
ค้นหาความจริงที่ซ่อนลึกอยู่ในใจไปกับ “วัชรนริศ” ใน “มรดกมนตรา”
โดย : YVP.T
เมื่อคนที่เคยอยู่หน้ากล้องในฐานะพิธีกร ได้หยุดนิ่งและหันกลับมาฟังเสียงของตัวเองอย่างแท้จริงก็ได้พบว่าศิลปะไม่ว่าจะเป็นภาพ สีหรือถ้อยคำ คือภาษาที่หัวใจของตัวเองพูดได้คล่องที่สุด
‘นิว-วัชรนริศ เปรมปรีชา’ จึงตั้งใจถ่ายทอดความรู้สึกอันลึกซึ้งผ่านงานสร้างสรรค์ทุกชิ้นในฐานะ ศิลปินและนักเขียนผ่านผลงานเรื่องแรก ‘มรดกมนตรา’ ให้ทุกท่านได้สัมผัสอีกหนึ่งมิติของความงามที่อ่อนโยน แต่ทรงพลังของนวนิยายไทย
‘มรดกมนตรา’ เกิดจากความศรัทธาต่อความลึกลับของอดีต รวมถึงพลังที่ซ่อนอยู่ในหัวใจมนุษย์ วัชรนริศเชื่อว่าศิลปะและตัวหนังสือมีพลังในการปลดปล่อยเงาในใจ และชักนำแสงสว่างให้กับผู้ที่กล้าเดินเข้าไปในโลกของมัน
“ผมคือคนหนึ่งที่เติบโตมากับละครหลังข่าว เรื่องเล่าที่มีทั้งรัก ความแค้น และศรัทธาในคุณธรรม ละครเหล่านั้นหล่อหลอมให้รู้จักความหวังที่ผลิบานแม้ในเงามืด และความรักที่ต้องต่อสู้ แม้จะไม่มีอะไรรับประกันว่า ‘จะสมหวัง’ เมื่อหลังละครจบลงความรู้สึกบางอย่างที่ยังไม่สิ้นสุด แม้ว่าภาพสุดท้ายจะจางไปจากหน้าจอ แต่ความรู้สึกในการดูละครยังไม่หายไปไหน ผมจึงเริ่มต้นเขียนนวนิยายจากความรู้สึกที่ ‘ยังไม่จบ’ ของแต่ละตอนที่ได้ดู เริ่มตั้งคำถามต่อบทของตัวละคร เริ่มคิดว่าถ้าเป็นเรา เราจะเลือกอย่างไร?
“สิ่งที่กระตุ้นให้หยิบปากกาขึ้นมาขีดเขียน ไม่ใช่แค่ความฝันที่อยากเป็นนักเขียน แต่คือความรู้สึกบางอย่างที่ ‘ไม่พูดไม่ได้’ บางเรื่องราวเหมือนรอใครสักคนจะเขียนมันออกมาให้เป็นตัวอักษร และผมรู้สึกว่าอาจจะเป็นเรา ถึงแม้ว่าในวันแรกที่เขียน จะยังไม่มีใครเห็น ไม่มีเสียงชื่นชม แต่ผมก็ยังคงเขียน เพราะเขียนแล้วใจไม่ว่างเปล่า เพราะเขียนแล้วรู้สึกว่าเราเข้าใจมนุษย์มากขึ้น และเข้าใจตนเองมากขึ้นเช่นกันครับ”
‘มรดกมนตรา’ คือคำตอบแรกของหัวใจ
ก่อนที่ ‘มรดกมนตรา’ จะถือกำเนิดขึ้น วัชรนริศไม่เคยมีผลงานใดเป็นเล่มมาก่อน จึงไม่เคยผ่านสำนักพิมพ์ ไม่เคยได้รับเสียงชื่นชมจากใครในวงวรรณกรรม และเขามักจะถามตัวเองเสมอว่า ‘ถ้าเราไม่เขียนแล้วใครจะเขียนแทนเรา?’
“ก่อนหน้านี้ผมเคยเขียนเรื่องสั้นลงบันทึกส่วนตัว หรือบางครั้งก็เป็นถ้อยคำที่ร้อยเรียงคล้ายบทกวีลงในสมุด แต่มันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของความคิด ไม่ใช่นวนิยายเต็มเล่มที่มีโครงสร้างหรือจุดจบแน่นอนแบบที่เขียนใน มรดกมนตรา
“มรดกมนตรา เริ่มต้นจากภาพความฝันที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เพียงฝันที่เลือนหายไปในยามเช้า ในความฝันนั้นเห็นเป็นภาพคฤหาสน์เก่าท่ามกลางม่านหมอก ไม่ใช่เพียงภาพในจินตนาการ แต่คล้ายกับเป็นผู้ที่รอให้ผมบันทึกเรื่องราวขึ้น
“และเมื่อตื่นจากความฝัน ความรู้สึกนั้นผลักดันให้ผมเริ่มต้นเสาะหาข้อมูล เส้นทางแห่งคฤหาสน์โบราณ เวทมนตร์ คำสาป และประวัติศาสตร์ที่ซ่อนอยู่ใต้เรือนกายของกาลเวลา ผมเริ่มเดินทางทั้งในโลกแห่งความจริง และในโลกของเอกสาร บันทึก วรรณกรรมเก่า ภาพถ่าย และเสียงเล่าขานที่มักถูกลืมเลือน
“มรดกมนตรา จึงไม่ได้ถือกำเนิดจากเพียงจินตนาการ แต่มาจากเงาแห่งฝันที่กลายเป็นประกายของความจริง ผ่านการเดินทาง การค้นคว้า และแรงศรัทธาในพลังของเรื่องเล่า ที่สืบสายมาจากหัวใจของผู้เขียน สู่หัวใจของผู้อ่านครับ”
สิ่งที่วัชรนริศได้เรียนรู้จากการเขียนนวนิยายเป็นครั้งแรกคือ นวนิยายไม่ใช่เพียงการประดิษฐ์เรื่องเล่า แต่คือการขุดลึกลงไปในหัวใจ เพื่อค้นหาความจริงบางอย่างที่เรายังไม่รู้ว่า เรามีอยู่ในตัวเอง
“ผมกล้าพูดได้อย่างเต็มใจว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีผลงาน มีแต่เงาของความฝันที่รอวันจะเขียนและ ‘มรดกมนตรา’ ก็คือวันที่ความฝันกลายเป็นตัวหนังสือ
“ในช่วงเริ่มต้นของการเขียน มรดกมนตรา ผมไม่ได้มีพล็อตแน่นหนามากนัก แต่ส่วนตัวความเชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และคำถามที่ไร้คำตอบเกี่ยวกับ กรรม ที่อาจตกทอดผ่านสายเลือดและจิตวิญญาณ เขียนไปก็เถียงตัวเองไปเรื่อยๆ บางคืนก็เขียนแล้วลบ บางเช้าก็เพียงนั่งจ้องประโยคแรกอยู่นานนับชั่วโมง แต่ก็ไม่หยุดเขียนนะครับ แล้วเราก็เขียนต่อได้จริงๆ
“ในช่วงที่เขียน เราเองก็ทบทวนเรื่องราวไปด้วย ซึ่งสิ่งที่ทำให้ผมหยุดการลังเล ก็คือ ตัวละคร ที่ตัวเองสร้างขึ้นนี่ล่ะ… เมื่อทิพย์ธิดาเริ่มเอื้อนเอ่ยเสียงของเธอ เสียงที่ทั้งสงบ เข้มแข็งและเปลี่ยวเหงาในเวลาเดียวกัน…ผมก็รู้ในทันทีว่า เรื่องนี้ต้องถูกเล่าในแบบที่เธอเลือกจะเดิน ไม่ใช่แบบที่ผมวางแผนไว้ และเมื่อเงาแรกของอัคนีนาฏเทวีปรากฏในจินตนาการ ผมจึงมั่นใจว่า ถ้าไม่เล่าเรื่องนี้ในแบบที่มันเป็น มันก็คงจะไม่ยอมถูกเขียนเลย”
‘มรดกมนตรา’ คือ บทบันทึกของเงา
มรดกมนตรา สำหรับวัชรนริศมิใช่เพียงนวนิยายเรื่องหนึ่ง หากแต่คือบทบันทึกของเงาที่ตกทอดผ่านรุ่นสู่รุ่น ทั้งในรูปของความทรงจำ ความผิดบาปและการให้อภัย
“เรื่องราวเริ่มต้นจากหญิงสาวผู้หนึ่ง ซึ่งวันหนึ่งได้รับมรดกเป็นคฤหาสน์โบราณที่เธอไม่เคยรู้จักมาก่อน คฤหาสน์ที่ซ่อนคำสาปและมนตร์ดำเก่าแก่ไว้ใต้ผืนไม้และเงาแสงจันทร์ เมื่อเธอก้าวเข้ามา ก็ราวกับเปิดประตูสู่เรื่องราวที่ถูกฝังไว้เนิ่นนาน ทั้งความลับของบรรพบุรุษ วิญญาณที่ยังคงผูกพัน และอสูรสาวซึ่งรอวันฟื้นคืน
“แรงบันดาลใจหลักของเรื่องนี้เกิดขึ้นจากความรักที่ผมมีต่อ ‘ความลึกลับในความทรงจำ’ ผมมักตั้งคำถามว่า หากความรัก ความแค้น และความเสียใจของบรรพบุรุษยังไม่จางหายไปตามกาลเวลาเล่า พวกมันจะดำรงอยู่ในรูปแบบใด?
“ก่อนที่จะเขียน แน่นอนว่าต้องมีการหาข้อมูลมาเป็นฐานในการเขียน ผมหาข้อมูลทั้งจากตำราโบราณหรือเรื่องเล่าของผู้คนในยุคสมัยต่างๆ รวมถึงการศึกษาพิธีกรรม ความเชื่อพื้นบ้านและความหมายเชิงสัญลักษณ์ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อาวุธโบราณและพลังจิตวิญญาณ
“ในมุมมองของผม มรดกมนตรา จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับปีศาจ หากแต่เป็นการต่อสู้ระหว่างใจคนกับเงาในอดีต เป็นการเผชิญหน้าระหว่างสิ่งที่เราเลือกจะจำ กับสิ่งที่เราเคยพยายามลืม มันคือ ‘มนตรา’ที่เกิดจากความรัก ความกลัว และการให้อภัยอย่างแท้จริง”
หลังจากเขียน ‘มรดกมนตรา’ ซึ่งเป็นนวนิยายเรื่องแรกจบลง วัชรนริศไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้น แต่ได้มีแผนสำหรับนวนิยายเรื่องต่อไปเรียบร้อยแล้ว
“ผลงานเรื่องถัดไป เป็นเรื่องราวของ ‘เสียงที่เคยถูกกลบ’ และ ‘ความรักที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้พูดออกมาเต็มเสียง’ ในนามของเพศ ความเชื่อ และเงื่อนไขของความเป็นลูกในบ้านที่มี ‘หน้าตา’ มากกว่าความเข้าใจ
“ผมอยากเล่าถึงมนุษย์คนหนึ่งที่ไม่เคยได้รับอนุญาตให้เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง แต่ต้องใช้ชีวิตผ่านบทบาทที่ครอบครัวมอบให้ ตั้งแต่ชื่อ ชุดที่ใส่ ไปจนถึงคนที่เขาควรรัก และเมื่อวันหนึ่งเขาตัดสินใจจะรัก ‘ในแบบที่หัวใจเรียกร้อง’ ก็เท่ากับต้องต่อกรกับทั้งคำสาปจากสังคม และเงาในใจของคนในครอบครัว
“เรื่องนี้จะยังคงมีบรรยากาศที่ลึกลับอ่อนหวานตามแบบฉบับผม และอาจมีบางมิติของสิ่งเหนือธรรมชาติ แต่หัวใจของเรื่องนั้นคือ “ความกล้าหาญในการรัก และการให้อภัยที่แท้จริงระหว่างคนในบ้าน ผมเชื่อว่า ‘ความหลากหลาย’ ไม่ใช่เพียงสีสันของโลก แต่คือกระจกที่ส่องกลับมาให้เราเห็นหัวใจของตนเองอย่างลึกซึ้ง”
สำหรับคนที่รักการเขียน วัชรนริศได้ฝากข้อความสั้นๆ ที่เป็นแรงใจได้มากๆ ผ่านอ่านเอามาว่า “การเป็นนักเขียนไม่ใช่เพียงการมีปากกาและกระดาษ หากแต่คือการมีหัวใจที่ฟังโลกอย่างตั้งใจ ฟังผู้คนอย่างอ่อนโยน และฟังตนเองอย่างซื่อตรง จงอย่ากลัวความเงียบของหน้ากระดาษเปล่า เพราะบางครั้งความเงียบนั้นเองคือสิ่งที่เรียกเสียงในใจให้ดังขึ้น จงเขียน ไม่ใช่เพื่อให้ใครชอบ แต่เพื่อให้เราเข้าใจตนเอง และเมื่อเราซื่อตรงต่อความรู้สึกนั้นอย่างแท้จริง เรื่องราวที่เขียนจะงอกงามขึ้นเอง
“ขอเพียงท่านอย่าเร่งรีบในหนทางนี้ เพราะการเขียนไม่ใช่การวิ่ง หากคือการก้าวช้าๆ ด้วยความรัก ด้วยความอดทน และด้วยศรัทธาต่อความงามของภาษาครับ”
ติดตามเรื่องราวของ ‘มรดกมนตรา’ นวนิยายเรื่องแรกของวัชรนริศ ได้ที่ anowl.co นะคะ และเป็นกำลังใจให้นักเขียนได้ที่เพจ : อ่านเอา : anowl.co นะคะ