สื่อสังหรณ์ บทที่ 3

สื่อสังหรณ์ บทที่ 3

โดย : ชลนิล

Loading

สื่อสังหรณ์ โดย ชลนิล นิยายออนไลน์ ที่น่าติดตามอีกเรื่อง ซึ่ง อ่านเอา อยากให้คุณได้ อ่านออนไลน์ ได้ลงจนจบบริบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทางผู้เขียนใจดีมอบ 5 บทแรกไว้ให้อ่านกันที่อ่านเอา และหากติดใจอย่างอ่านต่อสามารถติดตามฉบับรวมเล่มที่ออกโดย สำนักพิมพ์เป็นหนึ่ง  >>> http://bit.ly/2vL0fsV

****************************

– 3 –

‘แม่แท้ๆ ของแทนยังมีชีวิตอยู่’

คำนั้นทำให้โลกทั้งใบพลิกกลับไม่เหมือนเดิมอีกเลย

อัมพรบอกเล่าเรื่องราวอดีตไม่ทันละเอียดนัก บุตรชาย บุตรสาวและหลานๆ ที่อยู่กรุงเทพฯ มาถึงโรงพยาบาลเสียก่อน

ครอบครัวโคชตะวันกำลังมีความทุกข์ แทนนทีไม่กล้าซักไซ้ต่อ มองครอบครัวผู้มีพระคุณอยู่ห่างๆ ก่อนถอยออกมาทบทวนเรื่องราวที่เพิ่งรับรู้

 

แม่ของแทนนทีเป็นเด็กสาวตั้งท้องก่อนวัยอันควร เธอแอบคลอดบุตรโดยไม่ให้พ่อแม่ล่วงรู้ จากนั้นเตรียมหนีออกจากโรงพยาบาลหลังจากได้เห็นหน้าและตั้งชื่อลูก

ช่วงเวลานั้นอัมพรกับโคชตะวันพาบุตรคนที่สองมาฉีดวัคซีน เห็นเด็กสาวยืนหน้าห้องเด็กอ่อน สายตามองทารกข้างในอย่างเศร้าสร้อยจึงฉุกใจสงสัย

เข้าไปพูดคุยจึงทราบว่าเธอกำลังจะแอบหนีออกจากโรงพยาบาล แต่พอเห็นหน้าลูกแล้วก็ลังเล สองสามีภรรยาพยายามหว่านล้อม รั้งให้อยู่ต่อจนสำเร็จ ทว่าคืนนั้นเกิดเหตุเพลิงไหม้ ตึกถล่ม ทารกน้อยรอดตายแค่สามคน

โคชตะวัน อัมพรรู้สึกผิดที่ความหวังดีพวกตนเป็นเหตุให้เด็กสาวเสียชีวิต ในใจอยากรับลูกเธอมาเลี้ยง ติดที่ยังมีบุตรสองคนต้องดูแล ประกอบกับบ้านแสงเทียนยื่นมือเข้ามารับอุปการะแล้ว

สองสามีภรรยาทำได้เพียงซื้อนมผง เสื้อผ้าเด็กอ่อนไปให้ทารกทั้งสามที่บ้านแสงเทียน พบเด็กสาวคุ้นตาทำท่าลับๆ ล่อๆ จึงทราบว่าแม่เด็กยังไม่ตาย เธอรับปากแค่ในเวลานั้น สุดท้ายก็หนีออกจากโรงพยาบาลอยู่ดี

เด็กสาวรอดชีวิตแอบมาดูลูก จนได้พบโคชตะวัน อัมพร

ครั้งนี้สองสามีภรรยาไม่อาจรั้งเธอไว้ได้อีก ก่อนจากกันยังขอร้องโคชตะวันให้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ

‘…ให้เขาโตขึ้นมาแล้วเข้าใจว่าแม่ตายในตึกนั่น ดีกว่ารู้ว่ามีแม่ใจร้ายทอดทิ้งเขาตั้งแต่ยังไม่รู้ความ…’

คำพูดทั้งน้ำตา ประกอบกับสังเกตเห็นความอัดอั้น หวาดกลัวบางอย่างในแววตาเด็กสาว ทำให้โคชตะวันยอมรับปากและปล่อยเธอไป

สิบกว่าปีผ่านไป พรสวรรค์ด้านกีฬาของเด็กชายเสมือนสายใยกรรมลากให้มาเจอกัน โคชจึงตั้งใจช่วยเหลือส่งเสริมเต็มที่ ชดเชยความรู้สึกผิดที่ผ่านมา

แทนนทีเคยทราบว่ามารดาชื่อ ‘ระริน’ จึงตั้งชื่อเขา ‘แทนนที’ พอฟังเรื่องเหล่านี้ ทำให้ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นชื่อมารดาจริงหรือไม่

—————————-      —————–       —————————

ศาลาวัด งานศพเฮียตง

สวดศพคืนแรกมีแขกเหรื่อร่วมงานจำนวนมาก ผู้บริหารบริษัทสามชนะ แขกผู้มีเกียรติ และครอบครัว ญาติสนิทผู้ตายนั่งฟังสวดอยู่ในศาลา ส่วนเพื่อนร่วมบริษัทนั่งเต็นท์ด้านนอก

ก่อนพระภิกษุจะสวด พวก ‘คนนอกศาลา’ จับกลุ่มกระซิบกระซาบคุยกันโดยไม่ค่อยระมัดระวังนัก เสียงจึงเข้าหูภูดล วิศวกรอีกบริษัทแทบทุกคำ

หนึ่งในกลุ่มเม้ามอยคือกอล์ฟ รุ่นน้องผู้ไม่ได้อยู่บริษัทเอที.แต่รู้แทบทุกเรื่องในตึกสามสิบสามชั้น

“คืนนี้บิ๊กบอสไม่มา เห็นว่าติดงานสำคัญ” กอล์ฟหมายถึง ประพนธ์ ประธานกรรมการฯ

“นายใหญ่ไม่มาแต่ระดับเบอร์สอง เบอร์สาม รวมทั้งคุณธนะวัฒน์ เจ้าของเอที. มากันครบเลยนะ”

“ต้องมาสิ เผื่อมีนักข่าวมาแอบสัมภาษณ์ครอบครัวเฮียตง”

“โห ข่าวระดับอัฒจันทร์ถล่ม คนคุมงานฆ่าตัวตายชดใช้ความผิด ดังขนาดนี้นักข่าวไม่มาได้ไง”

“แล้วมันจะมีผลกระทบกับบริษัทอื่นมั้ย”

“ไม่มีทาง กอล์ฟแอบรู้มาว่าจดหมายลาตายเฮียตง ยอมรับผิดเรื่องก่อสร้างทั้งหมดนั่นคนเดียว”

“ยังไงพวกเขาต้องฟ้องบริษัทเอที.แน่ ไม่รู้ว่าจะเอาผิดทางอาญา ทางแพ่งได้แค่ไหน” ผู้พูดไม่แน่ใจเรื่องข้อกฎหมาย

“ต่อให้ฟ้องร้องจริง คนที่ล้มก็มีแค่คุณธนะวัฒน์ กับเอที. ท่านประธานวาง ‘สามชนะ’ เป็นเอกเทศอยู่แล้ว ระบบเครือข่าย บริษัทลูกตั้งข้อสัญญารอบคอบรัดกุมตั้งแต่ต้น ต่อให้บริษัทในเครือมีปัญหาก็ไม่มีทางกระทบบริษัทอื่นแน่นอน”

“แสดงว่าอย่างแรงสุดคือปิดเอที. คุณธนะวัฒน์ถูกฟ้องดำเนินคดีคนเดียว”

“ตายแล้ว อย่างนี้พวกพี่ต้องเตรียมหางานใหม่กันแล้วสิ”

“อาจไม่ถึงขนาดนั้นหรอก เฮียตงแกเขียนจดหมายรับผิดชอบทั้งหมดพร้อมหลักฐานชัดเจน ฝ่ายกฎหมายของเราคงสู้เต็มที่ ยังไงแกก็เป็นหลานชายคนโตของท่านประธานนะ”

เสียงถอนใจเบาๆ ก่อนใครสักคนกล้ากระซิบถาม

“มีใครรู้มั้ย บริษัทเอที.จ่ายเงินชดเชยค่า ‘ความรับผิดชอบ’ กับครอบครัวเฮียตงไปเท่าไหร่”

ไม่มีใครตอบ อาจเพราะไม่ทราบจริง หรือไม่กล้าคาดเดาจิตใจเหล่าผู้บริหารทั้งหลาย

 

ภูดลรับฟังโดยไม่ออกความเห็นพูดจาแทรกแซง อาจเพราะอยู่คนละบริษัทกัน และไม่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น รอจนพระสวดจบ เจ้าภาพถวายไทยทาน เสิร์ฟอาหารแขกในงานเสร็จ ค่อยเข้าไปจุดธูปไหว้ผู้ตาย

หน้าโลงศพจัดดอกไม้สวย ควันธูปกรุ่นกำจายคล้ายกั้นเป็นอาณาเขตพิเศษ ชายหนุ่มจุดธูปไหว้แสดงความเคารพ พอเงยหน้ามองใบหน้าผู้ตายในภาพ สังเกตเห็นดวงตานั้นกำลังแลตรงมาราวกับต้องการสื่อสาร

ภูดลระบายลมหายใจแผ่วเบา หลุบตาลงเพิกเฉยต่อ ‘คลื่น’ เจตจำนงที่พยายามจูนเข้ามาเชื่อมต่อ ด้วยไม่อยากยุ่งเกี่ยวเรื่องราวไม่จำเป็น

‘เด็กเดนตาย’ ทั้งสามมีสัมผัสพิเศษ นอกจากรู้เหตุร้ายล่วงหน้าของกันและกัน ยังสามารถรับกระแส ‘คลื่น’ ผู้ต่างภพ มันไม่ใช่การมองเห็นภูตผีวิญญาณด้วยตาเปล่า แต่สัมผัสถึงความมีตัวตน เจตจำนงอันแรงกล้า และบางครั้งยามสมาธิดีๆ จะรู้สึกถึงรูปร่างหน้าตาผู้นั้นแบบรางๆ

แค่สบกับดวงตาผู้ตาย ภูดลรู้ว่าวิญญาณเฮียตงอยู่ใกล้ๆ อยากติดต่อใครก็ได้ที่จิตมีสื่อสัมผัส เพื่อส่งข้อความ บอกกล่าวความต้องการตนเอง

เสียดายติดต่อผิดคน ขนาดเม้ามอยวิพากษ์วิจารณ์บริษัทอื่นเขายังไม่ไปยุ่งเกี่ยว นี่เป็นเรื่องผู้อยู่ต่างภพ อยู่กันคนละโลกกันด้วยซ้ำ

 

แขกทยอยกลับ ภูดลแยกจากกลุ่มเพื่อนร่วมงานเดินมาลานจอดรถไม่ไกลจากศาลาสวด บริเวณนั้นหลอดไฟเสียหลายดวง มอเตอร์ไซค์เขาจอดซุ่มในเงามืดใต้ต้นลั่นทม ห่างออกไปเป็นรถยนต์เรียงราย

เดินไม่กี่ก้าว แค่เงามืดทาบร่างก็สัมผัสสายลมเย็นชืดพัดผ่านผิวกาย ชะงักเท้าชั่วขณะ ถอนใจเบาๆ ทราบว่ามี ‘บางสิ่ง’ ติดตามมา

“อย่าตามมาเลยเฮีย ผมช่วยอะไรไม่ได้หรอก” พึมพำลอยๆ ก่อนเดินต่อ

ชีวิตเขามีภาระการงาน หาเงินผ่อนบ้าน ใช้หนี้การศึกษา ดำรงชีพ เก็บออมสร้างเนื้อสร้างตัวก็หนักพอแล้ว อย่าให้ต้องไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เลย

มาถึงใต้ต้นลั่นทมกำลังจะเสียบกุญแจมอเตอร์ไซค์ สังเกตเห็นรถของธนะวัฒน์ ผู้บริหารเอที.จอดไม่ห่างกันนัก เจ้าตัวกำลังคุยโทรศัพท์สีหน้าหงุดหงิด เสียงฟังชัดท่ามกลางความเงียบโดยรอบ

“พ่อให้ผมมางานสวด ผมก็มาแล้วยังจะเอาอะไรอีก” น้ำเสียงขัดเคืองไม่พอใจ

ภูดลลังเลว่าควรสตาร์ตรถแสดงตัว หรือนิ่งรอให้จบการสนทนา ระยะห่างเพียงนิดเดียวอีกฝ่ายหันมาก็เห็นทันที เขาไม่อยากได้ชื่อว่าแอบฟังใคร

สังหรณ์ส่วนลึกกลับรั้งไว้ให้หยุดฟังก่อน

ไม่ทราบปลายสายพูดอย่างไร ทางนี้จึงโพล่งออกไปอย่างเหลืออด

“ใช่ผมผิด ผมยอมรับ แต่ความผิดอย่างนี้ผมไม่ได้ทำเป็นคนแรก สมัยก่อนพ่อกับปู่ก็ทำมาแล้ว!”

วาจานี้ทำให้นิ้วที่จะกดปุ่มสตาร์ตชะงักค้าง จังหวะเดียวกับธนะวัฒน์หันมาพอดี

ภูดลนิ่งอั้นพยายามนึกหาคำทักทายที่แสดงว่าตนไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง สายตามองตรงมาเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหลบเลี่ยงทัน

ทว่า เกิดเหตุประหลาด

ร่างวิศวกรหนุ่มชาซ่านแข็งทื่อคล้ายโดนผีอำ ภาพตรงหน้าเลือนๆ มองไม่ชัดนัก ในใจสัมผัสกระแสคลื่นที่แผ่ปกคลุมช่วยบดบังซ่อนเร้น

ธนะวัฒน์มองผ่านร่างที่ยืนใต้เงาลั่นทมราวกับเป็นอากาศธาตุ หูได้ยินเสียงคำด่าทอจากบิดาจนคร้านจะพูดอะไรอีก

“ผมขอโทษครับ สัญญาว่าจะไม่พูดถึงโรงพยาบาลนั้นอีก ทราบว่ามันเป็นเรื่องที่ปู่กับพ่ออยากฝังมันไว้ตลอดเกือบสามสิบปี”

ถ้อยคำกระทบหู ในใจเจ็บแปลบไม่มีเหตุผล หลานชายเจ้าของ ‘สามชนะ’ วางสาย เก็บโทรศัพท์แล้วขึ้นรถด้วยสีหน้ากังวลกลัดกลุ้ม

ทันทีที่รถธนะวัฒน์แล่นออกไป อาการนิ่งค้างก็จางหาย ชายหนุ่มถอนใจเฮือกใหญ่ สูดลมเข้ายาวลึก เข่าอ่อนแทบทรุด

พลังงานที่ช่วยอำพรางร่างเคลื่อนจากไปแล้ว นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เข้าใจคำว่า ‘ผีบังตา’

เฮียตงช่วยให้ได้ยินเรื่องชวนตกใจทำให้นึกสงสัย…

การตายนั้นเป็นการฆ่าตัวตายโดยสมัครใจ หรือถูกบีบคั้นจนไม่มีทางเลือก?

นี่กระมังคือสิ่งที่ผู้ต่างภพต้องการสื่อสารบอกกล่าวให้ทราบ

ประพนธ์ กับลูกชายคนโต มีส่วนในเหตุตึกโรงพยาบาลถล่มครั้งนั้นด้วย และวันนี้ทายาทก็เดินตามรอยเช่นกัน

————————       —————–        ————————

ทาวน์เฮาส์สองชั้นค่อนข้างเก่า ดูภายนอกสะอาดเป็นระเบียบ ภายในตกแต่งสวยงาม พื้นที่ใช้สอยคุ้มค่า ปูด้วยหินอ่อนขนาดไม่เท่ากันแต่จัดเรียงฉลาดมีชั้นเชิง เฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้นเป็นของเก่าได้รับการซ่อมแซม ดัดแปลงจนสภาพเหมือนใหม่ ไม่มีสิ่งใดมากเกินไปน้อยเกินไป

ทั้งหมดเป็นฝีมือวิศวกรผู้มีหัวออกแบบสร้างสรรค์อย่างภูดล เขาใช้เงินเก็บมาดาวน์ทาวน์เฮาส์มือสอง ตกแต่ง รีโนเวตใหม่จนทันสมัยน่าอยู่ เลือกวัสดุคุ้มค่าเงิน บริหารด้วยงบประมาณอันจำกัด จน ‘บ้าน’ หลังแรกในชีวิต อบอุ่นน่าอยู่

ชั้นล่างเป็นห้องทำงาน คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ครบ เจ้าของบ้านกำลังค้นข้อมูลข่าวเก่า โดยอาศัยลิงก์ที่แนบอีเมลแล้วเข้าไปอ่านรายละเอียดข่าวตึกโรงพยาบาลถล่ม

ในข่าวบอกเล่าเหตุการณ์ วันเวลา สภาพความเสียหาย รายชื่อผู้เสียชีวิต ผู้รอดชีวิต มีชื่อบริษัทก่อสร้าง แต่ไม่มีข่าวดำเนินคดี สืบสวนเชิงลึก บอกสาเหตุแค่โครงสร้างตัวตึกไม่ได้มาตรฐาน ไม่บอกว่าผู้ควบคุมโครงการเป็นใคร แสดงความรับผิดชอบอย่างไร ถูกดำเนินคดีหรือไม่

ภูดลพยายามค้นรายชื่อผู้บริหาร หุ้นส่วนบริษัทก่อสร้างนั่นแต่ไม่พบ มันอาจถูกปกปิด ไม่ให้นักข่าวทราบ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากในสมัยไม่มีสื่อโซเชียลช่วยขุดคุ้ยอย่างปัจจุบัน

ค้นหารายชื่อไม่พบ วิศวกรหนุ่มเปลี่ยนมาค้นประวัติบริษัทสามชนะแทน

นายประพนธ์ ประธานกรรมการฯ เริ่มอาชีพจากการซื้อขายอสังหาฯ จนมีทุนร่วมหุ้นก่อตั้งบริษัทก่อสร้างเล็กๆ กับเพื่อนฝูงหลายบริษัท จนแยกตัวมาสร้าง ‘สามชนะ’ ด้วยทุนส่วนตัวในที่สุด

ตามข้อมูลเปิดเผยว่า ‘สามชนะ’ จดทะเบียนก่อตั้งหลังเหตุการณ์ตึกถล่มเพียงหนึ่งปี

ถ้อยคำที่ได้ยินเมื่อหัวค่ำ เชื่อมโยงกับข้อมูลตรงหน้า อาจทำให้เชื่อว่าประพนธ์กับบุตรชายคนโต เป็นเจ้าของ หรือไม่ก็ร่วมหุ้นกับบริษัทก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานจนอาคารโรงพยาบาลถล่ม

คาดเดาต่อไปอีกว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นบริษัทก่อสร้างย่อมถูกดำเนินคดี ผลเป็นอย่างไรไม่ทราบ ผ่านไปแค่ปีเดียวสองพ่อลูกกลับมาเปิดบริษัทอย่าง ‘สามชนะ’ ได้

มันต้องมีเบื้องหลังหาคำตอบไม่ได้อีกมาก

ปกติภูดลจะไม่สนใจเรื่องอื่นนอกจากการทำมาหากิน แต่เรื่องนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ นั่นทำให้ตอบอีเมลบุคคลที่ใช้นามว่า ‘ลิ่วลม’ ตามนี้

ถ้าคุณทราบความเกี่ยวโยงสองข่าวที่ส่งมาให้…เราจะนัดคุยกันได้มั้ยครับ

——————————         ———————–         ————————————

…กลับมาที่นี่อีกแล้ว…

ณครามก้มดูสภาพตัวเองเห็นเสื้อกาวน์สีขาวสวมคลุมทับเสื้อเชิ้ตตัวใน เป็นเครื่องแบบที่แต่งตอนเข้าประชุม ร่วมงานวิจัย ไม่ใช่เวลาขึ้นบรรยายหน้าชั้น

เขาเคยกลับมาที่นี่หลายครั้งตั้งแต่เด็ก…วัยรุ่น…จนอายุเท่านี้ แต่ละครั้งรูปลักษณะการแต่งกายล้วนเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ทว่า…ภาพที่เห็นแทบไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมเลย

ที่นี่เป็นห้องโถงกลางชั้นล่างโรงพยาบาลเพชรมหาสมุทร ผู้ป่วย เจ้าหน้าที่ พยาบาลเดินกันขวักไขว่ สภาพภายในดูใหม่ เพิ่งสร้างเสร็จไม่ถึงปี

มันคือเหตุการณ์ช่วงเช้าวันเกิดเหตุที่แสนปกติ ไม่แตกต่างจากวันอื่นทั่วไป ไม่มีใครทราบว่าเพียงข้ามคืนที่ตรงนี้จะกลายเป็นซากอิฐกองปูน ฝังผู้คนหลายชีวิตเอาไว้

ชายหนุ่มไม่ขยับ ไม่กล้าก้าวขา ไม่อยากเห็น ไม่อยากมองภาพที่กำลังปรากฏ ในใจอยากเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก

ทว่า สิ่งที่เกิดไปแล้วแก้ไขกลับคืนไม่ได้ กาลเวลารอบข้างเคลื่อนผ่านรวดเร็ว ผู้คนทยอยหายไปจนโล่งว่าง แสงไฟฟ้าส่องสว่างแทนแสงธรรมชาติ

อาจารย์หนุ่มเริ่มออกเดินตามเส้นทางภายในอย่างคุ้นเคย เพียงชั่วไม่ถึงอึดใจก็มองเห็นเงาข้างหลังชายหนุ่มสวมเชิ้ตสีขาวเพิ่งถอดเสื้อกาวน์พับใส่ถุง แล้วก้าวยาวๆ ออกจากประตูด้านข้างอย่างเร่งรีบกระวนกระวาย

สายตาผู้อยู่เบื้องหลังทอประกายเจ็บปวด อยากเดินตามร่างนั้นออกไป แต่เขามีสิทธิ์เพียงยืนดูแค่ตรงนี้

ไม่นานเกิดแรงสะเทือนบนพื้นที่เหยียบยืน ตามด้วยเสียงตูมสนั่น หลอดไฟระเบิดกราว ประกายไฟแลบวูบวาบ เปลวเพลิงสีส้มแดงเฉิดฉาย

ณครามยืนนิ่งท่ามกลางกองไฟโอบล้อม หวังให้มันแผดเผาตนเองเป็นจุณด้วยเช่นกัน

…เขากลับมายืนตรงนี้อีกแล้ว…

ห้องพิเศษหลังคลอด หญิงสาวบนเตียงใบหน้าหมดจด รอยยิ้มเย็นตา ข้างเตียงเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ ดวงตาฉายแววบึกบึนนักสู้

ภูดลส่งรอยยิ้มให้คนทั้งสอง รู้สึกตนเองยิ่งเติบโตใบหน้ายิ่งมีส่วนคล้ายชายคนนั้นมากทุกที โดยเฉพาะคิ้วหนาเข้มแววตาเข้มแข็งอดทนไม่ท้อถอย นั่นทำให้เข้าใจว่าได้หัวใจนักสู้มาจากใคร

…พ่อ…

“พี่ตั้งชื่อลูกว่า ‘ภูดล’ ดีมั้ยจ๊ะ” วาจาอ่อนโยนผิดกับใบหน้า ความรักความอบอุ่นถ่ายทอดผ่านแววตา

“ภูดล…น้องดิน…ดีค่ะ ลูกจะได้เป็นเหมือนก้อนดินที่รวมหัวใจพวกเราไว้”

“งั้นพี่จะไปบอกพยาบาลเลยนะ” เขาพูดอย่างกระตือรือร้น

“ค่ะ”

หญิงสาวมองตามร่างสูงที่ออกจากห้องด้วยรอยยิ้มแช่มชื่น ความภูมิใจรักใคร่ปรากฏในดวงตา

‘คนเป็นลูก’ แค่ยืนมองใกล้ๆ ไม่สามารถทำอะไรมากกว่านี้ หัวใจเต็มตื้นผลิรอยยิ้มตาม ไม่ว่าจะกลับมาเห็นอีกสักกี่ครั้งภาพนี้ยังทำให้หัวใจอบอุ่นเป็นสุขเช่นเดิม

 

เวลาเย็น พยาบาลเพิ่งพาทารกน้อยออกไปหลังดื่มนมมารดาเรียบร้อย สองสามีภรรยาพูดถึงเจ้าตัวเล็กด้วยความรักชื่นชม

“ลูกน่ารักจังไม่โยเยเลย” ชายหนุ่มพูดกับภรรยา

“แกคงรู้ว่าพ่อแม่เหนื่อยมามาก ไม่อยากทำให้พวกเราลำบากกว่านี้”

“พี่สัญญานะว่าต่อไปพวกเราจะสบายขึ้น ถึงตอนนี้ยังต้องเช่าบ้านอยู่ แต่อีกไม่นาน…ลูกดินจะได้เติบโต วิ่งเล่นในบ้านของตัวเอง”

ดวงตาหญิงสาวเต็มไปด้วยความภูมิใจ

“อย่าหักโหมมากนะคะ เราไม่ได้มีกันแค่สองคนแล้ว ทำอะไรต้องคิดถึงลูกด้วย”

“ไม่เป็นไรหรอก พี่เป็นหัวหน้าครอบครัว มีหน้าที่ทำให้ลูกเมียมีความสุขอยู่แล้ว เราจะมีบ้าน สร้างครอบครัวเล็กๆ อบอุ่นอย่างที่เคยคุยกันไว้ไงจ๊ะ”

ความรัก ความฝันถึงอนาคตอบอวลอยู่ภายในห้องเล็กๆ มันเป็นความสุขมหาศาลช่วยหล่อหลอมจิตใจ ‘ผู้เข้ามาเห็น’ ให้เข้มแข็งเพื่อใช้ต่อสู้อดทนจนได้เป็นวิศวกร หวังไว้ว่าสักวันหนึ่งจะได้สร้างบ้านมีครอบครัวของตัวเองอย่างพ่อแม่

ภูดลอยากหยุดเวลาเอาไว้ชั่วกาลนาน ไม่ต้องการให้แปรผัน…ทว่า…ไม่เคยทำได้สักครั้ง

 

หัวค่ำ สองสามีภรรยาตกใจกับเสียงกริ่งฉุกเฉิน และควันโขมงลอดเข้ามาทางประตู

“ลูก ไปช่วยลูกก่อน” หัวอกคนเป็นแม่ย่อมคิดถึงลูกเป็นอันดับแรก

คนเป็นสามีสติดีกว่า สังเกตสถานการณ์โดยรอบแล้วรีบคว้าผ้าห่มบนเตียงไปแช่น้ำจนเปียกโชก อุ้มภรรยานั่งบนรถเข็น ใช้ผ้าห่มเปียกคลุมร่างเธอไว้ ส่วนตนเองใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำป้องกันควันไฟ

“เราต้องไปด้วยกัน พ่อแม่ลูกจะไม่แยกจากกันเด็ดขาด”

เขาพูดก่อนเปิดประตู กลุ่มควันลอยเข้ามาเต็ม รีบเข็นรถพาภรรยาไปทางห้องเด็กอ่อนอย่างรวดเร็ว นอกจากกลุ่มควันยังมีเปลวเพลิง เสียงเครื่องมือแพทย์ ถังออกซิเจนระเบิดดังตูมตาม

ภาพสุดท้ายที่ภูดลเห็นคือกลุ่มควันหนาทึบบดบังสองร่าง พื้นยุบฮวบพังทลายลง

เขาทำได้แค่มองดูด้วยหัวใจปวดร้าว น้ำตาไหลอาบแก้ม ไม่ว่าจะกลับมาเห็นกี่ครั้ง ความเศร้าโศกในใจยังวนเวียนไม่เคยจางหาย

สิ่งที่ทำได้ยามตื่นนอนคือพยายามดำเนินรอยตามความฝันของท่านให้ได้ เส้นทางชีวิตขีดไว้ต้องมุ่งมั่น เหนื่อยหนักกว่าคนอื่น ไม่หลงใหลสิ่งเย้ายวนวัยหนุ่มที่จะพาออกนอกลู่นอกทาง

 

เมื่อฝันถึงเหตุการณ์ตรงนี้ ปกติจะลืมตาตื่นพร้อมน้ำตาอาบแก้ม ครั้งนี้กลับผิดแผกจากเดิม

ภูดลมายืนอยู่หน้าซากตึกที่มอดไหม้ พังทลายยามรุ่งสาง ควันไฟลอยกรุ่น เปลวเพลิงยังคุกรุ่น บริเวณโดยรอบถูกกั้นเชือกโดยตำรวจ พวกดับเพลิง กู้ภัยทำงานด้านในขะมักเขม้น

นอกเชือกกั้นมีผู้คนยืนเกาะร่ำร้องเรียกหา ‘คนข้างใน’ ปิ่มว่าจะขาดใจ เขาสะดุดตากับสองคนที่ดูเผินๆ ไม่ต่างจากคนอื่น

ชายหนุ่มสวมเชิ้ตขาวเปื้อนเขม่าดินขะมุกขะมอม ดวงตาเรียวคู่นั้นทอประกายเจ็บปวด รู้สึกผิดรุนแรงจนบอกไม่ถูก มีลักษณะบางอย่างดูคุ้นตาคล้ายเคยเห็นมาก่อน

เด็กสาวร่างผอมบางทรุดนั่งพับเพียบกับพื้น เธอไม่ได้ร้องไห้ ดวงตาคู่นั้นแห้งผากราวกับดินหน้าแล้ง ลึกลงไปในนั้นคือความเศร้าโศกเสียใจที่ยากจะมีคนอื่นเข้าใจ

ภาพคนทั้งสองประทับในความทรงจำภูดลจนยากถอนออกมาได้

——————————         ———————–        —————————

มันเป็นความฝันที่แทนนทีกลับมาเห็นหลายครั้งแล้ว

เพียงแต่เรื่องราวคราวนี้เพิ่มรายละเอียดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน…อาจเพราะเพิ่งได้รู้ความลับสำคัญในชีวิต ทราบว่ามารดาแท้จริงยังมีชีวิตอยู่

หน้าห้องเด็กอ่อน มีเด็กสาวผิวขาว ใบหน้าซูบเซียวยืนเกาะกระจกมองภายในด้วยแววตาหดหู่…น่าจะเป็นคนเดียวกับที่โคชตะวัน แม่อัมพรเจอ

พยาบาลประจำห้องหันมาเห็นจึงออกมาทักทาย

“คิดถึงลูกหรือจ๊ะ น้องแทนกำลังหลับสบาย ไม่โยเยเลย ถ้ายังไงพรุ่งนี้ ไม่ก็มะรืนคุณหมอคงให้น้องระรินกลับบ้านพร้อมลูกได้แล้วจ้ะ”

แทนนทีจดจำพยาบาล ‘ปรานี’ ชัดเจนเพราะเห็นในความฝันหลายครั้ง ทั้งยังมีล็อกเกตรูปเธอติดตัวเป็นเสมือนเครื่องรางประจำตัวยามลงสนามแข่งขันฟุตบอล

เด็กสาวยกมือไหว้ด้วยแววตาหม่นปนสำนึกบุญคุณ

“ฝากพี่ปรานีดูลูกให้หนูด้วยนะคะ” น้ำเสียงอ่อนเบาราวกับพยายามสะกดกลั้นความรู้สึกภายใน

“ได้จ้ะ พรุ่งนี้พี่จะพาน้องแทนไปกินนมแต่เช้าเลย”

ผู้ฟังมัวแต่ใส่ใจเหลือบมองทารกด้านใน จึงไม่ทันสังเกตสะดุดหูกับน้ำเสียงวาจาแปร่งแปลกนั้น

“ขอบคุณมากค่ะ”

เด็กสาวตั้งใจหยุดวาจาแค่นั้น แต่ข้างในใจมีเรื่องบางอย่างต้องการบอก พยายามกัดริมฝีปากไม่ยอมพูดด้วยกลัวเสียเวลา สุดท้ายระงับไว้ไม่ไหว

“เอ่อ…พี่ปรานีคะ”

“มีอะไรหรือจ๊ะ”

“เมื่อกี้หนูเห็นที่ห้องชั้นล่างตึก…”

วาจาขาดห้วงเมื่อเด็กทารกอีกคนส่งเสียงร้องขึ้น

“น้องคราม…เป็นอะไรไปลูก”

พยาบาลปรานีรีบเข้าไปดูเจ้าตัวน้อยในห้องทันที

เด็กสาวสะกดวาจาที่จะพูด หันหลังแล้วรีบก้าวยาวๆ จากไปคล้ายกลัวตนเองหลุดวาจาแล้วทำให้แผนการหลบหนีเกิดสะดุดเปลี่ยนแปลง

แทนนทีมองเงาหลังมารดาด้วยแววตาหดหู่ หากฉากความฝันครั้งนี้ปรากฏตั้งแต่สิบยี่สิบปีก่อน เขาคงโกรธเคือง น้อยใจอย่างบอกไม่ถูก

พออายุใกล้แตะเลขสามเห็นเด็กสาวอายุน้อยกว่าตนสิบกว่าปี ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ก็บังเกิดความเข้าใจ จนไม่อยากโกรธเกลียด คับแค้นใดๆ ปล่อยให้เดินจากไปโดยไม่คิดติดตามไถ่ถามว่าทิ้งเขาทำไม ไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่าอยู่ที่ไหน

หันมามองพยาบาลปรานีด้วยความรู้สึกรัก ผูกพัน ภาพผู้หญิงเครื่องแบบสีขาวที่ดูแลเอาใจใส่ทารกน้อยทั้งสามอย่างจริงใจ ก่อให้เกิดความอบอุ่น มีความสุขทุกครั้ง ไม่ว่าจะวนเวียนมาเห็นกี่คราก็ตาม

สมัยเป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งคนดัง นักข่าวเคยถามถึง ‘ผู้หญิงในสเปก’ แทนนทีบรรยายภาพผู้หญิงในฝันตรงหน้าออกมาโดยไม่เสียเวลาคิดเลย

 

ทว่าความฝันอันสวยงามอบอุ่นพลิกผันชั่วพริบตา เมื่อเกิดแรงสะเทือนบนพื้น ตามด้วยเสียงตูมสนั่น หลอดไฟระเบิด กริ่งฉุกเฉินดังลั่น

พยาบาลสาวพยายามช่วยชีวิตทารกทั้งสามอย่างดีที่สุด ไม่ห่วงความปลอดภัยตน ผ่านกลุ่มควันไฟ เปลวเพลิง เสียงระเบิดด้วยใจแกร่งกล้า เปี่ยมด้วยเมตตา

เธอพาชีวิตน้อยๆ ทั้งสามออกจากอาคารมรณะด้วยสภาพสะบักสะบอม ทั้งตัวมีรอยไหม้เขม่าดำ สำลักควันลมหายใจรวยริน

ดวงตาทอประกายโล่งอกเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยมารับช่วงดูแลทารกทั้งสามจนปลอดภัย

แทนนทีประทับภาพสุดท้ายของเธอไว้ในความทรงจำก่อนลืมตาตื่น

พยาบาลปรานีเป็นผู้หญิงในฝัน และเป็นผู้หญิงคนเดียวในจิตใจตั้งแต่เล็กจนโต

——————————        ————————-          ————————–

ห้างสรรพสินค้าผู้คนบางตา

เพลงทรายเพิ่งร่วมประชุมและส่งงานให้บริษัทพี่ชายเรียบร้อย หล่อนเป็นสถาปนิกรับงานอิสระ ส่วนใหญ่ได้งานจากพี่น้อง เครือญาติ รายได้พอเลี้ยงตัว อีกทั้งมีเวลาช่วยงานบ้านแสงเทียนโดยไม่ลำบาก

หญิงสาวเข้ามาซื้อของเพื่อไปฝากเด็กบ้านแสงเทียน ได้ของตามต้องการครบจึงเดินเลือกร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวัน

มองผ่านร้านกาแฟชื่อดัง สะดุดตาชายหนุ่มผิวขาวโดดเด่น สวมแว่นกรอบบาง ดวงตาเรียวรีสวย กำลังจะก้าวเข้าไปทักทายแต่ต้องชะงักเมื่อเห็นสีหน้าเคร่งเครียด ดุดันแปลกจากเคย

ปกติณครามพูดน้อย ไม่แสดงอารมณ์ด้านใดออกมาชัดเจน เพื่อนสนิทอย่างภูดล แทนนที กระทั่งเพลงทรายต้องคอยสังเกต จับทิศทางอารมณ์เอาเอง

การแสดงอารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจเช่นนี้ทำให้หญิงสาวอยากรู้ว่าคู่สนทนาของเขาเป็นใคร

เพลงทรายมองเห็นแค่เบื้องหลังผู้ชายไหล่กว้าง ผมหงอกแซมขาวน่าจะอยู่วัยกลางคน

การแสดงอารมณ์ด้านร้ายต่อผู้อาวุโสกว่าไม่ใช่นิสัยชายหนุ่มผู้เป็นถึงครูบาอาจารย์ แสดงว่าคนผู้นั้นต้องแสดงท่าทางหรือพูดจาบางอย่างให้โกรธขนาดนี้

นั่นทำให้หญิงสาวลังเลใจ ไม่รู้ว่าควรยืนรอนอกร้านให้เขาอารมณ์เย็นลง หรือเลี่ยงไปทางอื่นเสียเลย คิดว่าวันนี้ไม่ได้พบกัน

ผู้ตัดสินคือณคราม

ชายหนุ่มกำลังโมโห ขัดใจจนไม่อยากมองคู่สนทนา สายตาแลเลยออกไปนอกร้านจนปะทะร่างหญิงสาวที่ตนคาดไม่ถึงจะเจอกันที่นี่

เพลงทรายส่งรอยยิ้มแหยๆ ใจเต้นตูมตาม รู้ว่าจังหวะไม่ดีแต่หลบไม่ทันเสียแล้ว

ณครามถอนใจเบาๆ เอ่ยวาจาต่อคู่สนทนาสองคำก่อนลุกจากเก้าอี้ เดินตรงมาทางหญิงสาว

วาจาแรกห้วนสั้น แสดงโทสะยังค้างคา

“หิวข้าวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน”

“อือ” เพลงทรายไม่อาจตอบวาจาอื่นได้

อาจารย์หนุ่มเดินนำหน้าไม่เหลียวหลัง ไม่สนใจว่าหญิงสาวจะตามมาหรือไม่

สายตาเพลงทรายยังอยู่ในร้านกาแฟ หวังว่าชายกลางคนจะหันหน้ากลับมา ทว่าท่าทางเขาจมอยู่ในความคิด ไหล่ห่อลู่ราวกับแบกความทุกข์มากมาย

——————————–         ———————–        ———————-

ร้านเครื่องดื่ม ขายอาหารจานเดียวตั้งอยู่ไม่ไกลไซต์งานที่ภูดลดูแล

‘ลิ่วลม’ ตอบรับนัดโดยระบุเวลา สถานที่เอง

พอเห็นชื่อสถานที่นัดพบในเมล วิศวกรหนุ่มทราบทันที ผู้ส่งเมลรู้รายละเอียดชีวิต การทำงานเขาพอสมควร นั่นทำให้นึกสงสัยว่าอาจเป็นคนใกล้ตัวหรือไม่

ก่อนเวลานัดประมาณห้านาที

ผู้ก้าวมาในร้านเป็นบุคคลที่ภูดลคาดไม่ถึง ไม่คิดว่าจะมาที่นี่ เวลานี้

“ไอ้แทน…มาทำอะไรที่นี่ ไหนบอกว่าโคชตะวันเพิ่งเสียจะอยู่ช่วยงานศพ”

ภูดลแปลกใจ ต่อให้รู้ว่าเพื่อนไม่สามารถลงแข่งขันนัดต่อไป แต่ถ้าไม่อยู่ช่วยงานศพผู้มีพระคุณ ก็น่าจะกลับแคมป์พักผ่อน ฟื้นฟูร่างกาย

“มึงล่ะ” แทนนทีย้อนถามพลางนั่งเก้าอี้ตรงข้าม

“กูมีนัด” ตอบตรงไม่ปิดบัง

“กับเจ้าของอีเมล ‘ลิ่วลม’ หรือเปล่า”

นักฟุตบอลถามกลับเช่นนั้น คนมารอก่อนเข้าใจทันที ‘ลิ่วลม’ ไม่ได้ส่งอีเมลให้เขาคนเดียว แก๊งเด็กเดนตายน่าจะได้รับพร้อมกันหมด

“งั้นไอ้ครามน่าจะมาด้วย” ภูดลคาดการณ์

แทนนทียักคิ้วเห็นด้วย

หลังโคชตะวันเสียชีวิตมีเรื่องต้องจัดการ ช่วยเหลือผู้มีพระคุณหลายอย่าง แทนนทีจึงโทรศัพท์ไปขออนุญาตโคช และผู้จัดการทีมอยู่ร่วมงานศพจนถึงวันเผาและเก็บกระดูก นั่นทำให้สังเกตเห็นอีเมลที่ส่งมา

สิ่งสะดุดใจคือถ้อยคำทิ้งท้าย…ซึ่งไม่เกี่ยวกับข่าวตึกโรงพยาบาลเพชรมหาสมุทร กับอัฒจันทร์ถล่ม

แม่คุณยังไม่ตาย ฉันรู้ว่าท่านอยู่ไหน

ตั้งแต่ทราบความจริงจากปากแม่อัมพร แทนนทีจะบอกกับตัวเองว่าไม่อยากพบ ไม่ต้องการเจอมารดาผู้ให้กำเนิด พอเห็นข้อความเช่นนั้น ความรู้สึกจริงแท้ก็พลุ่งพล่าน ขับดันออกมา

เขาอยากเจอแม่สักครั้ง อยากรู้ว่ามีความเป็นอยู่อย่างไร การทอดทิ้งลูกชายคนแรกทำให้เธอมีความสุขจริงหรือไม่…และ…เคยคิดถึงเขาสักนิดบ้างไหม

นั่นทำให้ตอบกลับอีเมล และรับนัดหมายมาพบกันที่นี่

“คนที่นัดพวกเราเป็นใครวะ” นักฟุตบอลถาม

“กูก็อยากรู้”

“ไอ้ครามน่าจะบอกได้…ระดับมันแค่ตามรอยอีเมลหาตัวตนจริงๆ ของใครสักคนมันง่ายนิดเดียว”

ผู้พูดเชื่อมือเพื่อนอัจฉริยะคนนี้

ได้ฟังเช่นนั้นเปลือกตาภูดลหลุบลง ความสงสัยบางอย่างบังเกิดขึ้น

ณครามเก่งเรื่องคอมพิวเตอร์ตั้งแต่มัธยม ฝีมือไม่ด้อยกว่าแฮกเกอร์ชื่อดัง เพียงแต่เขาเลือกเรียนเส้นทางที่สร้างประโยชน์กับผู้คนมากกว่า

ความที่รู้จักเพื่อนคนนี้มาตั้งแต่เล็ก เชื่อว่าณครามต้องสืบค้นเบื้องหลังตึกถล่มนานแล้ว ถ้า ‘ลิ่วลม’ รู้เบื้องหลังความเชื่อมโยงสองเหตุการณ์ มีหรือมือระดับ ‘อาจารย์’ จะไม่รู้

เหตุใดเขาจึงนิ่งเฉยไม่แย้มพรายอะไรเลย

ประตูร้านกาแฟเปิดออกตามเวลานัดหมาย สองหนุ่มหันไปมองพร้อมกัน คาดว่าผู้เข้ามาคงเป็นเพื่อนอีกคนที่เหลือ

ทว่า…ไม่ใช่

‘ลิ่วลม’ มาตามนัด เป็นคนที่พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าจะรู้เบื้องหลังชีวิตพวกตนเลย



Don`t copy text!