วิมานใยบัว ภาคต้น “วาดวิมาน” ๓ : วันวัสสาน์

วิมานใยบัว ภาคต้น “วาดวิมาน” ๓ : วันวัสสาน์

โดย : เนียรปาตี

Loading

วิมานใยบัว โดย เนียรปาตี นิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวของบัวเกี๋ยงจากกลิ่นกาสะลอง บัดนี้เธอเติบใหญ่และต้องเผชิญกับชะตาชีวิตที่ยากลำบาก ในวันเวลาที่หมอส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย บัวเกี๋ยงจะสามารถทำความฝันของเธอให้เป็นจริงได้หรือไม่ ไหนจะเรื่องเรียนและเรื่องหัวใจ วิมานของเธอจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร

บัวเกี๋ยงเลี่ยงไม่ต่อความกับสุพลด้วยการเดินตามพระยาบริรักษ์เวชการ สอบถามชื่อต้นไม้ต้นนั้นต้นนี้แล้วหล่อนก็บอกชื่อภาษาเหนือ พร้อมกับชี้แจงสรรพคุณทางยาที่พอจำได้ พระยาบริรักษ์ฯ ก็พอใจว่าเด็กสาวเป็นคนสนใจใฝ่รู้และมีความรู้กว้างขวาง โดยเฉพาะทางด้านการแพทย์พื้นบ้าน

สุพลทำท่าคล้ายจะงอนที่หล่อนหลบเลี่ยง ไม่สัญญาเป็นการผูดมัดตัว บัวเกี๋ยงเท่านั้นที่รู้เหตุผลส่วนตัวว่าเพราะหล่อนเห็นนายหมอทรัพย์กับอี่นายกาสะลองเป็นตัวอย่าง สัญญารักชั่วนิจนิรันดร์ผูกพันทั้งคู่ให้อยู่กับอะไร…ความสุขหรือ มิใช่ผูกมัดรัดรึงให้อยู่กับความทุกข์หรือ แล้วจุดจบของทั้งคู่เป็นอย่างไร ได้ร่วมสุขกันอย่างให้สัญญากันไว้หรือ

อย่างน้อย ๆ ถ้าวันหนึ่งหล่อนหรือสุพลเปลี่ยนไป จะได้ไม่ต้องทนลำบากใจด้วย ‘สัญญา’ ในวันนี้

 

มื้อเช้าที่บ้านบริรักษ์เวชการวันนี้เป็นอาหารฝรั่ง คุณหญิงพลับให้นางเต่าตั้งสลับกับข้าวต้มอย่างไทย เพื่อให้สุพลได้ชินกับรสชาติของไส้กรอกและหมูแฮม รับเสร็จแล้วหนุ่มสาวก็พากันมาเดินเล่นที่สนามเป็นการย่อยอาหาร คุยกันด้วยเรื่องทั่ว ๆ ไป ศุภางค์โล่งใจที่ถึงตอนนี้ พี่ชายก็ยังไม่เอ่ยวีรกรรมของหล่อนเมื่อคืนนี้ให้คุณพ่อคุณแม่ฟัง

รถยนต์คันงามตามกันมาเป็นขบวนในตอนสาย คันแรกที่งดงามโอ่อ่าที่สุดจอดเทียบหน้าตึก คุณหญิงพลับก็รีบออกมาต้อนรับ นายคนขับรถวิ่งลงมาเปิดประตูให้เจ้านายก้าวลงมา คนแรกคือคุณหญิงต่วน รัชฎาสรรพกิจ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า คุณหญิงรัชฎาฯ สตรีวัยกลางคนรุ่นราวคราวเดียวคุณหญิงพลับเจ้าของบ้าน อีกคนที่ก้าวตามลงมาเป็นสตรีแน่งน้อยอรชรแบบบางผู้เป็นธิดาคนเล็ก

“กราบท่านผู้หญิงค่ะ ที่กรุณามาช่วยงานแต่เช้า” คุณหญิงบริรักษ์เวชการกล่าวต้อนรับ

ผู้เป็นแขกทำเสียงวุ้ยว้ายว่าเขินอายที่ฝ่ายนั้นเรียกว่า ‘ท่านผู้หญิง’

“อุ๊ย! คุณหญิงละก็ มาถึงก็ล้ออิฉัน ท่านผู้หญิงอะไรกัน ท่านเจ้าคุณยังมิได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยาเสียหน่อย” เปรยคล้ายบ่นไปอย่างนั้น หากใจจริงก็นึกกระหยิ่ม รออยู่เหมือนกันว่าเจ้าคุณสามีจะได้เลื่อนชั้นขึ้นเมื่อไหร่ แม้ข่าวลือจะทำให้ปลื้มใจ แต่มันก็ไม่สนิทใจเท่ากับมีพระบรมราชโอการแต่งตั้งมาแล้วจริง ๆ

“แล้วขอทีเถอะ กรุณา กรุเนอ อะไรกัน คุณหญิง อย่ามากพิธีถือชั้นบรรดาศักดิ์อะไรกันเลยค่ะ ที่มาแต่เช้านี่ก็เพราะว่าจะได้มีเวลาพูดคุยกันนาน ๆ ให้หายคิดถึง พอบ่ายคล้อยแขกเหรื่อมาก็ไม่มีเวลาได้คุยกันเองประสาแม่ ๆ ต้องไปรับรองแขกกันหมด”

“หนูวัสสาน์ก็เลยต้องติดตามคุณแม่มาเช้าด้วยอีกคน”

คุณหญิงพลับทักไปยังหญิงสาวที่ยืนหลังมารดา เสื้อผ้าเรียบ ๆ สีอ่อนที่หล่อนสวมไม่อาจปิดบังสง่าราศีของผู้ดีให้หม่นหมองลงไปได้ ผมยาวเป็นมันเงาทิ้งปลายถึงกลางหลัง ด้านหน้าหวีเสยเปิดให้เห็นดวงหน้ารูปไข่เรียวงาม ขาวผ่องหมดจดจนเห็นเส้นเลือดสีชมพูอ่อนจางแล่นอยู่ใต้ผิวหน้านวล

“กราบคุณป้าค่ะ” วันวัสสาน์ตอบเท่านั้น เพราะหล่อนได้รับการอบรมมาว่าเป็นผู้น้อย อย่าริต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ แม้ว่าผู้ใหญ่จะเล่นหัวหยอกเยินก็ตาม หาไม่แล้วจะถูกมองว่าลามปามไปเสียได้

“ฉันเห็นว่าเลี้ยงโต๊ะบ้านเจ้าคุณบริรักษ์ฯ ทีไร เป็นงานใหญ่ทุกที แถมครั้งนี้เป็นการเลี้ยงส่งหลานด้วย กลัวสุพลไปอยู่ไกลบ้านจะไม่ได้กินอาหารอย่างที่คุ้นเคย พวกฝรั่งอั้งม้อมันกินแต่ขนมปัง นม เนย ตัวมันถึงได้ใหญ่โตเป็นควายเป็นช้าง เหม็นสาบรึก็เท่านั้น อาหารการกินมันมีจำกัดไม่กี่อย่าง อิฉันเลยขอวิสาสะมาช่วยเตรียมอาหารหวานคาว ฝากรสมือแม่เล็กให้พ่อสุพลได้คะนึงถึงเมื่ออยู่ไกลบ้าน”

สีหน้าของวันวัสสาน์ซ่านขึ้นจนเป็นสีกุหลาบ

“หนูวัสสาน์จะทำอะไรบ้างจ๊ะ?” คุณหญิงพลับถามด้วยความเอ็นดู ผู้ถูกถามไม่ตอบ ผู้เป็นมารดาจึงตอบแทนว่า

“ก็เตรียมมาหลายอย่าง แต่ขอเว้นขนมจีนน้ำยา เพราะรู้กันอยู่ว่าคุณหญิงพลับเจนจัดขนาดไหน ขืนทำมาตั้งโต๊ะ จะกลายเป็นว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน”

“โธ่! คุณหญิงก็พูดเกินไปค่ะ อวยกันไปมาอย่างนี้ เห็นทีจะอิ่มลูกยอกันเสียก่อน” คุณหญิงพลับเรียกบ่าวคนสนิทเข้ามา “เต่า พาหนูวัสสาน์ไปที่ครัว แล้วก็อยู่เป็นลูกมือช่วยอยู่ทางนั้น ฉันจะรับรองคุณหญิงบนตึก”

คุณหญิงรัชฎาฯ หันมาสั่งบ่าวที่ขนของลงจากรถรออยู่แล้ว

“พวกเอ็งก็ยกของตามคุณหนูไป แล้วก็ช่วยคุณหนูอยู่ที่ครัว”

“อุ๊ย! เจ้าคุณพี่กับสุพลมาพอดี หนูวัสสาน์อย่าเพิ่งไปสิจ๊ะ อยู่พบคุณพี่ก่อน” หันไปสั่งบ่าว “เต่า เอ็งพาคนของคุณหญิงไปที่ครัวก่อน เดี๋ยวคุณวัสสาน์จะตามไป”

วันวัสสาน์ก้มหน้าเล็กน้อยอย่างเอียงอาย ด้วยรู้ว่าชายหนุ่มที่เดินตามหลังบิดานั้นคือคนที่คุณพ่อคุณแม่หมายมั่นปั้นมือจะให้เป็นคู่หมายของหล่อน คุณหญิงต่วนยิ้มให้เจ้าของบ้านและว่าที่ลูกเขยผู้มีอนาคตไกล จนกระทั่งเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่ามีหญิงสาวไม่คุ้นหน้าตามมาอีกคน

“เอ๊ะ! คนที่เดินข้างพ่อสุพลนั่น…ใครกันคะ”

“เพื่อนสนิทยายพัดค่ะ เขาชวนมางานวันนี้ด้วย”

“อ้อ…” คุณหญิงรัชฎาฯ รำพึงออกมาอย่างมีความหมาย น้ำเสียงที่พูดออกไปสัมผัสได้ว่าแข็งขึ้นเล็กน้อย “ดูสนิทสนมกับพ่อสุพลนะจ๊ะ เหมือนคนรู้จักกันมานาน ไม่เห็นคุณหญิงเคยเล่าให้ฟัง”

คุณหญิงพลับรู้สึกเหมือนก้อนแข็งแล่นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ โชคดีที่เจ้าคุณสามีเดินมาถึงหน้าตึกพอดี จึงเลี่ยงตอบคำถามนี้ไปได้เสียคราวหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น ภายในวันนี้คุณหญิงต่วนก็ต้องหาโอกาสคาดคั้นถามเรื่องนี้เป็นแน่

 

ศุภางค์เดินเล่นกับเพื่อนและพี่ชายในสวนแล้วแสร้งปวดท้อง อยากเข้าห้องน้ำ เพื่อให้พี่ชายและเพื่อนสาวได้อยู่กันตามลำพัง แต่แผนการของหล่อนผิดคาดเล็กน้อย เพราะเมื่อหล่อนปลีกตัวกลับเข้ามาที่ห้อง คุณหญิงรัชฎาสรรพกิจและธิดาก็มาถึงพอดี ขณะที่เจ้าคุณบริรักษ์ฯ เดินไปเพื่อต้อนรับทักทาย บัวเกี๋ยงจึงขอตัวเลี่ยงออกมา กลับขึ้นไปบนห้อง ดูว่าศุภางค์เรียบร้อยดีหรือยัง

ครั้นไปถึงก็พบเพื่อนกำลังนั่งประทินโฉมอย่างบรรจงอยู่ที่ม้าเครื่องแป้ง ก็แจ้งข่าวว่า

“ว่าที่พี่สะใภ้ตัวมาแน่ะ”

“ใครกัน ตัวก็มาบ้านเราตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่” ศุภางค์ย้อน

“ทำเป็นพูดดีไป ถ้าคุณหญิงแม่ตัวได้ยินเข้าก็เป็นเรื่องหรอก” บัวเกี๋ยงนั่งลงบนเตียง มองหน้าศุภางค์ที่สะท้อนออกจากกระจก “แต่จะว่าไป ผู้หญิงคนนั้นสวยดีนะ หวาน ๆ เย็น ๆ พี่ชายตัวคงชอบหรอก”

“พี่ชายไม่ชอบผู้หญิงสวย พี่ชายชอบผู้หญิงฉลาด” ศุภางค์หันมาหาเพื่อน “พี่ชายบอกฉันบ่อย ๆ ว่าถ้าผู้หญิงเอาแต่ปรนนิบัติผัวให้กินดีอยู่ดี เป็นสุขสบายในบ้าน แต่ไม่มีความคิดอ่านโต้แย้งถกเถียงกับสามีได้บ้าง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนรับใช้ ผู้หญิงที่คุณแม่หมายตาให้พี่ชายน่ะ ถ้ามีฝีมือแค่ทำกับข้าว ร้อยมาลัย ต่อให้คุณแม่พอใจแทบตาย พี่ชายก็ไม่มีวันชายตาแล”

“ตัวคอยดูไปเถอะ ท่าทีของคุณผู้หญิงแม่ดูใช่ย่อยทีเดียว”

เสียงเคาะประตูดังขึ้น ศุภางค์เอ่ยอนุญาตแล้ว บ่าวคนหนึ่งก็เข้ามายอบตัวรายงานว่า

“ท่านเจ้าคุณและคุณหญิงให้ขึ้นมาเรียนคุณพัดลงไปรับแขกค่ะ”

“ตัวรีบลงไปเถอะ เรานั่งเล่นนอนเล่นคอยตัวอยู่ที่ห้องนี่แหละ” บัวเกี๋ยงบอก

ยังไม่ทันที่ใครจะว่าอย่างไร นางบ่าวก็แจ้งว่า

“คุณหญิงให้เรียนคุณพัดด้วยว่า ให้พาเพื่อนลงไปด้วยกันเจ้าค่ะ”

“คุณแม่ก็คงอยากอวดใคร ๆ ว่าฉันมีเพื่อนเก่ง ค่าที่ฉันอวดบัวเกี๋ยงเอาไว้มาก” ศุภางค์หมุนตัวซ้ายขวา สำรวจว่าเรียบร้อยดีแล้วก็จูงมือบัวเกี๋ยงลงไปข้างล่าง พบแขกพิเศษสนทนากับบิดามารดาอยู่ ก็เดินเข้าไปยกมือไหว้อย่างกิริยาดี

“กิริยาน่ารัก วางตัวดีอยู่นะคะ” คุณหญิงต่วนเอ่ยชมกับผู้เป็นบุพการี

“ทีแรกก็หวั่นใจค่ะ ว่าเข้าโรงเรียนฝาหรั่ง จะได้ไปธรรมเนียมอะไรมา” คุณหญิงพลับบอก

การสนทนาของผู้ใหญ่ในตอนต้น ทำให้สุพล ศุภางค์ และบัวเกี๋ยง ได้รู้ถึงสมาชิกในครอบครัวแขกคนสำคัญนี้ว่า พระยารัชฎาสรรพกิจและคุณหญิงมีบุตรธิดา ๓ คน คนโตชื่อต้นตะวัน ไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ยังเล็ก เพิ่งกลับมาเมื่อสงครามโลกเลิกนี่เอง ถัดมาเป็นฝาแฝด แต่เป็นแฝดคนละเพศ คือ กลางวสันต์ และวันวัสสาน์

“เจ้าคุณคงจำได้ วันที่คลอดเด็กคู่นี้เป็นกลางฤดูฝน ฝนตกหนักราวฟ้าจะถล่ม พ่อกลางออกมาก่อน ร้องจ้าลั่นโรงพยาบาล ผิดกับแม่เล็ก ที่ตามออกมา กว่าจะร้องแอะแรก แม่ใจจะขาด กลัวว่าลูกตายเสียแล้ว”

คุณหญิงต่วนรำลึกความหลังกับพระยาบริรักษ์เวชการในตอนต้น แล้วหันมามองบุตรีในตอนท้าย กล่าวถึงด้วยน้ำเสียงรักใคร่หนักหนาราวว่าจะขาดใจ หากในวันที่หล่อนให้กำเนิดนั้นบุตรีหามีชีวิตไม่

แล้วสายตาคุณหญิงต่วนก็กวาดมาที่บัวเกี๋ยง พร้อมกับเปลี่ยนเรื่อง

“หนูคนนี้สินะ ที่เล่าว่ามาจากทางเหนือ ชื่อเรียงเสียงไรล่ะ” ผู้เป็นแขกเปรยขึ้นมา บัวเกี๋ยงจึงยกมือไหว้ นึกในใจว่าแม่ของศุภางค์เล่าอะไรไปแล้วบ้าง

“หนูชื่อ บัวเกี๋ยง เจ้าค่ะ”

“บัวเกี๋ยง…แปลก” คุณหญิงต่วนอยากจะบอกว่าพิลึกด้วยซ้ำไป แต่ยังไว้ทัน “หน้าตาเป็นยังไงจ้ะ ดอกบัวเกี๋ยงนี้ เหมือนบัวสายหรือค่อนไปทางบัวหลวงล่ะจ๊ะ”

“หามิได้ค่ะ บัวเกี๋ยงคือดอกลำเจียก หรือการะเกด” หญิงสาวอธิบาย อยากจะขยายต่ออีกนิดว่าทางชวาเรียก ปาหนัน แต่ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะบอก เพราะคนถามเองก็มิใช่ใคร่รู้นักหนา

“แล้ววงศ์วานว่านเครือทางเหนือ เป็นเจ้าคุ้มไหนจ๊ะ หรือว่าเป็นลูกสาวพ่อเลี้ยงเมืองเหนือ นายห้างปางไม้ที่ไหน”

“หามิได้ค่ะ หนูเป็นกำพร้าแต่เด็ก มาอยู่เมืองใต้ด้วยความอุปการะของคณะมิชชันนารีค่ะ”

“เมืองใต้…” คุณหญิงต่วนทำหน้าสงสัยแล้วก็หัวเราะออกมาน้อย ๆ “คนลาวทางโน้นเรียกบางกอกว่าเมืองใต้สินะ เป็นกำพร้าแล้วยังเร่ร่อน น่าเห็นใจนะคะคุณหญิง เนื้อตัวผิวพรรณก็ผ่องใส จับแต่งตัวดี ๆ ก็คงพอดูได้ แต่สำเนียงเวลาพูดยังฟังแปร่ง ๆ หู ก็ค่อย ๆ ฝึกไป”

ศุภางค์ขัดใจที่เพื่อนถูกว่า หล่อนยอมรับว่าสำเนียงการพูดของบัวเกี๋ยงยังแปร่งเพราะผสมกับสำเนียงถิ่นเดิม แต่หากเป็นภาษาอังกฤษแล้วละก็ บัวเกี๋ยงด่าได้ไฟแลบราวกับเจ้าของภาษา เพราะว่าหล่อนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษมาจากมิชชันนารีโดยตรง

คุณหญิงต่วนคล้ายจะพูดให้กำลังใจหญิงสาว แต่แท้จริงก็กดให้บัวเกี๋ยงอยู่ต่ำกว่าธิดาของหล่อน

“ดีแล้วล่ะที่เป็นเพื่อนหนูพัด หมูหมากาไก่พลัดหลงมาเรายังหาข้าวหาน้ำเลี้ยงมัน นี่คนทั้งคน เซซังมาจากไหนไม่รู้ เราคบหาไว้ก็เหมือนว่าได้ทำบุญโปรดสัตว์”

บัวเกี๋ยงคอแข็งขึ้นมาทันที คุณหญิงคนนี้พูดจาเหน็บแนมภายใต้คำพูดเรื่อย ๆ ติดตลกให้ดูว่ามิใช่เรื่องจริงจัง ประกาศความเป็นศัตรูกันตั้งแต่พบหน้าครั้งแรกเลยทีเดียว มิใช่ว่าบัวเกี๋ยงไม่เคยเจอใครว่ากระทบอย่างนี้ ตรงกันข้าม หล่อนเจอมาเยอะทีเดียวนับแต่จำความได้ เด็กในตลาด หรือแม้แต่ผู้ใหญ่ก็ล้อหล่อนว่า อีลูกไม่มีพ่อไม่มีแม่อยู่บ่อยครั้ง คู่ปรับคนสำคัญก็คือ อีเหมย คนสนิทของอี่นายซ้องปีบนั่นยังไง

ถ้าเป็นเมื่อก่อน บัวเกี๋ยงจะพุ่งตัวเข้าใส่คนที่ว่าล้อ มือน้อย ๆ ข่วนหน้าบ้าง จิกผมบ้าง แม้แต่กัดลงไปให้จมเขี้ยวก็เคยทำ แค่เป็นกำพร้าชีวิตก็ทุกข์ทนมากพออยู่แล้ว เรื่องอะไรจะยอมให้คนมาล้อเลียนดูหมิ่นถิ่นแคลนศักดิ์ศรีกันอีก

จะไพร่-ผู้ดี จะมีพ่อแม่หรือเป็นกำพร้า ถอดยศศักดิ์ออกไป มันก็เป็นคนเหมือนกัน

เมื่อมาอยู่กับอี่นายกาสะลอง บัวเกี๋ยงจึงรู้จักยับยั้งอารมณ์โกรธได้บ้าง เมื่อนายหมอทรัพย์มาคอยกำกับไว้อีกทาง บัวเกี๋ยงก็รู้จักวางตัวมากขึ้น และเมื่อได้เข้าโรงเรียนจนมาอยู่ในพระนคร ได้เรียนรู้ขนบธรรมเนียมของสังคมที่ไม่เคยรู้จัก บัวเกี๋ยงก็ได้เรียนรู้ว่า การโต้ตอบทันควันด้วยอารมณ์นั้น เป็นการไม่ฉลาดเลย

แต่ที่คิดว่าจะไม่โต้ตอบนั้น เห็นจะไม่มีทาง

 

ผู้ใหญ่สนทนากันในเรื่องเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกันของลูก แต่มิได้พูดตรง ๆ ลดเลี้ยวไปมาแต่ทว่าเข้าใจความนัยที่หมายถึง เมื่อสบจังหวะโอกาสหนึ่ง วันวัสสาน์จึงออกปากว่า

“ลูกขอตัวไปที่ครัวก่อน”

“พ่อสุพลไปส่งน้องสิลูก น้องไม่เคยมาบ้านนี้ ไปเองคงไม่ถูก” คุณหญิงต่วนบอกกับว่าที่ลูกเขย

“หนูพาไปเองค่ะ แล้วจะขอคุณแม่อยู่ช่วยในครัวเลย” ศุภางค์เสนอขึ้นมา “จะได้ดูด้วยว่า คุณเล็กทำกับข้าวเก่งอย่างไร”

“หนูวัสสาน์จะทำอะไรบ้างจ้ะ ถ้าหลายอย่างมากมาย ป้ากลัวหนูจะเหนื่อยเกินไปเสียเปล่า ๆ”

“ตอนเที่ยงนี้จะทำน้ำพริกกับซาวน้ำให้รับค่ะ แล้วจะทำหมี่กรอบเป็นของว่าง ตอนเย็นตั้งใจจะทำมัสมั่นกับลุดตี่เจ้าค่ะ” วันวัสสาน์ตอบเสียงเรียบหวานละมุน ถูกใจคุณหญิงบริรักษ์ฯ

“วุ้ย! ไม่มากไปหน่อยหรือจ๊ะ แต่ละอย่างที่ว่ามา ของยากทั้งนั้น” บ่นแล้วก็หันไปทางคุณหญิงต่วนผู้ยิ้มปลื้มกับคุณสมบัติของบุตรี “ยายพัดไม่มีหรอกค่ะอย่างนี้ เก่งแต่เที่ยวเล่นโลดโผนโจนทะยาน จนบางครั้งอิฉันกับเจ้าคุณต้องหันมาถามกันว่า เรามีลูกสาวจริง ๆ หรือว่ามีลูกชายสองคน”

“หมี่กรอบทำไม่ยากค่ะ คุณพัดดู ๆ ไปครั้งเดียวก็จำได้ ทำเองคร้านจะอร่อยกว่าที่ดิฉันทำ”

“แหม…ถ่อมตัวเสียจริง เอาเถอะจ้ะ ป้าจะรอชิม”

ศุภางค์ลุกนำวันวัสสาน์ไปทางครัว บัวเกี๋ยงก็ตามไปด้วย สุพลขยับจะลุกตามไปอีกคน แต่บิดาดักไว้เสียก่อน

“สุพลตามพ่อไปที่ห้องหนังสือหน่อย มีเอกสารบางรายการพ่ออ่านแล้วยังไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าพินิจดูแล้วเราไม่เข้าใจทั้งคู่ ตอนเย็นจะได้เรียนถามท่านเจ้าคุณแพทย์ว่าความข้อนั้นท่านหมายความว่ากระไร”

“ขอรับคุณพ่อ” สุพลขานรับแล้วลุกตามบิดาไปยังห้องหนังสือ

เหลือเพียงสองคน ธรรมเนียมเคร่งครัดต่าง ๆ ก็คลายลง คุณหญิงต่วนถามตรง ๆ ไม่อ้อมค้อม ไม่ให้ตั้งตัวว่า

“พ่อสุพลถูกตาต้องใจนังเด็กลาวคนนี้ใช่ไหมคะ?”

“หามิได้ค่ะ ก็รักใคร่เอ็นดูอย่างน้องสาวเท่านั้น เขาเป็นเพื่อนสนิทยายพัดนี่คะ”

“คุณหญิงอย่าปดฉัน ฉันเชื่อว่าคุณหญิงก็รู้สึกเหมือนอิฉัน เด็กสองคนนี่ดูท่าจะยังไง ๆ อยู่”

คุณหญิงต่วนระบายลมหายใจอย่างระอา มองมาที่คุณหญิงพลับ บอกน้ำเสียงจริงจังว่า

“ถ้าแม่เล็กจะต้องแคล้วคลาดจากพ่อสุพล อิฉันก็ไม่เสียดมเสียดายอะไรเลย ด้วยว่าจะหาชายหนุ่มที่ดีพร้อมหรือดีกว่าพ่อสุพลก็เห็นจะไม่ลำบากถึงขั้นพลิกแผ่นดินหา แต่อิฉันไม่อยากถูกใครนินทา ว่าที่ลูกสาวคลาดแคล้วมา เพราะสาวลาวเป็นกำพร้าคนหนึ่งเท่านั้น”

คุณหญิงบริรักษ์เวชการรู้สึกเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นตบหน้าเข้าอย่างจัง ถ้อยคำของคุณหญิงรัชฎาสรรพกิจกินนัยหลายประการ ทั้งว่ามีคนที่ดีกว่าลูกชายของหล่อน และว่าสุพลเป็นคนตาต่ำ แยกเพชรกับกรวดทรายไม่ได้ว่าอย่างไหนมีค่ากว่ากัน

“คุณหญิงไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนั้น สุพลเป็นคนมีอนาคตไกล อิฉันไม่มีวันให้คนไม่มีหัวนอนปลายเท้าอย่างเด็กคนนั้นมาเกี่ยวดอง เป็นทองแผ่นเดียวกันแน่”

“คุณหญิงยืนยันมั่นเหมาะแบบนี้ อิฉันก็เบาใจ” รอยยิ้มยกที่มุมปากเล็กน้อยอย่างมีความหมาย “อย่าให้แม่เล็กต้องย้อนมาถอนหงอกคุณหญิงก็แล้วกัน”

 

วันวัสสาน์ตามศุภางค์มาที่ครัว กวาดตาดูทั่วครู่เดียวก็พอใจว่าครัวใหญ่กว้างขวาง ข้าวของจัดวางไว้เป็นสัดส่วน บ่าวที่หล่อนพามาด้วยรื้อข้าวของออกวางเรียงแยกไว้เป็นหมวดหมู่ ผักอยู่กองหนึ่ง เนื้อสัตว์อยู่กองหนึ่ง บอกให้รู้ว่าแต่ละคนรู้หน้าที่และผ่านการอบรมมาดีจากเจ้านาย

หญิงสาวนั่งลงบนตั่ง สั่งให้บ่าวคนหนึ่งตั้งน้ำร้อนเพื่อต้มกุ้งสำหรับทำน้ำพริก อีกคนขูดเนื้อปลากรายเตรียมทำแจงลอน คนที่คั้นกะทิแยกหัวกับหางไว้คนละอ่าง ส่วนคนที่เตรียมผักเหมือดก็รู้งานเป็นอย่างดี ที่ต้องกินสดอย่างมะละกอหรือหัวปลี ซอยแล้วแช่น้ำเกลือมิให้ดำ ที่ต้องการให้สดกรอบก็แช่น้ำปูนใส ยอดเล็บครุฑก็เด็ดไว้สำหรับชุบแป้งทอด

วันวัสสาน์กำกับบ่าวอย่างคล่องแคล่ว ฝ่ายเจ้าของบ้านก็นั่งมองอย่างเพลิดเพลิน ดูไปทางไหนก็เจริญตา บัวเกี๋ยงสังเกตว่า ‘น้ำพริก’ ที่หญิงสาวจะทำนั้น ไม่มีพริกอยู่เลย หากไม่นับที่เห็นนางบ่าวคนหนึ่งซอยพริกดองน้ำปลาที่เพื่อนสนิทบอกว่าเป็นเครื่องสำหรับขนมจีนซาวน้ำ

ครั้นบ่าวคนหนึ่งโขลกเครื่องแกงอันประกอบด้วยหอมแดง กระเทียม และรากผักชี วันวัสสาน์ก็ตักถั่วเขียวกะเทาะเปลือกที่ต้มกับกะทิจนนิ่มลงไปโขลกรวมกัน ก่อนใส่เนื้อกุ้งลงไปโขลกหยาบ ๆ อีกทีหนึ่ง

ด้วยความสงสัย บัวเกี๋ยงจึงถามออกไป

“ไม่ใส่พริกสักเม็ด มันจะเป็นน้ำพริกได้ยังไง”

วันวัสสาน์หันมามองช้า ๆ ยิ้มอ่อนหวานในหน้า มุมปากยกน้อย ๆ ที่ใครก็มองว่างามละมุนละไม แต่ศุภางค์คิดว่ารอยยิ้มนั้นปนเหยียด

“เธอไม่เคยกินขนมจีนน้ำพริกรึ ถึงถามอย่างนี้”

บัวเกี๋ยงส่ายหน้าทันที ฝ่ายนั้นก็ยิ้มแล้วบอกเรียบ ๆ ว่า

“ถ้าอย่างนั้นก็รอชิมตอนเสร็จก็แล้วกัน จะได้รู้เองว่าเป็นอย่างไร”

“มีอะไรให้ทำหลายอย่างเลยนะคะ” บัวเกี๋ยงว่า เพราะขนมจีนหรือที่คนเหนือเรียก ‘ขนมเส้น’ ที่หล่อนคุ้นเคยนั้น แค่คลุกน้ำปลา หรือราดแกงลงไปก็กินได้แล้ว ไม่มีเครื่องแนมมากมายต้องเตรียมขนาดนี้

แม้ว่าลูกมือของวันวัสสาน์จะทำงานได้ดี และยังมีบ่าวจากบ้านนี้คอยช่วยอีกสองคน บัวเกี๋ยงก็ยังอาสา

“มีอะไรให้ฉันช่วยไหม สับปะรดนั่นต้องปอกหรือเปล่า ฉันทำให้”

“ไม่เป็นไรจ้ะ” วันวัสสาน์ยิ้มตอบ “บ่าวของฉันรู้หน้าที่ตัวเองดีอยู่แล้ว ว่าต้องทำอะไรตอนไหน ถ้าเธอสนใจจะอยู่ตรงนี้ ก็นั่งดูเฉย ๆ ฉันไม่ว่าอะไร”

คำพูดอ่อนหวานอย่างผู้มีกิริยาดีนั้น ศุภางค์ตีความให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า…อย่าจุ้นจ้าน เกะกะ

หล่อนจึงเอ่ยขึ้นมาว่า

“บัวเกี๋ยง ตัวไม่ทำอะไรให้พี่ชายกินมั่งล่ะ ฝีมือตัวก็ใช่ย่อย เรารู้”

นางบ่าวสองคนที่นางเต่าให้มาช่วยเป็นลูกมือวันวัสสาน์ปรายตามองมาทางบัวเกี๋ยงแล้วหันไปยิ้มให้กัน น้ำหน้าอย่างนี้นะหรือ จะทำครัวสู้คุณหนูธิดาพระยารัชฎาฯ กะอีแค่ห่อขนมสวยไม่ได้แปลว่าจะทำกับข้าวอร่อยเสียเมื่อไร

บัวเกี๋ยงเข้าใจวัตถุประสงค์ของเพื่อน ประกอบกับยังแค้นใจที่คุณหญิงรัชฎาสรรพกิจดูแคลนหล่อนไว้ก่อนหน้านี้ จึงตอบเพื่อนด้วยเสียงดัง ได้ยินไปทั้งครัวว่า

“ฉันไม่ทำหรอก ถ้าพี่ชายตัวอยากกินกับข้าวฝีมือฉัน ให้มาขอเอาเองสิ ถ้าเวทนา ก็จะทำส่ง ๆ ให้กินไปพอหายหิว แต่ถ้าเขาไม่พูดอะไร ไอ้จะขนข้าวของเข้ามาเสนอหน้าทำให้ถึงที่ ประเคนป้อนให้ถึงปาก ฉันไม่ทำ”

ศุภางค์อยากจะลุกขึ้นตบมือเสียเดี๋ยวนั้น ส่วนนางเต่าที่นั่งอยู่ไม่ห่างก็ตบเข่าฉาดอย่างถูกใจ

วันวัสสาน์รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรงจนชาไปทั้งร่าง ยังนึกหาทางตอบโต้ไม่ได้ก็ใช้วิธีนิ่งเงียบ

เสียงชายหนุ่มดังขึ้นที่ประตูครัว

“แสดงว่าถ้าฉันขอให้เธอทำ เธอก็จะทำให้ฉันกินจริง ๆ ใช่ไหม”

ทุกคนหันไปที่สุพลเป็นตาเดียว บัวเกี๋ยงเท่านั้นที่หันไปมองแล้วต้องสะบัดหน้ากลับ เพราะไม่อาจสู้ประกายระยับในดวงตาของชายหนุ่มได้ หล่อนพลาดให้เขาเสียแล้ว



Don`t copy text!