแฝดเธอน่ะ เขาจะมาไหม”

“ไม่นะฮะ เขาไม่เคยมา ป่านนี้คงไปทำงานอยู่ฮะ”

“ทำงาน?”

“ครับ เขาทำงานอยู่ที่ผับ”

“เธอรู้ไหมว่าอยู่ที่ไหน”

“รู้ฮะ”

“ช่วยบอกทางไปให้หน่อยสิ” เขาค้นในมือถืออย่างงงๆ อยู่สักครู่ ก่อนจะเปิดให้เธอดู มองดูแผนที่แล้วไม่ไกลจากที่นี่มากนัก อยู่ๆ ก็รู้สึกเป็นห่วงเด็กสองคนนั้นขึ้นมา ตัดสินใจทำในสิ่งที่คงทำให้คนอื่นๆ ยิ่งงงหนักไปอีก

“กร กุลไปธุระแป๊บนะ เจอกันที่คอนโดเลย” จากนั้นจึงหันไปกอดแก้วขวัญ “เจอกันที่คอนโดนะลูก เดี๋ยวคืนนี้แม่พาเข้านอน”

เธอเรียกแท็กซี่ไปตามแผนที่ที่วรวรรธน์ให้ไว้ ท่ามกลางสายตางุนงงสงสัยของคนทั้งสี่

 

มาถึง...มันเป็นร้านเล็กๆ ตึกแถวขนาดหนึ่งห้อง ห้องริมสุด ซ่อนตัวอยู่ในดงผับบาร์มากมาย ประตูกระจกสีชารอบร้านถูกปิดไว้หมด เปิดประตูเข้าไปภายในร้าน พบเคาน์เตอร์บาร์ดักอยู่ด้านหน้า และทอดตัวยาวเข้าไปให้คนนั่งดื่มที่บาร์ได้ 5-6 คน มองเข้าไปข้างในมีโต๊ะนั่งอยู่ไม่กี่โต๊ะ ไม่มีใครสักคนอยู่ในร้าน คงยังไม่ถึงเวลาของนักเริงราตรี

เก้ๆ กังๆ อยู่ตรงหน้าบาร์ แล้วใครคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหลังร้าน

“พี่เอ” หนุ่มผมยาวมาดเซอร์ อดีตบาร์เทนเดอร์ประจำร้านที่เธอเคยทำงานอยู่นั่นเอง แม้ไม่สนิท แต่อาทิตย์ก็เป็นอีกคนที่ไม่ได้ซุบซิบนินทาเธอลับหลัง และพูดคุยกับเธอด้วยความจริงใจ

“เฮ้ย…ไอ้กุล” ใช่ เขาเป็นคนเดียวที่เรียกเธอว่า ‘ไอ้กุล’ “มาได้ไงวะเนี่ย”

“นี่ร้านพี่เอเหรอคะ”

“ใช่”

เมื่อพูดคุยสอบถามกันถึงได้รู้ว่า อาทิตย์ออกจากร้านของต่อภพหลังจากเธอไม่นาน เขามาเปิดบาร์เล็กๆ ของตัวเอง พร้อมทำงานโฆษณาไปด้วย

“ไม่ใช่แค่กุลหรอกนะที่โดนแบบนั้น พี่โดนมันทำแบบนั้นมานานแล้ว แต่พี่ยอมเพราะคิดว่าเรามันโนเนม แต่พอเห็นกุลไม่ยอม พี่ก็คิดได้ ทำไมกูโง่ยอมให้มันหลอกใช้อยู่ได้ตั้งนานวะ พอออกมาถึงรู้ว่าแม่ง เราทำอะไรได้ตั้งเยอะ ถึงไม่รวย ไม่โด่งดังเท่ามัน แต่ก็มีเส้นทางของตัวเอง”

“กุลรู้ว่าไอเดียที่ร้านนั้นหลายๆ อย่างก็เป็นของพี่เอ” ยิ่งเห็นรายละเอียดที่อยู่ในร้านนี้ ความเป็นอาทิตย์ก็ยิ่งเปิดเผยออกมาอย่างมีเสน่ห์

“หึๆ แต่มันก็เคลมเป็นของตัวเองหมด” ที่เจ็บใจยิ่งกว่าคือตอนนี้เหมือนชื่อเสียง และร้านของต่อภพก็ยังโด่งดังและขยายออกเรื่อยๆ คนเลวๆ ยังคงเติบโตและได้ดีในโลกใบนี้

ก่อนหน้านี้กุลญาดายังคงเจ็บปวดที่เห็นต่อภพลอยหน้าลอยตาออกสื่อ เป็นแรงผลักให้เธออยากทำงานให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และแทบจะพังทลายเมื่อจู่ๆ ต่อภพก็จะมาแย่งงานที่เธอทุ่มเทมาเกือบสิบปี แต่ในยามนี้เธอกลับไม่รู้สึกอะไรอีกแล้ว เมื่องานไม่ได้มีความหมายอะไรกับเธออีก ชื่อเสียง การยอมรับ ไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการอีกแล้วในตอนนี้ ความขุ่นเคือง ความแค้นโกรธก็หายไป เพิ่งตระหนักชัดเจนในยามนี้เอง ทุกอย่างวางลงแล้ว ไม่จำเป็นต้องแบกอีกต่อไปแล้ว ทั้งความโกรธ ความคาดหวัง ความทะเยอทะยานต่างๆ ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตอีกต่อไป

“แต่ลูกมันชอบมานั่งร้านพี่นะ”

“ลูกพี่ต่อน่ะเหรอคะ”

“ใช่ วัยกำลังซ่าเลย ชอบมีเรื่องมีราวบ่อยๆ ท่าทางจะเล่นยาด้วย พี่กำลังจับตาดูมันอยู่ มีหลักฐานเมื่อไร พี่เล่นมันแน่” ฟังแล้วก็สะท้อนใจ ทุกอย่างทุกผู้คนคงมีที่ทางของมันเอง

“เออ พี่เห็นกุลในสื่ออยู่บ้างนะ ประสบความสำเร็จแล้วนี่ ทำการตลาดให้ห้างนั้นใช่ไหม เจ๋งว่ะ” เธอแค่ยิ้มแกนๆ ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ อยู่ๆ ก็ไม่นึกอยากพูดถึงมันอีก อาทิตย์เลยไม่ถามถึงงานต่อ

“แล้วตกลงกุลมาทำอะไรที่นี่ อย่าบอกนะว่ามาหาพี่”

“กุลมาตามหาคน”

“ใคร” จบคำถามนั้นคนถูกถามก็โผล่ออกมาจากหลังร้านพอดี ทั้งสองคน

“พี่กุล! มาได้ไง!”

“มาตามหาไอ้ธันย์เนี่ยนะ”

“ใช่ค่ะ”

“ที่แท้ธันย์ก็ทำงานอยู่ร้านพี่เอนี่เอง”

วรธันย์ทำงานที่นี่ตั้งแต่วันที่ทะเลาะกับวรวรธ์เมื่อปีก่อน แล้วเตลิดออกจากบ้านมาเมาพับอยู่ร้านนี้ตั้งแต่เย็น ทั้งที่ไม่มีเงินสักบาท

‘ไง’ เจ้าของร้านทัก เมื่อเห็นเขาสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาตอนดึกแล้ว

‘ผมไม่มีเงิน’

‘อ้าว ไอ้นี่ จะกินฟรีรึไงวะ’

‘เปล่านะพี่ ผมลืมเอาเงินมา ผมไม่เบี้ยวพี่หรอก ผมเอามาจ่ายวันหลังได้ไหมพี่’

‘ไม่ได้เว้ย กูจะไปตามตัวมึงที่ไหน’

‘ผมไม่เบี้ยวจริงๆ พี่รับรอง’

‘ไม่ได้ มึงต้องจ่ายกูตอนนี้ เดี๋ยวนี้’

‘ก็ผมไม่มี พี่จะให้ผมทำไง’

‘ไม่มีเงินก็ต้องทำงานใช้เว้ย’ อาทิตย์โยนงานให้เขา เริ่มต้นด้วยการล้างแก้ว ล้างจาน แล้วยิ่งดึกลูกค้าก็เยอะขึ้นทุกที จนเขาต้องวิ่งวุ่นเสิร์ฟเครื่องดื่มจนขาขวิด กว่าจะรู้ตัวก็อยู่จนถึงเวลาปิดร้าน

‘อะ เงินทอน’ ธนบัตรใบละร้อยถูกยื่นมาให้ ‘เบียร์ 4 ขวด 400 ทำงานถึงปิดร้าน กูให้ 500 เลย ทอน 100 บาท’

‘ขอบคุณครับพี่’ เขารับเงินมาด้วยความรู้สึกแสนแปลก เป็นครั้งแรกที่หาเงินเองได้

‘ทำงานดีนี่หว่า ถ้ามีเวลามาอีก กูจ้างมึง คืนละ 500 อายุเท่าไรแล้ว’

‘18’

‘ดี กูจะได้ไม่ติดคุกฐานใช้แรงงานเด็ก’

เรื่องเริ่มต้นง่ายๆ อย่างนั้น และลากยาวมาจนถึงวันนี้ ที่นี่ไม่ใช่แค่ที่ทำงาน แต่เหมือนที่พักใจเวลาที่ไม่รู้จะจัดการอย่างไรดีกับชีวิต

 

สามคนนั่งอยู่ตรงนั้น เก้าอี้โต๊ะกลม ตรงมุมสุดของห้อง ฟ้ามืดแล้ว ไฟในร้านสลัวราง เสียงเพลงบลูบรรเลงแผ่วเบา

เมื่อเท้าความว่าใครเป็นใครมาอย่างไรกันแล้ว เธอเลยขอเด็กสองคนมานั่งเพื่อพูดคุยทำความเข้าใจกัน กุลญาดามองหน้าเด็กหนุ่มที่มีรอยฟกช้ำดำเขียว และรอยแตกที่คิ้ว

“เกิดอะไรขึ้นธันย์ ไปโดนอะไรมา”

“ไม่มีอะไรพี่กุล เรื่องของอดีตน่ะ” เป็นชามาที่ตอบ   “ธันย์เขาโดนตีเมื่อวานน่ะค่ะ เมื่อวานที่เป็นเมื่อวานจริงๆ นะคะ ไม่ใช่พรุ่งนี้” กุลญาดาพยักหน้าเข้าใจ หากก็ยังมองรอยแผลนั้นด้วยความกังวล

“แล้วทำไมถึงมาอยู่กันที่นี่ ทำไมไม่ไปเจอกันที่โรงเรียนสอนดนตรี” ถามออกไปแล้วก็รู้สึกแปลกๆ เธอมีสิทธิ์อะไรมาคาดคั้นเด็กสองคนนี้กันนะ ก็ในเมื่อไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ได้เคยนัดหมายอะไรกันไว้ ก็แค่คนที่บังเอิญต้องเผชิญชะตากรรมเดียวกันเท่านั้นเอง

“พอดีธันย์เขามีเรื่องไม่สบายใจน่ะค่ะ”

“เราเหรอ เธอต่างหาก” วรธันย์แย้ง

“ก็เราทั้งคู่นั่นแหละ”

“งั้นก็เล่ามาทั้งสองคน”

เขาบอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ที่มีคนมานั่งซักไซ้ไล่เลียง คนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่เพื่อน เป็นแค่คนแปลกหน้าเสียด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้ก็เหมือนจะมีแค่คนแปลกหน้าสองคนนี้เท่านั้นที่เข้าใจเขามากที่สุด

“ก็แค่เบื่อๆ ทะเลาะกับพ่อแต่เช้า” วรธันย์ตอบง่ายๆ “ตอนแรกก็ตั้งใจอยากจะเคลียร์กับพ่อให้เข้าใจ แต่พอรู้ว่าพรุ่งนี้ก็ต้องตื่นมาเจอแบบเดิม ทะเลาะกันแบบเดิมอีก ก็ไม่รู้จะอธิบายไปทำไม”

กุลญาดานิ่งฟัง เข้าใจว่าวรธันย์คงดื่มไปบ้างแล้ว ถึงได้พรั่งพรูออกมา ไม่ปากหนักเหมือนทุกที เธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกันนัก ทุกครั้งที่ลูกกระโดดตัวลอยที่เห็นเธอลางานและมีเวลาให้ ยิ่งลูกดีใจแค่ไหนก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าทุกครั้งที่เธอปฏิเสธ ลูกเสียใจแค่ไหน…

ชามาเองก็ปวดหนึบในหัวใจเช่นกัน วันนี้สถานการณ์ของเธอกับแม่ก็แย่พอๆ กัน

เมื่อเช้าแม่มาหายายพร้อมชายแปลกหน้า เขาดูอายุน้อยกว่าแม่ เธอกำลังจะออกจากบ้านตอนที่เจอเขาสองคนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ ความตั้งใจที่จะทำดีกับแม่ให้มากขึ้นหล่นหายไปในวินาทีนั้นเอง ตอนที่ตื่นมาเธอนึกไม่ออกว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ทันทีที่เห็นภาพนั้น ความทรงจำก็ย้อนมา วันนั้นเธอปาของลงบนพื้นเสียงดังจนคนทั้งสองแยกจากกัน แล้วก็ด่าแม่สาดเสียเทเสีย ก่อนจะออกจากบ้านไป

ครั้งนี้เธอแค่เดินออกมาและปิดประตูเสียงดังๆ ความไม่พอใจยังมีอยู่ แต่ไม่ได้เดือดดาลมากมายอย่างคราวก่อน รู้หรอกว่าที่อาละวาดไปนั้นคงทำให้ยายเครียดไปหลายวัน ครั้งนี้เธอพอมีสติอยู่บ้าง แต่ก็อยากแสดงออกให้แม่รู้ว่าเธอไม่พอใจเท่านั้นเอง

ตลอดเวลาที่เติบโตมา แม้อยู่กับยายจะมีความสุขและอบอุ่น แต่ความรู้สึกที่แม่ไม่ต้องการมักวนเวียนมาในความคิดเสมอๆ ความรู้สึกไม่เป็นที่ต้องการ กัดกินหัวใจเธอโดยไม่รู้ตัว

“มาก็ไม่รู้ทำไมต้องโกรธ ก็แค่เขาไปรักคนอื่น ก็แค่เขาไม่เคยรักมา ใครสน”

กุลญาดาบีบมือชามา

“ไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกนะ จะมีก็แต่แม่แบบพี่ที่แสดงออกไม่เป็น และไม่รู้ว่าความรักสำคัญแค่ไหนเท่านั้นเอง”

สามคนเลยได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าไม่อยากหาทางออกให้กับเรื่องใดๆ อีกแล้ว…

“พี่คงต้องกลับแล้ว” กุลญาดาพูดขึ้นหลังจากที่นั่งเงียบกันไปนาน เมื่อดูนาฬิกาก็ถึงเวลาต้องพาแก้วขวัญเข้านอนแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร การที่ยังมีโอกาสดูแลคนที่ตัวเองรักก็ยังดีกว่าไม่มีโอกาสนั้นอีกเลย ในเมื่อยังหาเหตุผลอะไรไม่ได้ เธอก็จะยึดเอาเหตุผลนี้ไว้

“พี่ขออะไรอย่าง อย่างน้อยเราสามคนควรจะเกาะเกี่ยวกันไว้ อย่าหายไปเฉยๆ” วรธันย์สบตากุลญาดาก็เห็นแววตาห่วงใย นึกถึงสายตาของแม่ขึ้นมา

‘แม่ก็รักนายเหมือนที่รักเรา อยากกอดนายเหมือนที่กอดเรา’ การที่เขาออกมาแบบนี้ก็คงทำให้แม่ยิ่งเป็นห่วง เป็นครั้งแรกที่คิดในมุมนี้ ก็ทุกทีคิดแค่ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ไม่เคยคิดว่าคนอื่นจะรู้สึกอย่างไร

“ฝากธันย์ด้วยนะมา” เธอบอกก่อนจะจากไป ทิ้งให้ชามานั่งเหวอ ในใจก็คิดว่ากุลญาดาพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า ควรฝากให้นายตัวสูงโย่งนี้ดูแลเธอ มากกว่าฝากให้ผู้หญิงตัวเล็กแสนจะบอบบางดูแลเขาหรือเปล่า

กุลญาดาจากไปแล้ว เหลือเธอกับเขานั่งเงียบๆ กันสองคน ยังไม่มีลูกค้าเข้าร้าน

“เธอเคยรู้สึกไร้ค่าไหม” เขาถามขึ้นมาเฉยๆ

“บ่อยไป ทั้งชีวิตก็มีแค่จูลี่แหละที่เห็นค่าเรา” ตอบโดยไม่ต้องคิด

“ไม่น่าเชื่อ”

“ทำไม”

“ก็ดูเธอ ไม่เหมือนเด็กมีปัญหา”

“อืม ไม่รู้สิ แค่คิดว่ายิ่งรู้สึกไร้ค่า ก็ต้องหาวิธีทำให้ตัวเองมีค่า”

“ยังไง ไปเป็นอาสาสมัครทำดี ช่วยคนยากไร้งั้นเหรอ”

“แบบนั้นก็ได้นะ แต่เราไม่ถนัดอะ”

“แล้วแบบไหนที่ถนัด”

“ว่างปะล่ะ พรุ่งนี้จะพาไป”

 

ชามากลับมาถึงบ้านเมื่อดึกมากแล้ว แสงไฟในบ้านยังสว่าง ยายนั่งอยู่หน้าเปียโน บรรเลงเพลงแผ่วเบา ตั้งแต่เล็กจนโตเธอเห็นยายเล่นมันนับครั้งได้ ทุกครั้งที่เล่น จะมีความเศร้าลอยวนอยู่ในอากาศ ยายที่สดใสร่าเริง จะเศร้าเสมอเมื่ออยู่กับเปียโน เธอมารู้เอาตอนโต ว่าที่ยายเศร้าเพราะคิดถึงน้าชมดาวลูกสาวคนเล็กของยายที่จากไป น้าชมดาวเป็นนักเปียโน แต่กลับเสียชีวิตในวันที่เดินทางไปแสดง ยายคงคิดถึงทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเปียโน ยายเพิ่งกลับมาเล่นเปียโนเมื่อปีที่แล้วนั่นเอง และเสียงเปียโนของยายไม่เศร้าอีกต่อไปแล้ว มีอะไรบางอย่างทำให้เสียงเปียโนของยายเปลี่ยนไป อาจจะเป็นครูกร วรวรรธน์ หรือแก้วขวัญ ที่ทำให้ยายกลับมามีความสุขกับเสียงเปียโนอีกครั้ง

“กลับมาแล้ว” ยายหยุดเล่น เมื่อเธอเดินเข้าไปใกล้

“หิวมั้ย กินอะไรมารึยัง”

“นึกว่าจะถามว่าทำไมกลับดึก”

“โตแล้ว ไม่ถามหรอก จูเชื่อว่ามาดูแลตัวเองได้” คำพูดนั้นทำให้ต้องโน้มเข้าไปสวมกอด

“แต่จูอยากคุยเรื่องแม่” ดึงตัวออกจากอ้อมกอด คิดอยู่แล้วว่าการที่ยายอยู่รอจนดึกดื่น ต้องมีอะไรสักอย่าง “เรื่องเมื่อเช้า”

“แม่ฝากจูลี่มาบอกเหรอ”

“แม่เขาไม่ได้ฝาก แต่จูอยากเล่าให้ฟัง” ท่าทียายระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าเธอจะเดินปึงๆ จากไป ถ้าปกติเธอก็คงทำเช่นนั้น แต่ตอนนี้ เธอกลับถามออกไปง่ายๆ

“เรื่องอะไรคะ”

“ก็ผู้ชายที่มาเจอเมื่อเช้า คนที่แม่เขาพามา”

“มาไม่เห็นจะสน”

“เขาเป็นเพื่อนที่ทำงาน อัธยาศัยใจคอดี พอดีแม่เขาเห็นว่าเครื่องซักผ้าเรามันเสียงดัง แล้วเพื่อนคนนี้เขาพอซ่อมได้ ก็เลยพามาซ่อมให้ ตอนนี้ไม่ดังแล้วนะ”

“ก็ดีนี่คะ”

“เมื่อเช้าตอนที่มาลงมาเจอ เขากำลังช่วยกันอ่านคู่มืออยู่ว่าเปิดเครื่องตรงไหน” ฟังแล้วชามาก็ขำ ที่ยายต้องพยายามาอธิบายว่าแม่ทำอะไรเพื่อไม่ให้เธอเข้าใจผิด ยายที่แสนจะเปรี้ยวซ่า ที่ถ้าแม่ทำอะไรอย่างนั้นจริงๆ ยายก็คงไม่ถือสาว่าอะไร

“จูลี่ไม่ต้องพยายามอธิบายให้มาเข้าใจหรอก มาไม่ถือเรื่องพวกนี้ แม่จะทำอะไรที่ไหน ก็เป็นเรื่องของแม่”

“จูรู้ว่ามาไม่ถือ แต่แม่เขาแคร์ว่ามาจะคิดยังไง เขาห่วงความรู้สึกของมานะ” นี่เองที่ยายคงอยากจะบอก…พยักหน้ารับรู้ ทบทวนเรื่องราวในใจ ก่อนจะบอกยาย

“มารู้ค่ะ” สั้นๆ แค่นั้นก็เรียกรอยยิ้มของยายได้ ก็แค่นี้แหละที่ยายต้องการให้แม่ลูกเข้าใจกัน

จุรีพรหันกลับมาบรรเลงเพลงอีกครั้ง ชามารู้สึกได้ว่าท่วงทำนองนั้นผ่อนคลายและอบอุ่นมากขึ้น

 



Don`t copy text!