ปรวดีไม่ได้โชคร้าย (2)

ปรวดีไม่ได้โชคร้าย (2)

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

อ่านเอาเล่าสนธยา เรื่องสั้นอ่านเพลิน โดย ไข่เจียวหมูสับ ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้เพลินไปกับเรื่องราวมากมายที่ยากจะคาดเดา พร้อมเก็บเกี่ยวแง่คิดดีๆ ผ่านทุกตัวอักษร เมื่ออ่านจบคุณจะพบว่า บางครั้งแค่เปลี่ยนมุมมองชีวิตก็เปลี่ยน ลองสัมผัสกับ อ่านเอาเล่าสนธยา ที่ anowl.co เว็บไซต์นวนิยายที่คัดคุณภาพมาให้คนรักงานเขียนได้อ่านกัน

ฉากจบ

– 1 –

ปรวดีออกจากโรงพยาบาลพร้อมผลข้างเคียงจากการรักษา เธอมักเหม่อลอย คิดอะไรไม่ออก บางครั้งก็ไม่รับรู้รสอาหารและตอบสนองต่อเสียงช้าลงมาก

นอกจากนี้สมองของปรวดียังไม่เฉียบแหลมเท่าเดิม อันที่จริงต้องบอกว่าคิดอะไรได้ช้ากว่าสมัยก่อนเสียอีก แต่เมื่อแพทย์ยืนยันว่าเป็นอาการชั่วคราว เธอจึงได้แต่พักงานยาว ๆ เพื่อรอเวลาที่จะกลับคืนเป็นปกติเท่านั้น

และเนื่องจากสารเคมีบางตัวในสมองยังไม่สมดุล จึงอาจทำสิ่งใดที่ไม่สมเหตุสมผลบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นหรือสร้างความรุนแรง แพทย์จึงเสนอว่าให้ทานยาเมื่อรู้สึกไม่ปกติเท่านั้น

เพราะขอลาหลายเดือนขนาดนั้นไม่ได้ และที่ผ่านมาก็รบกวนเถ้าแก่มามาก จึงตัดสินใจลาออกจากโรงงาน เหลือเพียงงานพิเศษที่ร้านอาหารเท่านั้นที่พอสร้างรายได้ในช่วงนี้

แต่แล้วในวันหนึ่ง ขณะที่ปรวดีกำลังทำอาหารง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าทานภายในห้องพักของตัวเอง ก็มีข้อความออนไลน์เข้ามาในมือถือ ผู้ส่งคือลุงวิทูล

‘ช่วงนี้พิระเข้ามาถามไถ่เรื่องของหนูปรวดีที่ร้านอยู่บ่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเฉไปเฉมาเพื่อให้บอกที่อยู่ห้องพักของหนู สักวันคงมีคนปากพล่อยบอกออกไป ขอให้ระวังตัวด้วยครับ’

แม้ร่างกายจะล้าแทบไม่ไหว แต่เหมือนกับว่าสมองยังคงทำงานได้ใกล้เคียงกับสมัยก่อนขึ้นพอสมควร ปรวดีจึงจัดแจงเก็บข้าวของเพื่อย้ายออกจากที่พัก แม้จะยังไม่รู้ว่าจะไปซุกหัวนอนที่ไหนก็ตาม เชื่อมั่นว่าเมื่อเก็บทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็น่าจะคิดหาหนทางได้

ข้าวของของตนมีน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ ปรวดียังตกใจที่ทุกอย่างถูกยัดลงในกระเป๋าเดินทางสีม่วงสองใบอย่างไม่แออัด

ใจจริงอยากจะขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่ แต่แค่นี้ก็รบกวนท่านเกินพอแล้ว ลุงทูลเองก็มีครอบครัว จะไปหวังขออาศัยด้วยก็ดูน่าเกลียด ปรวดีจึงเดินทางไปยังห้องพักรายวันราคาประหยัดที่เต็มไปด้วยแมลง และหมกตัวอยู่ในนั้นกระทั่งเริ่มหายดี

 

ปรวดีกลับมาสมัครงานประจำอีกครั้งในสองเดือนถัดมา ตำแหน่งงานที่ลดลงส่งผลให้มีเวลาว่างมากขึ้น อันที่จริงเป็นงานที่แม้ไม่มีใครทำก็ไม่ก่อให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด แต่ปรวดีก็ไม่ได้ติดใจอะไร แค่มีงานทำก็พอใจมากแล้ว

มีวันหนึ่งที่พ่อและแม่ของปรวดีโทรมาโวยวายเมื่อทราบว่าเข้าโรงพยาบาล เมื่อพูดคุยกันรู้ความก็ทราบว่าทั้งสองคนตระหนกว่าเธอจะตายโดยลืมทำประกันชีวิตให้พวกท่าน ปรวดีตัดสาย ไม่คิดจะถกด้วยอีก

สี่ปีต่อมา ปรวดีถูกขอให้ลาออกจากงาน เถ้าแก่เองก็คงไม่อยากดูแลเธออีกต่อไป ซึ่งตัวเธอเองนั้นมิได้โกรธ ออกจะซาบซึ้งด้วยซ้ำที่เก็บตนไว้ตั้งนานนม

อันที่จริงปรวดีเตรียมตัวถูกไล่ออกทุกเมื่อ จึงเริ่มสร้างกิจการเล็ก ๆ ของตนเอง เป็นร้านค้าออนไลน์ที่เปลี่ยนสินค้าไปเรื่อย ๆ ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยไม่หยุดหย่อน แม้ไม่ร่ำรวยก็พออยู่ได้

เธอสร้างรายได้เพียงพอจะแบ่งให้กับพ่อและแม่ที่คอยขูดรีด เพียงพอจะแบ่งให้กับอดีตสามีที่มาขอความช่วยเหลือ และไม่ยอมขายสินค้าที่จะไปแย่งส่วนแบ่งตลาดของเจ้านายเก่าเด็ดขาด

ปรวดีมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกสี่สิบปี เสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลวทั้งที่ดูแลสุขภาพมาตลอดชีวิต

เนื่องเพราะอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยว กว่าจะมีคนมาพบศพ กาลเวลาจึงผ่านไปแล้วนับเดือน

เป็นอันจบการเดินทางอันเหนื่อยล้าของปรวดีลงแต่เพียงเท่านี้

 

ฉากจบ

– 2 –

 

ปรวดีออกจากโรงพยาบาลพร้อมผลข้างเคียงจากการรักษา เธอมักเหม่อลอย คิดอะไรไม่ออก บางครั้งก็ไม่รับรู้รสอาหารและตอบสนองต่อเสียงช้าลงมาก

นอกจากนี้สมองของปรวดียังไม่เฉียบแหลมเท่าเดิม อันที่จริงต้องบอกว่าคิดอะไรได้ช้ากว่าสมัยก่อนเสียอีก แต่เมื่อแพทย์ยืนยันว่าเป็นอาการชั่วคราว เธอจึงได้แต่พักงานยาว ๆ เพื่อรอเวลาที่จะกลับคืนเป็นปกติเท่านั้น

และเนื่องจากสารเคมีบางตัวในสมองยังไม่สมดุล จึงอาจทำสิ่งใดที่ไม่สมเหตุสมผลบ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นทำร้ายผู้อื่นหรือสร้างความรุนแรง แพทย์จึงเสนอว่าให้ทานยาเมื่อรู้สึกไม่ปกติเท่านั้น

เพราะขอลาหลายเดือนขนาดนั้นไม่ได้ และที่ผ่านมาก็รบกวนเถ้าแก่มามาก จึงตัดสินใจลาออกจากโรงงาน เหลือเพียงงานพิเศษที่ร้านอาหารเท่านั้นที่พอสร้างรายได้ในช่วงนี้

แต่แล้วในวันหนึ่ง ขณะที่ปรวดีกำลังทำอาหารง่าย ๆ ที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้าทานภายในห้องพักของตัวเอง ก็มีข้อความออนไลน์เข้ามาในมือถือ ผู้ส่งคือลุงวิทูล

‘ช่วงนี้พิระเข้ามาถามไถ่เรื่องของหนูปรวดีที่ร้านอยู่บ่อย ๆ ส่วนใหญ่จะเฉไปเฉมาเพื่อให้บอกที่อยู่ห้องพักของหนู สักวันคงมีคนปากพล่อยบอกออกไป ขอให้ระวังตัวด้วยครับ’

ใจหนึ่งอยากจะย้ายหนีในทันที แต่อีกใจหนึ่งนั้น… ส่งสัญญาณว่าไม่ไหวแล้ว เธอเหนื่อย เหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรแล้ว หากสามีเก่าโผล่มาเยี่ยมเยือนคงไม่พ้นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ปรวดีจึงเตรียมเงินสดไว้สองหมื่น ใส่ไว้ในซองสีดำ มันคือเงินเก็บก้อนสุดท้ายในชีวิตแล้ว จากนั้นจึงรอเวลาที่ความมืดมิดจะกลับมา เชื่อว่าเมื่อได้ของในซองก็คงจะจากไป แน่นอนว่าคงตามมารังควานอีกไม่หยุดหย่อน แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถิด ไม่ไหวแล้ว

และอีกอย่าง การจะไปหาที่พักใหม่ในเวลานี้คงลำบาก เพราะห้องว่างในละแวกนี้มีแต่ราคาสูงทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยลองออกไปค้นหาหรอก

สามีเก่ามาถึงห้องในอีกหนึ่งสัปดาห์ สมองของปรวดียังทำงานได้แย่เช่นเดิม เสียงโครมครามจากการเคาะประตูดังสนั่น นั่นเพราะเธอมิยอมให้พิระเข้ามาด้านใน

“ขอผมเข้าไปหน่อย อย่างน้อยเราก็เคยรักกันนะ” นั่นคือประโยคที่แสดงความเห็นแก่ตัวอย่างเห็นได้ชัด แม้จะบอกให้ติดต่อกันทางออนไลน์แทน แต่ทางนั้นกลับไม่สนและตั้งท่าจะเข้ามาลูกเดียว น้ำเสียงที่เหมือนเมาเหล้านั้นเป็นสาเหตุให้ปรวดีเตรียมมือถือไว้ในมือ เพื่อเตรียมโทรแจ้งนิติบุคคลของห้องพัก

คงเพราะรู้ว่าผนังในคอนโดนี้แสนบาง พิระจึงจงใจเคาะอย่างแรงอีกหลายครั้ง คงหวังให้เธอหน้าบางเปิดรับเขา ปรวดีจึงสอดซองสีดำออกไปใต้ช่องประตูแทน

ได้ยินเสียงเปิดซองและพึมพำนับเงิน แต่แล้วก็สบถออกมาว่าไม่พอ

เมื่อได้ยินเสียงแกร็ก ก็ทราบทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังใช้กุญแจผี หอพักนี้เก่ามากและแทบไม่มีการปรับปรุง มีความเป็นไปได้ว่าจะบุกเข้ามาสำเร็จ เธอรีบโทรแจ้งรปภ. กับนิติบุคคล

ไม่มีใครรับสาย

ไม่ถึงสองนาที ร่างอ้วนพลุ้ยของพิระก็ก้าวเข้ามาในห้องแคบ ๆ นี้แล้ว เขามีน้ำหนักเพิ่มจากวันที่หย่าขาดประมาณสิบห้ากิโลกรัมได้ ร่างที่จ้องเขม็งมาทางปรวดีนั้นน่าสะพรึง น่าแปลกที่ทั้งคู่ต่างมีมีดอยู่ในกำมือ ราวกับกำลังรอเวลาที่จะฟาดฟันกัน

ประตูห้องถูกพิระเตะปิดดังปัง

สารเคมีในสมองที่ส่งผลให้คิดและทำอย่างไม่มีเหตุผลเริ่มหลั่งออกมามากกว่าเดิม ปรวดีคงเสียใจภายหลังหากรู้ว่าอีกสองวันอาการนี้จะดีขึ้นมาก แต่เพราะไม่รู้จึงไม่อาจเสียใจภายหลังได้

“ผมไม่ได้ต้องการจะทำร้ายคุณ แค่อยากได้เงินไปตั้งตัวเท่านั้น คุณทำงานมานานน่าจะมีเก็บไว้เยอะ จะใจดำปล่อยให้ผมถูกเจ้าหนี้มันฆ่าเอาหรือ ผมรักคุณมากขนาดบอกเลิกอีนั่นไปแล้วด้วยซ้ำ”

เธออยากจะเถียงว่าสรุปจะตั้งตัวหรือเอาไปจ่ายหนี้ และสิ่งที่กำลังทำอยู่มันเรียกว่ารักตรงไหนกัน แต่ปากก็สั่นพูดไม่ออก ความตระหนกส่งผลให้อาการแย่ลงมาก ไม่นานมีดก็หล่นจากมือที่สั่นเทา

พิระเห็นจังหวะก็พุ่งเข้าใส่ ปรวดีล้มลงโดยมีเขาคร่อมบนร่าง เงื้อมือจะแทง เธอรีบส่งสองมือยื่นขึ้นไปจับยื้อไว้ เพราะความเมาจึงทำให้เรี่ยวแรงของชายชั่วลดลง แต่ไม่ช้าคมมีดก็เลื่อนลงมาเกือบจะถึงดวงตาของเธอ

สมองทำงานดีขี้นเล็กน้อยโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงเอ่ยออกไปอย่างเกลียดชัง

“ตั้งแต่หย่ากัน ฉันก็เปลี่ยนชื่อผู้รับผลประโยชน์ของประกันชีวิตเป็นมูลนิธิเกี่ยวกับการศึกษาแล้ว ฆ่าฉันไปก็มีแต่จะติดคุกเท่านั้น และประกันตัวนี้จะไม่จ่ายในคดีฆาตกรรมด้วยซ้ำ”

พิระหยุดกึก จากนั้นค่อย ๆ ยกมีดออก

ในขณะที่คิดว่ารอดแล้ว เสียงเศร้ากลับลอยออกมาจากปากสีดำของอดีตสามี

“พวกมันไม่ปล่อยผมไปแน่ เรามาตายพร้อมกันนะ แล้วไปครองรักกันที่โลกโน้น”

พิระมองลงมาด้วยสายตาพร้อมตาย จากนั้นจึงใช้สองมือยกมีดขึ้นเพื่อเตรียมตัวแทงลงจากด้านบน แต่ปรวดีรีบใช้ช่องว่างระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่โป้งมือขวาพุ่งเสียบเข้าไปที่ลำคอของเขา

เกิดเสียงดังปึก พิระสำลักกลางอากาศ ก่อนจะใช้มือทั้งสองประคองลำคอตนเอง ปล่อยให้แรงดึงดูดพามีดร่วงลงหน้าท้องของปรวดี คมมีดบาดที่เหนือสะดือเล็กน้อยแต่ไม่ใช่แผลใหญ่ เธอรีบชันตัวขึ้นพร้อมกับถอยหลัง จากนั้นดึงเท้าเข้าหาตัวเพื่อถีบใส่หน้าของอดีตสามีสุดแรง

พิระลงไปกองกับพื้นแล้ว ส่วนปรวดีแม้จะเคยเรียนรู้การป้องกันตัวมาบ้าง แต่ในคราที่ร่างกายไม่อำนวย อยู่ต่อไปก็มีแต่จะตายเท่านั้น จึงรีบคว้ามีดขึ้นแล้วตั้งท่าจะวิ่งออกจากห้อง แต่หางตาก็พลันสังเกตเห็นพิระที่ใช้ลูกบ้าพุ่งไปหยิบมือถือของเธอขึ้นมาจากพื้น

ปรวดีหน้ามืดกะทันหันจากอาการหลังผ่าตัด เป็นผลให้พิระใช้สันของมือถือกระแทกที่เบ้าตาเธออย่างจัง

มีดกลับสู่พื้นอีกครา เธอรีบเตะมันไถลไปที่ใต้เตียง จากนั้นจึงล้มลงกุมใบหน้าซีกขวาของตนเอง ร้องเสียงโอดโอย

พิระเริ่มตบตีเธออย่างทารุณ แต่ปรวดีไม่ใช่คนอ่อนแอ เธอสู้กลับเท่าที่ทำได้ และเมื่อเข่าหญิงสาวเข้ากระแทกตรงหว่างขา ร่างของพิระก็ได้แต่นอนอวดครวญที่พื้นเปื้อนเลือด

เธอรีบวิ่งออกจากห้องโดยไม่สนความปวดร้าวไปทั่วร่าง ลงลิฟต์ด้วยใจขวัญแขวน เมื่อลงไปที่ชั้นล่างก็พบว่าไม่มียามหรือผู้ใดอยู่เลย ครู่หนึ่งเธอก็ออกมาที่นอกหอพัก ไล่หลังมาคือเสียงด่าทอขู่เข็ญว่ากูจะฆ่ามึงให้ตาย

ไม่มีอนาคตอีกแล้ว สังหรณ์ของปรวดีว่าอย่างนั้น นึกขึ้นได้แล้วเธอจึงเริ่มออกวิ่ง

 

ปรวดีหนีรอดจากไอ้ชั่วมาได้ชั่วคราว เดินลัดเลาะเปื้อนเลือดมายังริมทางเดินเท้าอันเต็มไปด้วยร้านรวงที่ยื่นออกมานอกเขตอาคาร ส่งผลให้เหลือที่ว่างระหว่างทางเดินกับถนนใหญ่เพียงไม่กี่คืบ

ฝนเริ่มถล่มลงมาอย่างไร้คำเตือน หยาดน้ำกระเซ็นเข้าสู่รอยแผลที่กำลังระบมไปทั่วกาย

รถราเริ่มขับทับแอ่งน้ำ โคลนเหลวสีดำพุ่งใส่ร่างบอบช้ำ

พายุพัดพาให้กระถางต้นไม้ใบจิ๋วหล่นจากระเบียง สู่ศีรษะของปวรดี บริเวณรอยแผลจากการผ่าตัด

หนาวจัง ตาเธอพร่าเลือนราวกับจะหลับใหล ไม่แน่ใจว่าเสียงไล่หลังนั้นตามมาอย่างกระชั้น หรืออยู่เพียงในโสตประสาทเท่านั้น

ความจริงกับความลวงรวมกันอย่างไม่อาจแยกออก

ท่ามกลางแรงคำรามจากฟากฟ้า ปรวดีอ้าปากกว้าง เชิดริมฝีปากทั้งสองขึ้น พลางส่งเสียงออกจากปอดและลำคอเพื่อแข่งงัดกับพายุ มันเป็นเสียงที่ไร้ซึ่งความคุ้นเคย มันดังลั่นอย่างไม่แพ้พ่ายแก่สิ่งใด ใช่แล้ว มันคือเสียงหัวเราะ

ปรวดีร่ำไห้ หัวเราะ วิ่งเหยาะอย่างไร้กำลัง ตระหนักในเวลานั้นเองว่าตนไม่เคยหัวเราะมาก่อนในชีวิต

เธอยอมรับสุดใจแล้วว่าตนโชคร้าย

แต่ยังก่อน เธอยังไม่ยอมแพ้

สมองเริ่มทำงานเกือบปกติอีกครา ใช่แล้ว อีกไม่กี่ร้อยเมตรก็จะถึงสถานีตำรวจ อย่างน้อยคืนนี้คงมีที่ซุกหัวนอน กฎหมายอาจช่วยเธอจากอดีตสามีและเจ้าหนี้ของมันได้

ขาเริ่มอ่อนแรงลงขณะกำลังวิ่งสวนกับบุคคลในเสื้อกันฝนสีกรม เมื่อระยะใกล้ขึ้นก็สังเกตเห็นแววตาที่ ดุร้ายและโกรธแค้น จากนั้นบุคคลปริศนาก็วิ่งเข้าใส่ร่างของเธอ พร้อมกับปลายมีดที่เสียบเข้ามาดังสวบ

กระพริบตาหนึ่งครั้งมุมมองก็กลายเป็นภาพเม็ดฝนที่กำลังวิ่งเข้าใส่ดวงตาของเธอแล้ว

ปรวดีรู้ตัวว่าตนกำลังนอนอยู่บนถนน ไม่นานดวงตาก็เห็นบุคคลนั้นชะโงกหน้าเข้ามาคุย เป็นผู้หญิงที่ไม่คุ้นตาเท่าไรนัก แต่เธอรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร

“มึงบังอาจแย่งพิระไปจากกู อีเมียน้อย ตายเสียได้ก็ดี”

คมมีดจากเมียน้อยตัวจริงของพิระแทงถูกจุดสำคัญ ปรวดีมั่นใจในเรื่องนั้น

หญิงชั่วหายไปจากมุมมองสายตาแล้ว เหลือเพียงฝนที่หล่นมาไม่ขาด พร้อมภาพโดยรอบที่แคบลง แคบลง และมืดสนิทไป

เป็นอันจบการเดินทางอันเหนื่อยล้าของปรวดีลงแต่เพียงเท่านี้

 

ฉากจบ

– 3 –

 

ปรวดีออกจากโรงพยาบาลพร้อมอาการอันไม่พึงประสงค์ เธอมักรู้สึกเวียนหัวและปวดท้ายทอยเป็นบางครั้ง ทว่าพอปรึกษาแพทย์ กลับพบว่าเป็นอาการที่เกิดจากความเครียดสะสม

ไม่นานอาการเหล่านั้นก็หายขาดราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผ่านไปสองเดือน ปรวดีก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตนรู้สึกอย่างไรเวลาอาการท้ายทอยและเวียนหัวนั้นกำเริบ จะให้บอกว่าไม่เคยปวดมาก่อนก็ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงด้วยซ้ำไป

ด้านการงานนั้นเรียกว่าโชคดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร ปรวดีสามารถเรียกคือขีดความสามารถในการสร้างผลงานได้ดีเท่ากับสมัยก่อนภายในเวลาไม่ถึงสองเดือน และดีกว่าเดิมในเวลาต่อมา ตำแหน่งที่เคยสูญไป แลกคืนกลับด้วยตำแหน่งที่สูงกว่า แม้บางอย่างจะยังเจ็บปวด (เช่น การที่ต้องไล่อดีตสามีที่มาขอเงินอย่างกับไล่แมลง หรือรับมือกับเพื่อนร่วมงานที่แอบหมั่นไส้เธอ เป็นต้น) แต่โดยรวมแล้วนับว่ามีความสุขกว่าเดิมบ้างพอประมาณ

ในเย็นวันอังคาร วันนั้นเป็นวันที่ฝนตกหนัก อากาศอับชื้น เธอลืมนำร่มมาที่ทำงานจึงได้แต่นั่งรอที่หน้าออฟฟิศ ไม่นานก็มีพนักงานหนุ่มรุ่นน้องนำร่มมาให้ยืม พร้อมทั้งแจ้งโดยไม่ต้องเอ่ยถามว่าเขาพกร่มมาสองคัน ทั้งคู่จึงเดินออกมารอรถประจำทางพร้อมกัน

จริงสิ… เขาคือคนที่นำเครื่องรางมามอบให้เธอในห้องพักฟื้น

“พี่เป็นคนเดียวที่ไม่ขำ เวลาผมเล่าเรื่องตลก” เพื่อนร่วมงานหน้าใสกล่าวเสียงหวาน

ปรวดีเพิ่งระลึกได้ว่า ที่ผ่านมาชายคนนี้เป็นตัวสร้างเสียงหัวเราะในที่ทำงาน เป็นที่รู้จักไปทั่วทุกแผนก และเมื่อนั้นเองเช่นกันที่เธอพบว่าตัวเองไม่เคยหัวเราะมาก่อนในชีวิต

เมื่อตอบไปว่าตนไม่เคยหัวเราะ ชายคนนั้นทำท่าราวกับไม่อยากจะเชื่อ คล้ายกับเด็กที่เพิ่งรู้ว่าเพนกวินมีปีกแต่บินไม่ได้ (เป็นหนึ่งในมุกที่เขาชอบเล่า และเธอไม่ชอบมุกประเภทนี้เลย โชคดีที่ชายหนุ่มยินดีเลิกเล่นมุกประเภทนี้ในภายหลัง)

ต่อจากวันนั้น เป็นเวลานับปีที่ชายคนดังกล่าวพยายามสุดศักยภาพในการทำลายความตายด้านทางอารมณ์ขันของเธอ และแน่นอนว่ามันไม่ใช่ความเพลิดเพลินของเขาเพียงฝ่ายเดียว

รู้สึกตัวอีกที ปรวดีก็หัวเราะออกมา

รู้สึกตัวอีกที ปรวดีก็หัวเราะบ่อยกระทั่งนับจำนวนครั้งไม่ได้แล้ว

รู้สึกตัวอีกที ก็ถึงวันที่ชายหนุ่มต้องลาจากที่ทำงานแห่งนี้ไปเสียแล้ว โดยเขาจะย้ายงานไปที่บริษัทของญาติเถ้าแก่ซึ่งตั้งอยู่ไกลจากที่แห่งนี้มาก

ในบ่ายวันอังคารที่อบอ้าว เขาเข้ามาเก็บข้าวของซึ่งมีเพียงแฟ้มและเครื่องเขียนจำนวนไม่กี่ชิ้น ทั้งหมดถูกใส่ในถุงพลาสติกแทนที่จะเป็นลังกระดาษ (ไม่แน่ใจว่าเป็นมุกหรือไม่)

ปรวดีไม่ได้แสดงออกทางความรู้สึกแต่อย่างใด ตรงข้ามกับเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ที่แทบจะกอดเขา และบ้างก็อ้อนวอนมิให้ลาออก

ในใจนั้นไม่ได้บรรจุความอาวรณ์เท่าไรนัก ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องที่จะทำร้ายเธอได้

คืนนั้นปรวดีเดินทางกลับบ้านอย่างอ่อนล้า

เมื่อเปิดประตูคอนโดฯ เสียงแรกที่ได้ยินคือ “ขอต้อนรับกลับ ขอโทษที่ไม่ได้ไปรับนะ” เจ้าของเสียงหวานนั้นคือชายหนุ่ม ซึ่งกำลังกล่อมลูกน้อยของทั้งคู่ให้หลับใหลอยู่ เด็กน้อยได้ดวงตาแบบแม่ แต่ผิวพรรณแบบพ่อ ส่วนการเล่นมุกตลกนั้นจะได้มาหรือไม่ กว่าจะทราบคงอีกนาน

ปรวดียิ้มออกมาพลางปิดประตูห้อง เดินไปสวมกอดสองชีวิตน้อย ๆ อย่างทะนุถนอม

ปรวดีกับสามีคนใหม่มีลูกด้วยกันสองคน มีหลานอีกสี่ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ลำบากลำเข็ญในเรื่องใด ไม่ทรมานเมื่อยามแก่เฒ่า

และเมื่อความโรยราพัดพามาถึงชีวิต ร่างที่อายุเกินคาดหวังไปไกลนั้นห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่เธอรักและรักเธอ

ปรวดีหลับใหลลง เพื่อรอเวลาที่ดวงจิตจักไปสู่ที่ที่มีความสุขในอีกรูปแบบ

เป็นอันจบการเดินทางของปรวดีลงแต่เพียงเท่านี้

แน่นอนว่า ปรวดีพอใจในชีวิตทั้งหมดที่ผ่านมา

นั่นเพราะ เธอได้ทุกสิ่งที่ปรารถนา

นั่นเพราะ เธอก้าวข้ามอุปสรรคอย่างสุดแรงเท่าที่ทำได้

นั่นเพราะ อะไรก็ตามที่ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

และ

นั่นเพราะ… ปรวดีไม่ได้โชคร้ายยังไงล่ะ

 

Don`t copy text!