วิมานใยบัว ภาคต้น “วาดวิมาน” ๑ : บ้านบริรักษ์เวชการ
โดย : เนียรปาตี
วิมานใยบัว โดย เนียรปาตี นิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวของบัวเกี๋ยงจากกลิ่นกาสะลอง บัดนี้เธอเติบใหญ่และต้องเผชิญกับชะตาชีวิตที่ยากลำบาก ในวันเวลาที่หมอส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย บัวเกี๋ยงจะสามารถทำความฝันของเธอให้เป็นจริงได้หรือไม่ ไหนจะเรื่องเรียนและเรื่องหัวใจ วิมานของเธอจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร
“บัวเกี๋ยง!”
“คุณพัด!”
สองเสียงเรียกสลับกันไปมาหาสองสาวที่คุณแม่อธิการตามไปพบเพื่อแจ้งเรื่องสำคัญ แต่หาจนทั่วทั้งโรงอาหาร ตึกเรียน ตึกนอน ก็ไม่พบ ซิสเตอร์สาวหันมาสบตากันเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างโดยไม่ต้องเอ่ยออกมา แล้วก็ตั้งหน้าวิ่งไปข้างตึกอันร่มครึ้มด้วยร่มเงาไม้ใหญ่
เป็นไปดังคิด เด็กสาวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่บนพื้น ทว่าแหงนหน้ามองขึ้นไปเบื้องบน ชี้ชวนและส่งเสียงเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังทรงตัวบนกิ่งไม้ ซิสเตอร์สองคนจึงมองตาม
“คุณพัด!”
เสียงร้องดังทำให้ ‘คุณพัด’ หรือศุภางค์ บริรักษ์เวชการ ตกใจเสียการทรงตัว เกือบจะพลัดร่วงลงมา ทว่าก็ยังยึดเหนี่ยวกิ่งแข็งแรงไว้ได้ เสียงวี้ดว้ายดังขึ้น ครั้นมั่นใจว่าไม่ร่วงแน่ แม่ชีสาวจึงถามคนที่อยู่ข้างล่างว่า
“คุณพัดขึ้นไปทำอะไรบนนั้น ปีนป่ายต้นไม้อย่างกับลิงค่าง”
“งูค่ะ งูมันจะกินลูกนก คุณพัดเลยขึ้นไปช่วย”
“ไปช่วยยังไง สูงขนาดนั้น” ซิสเตอร์สาวสงสัย นักเรียนจึงอธิบายต่อ
“งูมันจะเลื้อยไปที่รังนก คุณพัดกับบัวเกี๋ยงเห็นเข้าก่อน คุณพัดจึงปีนขึ้นไปไล่งู ยังไม่ทันลงมา ซิสเตอร์ก็มาถึงนี่ละค่ะ”
“แล้วบัวเกี๋ยงอยู่ไหน?” ซิสเตอร์อีกคนในชุดนางชีกวาดสายตาแลหาก็ไม่พบ ตั้งท่าจะบ่นชุดใหม่ อะไรอย่างหนึ่งก็ยื่นเข้ามาตรงหน้า เห็นชัดกับตาว่ามันเป็นงูเขียวตัวเล็กที่บัวเกี๋ยงจับคอบีบไว้มั่น ทว่าลำตัวยังพันอยู่กับแขนขาวผ่อง
“หนูไปจับงูมาค่ะ นี่ไงคะ ตัวที่มันจะเลื้อยไปกินลูกนก”
กรี๊ด!
เสียงร้องดังขึ้นพร้อมกัน แล้วทั้งซิสเตอร์ทั้งเพื่อนก็แตกกระเจิงกันไปคนละทิศ บัวเกี๋ยงหัวเราะอย่างชอบใจ ศุภางค์ไต่ลงมาถึงพื้น วิ่งเข้ามาหาเพื่อนสนิท
“พวกนั้นวิ่งหนีอะไรกัน?”
“มันหนีเจ้านี่” บัวเกี๋ยงยื่นงูที่พันแขนให้ศุภางค์ดู หล่อนก็หัวเราะคิกคัก
“มิน่าล่ะ แตกพ่ายกันไปไม่รู้ทิศ” พิจารณาแล้วก็ว่า “มันงูเขียวธรรมดานี่เอง ไม่น่ามีพิษอะไร”
“ปล่อยไปเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงซิสเตอร์ร้องสั่งดังขึ้น ทว่าบัวเกี๋ยงไม่ทำตามในทันที
“จะให้ปล่อยที่ไหนคะ ถ้าหนูปล่อยตรงนี้แล้วมันเลื้อยไปหาซิสเตอร์ หนูไม่จับให้แล้วนะคะ”
“ว้าย! อย่าปล่อยนะ!” ซิสเตอร์อีกคนร้องเสียงหลง
คิ้วเรียวของบัวเกี๋ยงลู่มาแทบจะชนกัน
“ตกลงจะให้หนูปล่อยหรือไม่ปล่อยล่ะคะ”
“เอาไปปล่อยไกล ๆ เดี๋ยวนี้เลย แล้วรีบกลับมาตรงนี้ คุณแม่ให้ตามตัวไปพบ” ซิสเตอร์คนหนึ่งบอก
“คุณพัดไม่ต้องตามไป คอยอยู่ตรงนี้ละ แล้วเดี๋ยวไปพบคุณแม่ด้วยกัน” ซิสเตอร์อีกคนออกคำสั่ง
“มาแมร์เรียกหนูไปพบด้วยหรือคะ?” ศุภางค์ถาม แต่มิได้ตกใจว่าเป็นเรื่องแปลก เพราะตั้งแต่บัวเกี๋ยงมาอยู่ประจำด้วยกันที่โรงเรียนนี้ สองสาวเพื่อนสนิทก็สร้างวีรกรรมให้คุณแม่อธิการต้องอบรมอยู่บ่อย ๆ จนแทบจะกลายเป็นเอือมระอาในความเก่งกล้าเกินงามที่เด็กสาวพึงเป็น
“คุณหญิงแม่คุณให้คนถือจดหมายมาเรียนคุณแม่อธิการ แต่ด้วยเรื่องอะไรไม่ทราบค่ะ”
บัวเกี๋ยงวิ่งเข้ามา แต่ยังไม่ถึงตัวซิสเตอร์ก็ถูกยั้งไว้
“หยุดตรงนั้นก่อน อย่าเพิ่งเข้ามา” ซิสเตอร์สั่งด้วยสายตาระแวง “ยกมือขึ้นทั้งสองข้าง แบมือด้วย แล้วหมุนตัวช้า ๆ”
ซิสเตอร์อีกคนยังระแวงว่าบัวเกี๋ยงจะซ่อนงูไว้ที่ใดสักแห่ง จึงสำทับ
“ทีนี้ล้วงกระเป๋ากระโปรงออกมาดูซิ ว่าไม่ได้ซ่อนไว้ในนั้น”
“ไม่มีจริง ๆ ค่ะ” บัวเกี๋ยงแสดงความบริสุทธิ์ใจ ซิสเตอร์จึงยอมให้เดินมาจนถึงตัว บัวเกี๋ยงก็แกล้งร้องขึ้นมา “งู! งูอยู่ตรงพื้นนั่น”
ซิสเตอร์ทั้งสองร้องกรี๊ดขึ้นมาอีกครั้งแล้วก็เต้นสับสน มารู้ตัวว่าถูกหลอกก็ตอนที่บัวเกี๋ยงและศุภางค์วิ่งหัวเราะท้องแข็งนำไปก่อนแล้ว
“รีบไปพบคุณแม่เถอะ แขกมาคอยนานแล้ว คอยดูนะ ถ้าแขกกลับแล้วจะลงโทษให้หนักเชียว”
ซิสเตอร์เดินนำเข้าไปที่อาคารอำนวยการ คุณแม่อธิการเห็นแล้วว่าสีหน้าของทั้งสอง ‘ผ่านศึก’ มาก่อนที่จะเดินนำนักเรียนสาวสองคนเข้ามาอย่างสงบเสงี่ยมเช่นนี้ ประกอบกับระยะเวลาคอยพักใหญ่ ทำให้มั่นใจว่า กว่าจะตามตัวพบและพาตัวมาได้ก็คงวุ่นเอาการ
“มีแขกถือหนังสือจากคุณหญิงบริรักษ์เวชการ” ผู้ถูกเอ่ยถึงคือมารดาของศุภางค์ “ขออนุญาตให้เธอสองคนออกไปพักที่บ้านในสัปดาห์หน้า”
ศุภางค์เอียงหน้าขมวดคิ้วสงสัย ว่าเหตุอันใดคุณแม่ต้องให้กลับบ้านในสัปดาห์หน้า แล้วคำตอบก็มาในรูปของชายหนุ่มหน้าตาหมดจดผ่องใส แต่งกายเรียบร้อยในชุดเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวสะอาดและกางเกงสีทรายรีดเรียบจนกลีบโง้งเป็นสัน
“พี่สุพล!” ศุภางค์ร้องด้วยความดีใจ แล้วก็รีบสงบกิริยาเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของคุณแม่อธิการ
“คุณพ่อจะจัดเลี้ยงโต๊ะ ทั้งฉลองที่พี่ได้ทุนไปเรียนที่อเมริกา ทั้งเลี้ยงส่งด้วยในคราวเดียวกัน เพราะหลังจากนั้นพี่ก็ต้องเดินทางแล้ว หาวันที่เหมาะไม่ได้อีก”
“ดีจังเลย น้องก็ยังนึกอยู่ว่า คุณพี่จะไปเรียนเมืองนอกทั้งที คุณพ่อคุณแม่จะไม่ฉลองได้อย่างไร” หันมาทางเพื่อนสนิท “ไปด้วยกันนะบัวเกี๋ยง”
คนถูกชวนส่ายหน้าน้อย ๆ บอกเสียงค่อยแต่เด็ดขาดฉะฉานว่า
“งานเลี้ยงในครอบครัว กับญาติมิตรคนรู้จัก แขกส่วนใหญ่ก็คงเป็นแขกของท่านพระยากับคุณหญิง”
บัวเกี๋ยงยังอธิบายไม่จบ แค่เริ่มต้นก็พอจะเดาได้ว่าหล่อนมีคำตอบว่าอย่างไร คุณแม่อธิการพยักหน้ายิ้มอย่างพึงใจที่บัวเกี๋ยงรู้จักพิจารณา ทว่าศุภางค์ไม่ยอมให้เพื่อนพูดจบ
“ตัวก็ไปในฐานะแขกของพี่สุพลไง”
“บัวเกี๋ยงไม่อยากไปงานนี้เหรอ” สุพลถามขึ้นมา ดวงตาเขาจ้องตรงมายังหล่อนนิ่ง ท่าทีสุภาพ หากหล่อนรู้สึกว่าสายตาของเขาคาดคั้นรอฟังเหตุผลที่ ‘ฟังขึ้น’
“อยากค่ะ แต่งานนี้ผู้ใหญ่คงเยอะ ดิฉันทำตัวไม่ถูก เกรงว่าจะทำอะไรเป็นที่ขายหน้าแก่เจ้าภาพได้”
“ถ้าบัวเกี๋ยงไม่ไป น้องก็ไม่ไป นอนอ่านหนังสืออยู่หอพักดีกว่า”
“เธอเป็นน้องพี่ จะไม่ไปได้ยังไง ยายพัด”
สุพลทำเสียงดุน้อย ๆ พูดกับน้องสาว แต่สายตาแลมายังคนยืนข้าง คล้ายกับว่าเขาตั้งใจให้คำพูดนั้นถึงตัวหล่อนมากกว่า
“พี่ไปอเมริกาอย่างน้อยก็หกเจ็ดปีที่จะไม่ได้พบหน้ากัน เหลือไม่ถึงเดือนเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้พบหน้า พูดคุย รู้จักกันมาหลายปี เรื่องแค่นี้จะให้กันไม่ได้เชียวหรือ เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าเป็นคนใจดำ”
ชายหนุ่มดุน้องสาวก็จริง หากบัวเกี๋ยงก็รู้ว่าเขาหมายถึงหล่อน
“ทำไมคุณพี่ต้องว่าน้องต่อหน้าบัวเกี๋ยงแบบนี้ด้วยคะ”
“ถ้าเธอมิได้เป็นคนใจดำ จะร้อนตัวรับไปทำไมล่ะ”
“เห็นไหมบัวเกี๋ยง พี่ชายต่อว่าฉันใหญ่แล้ว ตัวเปลี่ยนใจไปเป็นเพื่อนเราเถอะนะ แขกผู้ใหญ่ก็ให้เขาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ไป เราอยู่กันเด็ก ๆ ของเราก็ได้ บ้านฉันกว้างขวาง เราแยกออกมาสนุกกันมุมหนึ่ง ไม่มีใครสนใจเราหรอก”
คุณแม่อธิการเห็นว่า ถ้าปล่อยให้โต้กันไปยื้อกันมาแบบนี้ไม่มีวันจบ จึงสรุปให้ว่า
“ไปเถอะบัวเกี๋ยง แม่เชื่อว่าหนูโตพอที่จะพิจารณาอะไรด้วยตัวเองได้แล้ว”
รถยุโรปคันงามอันมีไม่กี่คันในพระนครขัดจนขึ้นเงามันวับจอดหน้าตึกอำนวยการในเย็นวันศุกร์เพื่อคอยรับศุภางค์และบัวเกี๋ยงกลับบ้าน แล่นออกไปไม่นาน ยังไม่ทันหายตื่นเต้นดี บัวเกี๋ยงก็เห็นป้ายใต้ซุ้มชมนาดที่พาดโค้งเหนือประตูใหญ่ว่า ‘บ้านบริรักษ์เวชการ’ อันเป็นบรรดาศักดิ์ล่าสุดของประมุขของบ้าน จากเดิมที่บัวเกี๋ยงรู้จากสุพลว่าบิดาของเขาคือ หลวงอดิศเวช ต่อมาก็เลื่อนขึ้นเป็นพระอดิศเวชชำนาญ และพระยาบริรักษ์เวชการ ผ่านประตูบ้าน ยังเข้าไปอีกไกลจึงได้เห็นสนามหญ้าเขียวตัดเรียบเหมือนปูด้วยพรมกำมะหยี่ มีน้ำพุตั้งอยู่กลางสนาม ประติมากรรมเด่นเป็นกามเทพมีปีกตัวน้อยกำลังเริงร่ากับมาลากุหลาบ
จากระยะไกลจึงเห็นตึกใหญ่ได้เต็มตา ความโออ่าประกาศชัดแจ้งตั้งแต่นาทีแรก เมื่ออยู่เชียงใหม่ บัวเกี๋ยงวิ่งเล่นกับเพื่อน เข้าบ้านนั้นออกบ้านนี้ ก็ยังไม่รู้สึกว่าบ้านใดมีอาณาเขตกว้างใหญ่เท่านี้มาก่อน ตึกปูนศิลปะแบบตะวันตกที่คุ้นเคยจากการเรียนที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย หรือโรงพยาบาลแมคคอร์มิคที่หมอทรัพย์ประจำอยู่ ก็ยังไม่โอ่อ่าตระการตาเท่ากับ ‘บ้าน’ ของเพื่อนสนิทแห่งนี้
สุพลมายืนคอยอยู่ที่หน้าตึก เขาเท่านั้นที่รู้ตัวเองว่ามาคอยเพราะอะไร เขาต้องการทราบตั้งแต่วินาทีแรกว่าบัวเกี๋ยงมากับน้องสาวด้วยหรือไม่ เพราะเขาเชื่อว่า เด็กสาวอย่างบัวเกี๋ยงสามารถเปลี่ยนใจไม่มาได้ในนาทีสุดท้าย
เมื่อเห็นดวงหน้าขาวนวลพ้นออกมาจากรถ สุพลก็มีรอยยิ้มที่มุมปาก
“ยินดีต้อนรับนะบัวเกี๋ยง” สุพลทักทายด้วยน้ำเสียงเริงรื่น ยินดีที่หล่อนมา “คุณแม่คอยอยู่ข้างใน ไปกราบท่านเสียก่อน”
ศุภางค์จูงมือเพื่อนนำเข้าไปในบ้าน พี่ชายตามมาไม่ห่าง
คุณหญิงบริรักษ์เวชการ หรือคุณหญิงพลับนั่งบนเก้าอี้บุนวมสีเขียวแก่ เข้าชุดกับเครื่องเรือนอื่น ๆ ที่ส่วนใหญ่นำเข้าจากยุโรป หรือให้ช่างชาวตะวันตกทำเป็นพิเศษ ไล่สายตาตรวจรายชื่อแขกที่เชิญมางานเลี้ยงโต๊ะวันพรุ่งนี้อีกครั้ง ว่าเชิญครบถ้วน มิได้ตกหล่นใครไป เห็นเงาแวบไหวผ่านหางตา เงยหน้าขึ้นดูก็ร้องอย่างดีใจ
“ยายพัด มาแล้วหรือลูก มาให้แม่กอดให้ชื่นใจหน่อย”
“กราบคุณแม่ค่ะ” ศุภางค์ยกมือไหว้แล้วจึงโผเข้าไปกอดมารดา แนะนำเพื่อนว่า “คุณแม่คะ นี่บัวเกี๋ยง เพื่อนสนิทลูกค่ะ”
คุณหญิงพลับยิ้มและหันไปรับไหว้เด็กสาว นึกชมในใจว่าหน้าตาหมดจดผ่องใส แต่ในขณะเดียวกันก็คง ‘ใช่ย่อย’ เลยทีเดียว โดยเฉพาะดวงตาสุกวาวนั้นฉายแววเอาเรื่องไม่ยอมคนอยู่ไม่น้อย แม้คุณหญิงจะอยู่ไม่กี่แห่ง คือบ้านและสภากาชาดสยามซึ่งก่อนหน้านี้เรียกกันว่าสภาอุณาโลมแดง แต่เรื่องเล่าเกี่ยวกับเด็กสาวกำพร้าจากเมืองเหนือที่ขึ้นรถไฟมากับคณะมิชชันนารีก็มีมาเข้าหูอยู่เป็นระยะ พอให้จดจำได้ไม่ยากนัก
“บัวเกี๋ยงเรียนเก่งมากเลยนะคะคุณแม่ บางวิชาซิสเตอร์สอนไม่รู้เรื่อง บัวเกี๋ยงอธิบายนิดเดียว ลูกเข้าใจหมดเลยค่ะ”
“ถึงอย่างนั้นเชียวหรือจ๊ะ?” คุณหญิงถามเสียงหวาน บัวเกี๋ยงจึงตอบ
“พัดพูดเกินจริงไปค่ะ จริง ๆ แล้วหนูออกจะเป็นพวกคนขี้เกียจ พอขี้เกียจแล้วก็เลยหาทางลัดให้เข้าใจเร็ว ๆ ทำการบ้านให้เสร็จเร็ว ๆ เจ้าค่ะ”
“อ้อ…มิน่าล่ะ คุณแม่อธิการถึงบอกว่าลูกพัดกับเพื่อนมีเวลาเล่นมากกว่าใคร”
หันไปเห็นดวงหน้าของบุตรชายมองมาที่เพื่อนของลูกสาวด้วยความหมายที่คุณหญิงเดาไม่ยาก จึงเปรยขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนเรื่อง ถามสุพลว่า
“ลูกจำแม่เล็ก ลูกสาวเจ้าคุณรัชฎาสรรพกิจได้ไหมจ๊ะ”
“แม่เล็ก…หรือครับคุณแม่?” สุพลทวนคำพลางนึก หากนึกเท่าไรก็ไม่มีอะไรผ่านมาในความทรงจำ
“ใช่จ้ะ แม่เล็ก…หนูวันวัสสาน์” คุณหญิงนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วจึงว่าปนหัวเราะ “จำไม่ได้ก็ไม่แปลก เพราะเจอกันเมื่อยังเล็ก พอโตขึ้นหน่อยก็มีเค้าว่าจะสวยเหมือนแม่ เจ้าคุณรัชฎาฯ เลยหวงลูกสาวขึ้นมาตั้งแต่ยังอายุแค่ ๗ – ๘ ขวบ ให้คุณหญิงพาไปถวายตัวรับใช้อยู่ในตำหนักเสด็จพระองค์หญิงพระองค์หนึ่ง ก็ตำหนักที่แม่ต่วนเคยถวายตัวนั่นละ” คุณหญิงเอ่ยชื่อเดิมของคุณหญิงรัชฎาสรรพกิจ “ตอนนี้เป็นสาวแล้ว ก็คงจะเท่ายายพัดนี่ละ แม่เคยเจอสองสามหนตอนที่ตามคุณหญิงต่วนไปที่สภากาชาดสยาม หน้าตาหมดจดงดงาม คมขำไม่ผิดแม่ กิริยามารยาทก็ผู้ดีแท้ สมกับได้ถวายตัวเป็นข้าหลวงในตำหนักเสด็จพระองค์หญิง”
“คุณแม่ถามพี่ชายทำไมคะ?”
“เออแน่ะ…แม่ก็พูดไปถึงไหนต่อไหน งานเลี้ยงพรุ่งนี้น่ะ บ้านเจ้าคุณรัชฎาฯ ก็มาร่วมงานด้วย แต่ตอนสาย คุณหญิงต่วนจะพาแม่เล็กมาช่วยจัดเตรียมข้าวปลาอาหารกันก่อน ตระกูลนี้เขาเป็นเอกเรื่องอาหารคาว เสน่ห์ปลายจวักหาตัวจับยาก ก็อาสาพากันมาสำแดงฝีมือนั่นละ” คุณหญิงบริรักษ์ฯ เล่าอย่างเพลินอารมณ์
“สุพลต้องไปเรียนที่อเมริกาอีกหลายปีกว่าจะกลับ แม่กลัวใจจะไปคว้านางแหม่มตาน้ำข้าวมาเป็นสะใภ้ ก็เลยหารือกับเจ้าคุณพ่อ เรื่องที่เคยคุยกับเจ้าคุณรัชฎาฯ กันไว้ทีเล่นทีจริงเมื่อครั้งกระโน้น เห็นจะต้องเจรจาจริงจังเสียที”
“เรื่องอะไรหรือครับ?” สุพลถามพร้อมกับน้องสาว
“ก็เรื่องหมั้นหมายให้สุพลกับแม่เล็กเกี่ยวดอง เป็นทองแผ่นเดียวกันยังไงละ”
“คุณแม่!” สองพี่น้องอุทานออกมาพร้อมกัน
บัวเกี๋ยงนั่งฟังนิ่ง ท่าทีสงบ หากความรู้สึกคล้ายคลื่นลูกใหญ่กำลังถาโถมหมุนวนป่วนปั่นอยู่ภายใน ศุภางค์และสุพลตัดบทแล้วพาออกมาจากตรงนั้น บัวเกี๋ยงก็ยังแว่วเสียงคุณหญิงรำพึงกับตัวเองว่า
“ถ้าหมั้นหมายได้ทันก่อนสุพลเดินทางก็จะดีหรอก”
ศุภางค์บ่นหิวข้าวตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน ผสมกับการออดอ้อนว่าคิดถึงกับข้าวฝีมือมารดา อยู่ประจำในโรงเรียนกินนอนแม้ข้าวปลาอาหารจะไม่ขาด แต่ก็ไม่ถูกปากเท่ารสมือแม่ เพียงเท่านี้ คุณหญิงพลับก็ทิ้งธุระที่อยู่ในมือ ลุกไปบงการบ่าวให้ตั้งสำรับมื้อเย็นเร็วขึ้นกว่าทุกวันเพื่อเอาใจบุตรสาว พระยาบริรักษ์เวชการกลับมาทันร่วมโต๊ะพอดี ศุภางค์จึงแนะนำเพื่อนสนิทให้บิดารู้จักและร่วมโต๊ะมื้อเย็นด้วยกัน
บัวเกี๋ยงรู้มารยาทบนโต๊ะอาหารเป็นอย่างดี เพราะที่คอนแวนต์นางชีเข้มงวดเรื่องกิริยามารยาทอย่างตะวันตก กับที่อี่นายกาสะลองเคยสั่งสอนอบรมไว้ ก็ได้นำมาใช้ในคราวนี้ นึกถึงตอนที่อี่นายสอนให้กินข้าวด้วยช้อนส้อม บัวเกี๋ยงยังฝึกไปหัวเราะไป
‘ข้าเจ้าบ่รู้ว่าจะฝึกไปยะหยัง ถึงอย่างใด ข้าเจ้าก็อยู่กิ๋นกับอี่นายแบบนี้ไปจนต๋าย’
ความหมายที่บอกอี่นายกาสะลองคราวนั้นคือ ฝึกฝนไปก็ไร้ประโยชน์ แต่อี่นายก็คะยั้นคะยอให้ฝึกจนได้ เพิ่งเห็นค่าเดี๋ยวนี้เอง ว่ามีความรู้ติดหัว มีมารยาทติดตัว มันช่วยให้ชีวิตผ่านไปได้อย่างนี้เอง
สิ่งยืนยันก็คือ สายตาของคุณหญิงบริรักษ์ฯ ที่แรก ๆ ฉายแววดูแคลน ด้วยคิดว่าบัวเกี๋ยงเป็นเด็กกำพร้าบ้านป่า จะรู้ธรรมเนียมการนั่งโต๊ะกินข้าวบ้านผู้ดีในพระนครหรือไม่ คุณหญิงถือเอาเป็นบททดสอบดูว่า ถ้าเด็กสาวทำเงอะงะ เก้ ๆ กัง ๆ หยิบจับอะไรไม่เป็น ชวนให้ขายหน้า งานเลี้ยงวันพรุ่งนี้ก็จะกันตัวออกไปให้ห่างจากแขกสำคัญ หาไม่จะพลอยขายหน้ากันไปทั้งบ้าน แต่เมื่อเด็กสาวประพฤติได้อย่างเรียบร้อยดี คุณหญิงพลับก็เก็บความพอใจไว้เงียบ ๆ
สุพลชวนน้องสาวและบัวเกี๋ยงไปเดินเล่นย่อยอาหารที่สวนหลังบ้าน กลิ่นดอกราตรีโชยมาตามลมเมื่อยามเย็นย่ำ แต่กลิ่นที่ทำให้บัวเกี๋ยงน้ำตาซึมคือกลิ่นดอกปีบที่โชยฉมอยู่ในอากาศ ตั้งแต่โตมา ได้กลิ่นดอกปีบเมื่อไหร่ เป็นได้เห็นตัวอี่นายกาสะลองอยู่ใกล้ ๆ เจ้าคุณบริรักษ์ฯ ประมุขของบ้านคาบซิการ์ลงมาสมทบกับกลุ่มหนุ่มสาว เห็นบัวเกี๋ยงกำลังเก็บดอกปีบมากำไว้เป็นช่อใหญ่ก็ถามว่า
“นั่นจะเก็บไปใส่แจกันวางไว้ที่หัวเตียงสิท่า”
“เจ้าค่ะ” บัวเกี๋ยงตอบทันที ไม่ได้คิดก่อนด้วยซ้ำ เพราะจะว่าไปแล้ว หล่อนเก็บขึ้นมาเพราะคิดถึงอี่นายกาสะลองเท่านั้น “ที่บ้านหนูเรียกดอกกาสะลอง อี่นายเคยสอนให้ทำยาเส้นมวนบุหรี่ด้วยเจ้าค่ะ”
“อี่นาย…ใครกัน”
“อี่นายกาสะลอง คนที่เคยเลี้ยงดูหนูมาเจ้าค่ะ อี่นายสอนหลายอย่าง แต่หนูชอบมวนบุหรี่ดอกกาสะลองมากที่สุด บุหรี่ของอี่นายขายดี ใคร ๆ ก็ชอบ ยิ่งใครเป็นริดสีดวงจมูกนะเจ้าคะ ติดใจกันทุกคน”
“จริงสิ ยาเส้นดอกปีบมวนบุหรี่นี่สูบแก้ริดสีดวงจมูกดีนักละ” เจ้าคุณบริรักษ์เวชการตอบรับพลางชื่นชมความรู้ของเด็กสาวอยู่ในที
“บัวเกี๋ยงมีความรู้เรื่องสมุนไพรทั้งไทยและจีนมากทีเดียวครับ เจ้าคุณพ่อ” สุพลรีบเสริม
“อย่างนั้นเรอะ ดี ๆ” เจ้าคุณตอบเท่านี้แต่กินความหมายกว้างขวาง
ศุภางค์รู้สึกว่าเรื่องที่สนทนาห่างไกลจากความสนใจของหล่อนออกไปทุกที ประกอบกับมีแผนการสนุกที่หมายมั่นไว้นานแล้วแต่ยังไม่เคยปริปาก เจ้าคุณพ่อกำลังอารมณ์ดี หล่อนจึงสบโอกาสอ้อนขึ้นมา
“ลูกขอไปดูหนังได้ไหมคะ ให้พี่ชายพาเราไป ลูกอยู่ในคอนแวนต์อุดอู้มานาน ไม่ค่อยได้เที่ยวเล่นที่ไหนเลยค่ะ เจ้าคุณพ่ออนุญาตนะคะ พี่ชายโตเป็นหนุ่มแล้ว อีกประเดี๋ยวก็จะไปเรียนเมืองนอกเมืองนา ถ้าดูแลน้องแค่นี้ยังทำไม่ได้ เจ้าคุณพ่อก็ไม่น่าวางใจให้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปอเมริกาเป็นปี ๆ นะคะ”
เจ้าคุณบริรักษ์ฯ มองหน้าบุตรสาวที่พูดยาวราวเจ้าหล่อนเตรียมหาเหตุผลมาดักทุกช่องทางแล้วก็หัวเราะ หันไปทางบุตรชายว่าสมรู้ร่วมคิดด้วยหรือไม่ สุพลก็ส่ายหน้า ไม่ระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน หันไปทางบัวเกี๋ยง เด็กสาวก็อ้าปากค้างอย่างประหลาดใจ หล่อนก็คงไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเช่นกัน
“ไปขอกับแม่เขาเถอะ เที่ยวเล่นกลางค่ำกลางคืน…”
เจ้าคุณบิดาพูดยังไม่ทันจบ ศุภางค์ก็ถือว่าเป็นการอนุญาต วิ่งปรูดหายเข้าไปในตึกเพื่อขออนุญาตมารดา โดยอ้างว่าเจ้าคุณพ่ออนุญาตแล้ว ครู่หนึ่งก็วิ่งกลับมาที่สวน ชวนบัวเกี๋ยงไปแต่งตัว และให้พี่ชายไปเตรียมรถ ไม่สนใจว่ามารดาทำคอแข็งพูดประชดประชันอย่างไร
“กลับมาอยู่บ้าน แม่ยังไม่ทันเห็นหน้าให้หายคิดถึง ชวนกันปร๋อออกไปข้างนอกค่ำ ๆ มืด ๆ” ครั้นเจ้าคุณสามีเดินเข้ามาในตึกก็โดนร่างแหไปด้วย “คุณพี่เองก็ช่างกระไร ตามใจลูกไปเสียทุกอย่าง แล้วคืนนี้อิฉันจะได้นอนกี่ทุ่มกี่ยาม ลูกไม่กลับบ้าน อิฉันนอนไม่หลับ”
เมื่อค้านสามีและลูกไม่ได้ คุณหญิงพลับก็ส่งผู้ติดตามไปแทนตัว นั่นก็คือนายแจ้ง คนขับรถ ด้วยเหตุผลว่า
“หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร อิฉันก็ไม่ยอมให้สุพลขับรถเอง”
ความมุ่งมาดของคุณหญิงสัมฤทธิ์ผล สุพลไม่ได้จับแม้แต่พวงมาลัย แต่เมื่อนายแจ้งเลี้ยวรถออกจากประตูบ้านพ้นไปถึงปากซอย ศุภางค์ก็บอกให้หยุดรถ บังคับให้นายเริ่มมานั่งข้าง ส่วนตัวเองมานั่งหลังพวงมาลัยแทน
“คุณแม่ไม่ยอมให้พี่ชายขับ แต่ไม่ได้ห้ามฉันนี่ นายแจ้งห้ามบอกแม่นะ” ศุภางค์บอกแกมขู่
ศุภางค์ขับรถยนต์เป็นระยะหนึ่งแล้ว ฝีมือหล่อนก็ใช้ได้ แต่เพราะไม่ได้ขับบ่อยจึงไม่ชินทาง ประกอบกับรอบด้านมืดแล้ว มีเพียงแสงโคมข้างถนนสว่างเป็นระยะ รถยนต์ที่เคลื่อนไปข้างหน้าส่ายไปมาเหมือนงูเลื้อย นายเริ่มผู้นั่งข้างควักพระที่ห้อยคอออกมาพนมท่องพุทโธไปตลอดทาง บัวเกี๋ยงไม่เคยนั่งรถที่ส่ายไปมาเช่นนี้มาก่อน กลัวว่าศุภางค์จะคะนองจนเกิดอุบัติเหตุ
มือนุ่มเอื้อมมากุมมือหล่อนไว้ สุพลจึงรู้ว่าบัวเกี๋ยงกลัว เพราะฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ เขาจึงกุมกระชับให้มั่นใจว่าไม่ต้องกังวล หล่อนจะปลอดภัย เขารู้จักน้องสาวตัวเองดี บางครั้งศุภางค์ก็แกล้งเล่นทำตัวเป็นทะโมนไพรไปอย่างนั้นเอง
บัวเกี๋ยงขยับจะดึงมือออก สุพลก็กุมแน่นเข้าไม่ยอมปล่อยจนถึงปลายทาง