สื่อสังหรณ์ บทที่ 2
โดย : ชลนิล
สื่อสังหรณ์ โดย ชลนิล นิยายออนไลน์ ที่น่าติดตามอีกเรื่อง ซึ่ง อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์เป็นหนึ่ง >>> http://bit.ly/2vL0fsV
****************************
– 2 –
พาดหัวข่าวจากสื่อโซเซียลออกมาในเวลาไล่เลี่ยกัน
‘อัฒจันทร์ถล่ม’
เนื้อข่าวบอกว่า การแข่งขันฟุตบอลลีกสูงสุดของประเทศในคู่บิ๊กแมตช์ระหว่างสองสโมสรยักษ์ใหญ่ที่กำลังแย่งอันดับหนึ่งบนตาราง ได้เกิดเหตุอัฒจันทร์ถล่มพังลงมา ส่งผลให้กองเชียร์ ผู้ชมบาดเจ็บระนาว
รายละเอียดยังเพิ่มเติมว่า
ระหว่างการแข่งขันครึ่งหลังอันดุเดือด เกิดเหตุประหลาด สัญญาณกันขโมยรถยนต์บนลานจอดข้างสนามดังลั่นพร้อมกันโดยไม่ทราบสาเหตุ
เจ้าหน้าที่สนามรีบแจ้งให้เจ้าของรถออกไปตรวจสอบก่อนอัฒจันทร์ถล่มไม่นาน ทำให้มีผู้รอดพ้นอันตรายจากอุบัติเหตุครั้งนี้จำนวนไม่น้อย
หนึ่งในนั้นคือ ‘แทนนที’ นักฟุตบอลสโมสรดังที่มาร่วมชม แต่ไม่ได้ลงสนามครั้งนี้ด้วย
—————————– —————– ————————
ข่าวเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนในฝัน
ณครามปิดหน้าต่างจอถอนใจโล่งอก ถอดแว่นวางไว้ข้างคอมพิวเตอร์ มั่นใจว่าการแทรกแซงครั้งนี้ไม่เกิดผลกระทบทางลบมากมาย
อาการปวดหัวแล่นมาเป็นริ้วๆ ข้อมือปลายนิ้วชาซ่านคล้ายเตือนว่าครั้งนี้พวกตนล้ำเส้น เกินขอบเขตการช่วยเหลือไปสักหน่อย ซึ่งเป็นสิ่งที่พอทนรับได้
สัญญาณกันขโมยรถยนต์ทุกคันดังพร้อมกันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฝีมือระดับณคราม นั่นไม่อาจช่วยเหลือผู้คนได้มากเท่าต้องการ แต่ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่ควรกระทำ
พวกตนได้รับโอกาสช่วยเหลือเฉพาะเพื่อนฝูงที่เชื่อมสายสัมพันธ์กันเท่านั้น ไม่ควรล้ำเส้นมากกว่านี้
พอรู้ว่าต้องช่วยเพลงทรายออกมาด้วย ก็รู้สึกว่าควรเปิดทางรอดแก่ผู้อื่นเช่นกัน หญิงสาวมีความสำคัญต่อเขา ผู้คนบนอัฒจันทร์ก็ควรมีโอกาสเช่นเธอ
นั่นทำให้เกิดผลกระทบคือมีอาการปวดหัว ข้อมือชาซ่านแทนการตักเตือน
…แต่…ถ้าย้อนเวลาได้ชายหนุ่มก็คงทำอย่างเดิม
บ้านแสงเทียนสอนให้มีน้ำใจเอื้อเฟื้อต่อผู้คน เช่นเดียวกับที่ผู้คนจำนวนมากคอยช่วยเหลือ สนับสนุน อุดหนุนส่งเสริมพวกเขาและน้องๆ มาตลอด
ณครามไม่ปฏิเสธการกลับไปเยี่ยม ‘ถิ่นเดิม’ เขาไม่มีปมด้อยเรื่องเคยอยู่บ้านเด็กกำพร้า
อาจเพราะที่นั่นบ่มเพาะให้เป็นคนเช่นในปัจจุบัน และสำคัญกว่านั้นยังได้พบมิตรภาพ เพื่อนแท้ที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว
———————————— ——————- —————————
ณครามทราบว่าเหตุใดตนจึงได้ ‘โอกาส’ ออกจากบ้านแสงเทียนขณะเพื่อนทั้งสองไม่ได้รับ
เพราะหน้าตาผิวพรรณดีผิดเพื่อนพ้อง มันสมองฉลาดเฉียบคมเข้าขั้นอัจฉริยะ
นั่นทำให้ยิ่งตั้งใจมุ่งมั่นกับการเรียน ศึกษาหาความรู้ ใฝ่ความก้าวหน้าเต็มที่ ไม่ยอมให้ตนเองหวนกลับมาเสียใจทีหลัง ต้องเพียรพยายามถึงสองสามเท่า แทนเพื่อนที่ไม่ได้รับโอกาสนั้นด้วย
ณครามเรียนเก่งติดอันดับหนึ่งมาตลอด เข้าเรียนมัธยมปลายโรงเรียนที่คัดแต่หัวกะทิระดับประเทศ ระหว่างเรียนก็ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวิทยาการคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง ทดลองสร้างนวัตกรรมใหม่ตามที่โรงเรียนเปิดโอกาส กลายเป็นโปรแกรมเมอร์วัยรุ่น ออกแบบซอฟต์แวร์หารายได้ตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย
จากนั้นเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยในคณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ ด้วยความคิดอยากใช้มันสมองตนคิดประดิษฐ์ วิจัยเครื่องมือแพทย์ใหม่ๆ เพื่อใช้ในการรักษาชีวิตผู้คนมากขึ้น
หลังจบปริญญาตรีด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง สามารถขอทุนเรียนต่อต่างประเทศในสาขาที่ตนสนใจ จบปริญญาโทและเอกตั้งแต่อายุน้อย กลับมาเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย พร้อมกับเป็นที่ปรึกษา ร่วมวิจัยในการผลิต สร้างนวัตกรรมเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ในบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง
นับเป็นคนหนุ่มที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุไม่ถึงสามสิบเต็ม เพียงแต่ส่วนลึกในใจคล้ายมีหลุมลึกบางอย่างมองไม่เห็นก้น หลุมนั้นเป็นความลับในใจกระทั่งเพื่อนสนิทก็ไม่ล่วงรู้
ติ๊ง สัญญาณโชว์หน้าจอบอกว่ามีเมลเข้ามา
แววตาณครามกระตุกวูบสงสัย ก่อนคลิกเปิดดูข้อความ
ข้อความนั้นเป็นลิงก์ สกูปข่าวรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุเพลิงไหม้ อาคารโรงพยาบาลเพชรมหาสมุทรถล่มเมื่อสามสิบปีที่แล้ว มีการพูดถึงทารกที่รอดชีวิตทั้งสามเพียงเล็กน้อย กับข่าวอัฒจันทร์ถล่มล่าสุด
ชายหนุ่มชะงัก แววตาเจิดจ้าคล้ายสัตว์ร้ายระวังภัย
ผู้ส่งลิงก์ข่าวใช้ชื่อ ‘ลิ่วลม’ มีเจตนาใดแอบแฝง…หรือต้องการปลุกผีเมื่อเกือบสามสิบปีก่อนให้ฟื้นคืนมาหลอกหลอนใครบางคน
ณครามค้นหาต้นตอผู้ส่งข่าว พร้อมสืบประวัติอย่างละเอียดทันที
————————————— ———————– ———————-
กรี๊ดดดด
เสียงกรีดร้องดังลั่นอย่างตระหนก เมื่อร่างร่างหนึ่งลอยละลิ่วจากบนยอดตึกลงมากระแทกบริเวณทางเท้าหน้าบริษัท ‘สามชนะ’ เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตั๊กชั่นฯ
ใบหน้านั้นคว่ำติดพื้น แขนขาหักบิดเบี้ยวผิดรูปทรง เลือดไหลนองเป็นวงกว้าง สภาพชวนสยดสยอง หลายคนเบือนหน้าหนี ผู้หญิงขวัญอ่อนที่อยู่ใกล้หน้าซีดเข่าอ่อนใกล้เป็นลม
ความชุลมุนวุ่นวายเกิดตามมาหลังจากนั้น
ภูดล…วิศวกรหนุ่มนำรถมอเตอร์ไซค์ส่วนตัวไปจอดยังลานจอดด้านหลังตึก พอเดินอ้อมมาหน้าบริษัท ร่างผู้เสียชีวิตถูกนำส่งโรงพยาบาลเรียบร้อย รอยเลือดยังเจิ่งนองพื้น ตำรวจขึงเชือกล้อมที่เกิดเหตุ ผู้คนจับกลุ่มหน้าบริษัทวิจารณ์กันเซ็งแซ่
ภาพตรงหน้าก่อให้เกิดอาการมึนงงวิงเวียนศีรษะ อาจเป็นผลพวงจากการปวดหัวหนักเมื่อคืน ร่างกายอ่อนเพลียเหมือนถูกสูบเรี่ยวแรงจนหมด พยายามสูดลมหายใจลึกๆ เรียกสติสัมปชัญญะ
“เกิดอะไรขึ้นวะกอล์ฟ”
เขาเห็นรุ่นน้องบริษัทเดียวกันอยู่ในกลุ่ม ‘แมงเม้า’ จึงตรงเข้าไปถาม
“เฮียตงแกโดดตึกตาย”
“เฮ้ย!” อุทานอย่างคาดไม่ถึง “เป็นไปได้ยังไงวะ ไม่มีวี่แววเลย”
‘เฮียตง’ หรือนายปราการเป็นผู้จัดการ วิศวกรควบคุมการก่อสร้าง บริษัทเอที.คอนสตั๊กชั่นฯ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ‘สามชนะ’ เอ็นจิเนียริ่งแอนด์คอนสตั๊กชั่นฯ
“นั่นแหละทุกคนเลยช็อกกันใหญ่ พวกพนักงานในเครืออื่นๆ แห่ลงมาดูกันหมด”
“หมดเลยเหรอ” ภูดลทำหน้าแปลกๆ แหงนคอดูชั้นบนตึก…หากพนักงานในเครือทั้งหมดลงมาดูที่เกิดเหตุ นับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยจริงๆ
บริษัทสามชนะฯ เป็นบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ระดับประเทศ แตกเป็นบริษัทลูก บริษัทในเครืออีกนับสิบ กระจายรับงาน ดูแลธุรกิจหลากหลายประเภท
สำนักงานใหญ่เป็นตึกสูงสามสิบสามชั้นตั้งอยู่ริมถนนสายธุรกิจกลางกรุงเทพฯ แต่ละชั้นจะแบ่งเป็นสำนักงานบริษัทในเครือต่างๆ โดยผู้บริหารระดับสูงจะอยู่สามชั้นบนสุด
สำนักงานบริษัทเอที.ฯ อยู่ชั้นยี่สิบห้า หากเฮียตงกระโดดมาจากหน้าต่างชั้นนั้น รับรองไม่มีทางรอด
“ถึงไม่หมดทุกคน แต่เชื่อเหอะว่าป่านนี้รู้กันทั่วแล้ว” กอล์ฟ หรือสรรัตน์ขยายความ
“เรื่องเป็นมายังไง” ถามอย่างนี้เพราะรู้ว่ารุ่นน้องคนนี้มีความสามารถพิเศษในการเสาะหาข่าวเชิงลึก
“เขาว่า…อย่างนี้นะเฮีย”
พอเริ่มต้น…เรื่องราวก็พรั่งพรูออกมา
————————– —————- ———————–
อัฒจันทร์สนามกีฬาเมืองชายทะเลถล่ม ผู้คนบาดเจ็บจำนวนมาก ข้อสันนิษฐานแรกน่าจะเกิดจากโครงสร้างไม่ได้มาตรฐาน บริษัททำการก่อสร้างต้องรับผิดชอบ
บริษัทที่รับสร้างสนามกีฬาแห่งนั้นคือ เอที.คอนสตั๊กชั่นฯ ผู้ควบคุมโครงการคือนายปราการ หรือเฮียตง
ข่าวลือเล่าต่อกันว่า เฮียตงโดนผู้บริหารเรียกเข้าพบแต่เช้า กลับมาห้องทำงานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ปิดประตูไม่พูดจากับใคร
ใกล้เที่ยง เลขาฯ เคาะประตูขออนุญาตแล้วเข้าไปเพื่อสอบถาม ปรากฏว่าเจ้าตัวไม่อยู่ในห้อง กระจกหน้าต่างเปิดอ้า หลังจากนั้นจึงทราบว่าเจ้าตัวเสียชีวิตแล้ว
—————————— —————— ————————-
ห้องประชุมใหญ่บริษัทสามชนะฯ ผู้บริหารในเครือต่างทยอยเข้ามานั่งประจำที่อย่างเป็นระเบียบ
คำว่า ‘สามชนะ’ หมายถึงชนะใจคน ชนะใจตน และชนะงานหนัก เป็นหลักการบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ผู้มีชื่อเสียง ความน่าเชื่อถือมาตลอดหลายสิบปี
ทว่าความน่าเชื่อถือกำลังถูกสั่นคลอนเพราะบริษัทลูกแห่งเดียว
การประชุมใหญ่เกิดขึ้นเร่งด่วน สั่งให้ผู้บริหารบริษัททั้งหมด รวมทั้งวิศวกรประจำทุกแห่งเข้าร่วมประชุมทันที
ภูดลต้องรีบกลับจากไซต์งานเพื่อเข้าประชุมตอนบ่ายถึงหน้าตึกเที่ยงเศษ พบเหตุการณ์ชวนขวัญเสีย พอฟังสาเหตุเบื้องหลัง ก็พอเดาได้ว่าการประชุมด่วนเกิดขึ้นเพราะอะไร
เมื่อผู้บริหารในเครือนั่งประจำที่ครบ วิศวกรแต่ละบริษัทนั่งแถวหลัง บริษัทดูแลฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายประชาสัมพันธ์นั่งอีกฟาก ผู้บริหารใหญ่ก้าวเข้ามาในห้องประชุมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
‘นายประพนธ์’ ประธานกรรมการ ผู้บริหารบริษัทสามชนะมีรูปร่างท้วม สันทัด สวมสูทพอดีตัว หน้าผากกว้างบอกความมีสติปัญญา ดวงตานิ่งแฝงอำนาจเฉกเช่นคนผ่านสนามการค้าใหญ่ๆ ฝ่าคลื่นลมมรสุมชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน
เขาเลยวัยเกษียณอายุมานานมากแล้ว แต่ยังแข็งแรงกว่าคนวัยเดียวกัน บริหารงานเข้มแข็ง เด็ดขาด ไม่ยอมมอบสิทธิ์ขาด อำนาจใน ‘สามชนะ’ แก่ลูกหลานคนใด
ประพนธ์ใช้วิธีเปิดบริษัทในเครือให้ทายาทดูแล ใครฉายแววโดดเด่น สร้างผลงานแก่บริษัท จะได้รับตำแหน่งสำคัญในเวลาต่อมา
การประชุมเริ่มต้น
ผู้บริหารใหญ่กล่าวเปิดประชุมด้วยถ้อยคำเรียบง่าย ทว่าคนฟังล้วนเกร็ง เหงื่อตก ทำอะไรไม่ถูก
“ทุกคนคงรู้แล้วนะว่า การประชุมเร่งด่วนครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร” จบวาจาก็หันไปทาง ‘ธนะวัฒน์’ ผู้บริหารเอที.เอ็นจิเนียริ่ง
“วัฒน์ เมื่อเช้าคุยกับลูกน้องยังไง ถึงปล่อยให้เกิดเรื่องใหญ่โตหน้าบริษัทเรา”
ผู้ถูกเอ่ยถึงอยู่ในวัยหนุ่มเป็นคนรุ่นใหม่ ตำแหน่งผู้บริหารบริษัทก่อสร้างได้มาเพราะเป็นหลานสายตรง ‘สามชนะ’
“ผมขอโทษครับ”
นี่คือคำกล่าวแรก ก่อนคำอธิบายตามมา
“หลังจากทราบข่าวอัฒจันทร์สนามกีฬาซึ่งเป็นความรับผิดชอบของบริษัทเอที.ถล่มลงมา ผมได้ตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้น และสั่งให้คุณปราการ ผู้ควบคุมโครงการเข้าพบเพื่ออธิบายสาเหตุแท้จริง จากนั้นผมก็บอกกับเขาว่าบริษัทเรามีส่วนต้องรับผิดชอบเหมือนกัน ให้ลองหาหนทางดู ไม่คิดว่าเขาจะตัดสินใจทำอะไรแบบนี้”
คำอธิบายเรียบง่าย คนทำงานบริษัทนี้ย่อมทราบ คำว่า ‘หาหนทาง’ อาจธรรมดา ทว่ามีแรงกดดันมหาศาลทำให้ใครบางคนยอมเลือกวิธีรับผิดชอบแบบผิดๆ ก็ได้
“ถ้าอย่างนั้นอธิบายให้ที่ประชุมฟังสิว่า โครงการสร้างสนามกีฬาแห่งนี้มีข้อผิดพลาดอะไรบ้าง ถึงเกิดเรื่องอัฒจันทร์ถล่มทั้งที่สร้างเสร็จไม่ถึงปี”
ธนะวัฒน์อธิบายพร้อมภาพประกอบอย่างละเอียด ทุกคนในที่ประชุมนั่งฟังด้วยอาการเครียดเกร็ง
ภูดลเป็นวิศวกรบริษัท ‘ธาวิน’ ถึงไม่เกี่ยวข้องโครงการโดยตรง แต่ก็นับเป็นบริษัทเครือเดียวกัน หนำซ้ำเจ้าของยังเป็นพี่น้องกันแท้ๆ ย่อมมีผลกระทบไม่มากก็น้อย
คำอธิบายสาเหตุอัฒจันทร์ถล่ม เป็นเรื่องไม่ยากเกินกว่าวิศวกรทั่วไปเข้าใจ เหตุผลที่ประธานใหญ่สั่งหลานชายอธิบายละเอียดยืดยาวเช่นนี้ก็เพื่อเชือดไก่ ป้องปรามไม่ให้บริษัทในเครือทำผิดซ้ำรอยอีก
จบคำอธิบาย เป็นการประกาศมาตรการเกี่ยวกับรับงาน ควบคุมงานอย่างเข้มงวด ทุกบริษัทต้องถือเป็นระเบียบเดียวกัน วิศวกรที่ร่วมประชุมต้องรับทราบ เข้าใจและนำไปปฏิบัติโดยไม่คลาดเคลื่อน
จากนั้นประธานเปิดโอกาสให้เหล่าผู้บริหารเสนอแนวทางเยียวยาหลังเกิดเหตุไม่คาดฝัน ฟื้นฟูความเชื่อมั่นในบริษัทสามชนะกลับคืนมา
ตอนท้ายค่อยวกมาพูดถึงการสะสาง จัดการข่าวกระโดดตึกของวิศวกรควบคุมงาน
ทางฝ่ายกฎหมายบอกว่าได้ดำเนินการประสานงาน ให้ความร่วมมือกับตำรวจเกี่ยวกับรูปคดีอย่างไรบ้าง ฝ่ายประชาสัมพันธ์พูดถึงแนวทางการจัดการแก้ข่าวเสื่อมเสีย ส่วนทางบริษัทเอที.ก็เตรียมเงินชดเชยให้แก่ครอบครัว พร้อมเข้าไปทำความเข้าใจกับภรรยาและบุตรผู้เสียชีวิต เกี่ยวกับสาเหตุการเสียชีวิตเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิด
ภูดลนั่งฟังการประชุมเหมือนชมละครฉากใหญ่ ตัวละครทำหน้าที่ของตนโดยไม่บกพร่อง ทว่าเมื่อสังเกตละเอียดจะพบว่าแต่ละคนเหมือนหุ่นยนต์ทำตามหน้าที่ ไม่มีความรู้สึกผิด หรือแสดงความเห็นใจผู้ประสบชะตากรรมเลวร้ายอย่างจริงใจเลย
สังหรณ์แปลกแผ่วูบในใจ คล้ายบอกว่า เหตุร้ายครั้งนี้จะพาไปพบกับความลับอันดำมืดยิ่งกว่าเดิม
————————— ————————— ————————–
บ้านแสงเทียนเปลี่ยนจากสมัยแทนนทีเป็นเด็กหลายอย่าง
อาคารเรือนนอนสร้างใหม่เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว สนามกีฬาได้รับการปรับปรุงดีกว่าเดิม เรือนครัวโรงอาหารมีการต่อเติมจนได้มาตรฐาน
ที่ยังเหมือนเดิมคืออาคารอำนวยการ บ้านพัก ‘ลุงดิบ’ ที่เจ้าตัวไม่คิดปรับปรุงสร้างใหม่ และแปลงผัก โรงเห็ด ที่ยังมีไว้เป็นกิจกรรมเสริมรายได้แก่เด็กบ้านแสงเทียน
นอกจากนั้นยังมีท้องทะเลเบื้องหน้า ที่ไม่ว่ากี่สิบปีก็ยังอยู่อย่างเดิม
หาดทราย สายลม เสียงคลื่น เป็นสถานที่ที่พวกเขาเคยไปยืนตะโกนระบายความทุกข์ ร้องไห้สะอึกสะอื้นเพื่อให้เสียงคลื่นช่วยปลอบโยน สายลมซับน้ำตาจนเหือดแห้ง
ท้องทะเลที่อยู่หน้าบ้านแสงเทียน เป็นเสมือนเครื่องชาร์ตพลังความเข้มแข็ง ปลุกหัวใจนักสู้ ยาม ‘เด็กเดนตาย’ คนไหนทดท้อ อ่อนล้า หมดเรี่ยวแรง พวกเขาจะกลับมาดูดซึมพลังจากที่นี่
ขณะนี้แทนนทีกำลังยืนอยู่หน้าผืนทะเลกว้าง เดินเลียบชายหาด…เขายังต้องการแรงใจ พลังงานการต่อสู้อยู่หรือไม่
—————————– —————- ————————
นานครั้งนักฟุตบอลหนุ่มจะกลับมานอนค้างบ้านแสงเทียน พอมาถึงเมื่อเย็นวานเหล่าเด็กๆ ในบ้านต่างมาห้อมล้อมด้วยความดีใจ ตกค่ำก็มานั่งฟังเรื่องราวประสบการณ์ฝึกฝนอันหนักหน่วง ยาวนาน กว่าจะมาถึงจุดนี้
เด็กที่นี่หลายคนเห็นแทนนทีเป็นไอดอล อยากตามรอยเป็นนักกีฬาที่ประสบความสำเร็จ ชายหนุ่มไม่อยากให้ ‘รุ่นน้อง’ ฝันเฟื่อง คิดว่าคนเราสามารถตามความฝันง่ายดาย
เขาจึงมักถ่ายทอดประสบการณ์ เส้นทางการฝึกฝนอย่างละเอียดไม่ปิดบัง พูดถึงความเหนื่อยยากที่ต้องใช้หยาดเหงื่อ ความพยายามเข้าแลก สิ่งเหล่านี้สอนให้รู้ว่า ‘พรสวรรค์’ ไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมดของการประสบความสำเร็จ
บ้านแสงเทียนจะส่องแสงชี้นำ บอกเล่าเส้นทางดีร้าย ให้โอกาสในการตั้งหลัก มีชีวิต หลังจากนั้นแต่ละคนต้องเลือกหนทางดำเนินชีวิตด้วยตัวเอง
————————— ————————– ——————
แทนนทีตื่นแต่เช้ามืด ช่วยป้าหวาน แม่ครัวสูงวัยและเด็กที่เข้าเวรประจำวันทำครัวเตรียมอาหารเช้าอย่างแข็งขัน
จากนั้นออกไปเดินชายหาดรับลมทะเล ปล่อยให้สายลมพัดผ่าน เสียงคลื่นกังวานรอบกาย ผสานจิตใจกลมกลืนไปกับธรรมชาติ สลัดภาระเรื่องราวออกไปชั่วคราว ซึมซับความสุขชั่วขณะไว้อย่างเห็นคุณค่า
ตอนสาย เด็กบ้านแสงเทียนออกไปโรงเรียนกันหมด แทนนทีกลับเข้ามาพบ ‘ลุงดิบ’ กำลังรอรับประทานอาหารเช้าร่วมกัน
“ขอโทษครับลุงที่ทำให้ต้องรอ” ชายหนุ่มออกตัวเกรงใจ
“ไม่เป็นไร ไม่ได้ตั้งใจรอแกหรอก” ผู้อำนวยการบ้านแสงเทียนพูดพลางพยักหน้าไปที่ขาชายหนุ่ม “ขาเป็นยังไงบ้าง ออกไปเดินชายหาดตั้งนานไม่เจ็บหรือไง”
แทนนทีมองใบหน้าโหดๆ หนวดเคราหงอกขาวนั้นด้วยรอยยิ้ม ผู้อาวุโสมีความขัดแย้งอย่างลงตัว ถึงจะดูดุ น่ากลัว ไม่เกรงใจใคร แต่จิตใจนั้นกลับอ่อนโยน ใส่ใจเด็กในความปกครองเสมอต้นเสมอปลาย
“ผมพอเดินไปไหนมาไหนได้ครับลุง แค่หมอห้ามลงน้ำหนักตรงขาข้างนี้แรงๆ พักการซ้อมลงสนามชั่วคราวเท่านั้น แต่พอจะวอร์มเบาๆ อย่างไปเดินชายหาดนี่ได้”
“หายทันลงแข่งปิดฤดูกาลมั้ยล่ะ” พูดเช่นนี้แสดงว่าติดตามข่าวคราวเสมอ
“คงต้องแล้วแต่หมอครับ” พูดด้วยน้ำเสียงไม่ทุกข์ร้อน
“มีปัญหา หรือเรื่องที่ยังคิดไม่ตกอยู่หรือเปล่า” ผู้อาวุโสถามเรื่อยๆ แต่เข้าเป้าอย่างจัง
แทนนทีอมยิ้มตอบไม่ปิดบัง
“ลุงดิบยังอ่านใจผมออกเหมือนเดิม”
“ฉันเลี้ยงแกมาตั้งแต่แบเบาะ เห็นพวกแกไปร้องไห้ที่ชายหาดไม่รู้กี่ครั้ง แค่นี้ทำไมจะดูไม่ออกวะ”
“วันนี้ผมไม่ได้ไปร้องไห้นะ” เขารีบแก้ตัว รู้สึกเหมือนเป็นเด็กอีกครั้ง “ผมแค่ไปเดินคิดทบทวนว่าควรเป็นนักกีฬาอาชีพต่อไป หรือควรเลือกอาชีพอื่นที่อายุงานยาวนานกว่านี้ ก่อนที่จะแก่ตัวลงแล้วทำไม่ได้”
“ใกล้หมดสัญญาแล้วสิ”
“ครับ แต่ทางสโมสรมีแนวโน้มต่อสัญญาระยะสั้นให้อีกปีสองปี”
ลุงดิบมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยแววตาเอ็นดู คล้ายเห็นเด็กชายตัวน้อยยังอยู่ในร่างเขา
“จำได้ว่า ตอนเด็กเธอเคยถามฉันว่า…ผมจะเล่นฟุตบอลไปตลอดชีวิตได้มั้ย…”
“ผมจำได้ครับ” แทนนทียิ้ม “ตอนนั้นลุงดิบบอกว่า…อย่าสงสัย ให้ใช้การกระทำของตัวเองเป็นเครื่องพิสูจน์ แล้ววันหนึ่งลูกฟุตบอลจะให้คำตอบกับเธอเอง…”
“ตอนนี้เจ้าลูกฟุตบอลนั่น มีคำตอบให้หรือยัง” ลุงดิบย้อนถาม
นักฟุตบอลหนุ่มถอนใจ เส้นทางอันยาวนานที่วิ่งไล่ตามเจ้าลูกกลมๆ นั้น ‘คำตอบ’ มีให้ทุกช่วงเวลา และเปลี่ยนแปรไม่เหมือนกันสักเวลา
ผู้อาวุโสเห็นสีหน้าเด็กในปกครอง ทราบว่าเจ้าตัวมีคำตอบอยู่แล้วจึงพูดต่อเรื่อยๆ
“ฉันไม่เคยกำหนดเส้นทางชีวิตให้เด็กบ้านแสงเทียนเลย ที่ช่วยได้ก็แค่ให้โอกาส ให้คำแนะนำ แต่ในใจก็มุ่งหวังให้พวกเขาเลือกเส้นทางถูกต้อง เหมาะสมกับตัวเองทุกคน”
ความรู้สึกเต็มตื้นแล่นขึ้นมาจุกอก น้ำตาเกือบรินไหลถ้าเสียงโทรศัพท์มือถือจะไม่ดังขัดจังหวะขึ้นก่อน
“ขอโทษครับ”
แทนนทีลุกจากเก้าอี้ไปรับสายอย่างเกรงใจครู่หนึ่ง ก่อนกลับมานั่งที่เดิมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นายแพทย์ดิษณัฐน์ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถาม ผู้มีความกังวลใจย่อมเอ่ยปากออกมาเอง
“โคชตะวันเข้าโรงพยาบาล แม่อัมโทรมาบอกให้ผมไปเยี่ยมแกหน่อย”
‘โคชตะวัน’ เป็นคนแรกที่เห็นแวว ชักนำแทนนทีเข้าสู่วงการกีฬาตั้งแต่ก่อนขึ้นชั้นมัธยมต้น
ตลอดเวลาเกือบยี่สิบปี โคชและภรรยาคู่นี้ทำหน้าที่เหมือนเป็นผู้ปกครองอีกคน คอยดูแลเอาใจใส่ไม่น้อยกว่าผู้อำนวยการบ้านแสงเทียน
“รีบไปสิ”
“ครับ”
แทนนทีตอบรับด้วยใจกังวล สังหรณ์ร้ายปรากฏเป็นเงามืดรางๆ จนต้องสลัดมันทิ้ง รีบออกจากบ้านแสงเทียนทันที
เขาลืมสังเกตว่า นอกจากจะมีโทรศัพท์สายสำคัญเข้ามาแล้ว ยังมีอีเมลจากผู้ใช้นามว่า ‘ลิ่วลม’ ส่งมายังกล่องข้อความด้วย
—————————– —————— ———————–
หลังเลิกประชุมภูดลไม่ได้กลับไปไซต์งาน ต้องมานั่งสะสางเอกสารเกี่ยวกับอาคารก่อสร้างที่ตนรับผิดชอบอย่างละเอียด เพื่อเตรียมส่งให้เจ้าของบริษัทตรวจสอบตามมาตรการใหม่ที่เพิ่งได้รับจากที่ประชุม
พอเสร็จงานเอกสารค่อยสังเกตเห็นว่ามีอีเมลฉบับหนึ่งส่งมาถึง พอเปิดออกพบภาพข่าว เนื้อความเกี่ยวกับอาคารโรงพยาบาลเพชรมหาสมุทรเกิดเพลิงไหม้ พังถล่ม กับข่าวอัฒจันทร์ถล่มเมื่อวาน
ผู้ส่งใช้ชื่อ ‘ลิ่วลม’ ตั้งคำถามสั้นๆ ‘ทราบหรือไม่ สองกรณีนี้เหมือนกันตรงจุดไหน?’
วิศวกรหนุ่มขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนใครตะโกนปลุกให้ตื่นจากการหลับใหลอันยาวนาน
เขาทราบว่าตนเป็น ‘เด็กเดนตาย’ รอดชีวิตจากอาคารโรงพยาบาลนั้น เคยสงสัยต้นตอสาเหตุแท้จริงคืออะไร แต่หลักฐาน รายละเอียด ซากที่เกิดเหตุถูก ‘เก็บกวาด’ ไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีแล้ว
นั่นทำให้เพิกเฉย วางความสงสัย กระทั่งอีเมลฉบับนี้กระตุ้นเตือน จนคำถามมากมายที่หลบเร้นในใจผุดพรายขึ้นมาอีกครั้ง
ก่อนชายหนุ่มจะส่งอีเมลกลับ กอล์ฟก็โผล่หน้ามาถาม
“เฮียดินไปฟังสวดเฮียตงคืนแรกกันมั้ย”
“หือ” ภูดลเงยหน้าถามอย่างสงสัย “ญาติเอาศพออกจากโรงพยาบาลได้แล้วเหรอ”
“ออกมาแล้ว ตั้งศพที่วัดเรียบร้อย เมียเฮียตงบอกว่าไม่ต้องผ่าพิสูจน์ แกเชื่อว่าฆ่าตัวตายจริง เพราะมีทั้งจดหมาย หลักฐานที่ไม่รู้จะคัดค้านยังไงด้วย”
ชายหนุ่มพยักหน้า
“เออไปสิ ถึงยังไงก็คนเคยเห็นหน้า ทำงานตึกเดียวกันมาตั้งนาน”
ถึงจะเป็นวิศวกรคนละบริษัท ต้องออกไปไซต์งานไม่ค่อยอยู่ประจำออฟฟิศ แต่ด้วยความอยู่ตึกเดียวกัน เจ้าของบริษัทเป็นพี่น้องกัน จึงมีโอกาสพบปะพูดคุยกันบ้าง
“สวดศพคืนนี้ทุ่มครึ่ง ที่วัด…แล้วเจอกันนะเฮีย”
กอล์ฟบอกรายละเอียดเวลาสถานที่จบก็เดินไปบอกคนอื่นต่อ หนุ่มรุ่นน้องคนนี้อยู่ฝ่ายบุคคล และทำหน้าที่คอยประสานงานกับบริษัทต่างๆ ในเครือ จึงรู้จักพนักงานแทบทุกชั้น มนุษยสัมพันธ์ดีจนควรเพิ่มหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้อีกตำแหน่ง
——————————– —————— —————————
โรงพยาบาล
แค่เห็นร่างซูบผอมนอนบนเตียง ใบหน้าตอบซีดเงามรณะทาทาบ นักฟุตบอลหนุ่มก็คาดเดาออกว่านั่นคงเป็นสัญญาณบอกว่าเหลือเวลาอีกไม่นานนัก
‘แม่อัม’ หรืออัมพร ภรรยาโคชตะวันมีสีหน้ายินดีเห็นได้ชัดเมื่อแทนนทีเข้ามาในห้อง
“ดีจังที่แทนรีบมา เข้าไปหาโคชหน่อยเถอะ แกเรียกหาแต่ชื่อแทนตลอดเลย”
“ครับ”
แทนนทีไปยืนข้างเตียงผู้มีพระคุณ กุมมือซูบผอมไว้ ถ่ายทอดความอบอุ่น ความหวังดีลงไปจนผู้ป่วยรู้สึกได้ พยายามลืมตามอง
“มาแล้วเหรอ…แทน…”
“ครับ ผมอยู่นี่แล้วโคช”
แค่ได้ยินน้ำเสียงที่รอคอย ดวงตาค่อยฉายแววมีชีวิต ใบหน้าตอบซีดเปล่งประกายยินดี โล่งใจราวกับเป็นแสงสุดท้ายในชีวิต
“แทน…” มือกำมือตอบแนบแน่น ราวกับพยายามฉุดรั้งสายใยเบาบางเอาไว้
“ผมเอง…เป็นยังไงบ้างครับโคช เจ็บป่วยแบบนี้ทำไมไม่บอกกันเลย” น้ำเสียงแสดงความห่วงใยจริงจัง แววตาไม่ต่างจากเด็กชายคนเก่าที่สนามฟุตบอล
“ฉัน…ขอโทษ”
“โธ่ โคชไม่ต้องขอโทษผมหรอก ผมแค่เป็นห่วง อดทนหน่อยเดี๋ยวก็หายแล้วนะครับ” ชายหนุ่มพยายามให้กำลังใจ
“ไม่…ไม่ใช่เรื่องนั้น…ฉัน…ขอโทษ…”
ผู้ป่วยรวบรวมเรี่ยวแรงย้ำวาจาเดิม
“โคชจะมาขอโทษผมทำไม โคชไม่เคยทำอะไรผิดกับผมเลย ผมต่างหากต้องขอโทษ…ที่ไม่ค่อยมาเยี่ยมดูแล ไม่ทราบเลยว่าโคชป่วยแบบนี้”
ผู้ป่วยถอนใจยาว รวบรวมสติสัมปชัญญะสุดท้าย แววตาสุกใสกระจ่างกว่าเดิม มือบีบกระชับแน่นกล่าววาจาชัดเจน
“แทนนที” คำเรียกขานคล้ายเคยใช้เรียกเด็กน้อยผอมเกร็งข้างสนามฟุตบอลเมื่อยี่สิบปีก่อน
“ฉันทำผิดต่อเธอ…ต้องขอโทษด้วย เธอจะอภัยให้ฉันได้มั้ย”
วาจาจริงใจ หนักแน่น สะท้านลึกถึงจิตใจผู้ฟัง
แทนนทีไม่สนใจ คำว่า ‘ทำผิด’ นั้นเป็นเรื่องใด ในใจสัมผัสความรู้สึกผิดอันรุนแรง น้ำเสียงที่หวังได้รับคำให้อภัยอย่างจริงใจ จนไม่อาจตอบวาจาอื่นได้
“ได้สิครับโคช ไม่ว่าโคชจะทำผิดกับผมด้วยเรื่องอะไร ผมยกโทษให้โคชได้เสมอ ที่จริงผมต้องเป็นฝ่ายขอบคุณโคชมากกว่าที่แนะนำสั่งสอน ช่วยเหลือจริงใจมาตลอด ผมมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะโคชนะครับ”
ใบหน้าที่มีเงามรณะทาทาบฉายรอยยิ้มสว่าง คล้ายปลดภาระเงื่อนปมในใจหมดสิ้น ภรรยายืนด้านข้างน้ำตาปริ่ม ตื้นตันจนพูดไม่ออก รู้สึกโล่งใจตามสามี
“ขอบใจมาก ขอบใจจริงๆ แทน…”
นั่นเป็นวาจาสุดท้ายก่อนเครื่องวัดที่ต่อเชื่อมร่างกายจะส่งสัญญาณดังลั่น
———————– —————- ——————–
แทนนที อัมพรนั่งรอนอกห้องผู้ป่วย หมอพยาบาลกำลังเข้าไปปฏิบัติการยื้อชีวิต ฉุดรั้งลมหายใจผู้ป่วยเต็มกำลัง
สีหน้าอัมพรแสดงความผ่อนคลาย ไม่กังวลหนักหนาเท่าที่คนนั่งข้างเป็นห่วง อาจเพราะมีเวลาทำใจล่วงหน้ามาพอสมควรแล้ว
“โคชป่วยเป็นโรคอะไรครับ”
“มะเร็งจ้ะ” ตอบแบบไม่ปิดบัง
“นานหรือยัง ทำไมไม่บอกผม”
“สองสามเดือนแล้ว มันลามเร็วมาก โคชสั่งไว้ไม่อยากให้แทนรู้ กลัวเสียสมาธิมีผลต่อการแข่งขัน”
“โธ่ เรื่องแข่งไม่สำคัญกว่าชีวิตโคชหรอกครับ” แทนนทีระบายความอึดอัดในใจ
“เพราะโคชรู้อย่างนั้น ถึงย้ำกับแม่อัมนักหนาไง”
แทนนทีถอนใจ ผู้ใหญ่ที่เคารพรักไม่ต่างจากบุพการี นอกจาก ‘ลุงดิบ’ ก็มีแค่โคชตะวัน แม่อัมพรสองสามีภรรยาคู่นี้เท่านั้น
“แม่ขอบใจนะ ที่แทนมาหาโคชเร็วขนาดนี้” ผู้พูดซ่อนนัยบางอย่างในน้ำเสียง
ชายหนุ่มบีบมือผู้เป็นเหมือนมารดาแน่น ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจ ทำตนเสมือนบุตรชายแท้ๆ อีกคนหนึ่ง
“ไม่เป็นไรครับแม่อัม หมอสมัยนี้เก่ง เดี๋ยวโคชก็หายแล้วละ”
ผู้ฟังพยักหน้า ใจอยากเชื่ออย่างนั้น ทว่าน้ำตากลับรินเป็นสาย ในใจมีก้อนความทุกข์อัดแน่นจนแทบไม่อยากเอ่ยวาจาใด
—————————- —————— ———————
ประตูห้องผู้ป่วยเปิดกว้าง นายแพทย์ออกมาพร้อมคำพูด…
…ผู้ป่วยเสียชีวิตอย่างสงบ…
อัมพร แทนนทีเป็นสองคนแรกที่เข้าไปอำลาผู้ตาย
หยาดน้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้าสตรีสูงวัย มือลูบแก้มคู่ชีวิตราวกับต้องการฝากรอยสัมผัสสุดท้ายก่อนจากลา
แทนนทีรู้สึกเหมือนพื้นที่เหยียบยืนอ่อนยวบ สามารถยุบลงทุกเมื่อ เขาสะกดกลั้นความโศกเศร้า ฝืนเข้มแข็งยืนโอบร่างบอบบางของแม่อัมพรไว้กันไม่ให้ล้มครืน
ทว่า หญิงสูงวัยกลับเข้มแข็งกว่าที่คิด
หลังจากหลั่งน้ำตา ฝากรอยอาลัยเรียบร้อย ก็สูดลมหายใจยาวลึกเรียกสติ ความที่เตรียมใจล่วงหน้าเป็นเดือนจึงสามารถหันมาเงยหน้า สบตาชายหนุ่มด้วยแววตามั่นคง
“แทน…แม่ขอบใจมากที่ช่วยให้โคชจากไปโดยไม่มีอะไรค้างคาใจ”
“แม่อัม…” เขาเอ่ยปากอย่างไม่เห็นความจำเป็นที่อีกฝ่ายต้องย้ำวาจานี้อีก
“แทนไม่รู้หรอกว่า โคชเขารู้สึกผิดกับแทนมาตลอด”
“…รู้สึกผิด…เรื่องอะไรครับ” พอฟังเช่นนั้นก็อดสงสัยไม่ได้
“เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง ที่โคชกับแม่ปิดบังแทนมาตลอด…ทำให้ก่อนถึงวาระสุดท้าย โคชเขาจึงต้องการขอโทษแทนจากใจจริง”
“แม่อัมจะบอกอะไรผม” ชายหนุ่มงุนงง
“โคชเคยสัญญากับคนคนหนึ่งว่า ตลอดชีวิตแก จะไม่บอกเรื่องนี้ให้แทนรู้เด็ดขาด”
“เรื่องอะไรครับ”
แววตาสตรีสูงวัยฉายรอยตัดสินใจเด็ดขาด
“แม่แท้ๆ ของแทนยังมีชีวิตอยู่!”