หมู่ดาวหมาปอม

หมู่ดาวหมาปอม

โดย : หมอนอิง พิงหลัง

Loading

ในคืนอากาศสดใส ฉันนอนเล่นอยู่ที่ชานหน้าบ้าน ทุกครั้งที่ฉันมองขึ้นไปบนฟ้าพอหันกลับมาจะมีสายตาคู่หนึ่งที่คอยจ้องมองฉันอยู่ มันค่อยๆ เขยิบเข้ามาใกล้จนจมูกเราแทบชิดกัน เสียงลมหายใจเล็กๆ จากก้อนขนฟูฟ่อง สีน้ำตาลตุ่น ดวงตาที่สุกสกาวเหมือนดวงดาวประสานกับสายตาฉัน

ทำไมนะ ท่ามกลางดวงดาวนับหมื่นนับพันบนฟ้ากว้าง ท่ามกลางสิ่งมีชีวิตนับแสนนับล้านบนโลกใบนี้ เราถึงมาพบกัน มานอนอยู่ข้างๆ กันแบบนี้

เจ้าขนปุกปุยมันเหยียดขาเอาอุ้งมาแปะบนหน้า และลุกเข้ามาเลียตาเลียคิ้วด้วยความรักใคร่ ประหนึ่งจะบอกว่าฉันรักเธอมากเหลือเกิน แล้วมันก็ตั้งท่าตูดโด่งชวนเล่น หูสองข้างเหยียดตรง ปลายหางเล็กกวัดแกว่งด้วยความดีใจ วิ่งไปคาบตุ๊กตาตัวโปรดที่เปียกโชกมาแนบกับแก้มฉัน ยังจำวันแรกที่ไปรับหมาตัวนี้กลับบ้านมาได้

ตัวขะมุกขะมอมกลมกลิ้งตุ๊ต๊ะต้วมเตี้ยมอยู่บนพื้น ฉันคิดอยู่ตั้งนานว่าจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดี ลูกหมามีกลิ่นนมๆ เหมือนกาแฟลาเต้ แต่เขาเดินทางมาจากทางภาคเหนืออันไกลโพ้น จึงตัดสินใจตั้งชื่อมันว่า ‘อมก๋อย’ ดวงตากลมโตสีน้ำตาลสุกใสจ้องมองผ่านซี่กรงไม้เล็กๆ แพขนตาหนากระพริบขึ้นลง ลิ้นสีแดงแลบโผล่ออกมาเพื่อดูดน้ำจากขวด

อันที่จริงลูกหมาที่เราเลือกมันไม่มอมแมมขนาดนี้นะ เจ้าของฟาร์มเล่าว่า ลูกหมาครอกนี้มีกันอยู่สองตัว ตอนแรกฉันเลือกหมาหน้าสวยตัวพี่จากรูปถ่าย แต่วันรุ่งขึ้นที่ไปรับเราคลาดกันเพราะมีคนมารับตัวไปประเทศสหรัฐอเมริกาเสียแล้ว เจ้าของฟาร์มจึงเสนอตัวน้องที่แอบเก็บไว้หลังบ้านให้แทน ลูกหมาที่ถูกอุ้มมาใส่ถุงเท้าสีขาวสั้นจิ๋วสี่ข้างเหมือนเด็กอนุบาลที่ถุงเท้าหลุด แต่หน้าตาดูคร่ำเครียดกับชีวิต จมูกมีสีดำปี๋ ยืนตัวสั่นไม่กล้าก้าวเดิน

ฉันเอื้อมนิ้วมือไปลูบหัวเบาและนั่งอยู่ข้างๆ ชั่วครู่ให้เขารู้สึกปลอดภัย จากนั้นมันก็เดินตุปัดตุเป๋มาหกล้มอยู่ตรงหน้า ฉันจึงเอามือช่วยไปประคอง ลูกหมาตัวเล็กเท่าฝ่ามือ หนักประมาณหกขีด มันช่างดูบอบบางน่าทะนุถนอม มันมองหน้า ดมฝ่ามือ เอียงหัวซบเข้าเหมือนจะบอกว่า นับจากนี้ชีวิตน้อยๆ ของฉัน จะฝากไว้ให้เธอดูแล

เจ้าขนพองนอนหลับตาพริ้มในอ้อมกอดของเรามาตลอดทางจนถึงบ้าน หลับสบายผ่อนคลายถึงขนาดตดปุ๋งใหญ่ มีกลิ่นตัวเป็นกลิ่นนมแบบหมาเด็ก พอถึงบ้านฉันก็จัดแจงปูพรมและตั้งคอกตามคำแนะนำของฟาร์มที่ว่ากระดูกขาของลูกหมายังอ่อน ถ้าเดินบนพื้นลื่นๆ จะทำให้ขาเสีย ฉันเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนเขารู้สึกสบายตัวขึ้น เจ้าตัวแสบสดชื่น สู้กลับ แย่งผ้าไปกัดเพราะเข้าใจว่ากำลังเล่นกัน

คืนแรกจะให้เขานอนอยู่ที่ชั้นล่างเพราะฟาร์มแนะนำว่าอย่าให้หมาติดเรามากเกินไป แต่ทว่าตัวมันเล็กมากเหลือเกินเทียบกับคอกที่ซื้อมา พอวางเขาลงในคอกมันก็เดินคอตกไปนอนขดตัวอยู่ที่มุมอย่างเหงาๆ เราอดใจไม่ไหว ให้มันเลื่อนขั้นทันทีมานอนในห้องนอนด้วยกัน พอย้ายคอกขึ้นตั้งมาบนห้องแล้ว เจ้าตัวจ้อยก็เลือกที่จะซุกตัวในคอกด้านที่ใกล้กับเตียงเราที่สุด แล้วยังยื่นขาทั้งสองออกมาข้างนอก จมูกบู้บี้ติดกับซี่กรงไม้ เหมือนย้ำว่าอย่าทิ้งเขาไป และคืนนั้นเป็นคืนแรกที่ฉันได้นอนบนพื้นไม้กระดาน เพราะเจ้าอมก๋อยนั่นเอง

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราสนิทกันมากขึ้นและเขาได้เลื่อนขั้นอีกครั้ง มานอนอยู่ข้างเตียงแทน ฉันก็ได้รับการลดโทษกลับมานอนที่เตียงเหมือนก่อน อมก๋อยค่อยๆ เผยนิสัยที่น่ารักออกมา ทุกวันนี้เขาทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกตอนเช้าที่ตั้งเวลาไม่ได้ ไม่มีปุ่มปิด ไม่มีวันถ่านหมด หกโมงเช้าเอาพุงกระแทกหัวเหม่งฉัน นำของเล่นมาบีบเสียงใส่แบบรัวๆ ไม่มีข้อยกเว้นว่าเมื่อคืนจะนอนดึกสักแค่ไหน ถ้าฉันลืมตาแล้ว เขาจะถือว่าเราพร้อมเล่นด้วย

พออมก๋อยอายุหกเดือน ฟันแท้เริ่มขึ้น เขาเปลี่ยนจากการกัดตุ๊กตามาเป็นสิ่งของต่างๆ เช่น เข็มขัดที่ทำจากหนังบ้าง สายสะพายกระเป๋าบ้าง ด้ามแปรงขนของตัวเองบ้าง ไล่มาจนเป็นขาโต๊ะขาเก้าอี้ที่อมก๋อยแทะอย่างมัวเมา เราสรรหาของเล่นเสริมพัฒนาการมาให้เคี้ยวมากมาย แต่สุดท้ายก็มาจบที่ท่อนไม้กัดรูปกระดูกที่ทำจากไม้มะม่วง เรื่องที่แอบน่ากลัวบ้างก็คือ ตุ๊กตาตัวโปรดของเขาทุกตัว เขาต้องกัดตามันออก จะเป็นพี่กระต่ายก็ดี พี่จิ้งจอกก็ดี พี่ยีราฟก็ดี จนถึงพี่สิงโตก็ด้วย วันหน้าจะเป็นตาฉันไหมนะ

ที่จริงแล้วหมาสามารถอ่านภาษากายของมนุษย์ได้เป็นอย่างดี มันสามารถเข้าใจคำสั่งพื้นฐานจากการอ่านสัญญาณมือ ถ้าเรามีขนมอยู่ในมือ เราสามารถบอกเขาให้นั่งได้ ขอมือข้างซ้ายได้ ขอมือข้างขวาได้ สอนให้นั่งรอได้ เวลาเราเอามือตบพื้นเบาๆ พร้อมเรียกชื่อเขาเขาสามารถเข้าใจได้ว่า เราต้องการให้เขามานั่ง เวลาที่เราดุเขา เขามักจะนั่งนิ่งและส่งสายตาขอโทษมาให้เราได้รับรู้ อีกสักพักก็จะเดินเข้ามาเลีย ทำให้เราใจอ่อนทุกทีไป

ฉันเห็นอมก๋อยจะเฝ้าคอยทุกวันเพียงเพื่อจะให้เราไปสนใจและเล่นด้วย บางทีถ้าเราออกไปธุระข้างนอก ก็จะนั่งรอคอยอย่างเหงาๆ อยู่ใต้โต๊ะเหมือนให้มีอะไรคอยคุ้มหัวอยู่ นั่งอยู่ท่าเดิมนิ่งๆ รอคอยอย่างไม่มีวันเบื่อ จนกกว่าเราจะกลับมา แล้วพอได้ยินเสียงรถเท่านั้นก็จำได้ มันก็จะรีบวิ่งไปดูที่ประตูหน้าบ้าน เตรียมต้อนรับการกลับมาของเรา โดยลืมเวลาอันยาวนานที่นั่งรอเราทั้งวัน โลกของเขาสดใสขึ้นในพริบตา

จากนั้นฉันก็เริ่มมองอะไรเปลี่ยนไป อาจจะเป็นเพราะเห็นสายตาของอมก๋อยที่มองมา มักจะสดชื่นแจ่มใสเสมอ เริ่มคิดได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ชีวิตของเรามีไว้เพื่อใคร จากการที่ออกไปทำงานตั้งแต่เช้า ฝ่ารถติดกลับมืดค่ำ ก็ทำให้มีความคิดที่อยากลาออกจากงานประจำให้มีเวลามากขึ้นกับคนที่เรารัก จากที่ต้องแต่งตัวสวยๆ คอยกังวลต่อภาพลักษณ์ในสังคมที่มีการใส่หน้ากาก กลายเป็นเลือกที่จะแต่งตัวสบายๆ เพื่อที่จะได้วิ่งเล่น ทำกิจกรรมมากมายกับอมก๋อยได้อย่างกระฉับกระเฉง จากที่ฉีดน้ำหอมฟุ้งก็กลายเป็นเลิกเพราะว่ากลิ่นฉุนทำให้อมก๋อยจามและทำให้เขาไม่สบายตัว จากที่ได้สะพายกระเป๋าใบสวย ก็เปลี่ยนมาเป็นถุงผ้าเพราะมีสัมภาระให้แบกเพิ่มขึ้นมากมาย ต่อมาจึงได้มาค้นพบงานใหม่ การเป็นนักเขียนที่ทำให้ถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ออกมาเป็นตัวหนังสืออย่างมีความสุข เรามีเวลาใช้อยู่ด้วยกันอย่างมีคุณภาพ ได้ลองทำอาหารที่ดีต่อสุขภาพกินกันและออกกำลังกายมากขึ้น

อมก๋อยเป็นแค่หมาตัวเล็กๆ ที่ทำให้เราเริ่มมองเห็นโลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนแบบเอาใจใส่มากยิ่งขึ้น ส่วนตัวเราเอง จากที่ไม่เคยสนใจคนอื่นหรือสิ่งต่างๆ รอบตัว กลายมาเป็นว่าเราเริ่มเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น มองเห็นโลกในมุมใหม่ ไม่ว่าจะการที่เรามีความสุขกับเสียงนกที่ร้องอยู่ในสวนนอกบ้าน กระรอกกระแตที่วิ่งขึ้นลงต้นไม้เพื่อหาอาหาร ปลาตัวเล็กตัวน้อยในบ่อที่ดำผุดดำว่าย

มุมมองของโลกของฉันเปลี่ยนไป แท้จริงแล้วโลกใบนี้เป็นอย่างไร ชะตาของเราอาจจะผูกกับทุกสิ่งรอบตัวก็ได้ เหมือนที่ฉันผูกกับอมก๋อย จะเป็นไปได้ไหมที่เราอาจจะผูกกับต้นไม้ใบหญ้า วัวอาจจะผูกกับสิงโต ยีราฟอาจจะผูกกับกระต่าย ฉันไม่รู้หรอก หากเราเป็นคนที่มีความเมตตา อยู่กันด้วยความกรุณาปรานี โลกใบนี้ก็จะน่าอยู่มากยิ่งขึ้น อาจจะเป็นเพราะโชคชะตาที่ทำให้มาเจอเจ้าหมาน้อยตัวนี้ เลยทำให้ชีวิตนี้มีคุณค่า แล้วชะตาผู้อ่านล่ะ ผูกกับอะไร

 

Don`t copy text!