วิมานใยบัว : บทนำ
โดย : เนียรปาตี
วิมานใยบัว โดย เนียรปาตี นิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวของบัวเกี๋ยงจากกลิ่นกาสะลอง บัดนี้เธอเติบใหญ่และต้องเผชิญกับชะตาชีวิตที่ยากลำบาก ในวันเวลาที่หมอส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย บัวเกี๋ยงจะสามารถทำความฝันของเธอให้เป็นจริงได้หรือไม่ ไหนจะเรื่องเรียนและเรื่องหัวใจ วิมานของเธอจะมีหน้าตาเป็นเช่นไร
“บัวเกี๋ยง…บัวเกี๋ยง…ฮักษาเนื้อฮักษาตั๋วเน่อ”
เสียงใสดังระฆังแก้วแว่วจากที่ใดไม่ปรากฏ นุ่มนวลทว่าเย็นเยียบก้องสะท้อนไปมาราวอยู่ในถ้ำ บัวเกี๋ยงจำได้ว่าเป็นเสียงใคร จึงขานตอบ
“อี่นาย! อี่นายกาสะลอง อี่นายอยู่ไหนเจ้า?”
ยังมิทันจะส่ายตาแลหา เสียงทุ้มหากละมุนก็เรียกเป็นเชิงดุแกมสัพยอก
“บัวเกี๋ยง! เจ้าเป็นเด็กดีหรือเปล่า?”
หันไปเห็นหมอทรัพย์ยิ้มละไม แสงสว่างเรืองจับรอบกาย บัวเกี๋ยงขานตอบไปว่า
“ข้าเจ้าเป็นเด็กดี บ่เคยหนีโรงเรียน ช่วยงานเตี่ยกับม้าทุกอย่างเจ้า” เสียงนั้นรัวเร็วด้วยความยินดีที่ได้พบหน้า “นายหมอเจออี่นายกาสะลองแล้วแม่ก่ นายหมอพาอี่นายมาถึงเมืองใต้แล้วแม่นก่”
“บัวเกี๋ยง…ฮักษาเนื้อฮักษาตั๋วเน่อ” เสียงดังระฆังแก้วกังวานขึ้นอีกครั้ง สะท้อนไปมาแล้วค่อยเบาลง…เบาลง…จนหายไป แล้วกลับดังขึ้นมาใหม่เป็นระลอกคลื่นเรื่อยไปไม่จบสิ้น
“อี่นาย…อี่นายอยู่ไหน นายหมออยู่ตางนี้…ทางนี้”
บัวเกี๋ยงหันมาทางเดิม ใบหน้าละมุนที่คุ้นเคยภายใต้แว่นตาบางใสของนายหมอทรัพย์ยังปรากฏชัดถนัดตา ทว่านายหมอกลับเอ่ยคำเหมือนจะลาจาก
“เป็นเด็กดีนะบัวเกี๋ยง เราคงอยู่ดูแลเจ้าไม่ได้แล้ว”
ไอเย็นลอยคลุ้งขึ้นมาก่อตัวเป็นม่านขาวค่อย ๆ หนาขึ้น…หนาขึ้นจนบดบังทุกอย่าง แลหาสิ่งใดไม่เห็น ดวงหน้านายหมอทรัพย์เลือนหายไปในไอหมอก กลิ่นดอกกาสะลองโชยอบอวลชวนดม แต่หาช่อดอกที่แซมผมอี่นายไม่พบ เสียงระฆังแก้วที่แว่วเรียกชื่อลอยห่างออกไป กลุ่มไอหมอกก่อตัวหนาขึ้นจนอึดอัด จากที่รู้สึกเย็นชื่นซ่านทรวง กลายเป็นดั่งบ่วงบีบรัดอัดแน่นจนหายใจไม่ออก บัวเกี๋ยงดิ้นทุรนไปมา ทว่าในความจริงร่างกายแทบไม่กระดิก
วินาทีที่ลมหายใจจวนสุดห้วง…ขาดหาย บัวเกี๋ยงก็รู้สึกเหมือนคนจมดิ่งลงไปใต้น้ำแล้วทะลึ่งพรวดขึ้นมาสูดรับอากาศเบื้องบน หายใจหอบเหนื่อยราวคนวิ่งมาไกลจวนใกล้หมดแรง เหงื่อซึมไปทั่วกาย
“ฝันไปหรือนี่…” บัวเกี๋ยงรำพึงกับตัวเองเมื่อรู้สึกตัว “นายหมอ อี่นาย ตอนนี้เป็นจะไดพ่อง ครึ่งปีแล้วบ่ได้ข่าวคราว จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้างหนอ”
ในช่วงแรกที่มาถึงเมืองใต้หรือกรุงเทพพระมหานคร บัวเกี๋ยงก็ได้อาศัยอยู่กับจีนชรา บิดามารดาของนายหมอทรัพย์ ทั้งสองอยู่ในวัยเดียวกับอาม่ากิมฮวยและอากงไต้ก๋งเรือ เมื่อได้อ่านจดหมายฝากฝังบัวเกี๋ยงที่หมอทรัพย์เขียนไว้ รู้ว่าเป็นกำพร้ามาแต่เด็ก จึงเลี้ยงดูเสมือนเป็นลูกสาวคนเล็ก บัวเกี๋ยงจึงเรียกจีนทั้งคู่ว่าเตี่ยและม้า แทนที่จะเรียกอากงและอาม่าอย่างที่ควรเป็น
เมื่อคลายความเศร้าโศกและตั้งสติว่าต้องใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองใต้นี้จริง ๆ บัวเกี๋ยงจึงขอให้เตี่ยกับม้าพาไปพบอากงไต้ก๋งเรือที่บ้าน เผื่อว่าจะมีข่าวคราวจากทางเหนือบ้าง แต่ก็ผิดหวังกลับมาทุกครั้ง เพราะอากงไม่ได้นำสินค้าขึ้นไปขายที่เชียงใหม่อีก นับจากวันที่ล่องเรือจากเชียงใหม่มาเมืองใต้เที่ยวสุดท้ายในวันนั้น…วันที่นายหมอทรัพย์วางแผนพาอี่นายกาสะลองหนีมาด้วยกัน
แผนการล้มเหลวไม่เป็นท่า แต่อากงก็มุ่งหน้าลงใต้ต่อ มิได้ย้อนกลับไปช่วยเหลือนายหมอทรัพย์ นับจากนั้นก็แทบว่าจะตัดขาดการรับรู้ใด ๆ ทางมณฑลพายัพอีก
ครั้นถามคณะมิชชันนารี ก็ได้เรื่องที่ทำให้แทบล้มทั้งยืน ข่าวจากเชียงใหม่เดินทางมาแสนไกล เมื่อถึงเมืองใต้ เรื่องก็ขยายกลายเป็นว่า
‘นายหมอทรัพย์ทำทีเป็นโจรขึ้นบ้านนายแคว้นมั่ง พาลูกสาวคนหนึ่งหนีไป ทางการตามจับตัวกันให้จ้าละหวั่น’
‘แล้วเป็นยังไงกัน จับตัวได้ไหม’ บัวเกี๋ยงถามด้วยภาษาอังกฤษง่าย ๆ ที่พอจะใช้ได้ คำตอบที่ได้รับทำให้โล่งใจ
‘ไม่มีใครเห็นหมอทรัพย์อีกนับแต่วันนั้น’
นายหมอคงรอด พาอี่นายกาสะลองหนีไปซ่อนตัวที่ไหนสักแห่งแน่ ๆ คิดได้เช่นนี้บัวเกี๋ยงก็รอคอยอย่างมีความหวังว่า ถ้านายหมอประเมินสถานการณ์ดูแล้วว่าปลอดภัย ในวันหนึ่ง นายหมอทรัพย์จะต้องพาอี่นายกาสะลองมาถึงเมืองใต้นี้แน่นอน
บัวเกี๋ยงสบายใจขึ้นบ้าง นับจากวันนั้น เมื่อว่างจากการเรียนและช่วยงานในร้าน บัวเกี๋ยงจะนั่งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาดูสายน้ำที่รี่ไหลอย่างมีความหวัง เรือขนถ่านผ่านไปวันแล้ววันเล่า เรือสินค้า เรือพายขายของก็มีให้เห็น แต่ไม่มีเรือลำใดที่มีนายหมอทรัพย์และอี่นายกาสะลองล่องผ่านมาเลย
บางวันเด็กสาวก็เตร่ไปแถวสถานีรถไฟ เผื่อว่าผู้โดยสารรถไฟสายเหนือสักขบวนหนึ่งจะเป็นนายหมอจูงมืออี่นายก้าวลงมา แล้วปลอบว่า…กาสะลองอย่ากลัว เมืองใต้ไม่น่ากลัวอย่างที่กาสะลองวิตกหรอก
กว่าหกเดือนที่ข่าวคราวของนายหมอทรัพย์และอี่นายกาสะลองเงียบหายไป จนกระทั่งในความฝันวันนี้ เสียงอี่นายกาสะลองร้องเรียกก้องกังวานไปทั่วแต่ไม่เห็นตัว อีกด้านหนึ่งหมอทรัพย์มาปรากฏให้เห็น ถามบัวเกี๋ยงว่าเห็นอี่นายกาสะลองหรือไม่
โธ่เอ๋ย! นายหมอ…บัวเกี๋ยงอยากจะเท้าสะเอวบ่นเหมือนที่เคยทำ
‘เสียงอี่นายดังอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง นายหมอบ่ได้ยินกา’
ไม่ทันได้ทำดั่งใจคิด ภาพนายหมอทรัพย์ก็เลือนรางห่างไป ถูกกลืนหายในไอหมอกขาว ในฝันนั้นราวกับว่านายหมอทรัพย์และอี่นายกาสะลองต่างตามหากันและกัน บัวเกี๋ยงฉงนใจ ก็อยู่ใกล้กันเท่านี้ ทำไมหากันไม่พบ
ความคิดหนึ่งแวบขึ้นมา…หรือว่า จะไม่ใช่ความฝัน!
บัวเกี๋ยงรีบลุกจากที่นอน วิ่งตึง ๆ ลงไปข้างล่าง อาม้ากำลังจุดไฟเตรียมต้มน้ำทำกับข้าว เด็กสาววิ่งสำรวจทุกซอกมุม ปากร้องแต่ “นายหมอ นายหมอปิ๊กมาแล้วกา…กลับมาแล้วหรือ”
ยังไม่ทันที่อาม้าจะซักถามว่าเป็นอะไร เสียงตบประตูอย่างร้อนใจก็ดังขึ้น แง้มประตูออกเห็นว่าเป็นใครจึงเปิดให้เข้ามา จากสีหน้าอากงหวั่นว่าจะมีเรื่องร้าย เตี่ยสะดุ้งตื่นตอนได้ยินเสียงตบประตูนั่นเอง จึงรีบออกจากห้องมาดู ก็พบอากงเจ้าของเรือสินค้ามีสีหน้าว้าวุ่นใจ
“ลื้อมีอะไร มาหาแต่เช้ามืด หน้าตาไม่สบาย” อาเตี่ยถาม
“อั๊วะมีเรื่องร้อนใจ จะรอให้สายกว่านี้อั๊วะก็ทนไม่ไหว อกจะระเบิดตายอยู่แล้ว” อากงมองหน้าทั้งสามคนนิ่ง นึกหาคำพูดว่าจะบอกอย่างไรดี พะวักพะวนอ้ำอึ้งเอ้ออ้า จนเตี่ยต้องกระทุ้ง
“ลื้อมีอะไรก็บอกมาไว ๆ เร่งมาหาแต่เช้ามืด ถึงตอนนี้มาทำอมพะนำ”
อารามตกใจเสียงห้วนของอาเตี่ย อากงจึงโพล่งออกไป
“อาทรัพย์อีตายแล้ว อีซี้แล้วอ่า”
ทั้งอาเตี่ย อาม้า และบัวเกี๋ยงรัวคำถามมายังอากงราวห่ากระสุน อันล้วนขอความมั่นใจว่าข่าวนี้เชื่อถือได้แค่ไหน หรือถ้าอากงจะหยอกเล่น ก็เป็นเรื่องที่เล่นกันแรงอยู่ไม่น้อย
“อั๊วะจะมาล้อเล่นกับพวกลื้อทำไม แก่จนจะซี้อยู่นี่แล้ว อั๊วะก็รู้น่า ว่าอะไรควรเล่นไม่ควรเล่น ลูกน้องอั๊วะที่เคยขึ้นไปขายของที่เชียงใหม่ หลายคนไม่ได้กลับมากับอั๊วะ ยังรับจ้างอยู่ที่นั่น คนหนึ่งอีรับจ้างพวกทำไม้ ไปไกลถึงเมืองแจ๋ม อีป่วยขึ้นมา โชคดีมีคนช่วยรักษา ก็ชาวบ้านแถวนั้นแหละ”
อากงเล่าต่อไปว่าช่วงที่ลูกน้องเก่ารักษาตัวอยู่นั้น ชาวบ้านก็พึมพำให้เข้าหูว่าถ้านายหมอทรัพย์ยังอยู่ คงรักษาให้หายได้ไวกว่านี้ คุยกันไปซักกันมา จึงมั่นใจว่านายหมอทรัพย์ที่ชาวบ้านเอ่ยถึงอย่างยกย่องนั้น คือคนเดียวกับ ‘อาทรัพย์’ หลานชายอากงที่นั่งเรือสินค้าขึ้นไปเป็นหมออยู่โรงพยาบาลฝาหรั่งที่เชียงใหม่
บัวเกี๋ยงนึกถึงความฝันเมื่อเช้ามืด หรือว่าที่เห็นเป็นนายหมอนั้นคือ…
นายหมอมาสั่งเสียและบอกลาหรือ…โอ…ไม่…บัวเกี๋ยงน้ำตาไหล ไม่อยากจะเชื่อ อยากให้เป็นเรื่องเหลวไหลเข้าใจผิด แต่ลึกลงไปในความคิดที่เชื่อถือเรื่องลางสังหรณ์ลางบอกเหตุต่าง ๆ บัวเกี๋ยงก็แทบจะมั่นใจว่า นายหมอทรัพย์จากไปแล้วจริง ๆ
น้ำตาไหลรินอย่างมิอาจกลั้น โลกในยามนั้นมืดมน แม้ว่าแสงอรุโณทัยจะเริ่มฉายระยับจับขอบฟ้า ขาทั้งสองข้างไม่อาจทรงกาย ภาพหลังม่านน้ำตาพร่าพราย โลกคล้ายหมุนคว้าง แล้วร่างของบัวเกี๋ยงก็ทรุดลงไปพร้อมกับสติรับรู้ดับลง
นานข้ามวันที่เด็กสาวนอนซมด้วยพิษไข้ ไอร้อนผ่าวจับอยู่ทั้งตัว หน้าแดง ริมฝีปากแตกแห้ง พอจะเผยอละเมอเป็นคำออกมาเบา ๆ ก็มีเพียงคำว่า…นายหมอ…สลับกับ…อี่นาย
จีนชราต้มยามาประคองให้กิน เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ไข้ลด แต่ทั้งหมดบัวเกี๋ยงก็ไม่รู้สึกตัว ร่างกายอาจจะพอฟื้นได้ แต่กำลังใจที่ไม่หลงเหลือทำให้ไม่ฟื้นคืนเท่าที่ควรจะเป็น ล่วงเข้าวันที่สาม อาการไข้หายไปเกือบหมด แต่บัวเกี๋ยงยังนอนซมอยู่บนเตียง ไม่ยอมลุกไปไหน มีสตินึกถึงนายหมอเมื่อใด น้ำตาก็ไหลลงมาเปียกหมอนจนชุ่ม แล้วก็หลับ เป็นอย่างนี้เวียนสลับเรื่อยไป
ขนตายาวงอนกะพริบถี่ก่อนจะลืมขึ้นมาเต็มตาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้แปลกใจ เพราะดวงตากลมดำที่มองมานั้นมิใช่เตี่ยหรือม้า
“เธอตื่นพอดี หรือว่าฉันมาปลุกเธอให้ตื่นกันนี่” น้ำเสียงทุ้มนั้นสดใส แต่ก็มีรอยสำนึกผิดแทรกอยู่
บัวเกี๋ยงจ้องหน้านั้นนิ่งครู่ใหญ่เพื่อรวบรวมสติและความทรงจำ รำพึงออกมาเบา ๆ
“สุพล…”
“ใช่แล้ว ฉันเอง” เด็กหนุ่มตอบ “เธอไม่ไปที่โรงพยาบาลหลายวัน ฉันเลยแวะมาหาเธอที่บ้าน จึงเพิ่งรู้ว่าเธอป่วย”
ดวงหน้าใสที่ซ้อนอยู่ข้างหลังเห็นผลุบโผล่ตั้งแต่ทีแรก ชะโงกมาอยู่ข้าง ๆ ให้เห็นถนัดยิ่งขึ้น
“คนนี้เองหรือคะ ที่พี่ชายเล่าให้น้องฟัง” เด็กสาวมิได้ถาม เพียงแต่เกริ่นนำให้ตัวเองเท่านั้น “ฉันเป็นน้องสาวของพี่สุพล ชื่อศุภางค์ เธอจะเรียกสั้น ๆ ว่า พัด ก็ได้”
“ฉันชื่อบัวเกี๋ยง”
“ฉันรู้แล้วละ” ศุภางค์รีบตอบแล้วสาธยาย “พี่สุพลเล่าเรื่องเธอให้ฟังหลายอย่าง ตั้งแต่ชื่อบัวเกี๋ยงที่ได้ยินครั้งแรกฉันก็แปลกหูแต่ก็จำได้เลยทันที พี่ชายว่าเธอมาจากเมืองเหนือ แต่พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วยังชมว่าเธอมีความรู้เรื่องสมุนไพรจีน”
ศุภางค์จ้อไม่หยุด ถือเอาอาการที่บัวเกี๋ยงไม่ตอบโต้ว่าเป็นการยินดีฟัง บัวเกี๋ยงลอบมองไปทางสุพลก็เห็นว่าเขาหน้าแดงน้อย ๆ เมื่อน้องสาวเขาชักจะพูดมากเกินไป พยายามส่งสายตามาปรามหลายครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งศุภางค์พูดว่า
“พี่ชายพูดถึงแต่เธอมิได้หยุดหย่อน จนฉันคิดว่าพี่ชายต้องสนใจเธอมากแน่ ๆ”
สุพลกระแอมดังให้น้องสาวหยุด และได้ผลแม้จะไม่ตรงวัตถุประสงค์นัก เพราะศุภางค์หันมาถาม
“อะไรติดคอพี่ชายหรือคะ?”
“ไม่มีอะไร พี่กลืนน้ำลายผิดจังหวะเท่านั้น” แล้วสุพลก็รีบตัดบทลา “เธอดีขึ้นก็ดีแล้ว ระยะพักฟื้นนี้สำคัญ เราควรกลับกันได้แล้ว คนป่วยจะได้พักผ่อน ไว้หายดีเราค่อยมาเยี่ยมใหม่ก็ได้”
“แหม…เสียดาย ได้คุยกันนิดเดียว น้องถูกชะตากับบัวเกี๋ยงยังไงก็ไม่รู้ พี่ชายล่ะคะ ถูกชะตาบัวเกี๋ยงไหม”
สุพลหันมาขึงตาใส่น้องสาว แต่ศุภางค์ก็ทำทีมองไม่เห็น หันมากล่าวลาคนป่วย
“แล้วฉันกับพี่ชายจะมาเยี่ยมเธอใหม่นะจ๊ะ…บัวเกี๋ยง”
บัวเกี๋ยงยิ้มให้แก่สองพี่น้อง มองจนร่างทั้งสองลับไปจากประตู มิรู้ว่าเพราะเหตุใด ในยามนี้หัวใจจึงอบอุ่นขึ้น หลับตาลงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้หลับไปด้วยใจเป็นสุข อยากหายป่วยกลับฟื้นคืนเป็นปกติดังเดิมไว ๆ จะได้ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่เร็ว ๆ นึกถึงรอยยิ้มของศุภางค์ที่สดใสเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าและเสียงจ้อของหล่อนที่เหมือนนกกระเต็นร้องและเต้นไปมาบนกิ่งไม้ พยายามไม่นึกถึงใบหน้าของสุพลที่คอยแทรกเข้ามา แววตาที่มองมานิ่ง ๆ อย่างอาทร ทว่าร้อนแรงดุจมีอานุภาพประหลาดซ่อนอยู่จนต้องหลบหน้ามิให้เขาเห็นว่าหล่อนมีอาการสะเทิ้นอาย
เมื่อรู้ข่าวการจากไปของนายหมอทรัพย์และอี่นายกาสะลอง บัวเกี๋ยงรู้สึกเหมือนดวงประทีปแห่งชีวิตได้มอดดับไป หากบัดนี้ ดุจว่ามีเปลวไฟส่องทางดวงใหม่อุบัติขึ้นกลางใจเธอ