บันทึกดาราเร้นฟ้า บทที่ 4 : เสี่ยวซวง

บันทึกดาราเร้นฟ้า บทที่ 4 : เสี่ยวซวง

โดย : เหย่หวา

Loading

บันทึกดาราเร้นฟ้า นวนิยายออนไลน์โดย เหย่หวา นวนิยายจีนโบราณที่เล่าถึงการเดินทางของเอ้อฉิงซวงเพื่อตามหาของวิเศษ และทำให้เธอได้พบกับชิวหยางจื้อ จอมยุทธ์ยาจกที่จะว่าเป็นวาสนาพานพบก็คงไม่ใช่ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น เธอกับเขาก็คงไม่ตีกันตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้าหรอก นิยายสนุกๆ เรื่องนี้ มีให้อ่านที่อ่านเอา

****************************

– 4 –

“หมั่นโถทำไมจึงมีพิษ” เอ้อฉิงซวงส่งภาษามือถาม

“พวกนี้อาจเป็นโจร คอยปล้นคนเดินทาง”

เอ้อฉิงซวงกลืนน้ำลาย อีกฝ่ายคือจอมยุทธ์มากประสบการณ์ คำเตือนย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่กระทั่งแตะหมั่นโถเขาก็ยังไม่แตะ รู้ว่ามีพิษได้อย่างไร ชิวหยางจื้อแกล้งบิหมั่นโถจะเข้าปาก ความจริงหย่อนใส่แขนเสื้ออย่างแนบเนียน นางเลียนแบบพลางแอบสังเกตรอบๆ มีลูกค้าแวะสั่งหมั่นโถกลับบ้านอีกแล้ว เสี่ยวเอ้อจัดให้ก่อนกลับมาหาพวกนาง มองจานเปล่าแล้วสอบถาม

“จะสั่งหมั่นโถเพิ่มหรือไม่ขอรับ”

เอ้อฉิงซวงมัววิตกจึงเผลอพยักหน้า ครั้นเสี่ยวเอ้อหยิบหมั่นโถจากซึ้งมาให้ นางค่อยเข้าใจวิธีการ ถ้าคนสั่งของกลับบ้านร้านจะหยิบหมั่นโถจากซึ้งชั้นบน แต่สำหรับพวกนางหยิบจากซึ้งชั้นสอง ทั้งที่ชั้นบนยังวางหมั่นโถไว้เต็ม หนักมาก เหตุที่ต้องทำยุ่งยากเช่นนั้นเพราะพวกที่มาซื้อกลับบ้าน ส่วนใหญ่เป็นคนแถวนี้ แต่เป้าหมายของโจรคือนักเดินทางอย่างพวกนาง ซึ้งชั้นสองคงแยกไว้ใส่หมั่นโถมีพิษเพื่อวางยาเป้าหมายโดยเฉพาะ ชิวหยางจื้อสังเกตเห็นความผิดปกตินี้

ตอนนั้นเอง จอมยุทธ์ยาจกพลันพูดว่า “คิดเงินแล้วห่อหมั่นโถให้ด้วย ข้าต้องรีบเดินทาง”

เสี่ยวเอ้อรับคำ เมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวอีกครั้งนางค่อยโล่งอก “พวกโจรเปลี่ยนใจใช่หรือไม่”

“ผิดแล้ว พิษไม่ออกฤทธิ์เร็วเพราะหากเกิดอาการที่ร้านลูกค้าอื่นจะสงสัย พวกมันน่าจะใช้ยาพิษประเภททำให้อ่อนแรงหรือสลบ พอเหยื่อออกจากร้านก็ส่งคนแอบตาม ยาออกฤทธิ์เมื่อใดจึงลงมือปล้น”

นางฟังจบยิ่งกังวล แต่เห็นชิวหยางจื้อทำท่าไม่แยแสก็คลายใจ แล้วจู่ๆ เขาพลันพูดขึ้น “แกล้งสลบเร็ว”

“หา?”

“ได้เวลาที่ยาควรออกฤทธิ์แล้ว แถวนี้ทางเปลี่ยวไร้คนสัญจร มันต้องลงมือแน่ สลบเร็ว!”

นางจึงแสร้งล้มฟุบ หัวพาดตรงปากประตูรถม้า ชิวหยางจื้อกระโดดลงพื้น ตะโกนโวยวาย

“คุณหนูๆ ทำไมท่านเป็นเช่นนี้ ใครก็ได้ช่วยด้วย โอย…ทำไมข้าเวียนหัว…”

คราแรกเอ้อฉิงซวงยังพยายามหรี่ตามอง แต่ฝีมือเล่นละครที่ห่วยได้เลิศล้ำของเขาทำนางหลับตาละเหี่ย คงหลอกได้แต่โจรจอมโง่งมเท่านั้น แล้วนางจึงได้ยินเสียงตุบตับ เสียงร้องชุลมุนชั่วอึดใจก็สงบ เอ้อฉิงซวงลืมตามองถนนพลางส่ายหัวไปมา ที่แท้โจรจอมโง่งมมีอยู่ในโลกจริงๆ มิหนำซ้ำยังมีถึงสองคน

ชิวหยางจื้อแบกโจรที่สลบทั้งคู่ขึ้นรถม้า นางโวยวายสงสัย เขาตอบว่า “ข้าจะเอาพวกมันไปส่งมือปราบในเมือง แล้วให้มาจับกุมโจรที่เหลือ”

ร่างโจรสองคนก็เต็มพื้นที่ในรถม้าแล้ว นางจำใจปีนมานั่งข้างคนขับ บ่นกระปอดกระแปดใส่เขาที่ยังง่วนอยู่ใต้ประทุนรถ “โจรทำข้าเสียเวลา จับไปให้หมดก็สมควร ว่าแต่ทำไมท่านถึงใช้ภาษามือได้เล่า”

“อาจารย์หญิงข้าก็หูหนวก โชคดีภาษามือของเจ้าเป็นสายเดียวกับที่อาจารย์หญิงสอนข้า ไม่เช่นนั้นคงคุยกันไม่รู้เรื่อง”

แผ่นดินกว้างใหญ่ ภาษามือซึ่งคิดค้นขึ้นจึงมีหลายตำราไม่เหมือนกัน โชคดีอย่างที่ชิวหยางจื้อพูดจริงๆ นางนึกขอบคุณความบังเอิญระหว่างนั่งรอเขา แต่ตั้งนานจอมยุทธ์ยาจกก็ยังไม่กลับออกจากใต้ประทุนรถ ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะร้อนใจเอี้ยวตัวไปเลิกม่านขึ้น ก่อนทำตาโต

“ท่านค้นตัวพวกมันทำไม คิดจะปล้นโจรหรือ!”

“ไม่ได้ปล้น ข้าขอต่างหาก ขอเงินค่าหมั่นโถที่ไม่ได้กิน ขอค่าแรงที่ใช้ซัดพวกมัน ฮื่อ!” เขกกะโหลกโจรที่นอนสลบ “ทำไมพกเงินน้อยเยี่ยงนี้”

นางกุมขมับ คำสอนของอาจารย์…ขอได้เป็นขอแต่ห้ามขโมยสินะ แล้วพลันได้ยินเขาตะโกนจับไม่ได้ศัพท์ นางเลิกม่านอีกครั้ง ชิวหยางจื้อกำลังจ้องจี้หยกชิ้นหนึ่ง คงเอามาจากตัวโจร นางกำลังจะร้องถามเขาก็กระชากโจรนั่นขึ้นตบหน้าจนมันตื่น

“จี้หยกนี่เป็นของจอมยุทธ์หญิงสหายข้า เจ้าเอามาจากไหน!”

โจรเลิ่กลั่ก จนเขาตะคอกซ้ำค่อยมีสติเอ่ยตอบ “สะ…สองวันก่อนเราวางยานางได้ จึงปล้นสมบัติมาแบ่งกัน ข้ากำลังจะเอาไปขาย”

“แล้วตัวนางเล่า เจ้าทำอันตรายหรือไม่!” ดวงตาชิวหยางจื้อแดงฉาน น่ากลัวสุดประมาณ โจรจะร้องไห้อยู่รอมร่อ

“ไม่…ไม่ เราต้องรอหัวหน้าสั่งการก่อนว่าจะทำอย่างไรกับเชลย นางจึงถูกขังที่ค่ายบนเขา รอหัวหน้ากลับวันนี้”

เขาเค้นถามที่อยู่ค่ายโจรภูเขา แล้วซัดชายเคราะห์ร้ายจนสลบอีกครั้ง ค่อยพูดกับนางว่า “สหายข้าซุนหวังเยี่ยนมีภัย ข้าจะไปช่วยนาง เจ้ารอที่นี่”

“แล้วถ้าพวกโจรที่ร้านหมั่นโถตามหาคนพวกนี้จะทำอย่างไร ถึงข้าซ่อนตัวพวกมันก็อาจหาเจอ”

ชิวหยางจื้อสบถอย่างขัดใจ เขาไม่มีเวลาพาเอ้อฉิงซวงไปหลบในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้ “เปลี่ยนแผน เราซ่อนรถม้าและโจรไว้ เจ้าไปกับข้า”

เขาขับรถม้าไปหลบหลังเนินเตี้ยไม่ห่างถนนมาก มัดโจรสองคนแน่นหนาแทบเป็นขนมจ้าง แล้วกระโดดมาหานาง “ข้าต้องอุ้มเจ้าเพื่อใช้วิชาตัวเบาปีนเขา ขออย่าถือสา”

“ที่บ้านเช่าแม่ทัพจี๋ท่านก็พาข้าหนีด้วยวิธีเดียวกันมาแล้ว ขออภัยตอนนี้คงสายไปกระมัง”

เขาหลุดหัวเราะ ท่าทางเคร่งเครียดผ่อนคลายลง ใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็ถึงค่ายโจร ตรงปากทางเข้าค่ายมีหอคอยไม้ไผ่สูงราวสองจ้าง วางยามเฝ้าระวังหนึ่งคน ชิวหยางจื้อพาเอ้อฉิงซวงลัดเลาะหลบสายตายามบนนั้นไปยังจุดหมาย โจรบนรถม้าบอกตำแหน่งคุกที่ใช้คุมขังซุนหวังเยี่ยนไว้แล้ว อยู่ด้านหลังค่ายชิดรั้วพอดี ดูเหมือนหัวหน้าที่ไม่อยู่ค่ายจะพาลูกน้องไปประมาณครึ่งหนึ่ง จึงเหลือคนไม่มากนัก ชิวหยางจื้อฟาดยามผู้เฝ้าแถวนั้นเพียงคนเดียวจนสลบ ก็ลอบเข้ากระท่อมซึ่งเป็นที่คุมขังอย่างง่ายดาย

ภายในกระท่อมกินพื้นที่เกือบครึ่งเป็นกรงไม้ ขังซุนหวังเยี่ยนผู้นอนหลับพิงกำแพงอยู่ นางมีริมฝีปากอิ่มคางกลมมน จัดเป็นโฉมสะคราญผู้หนึ่ง แต่ยามนี้ใบหน้าพิลาสล้ำอิดโรย เสื้อผ้าเปื้อนฝุ่นทั้งตัว ชิวหยางจื้อใช้มือเปล่าหักกรงไม้ที่ไม่ค่อยแข็งแรงนัก อุ้มนางมาวางยังพื้นด้านนอก สกัดจุดสองสามครั้งนางพลันลืมตาตื่น พอเห็นชิวหยางจื้อก็ตกใจจะร้องขึ้น เขารีบปิดปากนางไว้

“ข้ามาช่วยเจ้า เป็นอย่างไรบ้าง”

“ข้าโดนโจรวางยาในหมั่นโถ อยู่ที่นี่มันยังบังคับข้ากินยาพิษ ไม่มีแรงเลย”

“ไม่เป็นไร ข้าจะพาเจ้าแอบหนี”

“ไม่ได้! พวกโจรคอยตรวจคุกสม่ำเสมอ ไม่ช้าคงรู้ว่าข้าหายไป พวกมันจะพากันหลบหนีก่อนเจ้านำมือปราบกลับมา โจรภูเขากลุ่มนี้ชั่วร้ายมาก ข้าตามรอยมานานแต่ดันพลาดท่า เจ้าต้องปราบพวกมันตอนนี้ อย่าปล่อยให้เป็นภัยภายหลัง”

“แต่ข้าพาสหายมาด้วย เกรงนางเป็นอันตราย”

ซุนหวังเยี่ยนเพิ่งหันไปพบเอ้อฉิงซวง นางแปลกใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างรวดเร็ว “พาข้าและแม่นางท่านนี้ไปหลบบนหอคอยเฝ้าระวังก่อนก็ได้ โจรแค่ไม่กี่สิบคน สำหรับเจ้าย่อมง่ายดุจพลิกฝ่ามือ”

“หากเจ้าไม่ถูกพิษคนพวกนี้ก็หาใช่คู่มือไม่ เอาเถอะ ข้าจะปราบโจรให้เจ้า”

เอ้อฉิงซวงอ้าปากค้าง ที่นี่มันรังโจรไม่ใช่รังมด ท่านบอกจะขยี้ก็ขยี้ได้เลยหรือ โปรดทบทวนสักนิดก่อนเถอะ!

แต่ชิวหยางจื้อไม่เว้นช่วงให้นางเอ่ยสักคำ ก็อุ้มซุนหวังเยี่ยนโดดทะลุหลังคาทันที เอ้อฉิงซวงยังไม่ทันหายใจตกใจ เขาพลันกลับลงมาคว้านางกระโดดขึ้นไปอีกครั้ง ซุนหวังเยี่ยนนั่งรออย่างเหนื่อยอ่อนบนหลังคากระท่อม ส่วนพวกโจรเริ่มรู้ตัวพากันกรูมาทางนี้แล้ว ชิวหยางจื้อยกยิ้มมุมปาก สะกิดปลายเท้าพาเอ้อฉิงซวงลอยข้ามหัวพวกมันถึงบนหอคอย เตะยามบนนั้นตกลงมาร้องโอดโอย

“เจ้ารอที่นี่” เขาปล่อยเอ้อฉิงซวงไว้ยังคอกไม้ไผ่ด้านบน ทำลายบันไดจนไม่มีใครปีนขึ้นได้ แล้วกลับไปช่วยซุนหวังเยี่ยนมาอยู่กับนาง

กลุ่มโจรเริ่มตั้งตัวติด คว้าอาวุธใกล้มือมารวมตัวกันที่ลานใต้หอคอย ชิวหยางจื้อโดดลงกลางวงพวกมัน พริบตาโจรล้มลงเป็นใบไม้ร่วง ราวสามเค่อก็สิ้นท่าจนหมด ซุนหวังเยี่ยนนั่งพักอยู่บนหอคอย มองลอดราวกั้นไม้ไผ่ลงไปดูสถานการณ์ รำพึงว่า

“ใช้เวลาเร็วกว่าที่ข้าคาด ฝีมือเขาก้าวหน้าขึ้นอีกแล้ว” จากนั้นพักหายใจ ก่อนหันไปหาสตรีอีกคน “ข้าซุนหวังเยี่ยน เป็นจอมยุทธ์พเนจร ยังไม่ทราบนามอันสูงส่งของแม่นางเลย”

เอ้อฉิงซวงย่อมมิอาจเปิดเผยฐานะให้ใครรู้ว่าศิษย์ตำหนักเหนือเทวะอยู่ร่วมกับสำนักคู่อาฆาต “จอมยุทธ์หญิงซุนเรียกข้าเสี่ยวซวง (1) เถอะ”

อีกฝ่ายย่อมทราบว่านางคิดปกปิดชื่อแซ่ แต่แค่เผยอยิ้มด้วยริมฝีปากซีดเซียว “เช่นนั้นท่านก็ควรเรียกข้าเสี่ยวเยี่ยน”

ขณะเดียวกัน ชิวหยางจื้อที่อยู่ด้านล่างพลันชี้ไปที่กระท่อมในค่ายโจรหลังหนึ่ง “ข้าได้ยินเสียงคนหายใจ โจรร้ายมอบตัวเสียโดยดี!”

“อย่า…อย่าฆ่าข้า” ที่ก้าวออกจากกระท่อมอย่างหวาดกลัวกลับเป็นสตรีนางหนึ่ง “ข้าถูกจับมาแล้วบังคับให้คอยรับใช้อยู่ในค่าย ข้าไม่ใช่พวกโจร”

เขาลดมือลง “เจ้าอยู่มานานแค่ไหน”

“สองเดือนแล้วนายท่าน”

“เพื่อนข้าถูกพิษของโจรภูเขา เจ้ารู้ที่เก็บยาถอนพิษหรือไม่”

นางพยักหน้าถี่ๆ “ข้าจะไปเอามาให้”

นางวิ่งผ่านพวกโจรที่ยังนอนครางโอดโอย เข้ากระท่อมหลังหนึ่งแล้วกลับบอกมา ส่งขวดยาให้ชิวหยางจื้อนำขึ้นไปป้อนสหายบนหอคอย ซุนหวังเยี่ยนหลับตาโคจรลมปราณเร่งขับพิษ ระหว่างนั้นไม่อาจถูกรบกวน เอ้อฉิงซวงจึงถอยห่างจากนาง แล้วเผอิญมองจากหอคอยไปไกลๆ ก่อนเบิกตากว้าง

“กลุ่มที่ขี่ม้าตรงมานั่น หัวหน้าโจรกลับมาแล้ว!”

“เจ้าคอยบนนี้ ปล่อยข้ารับมือ” จอมยุทธ์ยาจกกระโดดลงไปหาสตรีด้านล่าง “หัวหน้าโจรกำลังมา ข้าจะพาเจ้าไปหลบบนหอคอย”

นางจึงวิ่งหน้าตาตื่นมาหาเขา ครั้นเมื่อประชิดตัว…กลับซัดผงในมือใส่ตาชิวหยางจื้อ!

เขาร้องโอ๊ย กุมตาอย่างเจ็บปวด จังหวะนั้นหัวหน้าโจรขี่ม้าตะบึงเข้าค่าย นางตะโกนก้อง “พ่อ! มีคนบุกรุกค่าย ข้าสาดผงพิษใส่ตามันแล้ว”

เอ้อฉิงซวงสังเกตการณ์อยู่ด้านบน ตกใจสุดระงับ ชิวหยางจื้อสกัดจุดรอบดวงตากันพิษแพร่กระจาย อดกลั้นความเจ็บปวดรับมือโจรที่ลงจากหลังม้า จอมยุทธ์ยาจกหลับตาลง ฟังเพียงเสียงรอบกายแล้วตอบโต้กลับไป แม้มิอาจจู่โจมแต่ยังป้องกันตัวได้ หัวหน้าโจรจึงสั่งการ

“แบ่งคนสองกลุ่ม ที่อยู่วงนอกคอยเคาะดาบก่อกวนมัน ที่เหลือฆ่ามันให้ได้!”

ชิวหยางจื้อแม้ทราบแผนอีกฝ่ายแต่ไม่อาจแก้ไข เอ้อฉิงซวงร้อนใจพยายามช่วยตะโกนบอกทิศที่ศัตรูจะโจมตี แต่เมื่อจอมยุทธ์ยาจกได้ยินพวกโจรก็ได้ยินเช่นกัน จึงหลบหลีกทันก่อนชิวหยางจื้อลงมือ กลายเป็นเขาที่โดนฟันเลือดกระฉูด

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะขมวดคิ้ว เงียบอยู่ชั่วครู่ก็ร้องขึ้นอีกครั้ง “กลางซ้ายแตะคาง”

พวกโจรงุนงงไม่เข้าใจ แต่ชิวหยางจื้อพลันพลิกตัว ฟาดฝ่ามือใส่โจรคนหนึ่งสลบเหมือดทันที

“นางขวาแตะคิ้ว”

ชิวหยางจื้อกำราบศัตรูคนที่สองลงอย่างง่ายดาย เอ้อฉิงซวงตะโกนหนึ่งครั้งโจรก็ล้มลงหนึ่งคน ที่แท้นางกำลังใช้ภาษามือช่วยบอกทิศทางให้ชิวหยางจื้อ แต่อธิบายเป็นอากัปกิริยาให้เขานึกภาพแทนนั่นเอง หัวหน้าโจรคิดจนหัวแทบแตกก็ไม่อาจเดาวิธีสื่อสารของพวกเขา กำลังฝ่ายโจรจึงลดลงไปทีละคน ขณะหัวหน้าโจรหวาดหวั่น ลูกสาวเขาก็คว้าหน้าไม้ที่แขวนข้างตัวม้ายื่นให้ หัวหน้าโจรตาลุกเล็งใส่ชิวหยางจื้อทันที ลูกน้องที่เหลือรีบทำตาม ระดมยิงใส่ผู้บุกรุก ชิวหยางจื้อมองไม่เห็นต้องปัดป้องทุลักทุเล ธนูดอกหนึ่งจึงลอดไปปักต้นขา เขาไม่ส่งเสียงร้องสักคำแต่เคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัด เอ้อฉิงซวงเป็นห่วงจนมือไม้เย็นเยียบ หันไปร้องบอกซุนหวังเยี่ยนนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้าง

“เสี่ยวเยี่ยน! จอมยุทธ์ชิวแย่แล้ว เจ้าพอจะลุกไปช่วยเขาไหวหรือไม่”

จอมยุทธ์หญิงกำลังเดินลมปราณรักษาตัวจนเหงื่อโซมกาย หน้านิ่วคิ้วขมวด แล้วทันใดนั้นพลันกระอักโลหิตกองโต!

“เสี่ยวเยี่ยน!” เอ้อฉิงซวงผวาไปหานาง “เป็นอะไร”

ซุนหวังเยี่ยนกุมหน้าอก เอ่ยเสียงสั่น “ไฉนพิษกำเริบหนักกว่าเดิม ข้าไม่เข้าใจเลย”

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะกระจ่างในบัดดล ยาที่ลูกสาวหัวหน้าโจรนำมาให้หาใช่ยาถอนพิษไม่ แต่ต้องเป็นพิษตัวอื่นแน่ๆ พวกนางหลงกลสตรีเจ้าเล่ห์เสียแล้ว อาการแตกตื่นตรงเข้าจู่โจมเอ้อฉิงซวง ความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อม นางกลับคิดทางรอดไม่ออกแม้แต่น้อย!

ทันใดนั้นซุนหวังเยี่ยนฝืนลุกจะปีนลงหอคอย เอ้อฉิวซวงฉุดรั้งไว้ “เจ้าจะทำอะไร”

“ข้าต้องลงไปช่วยหยางจื้อ เขายอมทำตามที่ข้าขอจึงตกอยู่ในอันตราย เป็นความผิดข้า”

“เจ้าโดนพิษจนเอาตัวไม่รอดแล้ว ยังช่วยเหลือใครได้” กล่าวถึงตรงนี้พลันชะงัก เอ้อฉิงซวงนิ่งคิด “เสี่ยวเยี่ยน เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่”

พวกนางพบกันยังไม่ถึงชั่วยาม พูดคุยแทบนับคำได้ แม้นซุนหวังเยี่ยนส่ายศีรษะตอบคำถามเอ้อฉิงซวงคงไม่แปลกใจ แต่จอมยุทธ์หญิงกลับเอ่ยหนักแน่น

“เจ้าเป็นสหายของหยางจื้อ ข้าย่อมเชื่อมั่น”

คนฟังเลิกคิ้ว เคยนึกว่าอาจต้องเกลี้ยกล่อมอีกพักใหญ่ คุณธรรมน้ำมิตรของชนชาวยุทธ์นี่…ช่างสะดวกสบายจริงแท้!

“หากเจ้าอยากให้ทุกคนรอดจากที่นี่ ได้โปรดนั่งลงหลับตา ห้ามลืมตาก่อนข้าบอกเด็ดขาด”

ซุนหวังเยี่ยนเกิดอาการลังเล แต่ถูกเร่งเร้าจนยอมตาม เอ้อฉิงซวงหยิบหยกเพลิงน้ำค้างเสี้ยวหนึ่งออกมา ระหว่างเดินทางนางทำถุงผ้าเก็บหยกวิเศษแล้วแขวนคอซ่อนใต้เสื้อ ยามฉุกละหุกจึงคว้ามาใช้ได้ทันที

หยกเพลิงน้ำค้างสามารถดูดซับพิษจากยาได้ ก็อาจดูดพิษจากร่างคนได้เช่นกัน แม้ไม่แน่ใจแต่นางไม่เหลือทางอื่นแล้ว สมควรลองดูสักครั้ง เอ้อฉิงซวงยื่นหยกไปตรงหน้าคนที่กำลังหลับตา ก่อนชะงักลง…แล้วต้องทำอย่างไรต่อเล่า

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะปาดเหงื่อ อันคุณสมบัติดูดซับพิษของหยกเพลิงน้ำค้างด้วยการใส่ลงในยานั้นนางก็เคยศึกษามา ตอนที่หมอของแม่ทัพจี๋ทำให้ดูนางอาจเพิ่งเคยเห็นครั้งแรก แต่หาใช่สิ่งแปลกใหม่ไม่ ตรงกันข้าม นางไม่เคยได้ยินว่าหยกเพลิงน้ำค้างดูดซับพิษจากร่างคนโดยตรงได้ และด้วยวิธีการเช่นใดกัน ลองให้กิน…เอ่อ ตอนเอากลับคงไม่โสภานัก หรือให้อมไว้…ถ้าหยกวิเศษเปื้อนน้ำลายอาจารย์ฆ่านางแน่ เอ้อฉิงซวงคิดแล้วคิดอีก ตัดสินใจเลือกวิธีปลอดภัยที่สุดดูก่อน ลองวางหยกที่ตัวของซุนหวังเยี่ยนแล้วกัน

นางแตะหยกเสี้ยวหนึ่งยังหลังมือจอมยุทธ์หญิง รอคอยใจจดจ่อ พลางตกตะลึงตาค้างในเวลาถัดมา ก่อนหน้านี้หยกดูดพิษจากยาที่ใช้รักษาบุตรีแม่ทัพจี๋ จนจุดดำละเอียดในเนื้อหยกกระจายทั่ว ทำให้ความใสของหยกหม่นมัวลง แต่ยามนี้หยกกลับค่อยๆ เปล่งประกายวาวใส จุดดำเลือนหายลงทีละนิด

แย่แล้ว! เอ้อฉิงซวงตัวเย็นเยียบ หรือนางคิดผิด หยกไม่ได้ดูดซับพิษจากร่างซุนหวังเยี่ยนแต่กลับปล่อยพิษที่กักเก็บเอาไว้แทน นางทำให้เรื่องยิ่งแย่ลง!

เอ้อฉิงซวงจะรีบชักหยกคืน แต่จอมยุทธ์หญิงทักขึ้นก่อนทั้งที่ยังหลับตา “เสี่ยวซวงทำอะไร ทำไมข้ารู้สึกสบายตัวขึ้น”

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะขมวดคิ้ว สีหน้าซุนหวังเยี่ยนที่เคยซีดขาวเริ่มปรากฏเลือดฝาดจางๆ ลมหายใจราบรื่นไม่หอบเหนื่อย หยกดูดพิษจากร่างนางได้จริงๆ เอ้อฉิงซวงยิ้มออกแล้ว สลัดความผิดปกติของหยกทิ้งไปก่อน ร้องว่า

“เสี่ยวเยี่ยนลองเดินลมปราณดู หากทำได้ไม่ติดขัดเมื่อใดก็บอกข้า”

สักพักใหญ่ซุนหวังเยี่ยนเริ่มเดินลมปราณอย่างสะดวก เอ้อฉิงซวงเก็บหยกซ่อนในเสื้อเหมือนเดิม พอซุนหวังเยี่ยนได้รับอนุญาตให้ลืมตานางก็ผุดลุก กระโดดลงจากหอคอยทันที

ชิวหยางจื้อกำลังย่ำแย่เต็มทน แต่พวกโจรก็บาดเจ็บมากเช่นกัน มีซุนหวังเยี่ยนมาเสริมทัพยิ่งระส่ำระสาย โดนกำราบในพริบตา เอ้อฉิงซวงรอคอยด้วยใจระทึกจากบนหอคอย เมื่อนั้นถึงกับหมดแรงทรุดนั่ง

จบแล้ว…จบเสียที…

โจรภูเขาอาละวาดแถบนี้มานาน ทางการเอือมระอาเต็มทน จู่ๆ มีจอมยุทธ์ปราบปรามให้จนราบคาบ ย่อมปรีดายิ่ง ตามไปจัดการต่อจนเรียบร้อยแล้วเชิญขบวนจอมยุทธ์กลับเมือง นำเข้าพักที่โรงเตี๊ยมอย่างดี

ชิวหยางจื้อแม้ปราบโจรอย่างเด็ดขาดกลับไม่มีใครตายสักคน ส่วนพิษในตาเขาแค่ล้างออกก็ทุเลา ที่น่ากังวลคือแผลบนตัวซึ่งมีจำนวนมาก แม้ไม่รุนแรงทว่าเสียเลือดจนอ่อนเพลีย พอทำแผลเสร็จก็หลับพักทันที ส่วนซุนหวังเยี่ยนต้องเดินลมปราณขับพิษที่ยังตกค้าง จึงเหลือแต่เอ้อฉิงซวงคอยให้ปากคำมือปราบ กว่าจะกลับถึงโรงเตี๊ยมก็ย่ำค่ำ เจอจอมยุทธ์ยาจกกำลังนั่งสวาปามอาหารในห้องพัก สภาพร่างกายเขาช่างแข็งแรงจนน่าขนลุก พรุ่งนี้ก็สามารถออกเดินทางได้แล้ว

“เจ้าพักก่อนค่อยกินข้าวกันเถอะ มือปราบต้อนรับดีมาก ข้าตื่นก็เจออาหารเต็มโต๊ะแล้ว ส่วนเสี่ยวเยี่ยนยังเดินลมปราณ ไว้ค่อยชวนนางทีหลัง”

เอ้อฉิงซวงกระแทกตัวนั่ง “ที่จริงข้าไม่เกี่ยวข้องสักนิด กลายเป็นต้องวิ่งวุ่นเหนื่อยแทบตาย แต่ท่านกลับเจริญอาหารยิ่งนัก!”

ชิวหยางจื้อรีบรินน้ำชาเอาใจ “รบกวนแม่นางเอ้อแล้ว โปรดรับน้ำชาขอขมา”

“ความลำบากของข้า มีค่าเท่าน้ำชาถ้วยเดียวหรือ”

“หัดรู้จักทวงบุญคุณเหมือนข้าแล้ว แม่นางเอ้อช่างเรียนรู้รวดเร็วจริงแท้”

ครั้นนางถลึงตาตอบ จอมยุทธ์ยาจกกลับแยกเขี้ยวยิ้ม ล้วงหยิบยาสองขวดวางบนโต๊ะ

“พวกนี้คือพิษที่ข้าชิงมาจากบุตรสาวหัวหน้าโจร ขวดจุกเขียวเป็นพิษกร่อนเรี่ยวแรง ขวดจุกดำคือยาพิษถึงตาย จะกินหรือเข้าทางบาดแผลล้วนออกฤทธิ์เหมือนกัน ส่วนยาแก้ไม่เหลือแล้ว นางแค่หลอกพวกเรา” เขาผายมือไปที่ขวดยา “ทั้งหมดข้ายอมยกให้เจ้า”

เอ้อฉิงซวงถอยหน้าหนีโดยพลัน “ข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องพิษ จะเอาไปทำอะไร โดยเฉพาะพิษที่ไม่มียาแก้”

“อันที่จริงยาแก้ของพิษพวกนี้ปรุงไม่ยาก หมอทั่วไปก็ทำได้ เพียงแต่พวกโจรไม่ค่อยได้ใช้ยาแก้จึงขี้เกียจปรุงใหม่”

“ถึงอย่างนั้นข้าก็ไม่อยากแตะต้องพวกมัน”

“หากคิดใช้ชีวิตในยุทธภพก็ควรหัดป้องกันตัวไว้บ้าง ดูเช่นวันนี้ สมมุติเจ้าไม่สามารถขับพิษให้เสี่ยวเยี่ยนได้ทัน พวกเราคงแย่แล้ว ว่าแต่เจ้าใช้วิธีใดในเมื่อยาแก้ก็ไม่มี”

ศิษย์ตำหนักเหนือเทวะจึงเล่าความทั้งหมด จนถึงเรื่องที่หยกเปลี่ยนแปลงสภาพ ชิวหยางจื้อลองช่วยวิเคราะห์

“อันธรรมชาติมักก่อเกิดคู่ตรงข้ามดั่งหยินหยาง เช่นสีขาวสีดำ ชายหญิง น้ำและไฟ ขั้วตรงข้ามลักษณะแบบนี้ล้วนแทรกซึมอยู่ในของหลายอย่าง พิษเองก็เช่นกัน ย่อมสามารถแบ่งประเภทเป็นสองฝั่ง พิษร้อนพิษเย็น พิษออกฤทธิ์ช้าหรือเร็ว เป็นไปได้ว่ายามหยกเพลิงน้ำค้างดูดพิษแต่ละประเภทก็จะแสดงออกมาเป็นสีในเนื้อหยก ด้านหนึ่งจุดสีดำ ด้านหนึ่งจุดสีขาว แปรตามปริมาณพิษที่สะสมในตัว”

“ท่านจะบอกว่าหากข้าจับจุดถูก อาจสามารถใช้พิษปรับสีของหยกให้กลับสู่สภาพเดิมได้”

“ก็มีโอกาสอยู่ นับว่าเจ้าเจอความลับของหยกวิเศษที่ไม่มีใครทราบมาหลายร้อยปี เป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่มากทีเดียว เจ้าตำหนักเว่ยต้องพอใจยิ่ง ไม่แน่อาจลดโทษที่เจ้าขโมยหยกไปใช้”

นางเองก็คิดเช่นเดียวกันจึงยิ้มแย้มเบิกบาน เขากล่าวต่อ “ข้าเคยคิดว่าสมบัติวิเศษก็เพียงแค่สิ่งสวยงาม นึกไม่ถึงจะมีความลึกล้ำเช่นนี้ มิน่าเจ้าตำหนักเว่ยจึงชมชอบสะสมพวกมันนัก”

“ไม่เพียงสะสมยังเพียรศึกษาคุณสมบัติอีกด้วย อาจารย์ชอบเล่าว่าสมบัติวิเศษก็คล้ายดาราบนฟ้า บางคราโดนแสงจันทร์กลบต้องเร้นประกาย เราจึงมีหน้าที่ค้นหามาเก็บรักษาเพื่ออนุชนรุ่นหลัง ยามใดท่านพบสมบัติชิ้นใหม่หรือสามารถศึกษาความวิเศษของพวกมันเพิ่มเติม ท่านมักรำพึงว่า ‘เห็นหรือไม่ ข้าเจอดาราเร้นฟ้าอีกแล้ว’ จากนั้นจดเป็นบันทึกไว้”

“บันทึกดาราเร้นฟ้าอย่างนั้นหรือ ช่างน่าสนใจยิ่ง เสียดายคราวนี้ดาวบางดวงกลับร่วงหล่นแตกกระจาย หากเจ้าตำหนักเว่ยทราบเข้าไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไร”

เอ้อฉิงซวงขึงตาใส่ ชิวหยางจื้อหัวเราะลั่น นางจึงกระแทกตะเกียบหนีกลับห้อง พบซุนหวังเยี่ยนกำลังนั่งจิบชาอยู่ นางไม่ประหลาดใจด้วยอีกฝ่ายขอพักห้องเดียวกันตั้งแต่ต้น อ้างว่าร่างกายยังบอบช้ำเพราะพิษ สมควรมีเพื่อนคอยดูแล แต่เอ้อฉิงซวงย่อมทราบความนัย จอมยุทธ์หญิงคงสงสัยฐานะนางรวมถึงความลับที่ใช้ขับพิษ จึงหวังชิดใกล้เพื่อสืบเสาะ เอ้อฉิงซวงย่อมไม่อาจบอกปัดให้ผิดสังเกต

“เสี่ยวเยี่ยน เจ้าดีขึ้นแล้วหรือ จะไปกินข้าวที่ห้องจอมยุทธ์ชิวหรือไม่”

“ข้าไม่หิว ขอพักอีกสักครู่” นางวางถ้วยน้ำชาลง “ข้าให้คนเตรียมน้ำร้อนไว้ เจ้าอาบน้ำก่อนเถอะ”

เอ้อฉิงซวงมองยังมุมห้องชิดกำแพงด้านหนึ่ง มีฉากไม้กั้นเป็นสัดส่วน ด้านหลังควันจากอ่างลอยขึ้นราวม่านหนา เอ้อฉิงซวงไม่ได้อาบน้ำมาหลายวันแล้วดีใจยิ่งนัก นางวางห่อสัมภาระของตนที่เพิ่งหยิบมาจากรถม้า เริ่มคุ้ยหาเสื้อผ้าผลัดเปลี่ยนก่อนรุดเข้าหลังฉาก ราวครึ่งชั่วยามค่อยกลับออกมาด้วยใบหน้าสดใส เก็บของใส่ห่อผ้าแล้วพูดกับซุนหวังเยี่ยนที่ยังนั่งจิบน้ำชาว่า

“เจ้ายังไม่ได้อาบน้ำ ข้าจะไปบอกคนให้มาเปลี่ยนน้ำในอ่าง แล้วแวะคุยกับจอมยุทธ์ชิวสักครู่”

จอมยุทธ์หญิงรับคำด้วยท่าทางแจ่มใส ดูท่าพิษในร่างคงถูกขจัดเกือบหมดแล้ว เอ้อฉิงซวงจึงยิ้มอย่างวางใจก่อนจากไป

กลับเข้าห้องชิวหยางจื้ออีกครั้ง อาหารยังตั้งเต็มโต๊ะ แม้กระทั่งขวดยาพิษก็วางอยู่ที่เดิม นางจิบชารอเขากลืนข้าวลงท้องจนหมด ค่อยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“เสี่ยวเยี่ยนนับเป็นจอมยุทธ์คุณธรรม ชอบช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ทั้งยังเฉลียวฉลาดอย่างยิ่ง”

“ถูกต้อง สหายข้านิสัยเช่นนี้เอง”

“แต่เสียดาย…นางฉลาดเกินไป สืบจนรู้แล้วว่าข้าเป็นศิษย์ของตำหนักเหนือเทวะ”

ชิวหยางจื้อสะดุ้งจนตะเกียบหลุดมือ “นี่เป็นเรื่องใหญ่! เจ้าสมควรตรวจสอบให้แน่ใจ”

“หากไม่มั่นใจเต็มสิบส่วน หรือกล้าบากหน้ามาคุยกับท่าน” เอ้อฉิงซวงวางถ้วยน้ำชาลงช้าๆ เคียงข้างขวดยาพิษทั้งสอง “เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ปล่อยนางไว้ไม่ได้แล้ว!”

 

เชิงอรรถ : 

(1) คำว่าเสี่ยวแปลว่าเล็ก เมื่อใช้นำหน้าแซ่หรือชื่อเป็นการเรียกเพื่อนหรือผู้อ่อนวัยกว่าอย่างสนิทสนม



Don`t copy text!