อุมาวสี บทที่ 1 : ครอบครัวฝ่ายชาย
โดย : ตรี อภิรุม
เสร็จจากการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้หลานชายคนโปรด นางมณีวงศ์ถือขันเงินใบเล็กเดินต้วมเตี้ยมขึ้นคฤหาสน์ คุณนายนุชนารถมองมารดาวัยแปดสิบสอง เวทนาจับใจ ประคองท่านนั่งโซฟาตัวเดียวกับหล่อน
“คุณแม่ร้องไห้อีกแล้ว”
หญิงสูงอายุป้ายน้ำตาเช็ดชายเสื้อ เช้าตรู่ท่านตักบาตรพระสงฆ์หกรูป มัวแต่ทำโน่นทำนี่ หลงลืม งีบหลับ เพิ่งจะกรวดน้ำตอนเย็น
“โหน่งหายสาบสูญปีครึ่งพอดี แม่เป็นต้นเหตุจ้ะ ถ้าไม่ไปรายการธรรมะทัวร์ ชมวัดวาอารามทางภาคอีสาน เหตุร้ายก็จะไม่เกิดขึ้น”
นั่นเป็นเหตุการณ์แห่งอดีต ครอบครัววงศาคณาญาติทราบตลอด คุณนายนุชนารถกำหนดให้ลูกชายตามไปดูแลคุณยายในรายการท่องเที่ยวชมวัด คณะทัวร์จัดค้างคืนที่วัดเนินเขา ทิวทัศน์สวยงาม
โหน่งหรือพิชญ์ พิจิตรา หายตัวลึกลับไร้ร่องรอย
สร้างความวิปโยคแก่ทุกคนที่เกี่ยวข้องด้วย คุณนายนุชนารถไปแจ้งความตำรวจ รวมทั้งพานางมณีวงศ์ไปหาหมอดูหลายแห่ง
พยากรณ์ต่างรูปแบบ แบ่งกว้างๆ ได้สองประเภท หนึ่ง-ถูกอุ้มฆ่า ฆาตกรรมลึกลับ ย่อยสลายศพ พลัดตกเหว สอง-ถูกลักพาตัวไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัส พลัดเข้าไปในโลกลึกลับนอกเหนือการสำรวจ สักวันหนึ่งจะกลับมาเอง
โดยสรุป ก้ำกึ่งระหว่างมรณกรรมและรอดชีวิต
“ไม่ใช่ความผิดของคุณแม่หรอกค่ะ โหน่งมีนิสัยซอกแซก ชอบสำรวจค้นคว้าหาประสบการณ์” ลูกสาวปลอบโยน “ถ้าเขาไม่แยกกลุ่มผู้อาวุโสลาดตระเวน ก็คงจะไม่หายสาบสูญ”
สาวใช้เดินเข้ามาใกล้พอสมควร ยอบกายคุกเข่า สบตาสุภาพสตรีวัยทอง
“โปรดรับโทรศัพท์จากคุณโหน่งค่ะ”
นามนั้นสร้างปฏิกิริยาชะงัด สองแม่ลูกสะดุ้ง คุณนุชนารถตะลึงเผยอปากหวอตะลึง
“โหน่งไหน”
“เขาไม่บอกรายละเอียดค่ะ แต่เร่งให้หนูตามคุณนาย”
นิสัยเจ้าระเบียบเข้มงวดทำให้หงุดหงิด หล่อนติเตียน
“ฉันสั่งแล้วใช่ไหมฮะถวิล ว่าใครโทรมาให้ถามรายละเอียดหมดจด ฉันไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระ”
“หนูคิดว่านามคุณโหน่งคุ้นเคยอยู่แล้วค่ะ”
“แล้วแกจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นลูกฉัน”
ถวิลเคยชินต่อความเข้มงวดของเจ้านาย อะไรที่ผิดขั้นตอนนิดเดียว คุณนายนุชนารถจะเฉ่งยับเยิน แถมความผิดเก่าๆ จะตามมาอีกเป็นกระบุง จัดจ้านกระทบกระเทียบเปรียบเปรยเก่ง
สิ่งที่อยู่ด้วยกันยั่งยืนคือ ส่วนใหญ่จะใจดีมีเมตตากรุณา คุณนายจัดอยู่ในประเภทผีเข้าผีออก
“เสียงคล้ายๆ คุณโหน่งค่ะ”
“ไปรับสายเถอะ นุช”
มารดาเตือน อยากจะทราบผลลัพธ์ว่าใช่หลานชายหรือเปล่า
ที่โต๊ะเล็กมุมอเนกประสงค์ คุณนายนุชนารถยกกระบอกหูโทรศัพท์ขึ้นแนบข้างแก้ม
“นั่นใครจ๊ะ”
“โหน่ง ลูกชายของคุณแม่ไงล่ะครับ”
ใช่จริงๆ น้ำเสียงห้าวทุ้มอย่างนี้จำได้ไม่พลาด บุพการีปลื้มปีติท่วมท้น เอ่ยละล่ำละลักคล้ายติดอ่าง
“แกหายต๋อมไปตั้งปีครึ่ง ไม่เคยส่งข่าวคราว รู้ไหมว่าครอบครัวระทมทุกข์แสนสาหัส คุณยายร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ใครๆ ก็คิดว่าแกเสียชีวิต”
“เรื่องมันยาวครับ อีกประมาณสองชั่วโมง ผมจะกลับถึงบ้าน เล่าเหตุการณ์ที่คุณแม่อาจไม่เชื่อ” บุตรคนที่สามเว้นระยะหน่อย “อ้อ ผมมีสิ่งที่ครอบครัวประหลาดใจด้วย”
“นั่นโหน่งโทรมาจากไหนเนี่ย เสียงจ้อกแจ้กหนวกหูแทรก”
“ในห้าง ซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นครับ”
“แน่ะ คุณยายเมียงมองข้างแม่ ท่านอยากจะคุยกับโหน่ง”
พูดแล้ว หล่อนก็ยื่นกระบอกโทรศัพท์ให้มารดา นางมณีวงศ์ถือกึ่งประคองมือไม้เย็นเฉียบ น้ำตาที่เอ่อคลอไหลพราก คร่ำครวญปนสะอึกสะอื้น
“โธ่ โหน่งหนียายที่วัดเนินเขา ไม่บอกเล่าเก้าสิบสักคำ ยายคิดว่าแกสิ้นบุญแล้ว วันนี้ก็ใส่บาตรอุทิศส่วนกุศลให้แก”
“ผมไม่ได้หนีครับ วิกฤตการณ์พิสดารบังคับ โปรดให้ผมคุยกับคุณแม่ต่อ”
เครื่องมือสื่อสารถูกส่งกลับมายังคุณนายนุชนารถ พิชญ์ถามถึงตึกหลังใหม่ที่ปลูกด้านหน้าตึกเล็กของนางมณีวงศ์ว่าเสร็จหรือยัง
“สร้างเสร็จตั้งแต่ปีมะโว้แล้วจ้ะ พี่แนนของแกพัก”
แนนคือ พีรวรรณพี่สาวคนโตของพิชญ์ วัยสามสิบสามปี ทำงานตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์บริษัทเครือข่ายมือถือ ยังเป็นโสด นิสัยช่างเลือกเป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง
“โปรดให้พี่แนนย้ายออกได้ไหมครับ ผมจะเข้าไปพักแทน”
สุภาพสตรีอาวุโสตรึกตรอง ในฐานะของลูกชายคนเล็กผู้สืบสกุล หล่อนกับสามีตั้งใจปลูกตึกขาวหลังนี้ไว้ให้ เผื่อพิชญ์แต่งงานจะได้ไม่พาภรรยาแยกไปอยู่ที่อื่น
“ได้จ้ะ แนนกับพรรคพวกยกโขยงไปเที่ยวบางแสน สมมุติว่ากลับมาล่าช้าย้ายไม่สะดวก โหน่งค้างที่ตึกใหญ่ชั่วคราวสักคืนนึง”
ชายหนุ่มรับปาก สนทนาต่อสักประเดี๋ยวก็วางสาย
คุณนายถ่ายทอดเรื่องราวสู่นางมณีวงศ์ มารดาวัยแก่หง่อมท้วงติง
“สิ่งที่ครอบครัวประหลาดใจ ฟังดูกำกวมชอบกล นุชน่าจะถามรายละเอียดโหน่ง”
“ลืมไปค่ะ มัวแต่คุยเรื่องอื่น”
ท่านเม้มริมฝีปากเหี่ยวย่น ขนตาสั้นกะพริบ โพล่งออกไป
“หรือว่าโหน่งจะพาเมียมาด้วย”
ผู้ฟังสะดุดความรู้สึกวูบ ใบหน้าเสีย สมมุติว่าเป็นเช่นนั้นจะรับได้หรือ ลูกสะใภ้เป็นใครมาจากไหนไม่รู้ ประเมินความคิดทางลบไว้ก่อน ว่าเป็นผู้หญิงชาติสกุลต่ำ ใช้เรือนร่างบำเรอสวาทผูกมัดให้ผู้ชายลุ่มหลง
“นุชชักจะกลุ้ม”
“อย่าไปคิดมันสิจ๊ะ แม่เดาเล่นๆ อาจจะไม่จริงก็ได้” มารดาแนะนำ
“เธอไม่ลองโทรตามแนน ให้รีบกลับมาย้ายข้าวของ”
จากการโทร.ผ่านเข้าโทรศัพท์มือถือ พีรวรรณตื่นเต้นดีใจที่น้องชายไม่เสียชีวิต ตอบคุณนายนุชนารถว่า ขณะนี้รถทัวร์เล็กเกือบจะเข้าเขตบางนาแล้ว ประมาณหนึ่งชั่วโมงจะถึงคฤหาสน์
O O O O
ทุกคนชุมนุมในห้องโถง ขาดไปคนเดียวคือ นายพิพัฒน์รัฐมนตรีที่ติดราชการต่างจังหวัด พีรวรรณบ่นกระปอดกระแปด
“เกือบจะสามทุ่ม โหน่งยังไม่โผล่ สงสัยใครก็ไม่ทราบมาหลอกเอาให้คุณแม่หลงเชื่อ แนนย้ายของเก้อ”
“แม่ไม่งี่เง่าขนาดนั้นหรอก” คุณนายทำท่าคล้ายจะชำเลืองค้อนลูกสาว “เสียงเหมือนกันเปี๊ยบแถมโหน่งยังคุยกับคุณยายอีกด้วย โดยหลักการถ้ามือที่สามหลอกลวงมันก็ไม่เกิดประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย”
“แนทอยากเห็นหน้าน้องสะใภ้ คาดว่าคงจะสวยพริ้ง”
พิณทิพย์ลูกสาวคนรองเปรยขึ้น ยังผลให้มารดาปราม
“เหลวไหล จริงหรือไม่จริงก็ยังไม่รู้ชัด แค่คำคาดคะเนกว้างๆ โหน่งมาเดี่ยวน่ะแหละ ดีที่สุด”
นางมณีวงศ์ปรารภว่า หากความหวังล้มเหลว คืนนี้ท่านคงจะนอนไม่หลับ พีรวรรณลุกไปเปิดรายการช่องเคเบิลทีวีฆ่าเวลา
ชั่วครู่ผ่านไป ถวิลเข้ามารายงานอย่างตื่นเต้นระคนปลาบปลื้ม
“คุณโหน่งมาถึงแล้วค่ะ หิ้วของสองมือพะรุงพะรังเชียว”
“คนเดียวเรอะ”
สุภาพสตรีวัยทองยิงคำถาม เท่ากับแทนใจมารดาและลูกสาวสองคนที่อยากรู้ข้อมูล สาวใช้แจ้งรายละเอียดทุกขั้นตอน
“เด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มตามหลังคุณโหน่ง หนูช่วยหิ้วถุงไปส่งที่ตึกขาว เปิดไฟให้สองดวงค่ะ”
พิณทิพย์ลุกขึ้นเตรียมจะลงจากคฤหาสน์ คุณนายนุชนารถอ่านเจตนารมณ์ออก ดักคอ
“อย่าไปซักไซ้ไล่เลียงโหน่งมากนัก เดี๋ยวเขาจะหาว่าพอมาถึงก็ตกเป็นจำเลย”
หล่อนชวนพี่สาวร่วมด้วย แต่พีรวรรณปฏิเสธ อ้างว่าจะอยู่เป็นเพื่อนบุพการีทั้งสอง
ตึกขาวปลูกเด่น หากยังเป็นรองคฤหาสน์หรือตึกประธาน ด้านหน้าแปลงไม้ดอกไม้ประดับสวยงามร่มเย็น พิณทิพย์ก้าวเหยียบขั้นบันไดหินอ่อน
“โหน่ง!”
พิชญ์โผล่ออกมาเกือบจะทันที พนมมือไหว้พี่สาวคนรอง
“สวัสดีครับ พี่แนท”
“อือม์ สวัสดีจ้ะ” พิณทิพย์พยักหน้าเนิบ “หายหน้าหายตาไปตั้งปีครึ่งไม่ส่งข่าวคราวถึงกันบ้างเลย รู้ไหมว่าครอบครัววิตกทุกข์ร้อน คุณแม่คุณยายร้องไห้แทบจะไม่เว้นแต่ละวัน”
“เรื่องมันยาวซับซ้อนครับ” น้องชายสุดหล่อยิ้มเจื่อน “ผมไม่แน่ใจว่าเล่าสามวันสามคืนจะจบหรือเปล่า”
“ขนาดนั้นเชียว เอ๊ะ! พี่เห็นใครแวบๆ อยู่ในตึก”
“อ๋อ แฟนผมเอง” เปล่งเสียงดังขึ้นหน่อย “น้องอุ”
ดรุณีร่างงามระหงเคลื่อนกายออกมาจากประตู เมื่อพิชญ์แนะนำให้รู้จักพิณทิพย์ อุมาวสีก็ยอบกายประนมมืออย่างนอบน้อม พี่สาวรับไหว้ พลางว่า
“ทุกคนรอนายอยู่ที่ตึกประธาน ขาดคุณพ่อคนเดียวไปราชการต่างจังหวัด โหน่งรู้ข่าวคืบหน้าเกี่ยวกับคุณพ่อบ้างไหม”
“ไม่รู้ครับ”
“หลังจากเกษียณอายุราชการในตำแหน่งปลัดกระทรวง ท่านได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี เอาละ เดี๋ยวโหน่งไปพบครอบครัว”
พี่สาวก้าวฉับๆ ไปตามทางเท้าอ้อมสนาม ขึ้นคฤหาสน์ ทุกคนมองพิณทิพย์ตาเป๋ง หน่วยสอดแนมรายงานผลสำรวจ
“เจอแฟนโหน่งแล้วค่ะ เด็กสาวคาดว่าอายุยังไม่ถึงยี่สิบ สวยพริ้งระดับนางงาม ไว้ผมยาวประบ่า แต่แต่งกายบ้านน้อก-บ้านนอก ไม่รู้ว่าโหน่งไปขุดเอามาจากไหน”
เกิดปฏิกิริยากันทุกคน คุณนายนุชนารถออกอาการมากที่สุด ยกมือทาบเหนือทรวงอก
“ต๊าย ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนโลกทั้งใบของโหน่ง ลืมครอบครัว ขาดการติดต่อตั้งปีครึ่ง”
“คิดอย่างนั้นเท่ากับปรักปรำ” นางมณีวงศ์ทักท้วง “เรายังไม่รู้ข้อเท็จจริง”
“เธอชื่ออุมาวสี”
“โหน่งเคยตั้งเป้าหมายว่า จะแต่งงานตอนอายุสามสิบเศษ” สุภาพสตรีเจ้ายศเจ้าระเบียบทบทวนความทรงจำ “แต่พอมาเจอแม่คนนี้คว้าติดหมับ เสน่ห์แรงเหลือเกิน”
“ไม่ต้องสงสัยค่ะ คุณแม่” พิณทิพย์ยืนยัน “โหน่งเรียกแฟนว่าน้องอุ”
เสียงฝีเท้าเดินขึ้นเฉลียงหินอ่อน ทุกคนต่างเงียบโดยอัตโนมัติ เพ่งมองไปทางประตูเป็นจุดเดียว
นั่นปะไร!
พิชญ์เคียงคู่อุมาวสี ผู้ชายหล่อ ผู้หญิงสวย เหมาะสมกันราวกิ่งทองกับใบหยก
เมื่อเข้ามาใกล้พอสมควร ทั้งสองทรุดกายนั่งที่พื้น ก้มกราบคุณนายนุชนารถกับนางมณีวงศ์ สำหรับพี่สาวสองคนไหว้ธรรมดา
มารดาดึงลูกชายคนเล็กขึ้นมาสวมกอด ลูบหลัง เอ่ยเสียงเครือ
“แม่เสียขวัญกระเจิดกระเจิง ตั้งหลายเดือนกว่าจะตั้งหลักปลงตก”
“ผมพลัดเข้าไปอยู่ในสถานที่ เปรียบได้ว่าเมืองลับแลครับ ไม่สามารถสื่อสารติดต่อกับโลกภายนอก”
“เมืองลับแล แม่เคยได้ยินแต่ในตำนาน หรือนิทานที่คนสมัยเก่าเล่าขานจากปากต่อปาก”
“มีจริงครับ ชื่อหิมพาลัยนคร สิ่งมหัศจรรย์เหลือเชื่อเพียบ บรรยายไม่หมด” พิชญ์ยืนยันจากประสบการณ์ “ผมตั้งใจว่าจะพิมพ์คอมพิวเตอร์ออกมาให้ทุกคนอ่านเป็นเล่ม ใช้กระดาษเอสี่สามร้อยกว่าแผ่นคงจะจบ”
“เอ๊ะ ข้อมือโหน่งผูกสายสิญจน์สองเส้น เหลืองกับขาว”
“พ่อแม่ของอุมาวสีรับขวัญผมเป็นเขย”
วาจานั้นสร้างความรู้สึกประหลาดใจแก่ผู้ฟัง สร้างจินตนาการต่างๆ นานา ไม่พ้นอุมาวสีมาจากชุมชนป่าเถื่อน แสงสีของอารยธรรมส่องไปไม่ถึง
หญิงสูงอายุยื่นมือเหี่ยว พิชญ์ขยับเข้าหา สวมกอดบุพการี นางมณีวงศ์ลูบหัว ยิ้มปลาบปลื้มทั้งที่น้ำตาฉ่ำ
“โหน่งอย่าหนียายไปอีกนะลูก”
“ตอนนั้นผมยังไม่ได้หนีนะครับ พลัดลงไปในอุโมงค์เหวที่มีกระแสดึงดูดมหาศาล ถ้าน้องอุไม่อุปการะเลี้ยงดู ผมคงไม่รอดชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้”
“แต่งงานนานหรือยังเนี่ย”
“เพิ่งจะสามวันครับ ใช้เวลาพิสูจน์ความรักของผมปีครึ่ง น้องอุจึงยินยอม”
ทั้งสองลุกขึ้นนั่งเก้าอี้นวม อุมาวสีขวยเขิน มองมือของตนที่วางบนตัก คุณนายนุชนารถทำหน้าที่นายทะเบียน
“เธออายุเท่าไหร่จ๊ะ”
“ขณะนี้สิบเก้าค่ะ”
เด็กสาวตอบตะกุกตะกัก ผมยาวดำสนิทเคลียไหล่เสริมความงามอันเป็นเอกลักษณ์ของหล่อน นึกต่อในใจว่า ณ หิมพาลัย อายุเก้าสิบเอ็ด
“อ่อนกว่าโหน่งสิบปี” มารดาสามีพยักหน้าเนิบ “อุนามสกุลอะไรจ๊ะ”
ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกอึดอัดกระสับกระส่ายลึกๆ พิชญ์อ่านใจออก ขัดจังหวะขึ้น
“ภรรยาก็ใช้นามสกุลสามีสิครับ คุณแม่”
“แม่ถามอุจ้ะ ไม่ได้ถามโหน่ง”
บุตรชายชะงัก ยิ้มเจื่อน ชักเป็นห่วงภรรยาสาวสวย
“ประชากรของหิมพาลัยประมาณสองแสนคน พวกเราไม่นิยมใช้นามสกุลค่ะ”
“แปลก แตกต่างกับทุกประเทศในโลก”
“อุใช้ ลอเย”
สีหน้าคุณนายนุชนารถเกือบจะซ่อนความรังเกียจเดียดฉันท์ไม่มิด ขณะที่พีรวรรณลอบสบตาน้องสาวแวบหนึ่ง สายตาดูถูกดูแคลนรับกัน
“ลอเยแปลว่าอะไรจ๊ะ”
“ภาษาพื้นเมืองแปลว่า ศักดิ์สิทธิ์ค่ะ”
นางมณีวงศ์เกรงว่า จะเป็นการสร้างความอิดหนาระอาใจแก่พิชญ์ จนกระทั่งพาภรรยาวัยรุ่นแยกไปอยู่ที่อื่นจึงเปลี่ยนเรื่องตัดบท
“กินข้าวมาหรือยัง”
“เรียบร้อยครับ”
“พรุ่งนี้เช้าโหน่งพาแฟนขึ้นมากินข้าวร่วมโต๊ะกับครอบครัวบนตึกนะจ๊ะ”
หลานชายตรึกตรอง มีความไม่เหมาะสมหลายประการ ยิ่งกว่านั้นญาติทางฝ่ายตนอาจจะกระทบกระเทียบเปรียบเปรยสะใภ้พลัดถิ่น
“ผมแยกทานต่างหากที่ตึกขาวดีกว่าครับ อุทานอาหารไม่เหมือนพวกเรา”
มารดาเผลอทำตาโต ห่อริมฝีปาก แต่แล้วก็รีบเปลี่ยนเป็นปกติ ฉุกคิดว่าศรีสะใภ้อาจจะกินอาหารจำพวก กิ้งกือ ไส้เดือน แมลงบางชนิด ปลาร้าอ่อนเกลือหนอนคลั่ก ลูกชายอธิบายเพิ่มเติม
“อาหารของเธอใกล้เคียงมังสวิรัติ เน้นถั่ว ผัก ธัญพืชเป็นพื้น ไม่มีเนื้อวัว หมู เป็ด ไก่ ผมจะสั่งแม่ครัวปรุงพิเศษ ถ้าไม่สะดวกเราก็จะปรุงเอง”
“อ้อ งั้นหรอกรึ”
“ผมจะขึ้นข้างบน เก็บเสื้อผ้าของใช้ส่วนตัว”
กล่าวจบ เขาก็ชวนอุมาวสีขึ้นบันไดตึก พี่น้องสองสาวชำเลืองมองตามหลัง พีรวรรณพลั้งปาก
“เดี๋ยวจะไปสังเกตการณ์ลอเยสักหน่อย”
พิณทิพย์ป้องปากหัวเราะ กรณีพี่สาวเรียกชื่อสกุลแทนชื่อต้น คุณนายนุชนารถปราม นัยน์ตาดุ
“ระวัง เผื่อเขาได้ยินจะหาว่าเราดูถูกเหยียดหยาม”
“เรียกกันส่วนตัวค่ะ คุณแม่ ลอเยจำง่ายกว่าอุมาวสี”
เพียงชั่วครู่ พีรวรรณก็จรดปลายเท้าย่องขึ้นบันไดเงียบเชียบ ผ่านโถงทางเดินที่สะอาดเอี่ยม ไม้ปาร์เกต์เงาแผล็บ เครื่องเรือนสมัยเก่าที่ทรงคุณค่า
ประตูห้องน้องชายเปิดแง้ม แม้กระนั้นหญิงสาวก็เคาะก๊อกๆ โดยมารยาท ก่อนปรากฏตัว
“โอ้โห รื้อเสื้อผ้ากระจุยกระจายเชียวจ้ะ”
“เลือกเฉพาะเท่าที่จำเป็น พี่แนน” พิชญ์ที่ยืนเคียงอุมาวสีตอบ “อื่นๆ เอาไว้ทยอยขนวันหลัง”
บนโต๊ะวางสมุดบัญชีธนาคาร บัตรเครดิต บัตรเอทีเอ็ม ฯลฯ พี่สาวดักคอ
“โหน่งหายไปปีครึ่งเท่ากับตกงานถังแตก เตรียมถอนเงินใช่ไหมจ๊ะ”
“เปล่า พี่แนน พรุ่งนี้ผมจะไปฝาก”
สาวสวยเลิกคิ้วโก่ง สีหน้าอัศจรรย์คล้ายเห็นสุนัขตกลูกเป็นลิง
“ไปเอาเงินมาจากไหนล่ะ ไหนว่าโหน่งพลัดไปอยู่ต่างภพ ดินแดนที่ด้อยพัฒนาสุดๆ”
“ตรงกันข้ามครับ ทรัพยากรทางธรรมชาติเพียบ ไม่นับทรัพยากรมนุษย์ ผมเอาแง่งขมิ้นทองคำมาขายได้เงินหลายแสน”
“งั้นก็ไปขนมาอีกหลายๆ ระลอก โหน่งจะได้เป็นอภิมหาเศรษฐีติดอันดับโลก”
“ยากที่ผมจะอธิบายจำกัดความ เอาเป็นว่า มันเป็นโอกาสครั้งเดียวในชีวิต ขณะที่เราไม่โลภ” น้องชายตอบชัดเจน “รอให้ผมพิมพ์เรื่องหิมพาลัยเสร็จเสียก่อน พี่แนนอ่านแล้วจะเข้าใจถ่องแท้”
พีรวรรณกลับลงไปชั้นล่าง เล่าความสู่ครอบครัว ต่างซุบซิบวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่ทางลบ
เมื่อสองหนุ่มสาวลงบันไดจึงเงียบเสีย พิชญ์หิ้วของพะรุงพะรัง อุมาวสีถือเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งพาดแขน
“โหน่ง”
บุตรชายชะงัก ประสานตาผู้บังเกิดเกล้า คุณนายนุชนารถแจกแจงส่วนที่ข้องจิต
“ถ้าแกจะประกอบมิจฉาชีพเช่นค้ายาบ้าละก็ นึกถึงคุณพ่อไว้บ้าง ท่านเป็นรัฐมนตรี”
พิชญ์รู้ทันทีว่า เกิดจากการเล่าความของพี่สาว เอาไปขยายต่อเติมตามใจชอบ
“ผมยังไม่ได้ประกอบอาชีพใดๆ ทั้งสิ้นครับ คุณแม่ และขอรับรองด้วยเกียรติยศของลูกผู้ชายว่า ผมจะทำงานสุจริต ประกอบสัมมาชีพ”
สองสามีภรรยาพากันลงจากคฤหาสน์ อุมาวสีสงบเงียบ ด้วยพลังจิตสัมผัสกระแสต่อต้านรังเกียจที่มาจากครอบครัวพิชญ์ คนที่กระแสอ่อนจางได้แก่นางมณีวงศ์