ซี่กรงเหล็กดัดกับกล้องส่องทางไกล
โดย :
นอกเหนือจากนวนิยายและบทความที่ผ่านการเลือกสรรและผ่านกระบวนการบรรณาธิการพิจารณาเป็นอย่างดี ทีมงานอ่านเอายังริเริ่มโปรเจ็กต์ “Anowl Showcase” พื้นที่ใหม่สำหรับคนชอบเขียนขึ้น เพื่อเป็นการสานต่อเจตนารมณ์ที่จะให้เว็บ www.anowl.co ของพวกเราเป็นชุมชนสำหรับคนรักการอ่านและการเขียนทุกคน
*************************
ภาพของซี่กรงเหล็กดัดตรงหน้ายังคงเป็นภาพเดียวกับที่ฉันจำได้ เหล็กคดโค้งเคลือบสีดำด้านที่เห็นรอยปูดโปนของฟองสีอันไร้ความประณีต นี่เป็นสิ่งแรกที่ฉันเห็นยามลืมตาตื่นตอนเช้า ฉันไม่รู้เลยว่าหน้าต่างบานนี้เคยปราศจากซี่กรงเหล็กดัดหรือไม่ เมื่อโตขึ้นมาฉันมองมันด้วยสายตารำคาญ ซี่กรงไร้รสนิยมรบกวนสายตา แม้จะอยากส่องกล้องมือถือถ่ายรูปก้อนเมฆสวยๆ ทางหน้าต่างก็ยังทำไม่ได้ แต่ในวัยเด็กที่ศีรษะเพิ่งพ้นขอบปูนและเพิ่งจะมองเห็นทิวทัศน์ด้านนอกได้โดยไม่ต้องใช้เก้าอี้ต่อขา ฉันมักยืนเขย่งสุดปลายเท้า ทาบมือป้องกับช่องเล็กๆ ช่องหนึ่งด้านล่างที่เด็กวัยเจ็ดขวบพอเขย่งถึง แล้วเฝ้ามองความเป็นไปภายนอกเสมือนกะลาสีส่องกล้องเฝ้าระวังภัยจากหัวเรือ
ฉันลูบซี่กรงเหล็กดัดนั้นช้าๆ เมื่อเราใช้เวลาอยู่กับจุดใดจุดหนึ่งนานเข้า ความทรงจำที่ประทับอยู่ในสถานที่แห่งนั้นก็จะมีทั้งด้านที่แจ่มชัดและลวงหลอก ฉันเห็นสิ่งต่างๆ มากมายผ่าน ‘กล้องส่องทางไกล’ เล็กๆ ของตัวเองนี้ ขณะที่มองย้อนกลับไปแล้วไม่รู้เลยจริงๆ ว่า… สิ่งที่ฉันรับรู้ในวัยเท่านั้น กับโลกแท้จริงที่อยู่ตรงหน้า สิ่งไหนกันแน่ที่เป็นความจริงมากกว่ากัน
ฉันใช้แต่ละวันอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ ตรงนี้ไม่มีหัวเรือที่ไหน มีเพียงแผ่นกระเบื้องยางป้องกันไม่ให้เด็กซุ่มซ่ามอย่างฉันหกล้มหัวเข่าปอกเปิก แต่ฉันก็ยังเขย่งยืนขาเดียวบนกระเบื้องเล็กๆ ทำเสมือนว่าพื้นที่คับแคบเต็มประดา ป้องมือกับช่องและแนบตาข้างเดียว ขณะเอนศีรษะบ้างซ้ายบ้างขวาตามจินตนาการ ประหนึ่งกล้องนั้นกำลังหมุนส่องทัศนวิสัยโดยรอบ
หน้าต่างบานนี้อยู่ชั้นสอง ต่อให้เป็นช่องที่อยู่ล่างสุดก็ยังเห็นถนนเล็กๆ ในซอยอย่างทั่วถึง เห็นไกลกระทั่งรั้วบ้านฝั่งตรงข้ามและซ้ายขวาถัดไปอย่างละสองหลัง กลางวันเงียบสงบ นานทีจึงจะมีรถสักคันแล่นเข้ามา แต่สิ่งที่ฉันมองมักไม่ใช่คน ถ้าไม่ใช่เจ้าแมวลายของบ้านตรงข้ามก็เป็นหมาจรจัดที่นอนหลบแดดอยู่ใต้พุ่มไม้ห่างไปไม่ไกล ฉันเคยได้ยินว่าสัตว์สองตัวนี้ไม่ถูกกัน แต่เท่าที่เห็น พวกมันไม่เคยแม้แต่จะเหลือบแลกันและกัน ไม่ขู่ ไม่ชำเลือง ทำเหมือนอีกฝ่ายไม่มีตัวตนบนโลก ดังนั้น อย่าหวังจะได้เห็นพวกมันกระโจนกัดกันให้ยาก
แม่เคยพูดขำๆ ทำนองว่า คนเกลียดกันแบบไม่ต้องพูดไม่ต้องมองหน้ากันแบบนี้ก็ดีไปอย่าง อย่างน้อยก็ไม่มีเรื่อง
ฉันโต้ตอบด้วยความไม่เข้าใจตามประสาเด็กว่า คนเกลียดกันก็ต้องไม่มองหน้ากันอยู่แล้วสิ
บางคนไม่ชอบกัน แต่ก็วางเฉยไม่ได้ แม่ยิ้มให้ฉัน หมาแมวเยอะแยะไป รู้ว่าเกลียด แต่ก็กระโดดใส่กันทุกวัน
ทำไมล่ะแม่
แม่ก็ไม่รู้
เจ้าแมวลายเดินขึ้นไปบนแนวกำแพง เหยียดตัวบิดขี้เกียจแล้วก้มมองอะไรสักอย่าง ก่อนกระโจนลงมาใกล้พุ่มไม้ที่อริต่างสายพันธุ์หมอบหลับอยู่ แต่เจ้าหมาใต้ร่มไม้กลับนอนนิ่งไม่กระดุกกระดิก ไม่สนใจ แม้เจ้าแมวจะเดินเฉียดผ่านใกล้จนปลายหางแทบแกว่งถูก
พวงหางปลายขาวตัดกับขนฟูฟ่องสีดำแกว่งเรื่อยๆ ตามจังหวะการเดิน มันเดินหายไปพ้นระยะสายตา ‘กล้องส่องทางไกล’ ของฉัน แน่นอน โดยสวัสดิภาพ ไม่มีการกัดข่วนฟัดกัน
ในซอยอันเงียบสงบ หูเจ้าหมาสายพันธุ์ไทยแท้กระดิกไล่แมลงวันตอม ก่อนซุกหัวหลับต่ออย่างสบายใจ ฉันค่อยๆ ลดมือลงแล้วกลับมายืนเต็มฝ่าเท้า ปวดชาเมื่อยขบเพราะเขย่งนาน หน้าต่างเหล็กดัดมีมุ้งลวด แต่เขี้ยวล็อกอยู่สูงขึ้นไปครึ่งบาน ถ้าไม่หาเก้าอี้ปีนต่อขาก็ไม่สามารถเปิดได้ ฉันเคยพยายามเปิดครั้งหนึ่ง ผลคือทำให้เก้าอี้ล้มไม่พอ แต่ทั้งตัวยังลอยละลิ่วลงมา ดีว่าในตอนนั้นฟูกนอนกลางวันกางอยู่ข้างใต้จึงไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เรื่องนั้นก็ทำให้แม่สั่งห้ามเด็ดขาดไม่ให้ฉันพยายามปีนไปเปิดหน้าต่างมุ้งลวดอีก
ทำไมต้องติดซี่ๆ ล่ะแม่ ฉันพยายามถาม ทั้งที่ยังไม่รู้คำศัพท์ ‘ซี่กรงเหล็กดัด’ ด้วยซ้ำ แต่สีดำด้านๆ เช่นนี้ แม้แต่สายตาเด็กสี่ขวบก็รู้สึกว่าน่าเกลียดหาใดเปรียบ
กันขโมย แม่ตอบสั้นๆ
ฉันไม่เข้าใจว่าอะไรคือขโมย แม่อธิบายว่าคือคนที่จะปีนเข้ามาในบ้าน ทำเรื่องไม่ดี หยิบของไป ไม่ก็ลักพาตัวเด็ก
ขโมยเป็นยอดมนุษย์ใช่ไหม ฉันเอียงคอไร้เดียงสา กำแพงซู้งสูง ปีนยังไง
ในตอนนั้นแม่หยุดมือที่ทำอะไรสักอย่างอยู่แล้วหันมองฉันด้วยสายตาจนใจ
แม่ก็ไม่รู้
บางทีแม่อาจจะรู้สึกว่าคำตอบนี้ซ้ำซากอย่างยิ่ง ไม่ว่าฉันจะถามอะไร ก็มักสิ้นสุดที่คำว่า ‘แม่ไม่รู้’ ดังนั้น แม่จึงเสริมเบาๆ อีกประโยค ปะป๊าเขาบอกให้ติด บ้านอื่นก็มี
มันดำน่าเกลียด ฉันอธิบายความรู้สึก เหมือนงูเลย เหมือนหนามกุหลาบ
แม่ตกใจ งูที่ไหน แล้วหนามอะไร
ที่เจ้าหญิงนอนหลับไปเพราะถูกเข็มตำไงคะ หนามเป็นสีดำเหมือนซี่ๆ แล้วก็โค้งๆ เหมือนงู ทำไมเราไม่หาซี่ๆ สีอื่น ทาสีเหลืองไม่ได้เหรอคะ
แม่ถอนหายใจ ครานี้ติดจะรำคาญ แม่ก็ไม่รู้
บทสนทนาของเราจบลงทำนองนี้ร่ำไป ผ่านมาอีกหลายปี ฉันเรียนรู้ศัพท์ ‘ซี่กรงเหล็กดัด’ เขย่งถึงช่องล่างสุด เลิกหาเก้าอี้ต่อขาและพยายามเปิดมุ้งลวด แต่ความรู้สึกที่ว่ามันดำมะเมื่อมน่าเกลียดซ้ำ ยังเต็มไปด้วยฟองสีแห้งกรังตะปุ่มตะป่ำไม่ชวนมองก็ยังไม่เปลี่ยน
ฉันกลับมายืนเขย่งท่าเดิม ป้องมือลงที่ช่อง ‘กล้องส่องทางไกล’ คู่ใจ เฝ้ามองความเคลื่อนไหวบนถนนในซอยอย่างไม่รู้จักเหนื่อยหน่าย หมาจรจัดหายไปแล้ว แมวลายตัวเดิมมานอนแทนที่ ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว แต่มีแมวสีน้ำตาลปลอดอีกตัวคลอเคลียใกล้ๆ ที่บ้านไม่ให้เลี้ยงแมว หรือกล่าวให้ถูกคือไม่ให้เลี้ยงสัตว์ใดๆ
มันเป็นภาระ แม่ว่า
ขนร่วงเต็มบ้าน น่าเกลียด อันนี้คำของปะป๊า
แต่สำหรับฉัน เจ้าแมวลายก็เหมือนแมวของฉัน ฉันเฝ้าดูมันและแอบตั้งชื่อให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนเจ้าหมาจรจัด… ฉันไม่ค่อยชอบสุนัข ให้มันเป็นหมาจรจัดอย่างเดิมดีกว่า
แม่จะออกไปข้างนอกตอนบ่ายๆ ส่วนมากคือไปคุยกับคุณน้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องไปสามหลัง ฉันมองจากตรงนี้ไม่เห็น แต่จำได้ว่าเขาเป็นคุณน้าแปลกๆ ที่มีห่วงที่จมูก ซ้ำยังแต่งหน้าจัดและแต้มจุดแดงๆ ไว้กลางหน้าผาก ดูประหลาดพอๆ กับชวนให้ต้องมองซ้ำด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ฉันเคยถามแม่ว่าเขาเป็นใคร แม่บอกว่าเขาเปิดตำหนัก แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้ฉันเข้าใจอะไรๆ มากขึ้นเลย วันนี้ก็เช่นกัน แม่เดินออกไปทางประตูหน้าตอนบ่ายกว่า สวมรองเท้าแตะและกางร่มเดินไปทางซ้าย คงไปที่ตำหนักอะไรนั่น
ปะป๊าจะกลับจากที่ทำงานตอนเลยบ่ายสามไปแล้ว ฉันดูนาฬิกาเป็นตั้งแต่อายุสี่ขวบ แต่วันนี้เพียงบ่ายสองก็ได้ยินเสียงรถเคลื่อนเข้ามาในซอย เครื่องยนต์รุ่นเก่าส่งเสียงคำรามเป็นเอกลักษณ์ แม้จะยังเล็กก็ยังจำเสียงที่ไม่มีใครเหมือนนี้ได้ ฉันเห็นท้ายรถที่คุ้นเคยถอยเข้าซอยมา กำลังคิดว่าจะลงไปเปิดประตูเพราะแม่ไม่อยู่ แต่ยังไม่ทันละมือออกจาก ‘กล้องส่องทางไกล’ ก็เห็นรถเคลื่อนตัวเลยลึกเข้าไปในซอย
ฉันอดมองตามด้วยความสงสัยไม่ได้ นั่นรถปะป๊า แต่ปะป๊าไม่ได้มาที่บ้าน ฉันมองเห็นถึงแค่บ้านหลังที่สอง รถอยู่ไกลกว่านั้น และไม่นานก็ได้ยินเสียงเอะอะจากด้านนอก เหมือนเสียงร้องปะปนกับเสียงตะโกนฟังไม่เป็นคำ แล้วฉันก็เห็นแม่วิ่งมาทางบ้าน เจ้าหมาจรจัดไม่รู้โผล่มาจากไหน มันยืนจังก้ากลางซอยเห่าเสียงขรมแล้วกระโจนปะทะร่างของแม่ ครู่เดียวปะป๊าก็วิ่งตามมาข้างหลัง แกว่งท่อนไม้ยาวที่ไม่รู้มาจากไหน เสียง ปึก! ลอดผ่านมาถึงหูฉันแม้หน้าต่างจะปิดสนิท ทั้งแม่และเจ้าหมาจรจัดถูกฟาดพร้อมกัน แม่เอนล้มกุมหัวไหล่อยู่บนพื้นคอนกรีต ส่วนหมาตัวนั้นกระเด็นห่างไป ปะป๊าตามไปซ้ำ อีกเพียงสองสามทีมันก็แน่นิ่ง
ส่วนฉัน ฉันเพิ่งรู้สึกตัวว่าฝ่ามือแสบร้อนเจ็บชาจากแรงเสียดสีมุ้งลวด ปลายนิ้วมีรอยอะลูมิเนียมกดจนเลือดซิบ เพิ่งได้ยินเสียงหัวใจเต้นอย่างชัดเจน ตึกตึก ตึกตึก ตึกตึก เสียงดังเหมือนในการ์ตูนเลย ส่วนเท้าชาจนไม่รู้สึกอะไร และพอได้สติ ฉันก็ล้มแผละลงกับพื้น
จนทุกวันนี้ มุ้งลวดเปลี่ยนใหม่ไปสองครั้ง แต่เหล็กดัดน่าเกลียดนั้นยังอยู่ ฟองสีแห้งกรังจากช่างที่ไม่เอาใจใส่งานก็ยังอยู่ที่เดิม ตัวฉันสูงจนไม่ต้องเขย่งเพื่อที่จะมองผ่านหน้าต่างอีกแล้ว แต่ทุกครั้งที่เห็นหน้าต่างบานนี้ ฉันก็มักนึกถึงเหตุการณ์ตอนอายุเจ็ดขวบ
แม่บอกว่า ฉันคงฝันไป แม่หกล้มจนบาดเจ็บเพราะตกใจที่อยู่ๆ หมาจะกระโดดกัด แต่ไม่มีเรื่องแปลกๆ อย่างที่ฉันเล่าแน่นอน
แต่ แม่คะ ฉันพยายามจะท้วง
จริงๆ แม่ย้ำเสียงหนัก เชื่อสิ หนูไม่เชื่อแม่เหรอ หนูเป็นเด็กดีไม่ใช่เหรอ
ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์ในวันนั้นอีกเลย หมาจรจัด เจ้าแมวลาย ท่อนไม้ในมือปะป๊า คุณน้าในซอยที่แต่งตัวแปลกๆ ทุกอย่างเสมือนอยู่ในโลกจินตนาการที่ฉันแต่งเติมขึ้นเอง ราวกับโลกอีกใบที่มองผ่าน ‘กล้องส่องทางไกล’ นั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง
แต่แขนของแม่ยังมีรอยผ่าตัดกระดูกแตก และบนข้อแรกของนิ้วชี้ซ้ายฉันก็ยังมีรอยบาดจากมุ้งลวด