โหงลำโขง บทที่ 7 : ข้อตกลงของสองเรา (1)

โหงลำโขง บทที่ 7 : ข้อตกลงของสองเรา (1)

โดย : ทศพล

Loading

โหงลำโขง โดย ทศพล กับเรื่องราวของ “คูน” ชายหนุ่มผู้อาภัพ บิดามารดาถูกฆาตกรรม เขาจึงเติบโตโดยการฟูมฟักจากแม่เฒ่าต้วน ผู้หวังว่าสักวันหนึ่งคูนจะกลับไปล้างแค้นให้กับบิดามารดา และทำให้ครอบครัวของฆาตกรนั้นอยู่อย่างตายทั้งเป็น หากแต่แผนการและหัวใจสวนทางกัน คูนจะทำอย่างไร นวนิยายคุณภาพที่อ่านเอานำมาให้คุณอ่านใน anowl.co

เสียงขบวนของนักเดินทางเข้ามาถึงเขตในหมู่บ้าน หน้าขบวนมีเก้อและพ่อชายอีก 2 คนคอยนั่งบนหลังม้า เพื่อนำหน้าพ่อชายอีกคนที่กำลังบังคับวัวสองตัวเทียมเกวียน ภายในเกวียนที่มีหลังคายังมีพ่อชายอีก 3 คน ที่นั่งอยู่พร้อมกับเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมาก ดูแล้วน่าจะเป็นเครื่องมือสำหรับใช้หล่อองค์พระพุทธรูป

แม้เส้นทางในหมู่บ้านจะมืดมิด แต่เก้อก็จดจำท่วงท่าการเดินของแม่หญิงคนนี้ได้ดี เพราะแม่หญิงคนนี้คือคนที่เขาแอบรักมาโดยตลอด แต่ไม่เคยที่จะอาจหาญไปเอื้อม ทำได้เพียงแค่เก็บความรู้สึกที่ดีเช่นนี้เอาไว้อยู่ในส่วนลึกของหัวใจ

แม่หญิงในเงามืดนางนี้กำลังเดินหิ้วหม้อมีฝาปิด อีกมือหนึ่งถือตะเกียงที่จุดเทียนเอาไว้ เก้อไม่รีรอบอกให้ขบวนล่วงหน้าไปอีกทาง ส่วนเขาขอควบม้าเลี้ยวเข้าไปหาแม่หญิงคนนั้นให้หายคิดถึงเสียก่อน

เส้นทางที่แม่หญิงกำลังจะมุ่งไปนั้น เป็นเส้นทางเลียบฝั่งลำน้ำโขง ซึ่งชาวบ้านพากันเอาท่อนไม้มาปักเป็นระยะๆ เพื่อทำเป็นที่ห้อยตะเกียงเทียน ในทุกๆ คืนจะมีคนมาคอยจุดเทียนเอาไว้อยู่เสมอ ทำให้เส้นทางนี้สว่างไสวไปด้วยแสงเทียนที่สาดส่องตลอดสาย เนื่องด้วยเส้นทางนี้เป็นทางเดินเข้าคุ้มตีดาบ จึงไม่ค่อยมีบ้านเรือนมาตั้งกันมากนัก ฉะนั้นท้าวคำมั่นจึงมีคำสั่งให้ทำเส้นทางนี้ขึ้นเพื่อลดความกลัวให้แก่ลูกบ้าน แม้ว่าในกาลต่อมา มันอาจจะกลายเป็นเส้นทางไว้นัดพบของใครหลายๆ คนก็ตาม

“จำปาจ๊ะ” เก้อกระโดดลงจากม้าก่อนเดินจูงม้าเข้าไปหาใกล้ๆ

จำปาเหลียวหลังกลับมามองพร้อมกับรอยยิ้ม “อ้าว…อ้ายเก้อ กลับมาแล้วเหรอจ๊ะ”

“แม่นจ้ะ…อ้ายเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อตะกี้ พอดีเห็นจำปาก่อน” เก้อพูดไปยิ้มไป อีกมือก็ลากม้าเดินตาม “นี่จำปากำลังสิไปคุ้มตีดาบหรือจ๊ะ”

“แม่นแล้วจ้ะ” จำปายกหม้อแกงขึ้น “ข่อยกำลังสิเอาแกงสายบัวไปส่งป้าจำเนียน”

“แล้วงานเมื่อเช้าเป็นไงบ้าง เสียดายที่อ้ายกลับมาบ่ทัน เลยอดเต้นสากกับน้องจำปา”

“งานกะม่วนคือทุกปีนั่นละจ้ะ” จำปามองดูใบหน้าของเก้อที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เธอจึงดึงผ้าขาวบางผืนเล็กที่เสียบไว้บนหัวผ้าซิ่นออกมาซับเหงื่อให้ตามจุดต่างๆ ของใบหน้า “ขอขมาเด้ออ้าย กว่าอ้ายสิเดินทางมาฮอดบ้านเฮา คือสิเมื่อยหลาย เหงื่อไหลไคลย้อยเต็มหน้าหมด”

แม้จะเดินทางมาไกล แต่พอจำปามาซับเหงื่อให้แบบนี้ ความเมื่อยล้าของเก้อนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง หัวใจของเขาเต้นแรงมาก แต่ทำได้เพียงใช้เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนความรู้สึกเอาไว้แทน

“ได้ช่างหล่อพระฝีมือดีๆ มาตั้งสามคน เพื่อบุญใหญ่บ้านเฮา อ้ายบ่เมื่อยหรอกจ้ะ” พอจำปาเช็ดเหงื่อให้เก้อเสร็จ เขาก็ยิ้มกรุ้มกริ่มออกมาด้วยความพอใจ “ขอบใจจ้ะ”

“นี่เป็นครั้งแรกที่หมู่บ้านเฮาสิได้หล่อองค์พระ บุญใหญ่แบบนี้ ข่อยกะพร้อมที่สิช่วยงานบุญนำเด้อจ้ะ” จำปานึกขึ้นได้ว่าต้องรีบไปส่งแกง “งั้นอ้ายรีบเมือไปพักผ่อนเถอะจ้ะ เดินทางมาตั้งไกล”

“ให้อ้ายเดินไปเป็นหมู่บ่…”

เก้อยังพูดไม่ทันจบประโยค จำปาก็รีบพูดสวนขึ้น “บ่เป็นหยังจ้ะ เส้นทางใกล้ๆ ข่อยไปคนเดียวได้”

“แน่เด้อ”

“อ้าย…ข่อยไปคนเดียวได้อีหลี อ้ายนั่นละ ฟ้าวเมือเฮือนได้แล้ว ป่านนี้ลุงพาคือสินั่งคอยทางแล้ว”

“งั้นอ้ายเมือเฮือนก่อนเด้อ” เก้อทำหน้าละห้อยด้วยความเสียดาย โอกาสที่จะได้เดินสองต่อสองนั้นช่างหายากหาเย็นเสียจริงๆ เขาคิดพลางกระโดดขึ้นหลังม้าก่อนค่อยบังคับม้าหันกลับไปเส้นทางเดิม

เก้อเป็นชายหนุ่มที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม เขาดูเป็นคนที่มีความสุขอยู่ทุกช่วงเวลา แม้ว่าหน้าตาของเขาอาจจะไม่หล่อคมคายเหมือนพ่อชายคนอื่นๆ แต่รอยยิ้มของเขาชวนให้แม่หญิงพากันหลงใหลและเคลิบเคลิ้มมากมาย ทั้งยังเป็นคนรักสุขภาพ ร่างกายจึงกำยำล่ำสัน สมกับเป็นชายชาตินักรบโดยแท้

และเป็นที่น่าเสียดายที่ในปีนี้เก้อกลับมาไม่ทันงานบรวงสรวงเจ้าโอ้งมู้ เนื่องจากได้รับคำสั่งให้ไปพาช่างหล่อพระที่เมืองไชยบุรี (1) มาหล่อองค์พระพุทธรูป ‘หลวงพ่อพระสาน’ นั่นเอง

 

ในขณะที่จำปากำลังเดินอยู่ท่ามกลางแสงเทียนที่สาดแสงสีเหลืองทองอยู่นั้น เธอไม่รู้ตัวเลยว่าคูนกำลังควบม้าเข้ามาหาเธอ ซึ่งคูนผ่านมาเห็นช่วงที่เธอกำลังยืนเช็ดเหงื่อให้เก้ออยู่พอดี

ด้วยความหึงหวง คูนจึงขอให้เพื่อนอีก 4 คนควบม้าลาดตระเวนล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตนขอแวะทำธุระส่วนตัวสักครู่ ซึ่งก็คือแวะมาหาคนรัก

“คือสิมักมันหลายเนาะ” คูนพูดประชดขึ้นด้านหลังของจำปาขณะที่นั่งบนหลังไอ้นวล “ถึงได้มาคอยดูแล เช็ดหน้าให้พ่อชายกลางทางคือนี้ได้ บ่อายผีสางนางไม้หรือใครสิผ่านมาเห็นเข้าเลยติ”

จำปาจำเสียงนี้ได้ดี เธอจึงพูดขึ้นมาทันควัน “อ้ายเก้อคือพี่ชายที่ข่อยฮักและเคารพ น้องสาวสิดูแลพี่ชายบ้าง สิเป็นหยังไปล่ะ”

“แต่มันบ่แม่นพี่ชายสายเลือดเดียวกันกับน้อง แม่หญิงคือน้อง บ่ควรสิมาเฮ็ดแบบนี้กับพ่อชาย…”

“พ่อชายคืออ้าย กะบ่ควรมาเฮ็ดแบบนี้กับแม่หญิง ที่ยังบ่แม่นคนฮักคือกัน” จำปาพูดสวนขึ้นทั้งๆ ที่คูนยังพูดไม่จบประโยคเลย เธอไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด จึงหันกลับเพื่อที่จะเดินทางต่อ “ข่อยว่าเฮาจบกันเพียงเท่านี้เถอะ ความพยายามของอ้ายมันบ่ทางที่สิเกิดขึ้นมาได้เลยด้วยซ้ำ อดีตที่ผ่านมานั้น ข่อยถือเสียว่าเป็นเวรกรรมกะแล้วกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นคูนรีบกระโจนลงจากหลังม้าเข้าดักข้างหน้าของจำปาทันที “หมายความว่าแนวใด…ที่น้องบอกว่าบ่แม่นคนฮัก”

“แม่น…ข่อยบ่เคยเป็นคนฮักของอ้าย ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมา อ้ายคิดไปเองทั้งนั้น แล้วอ้ายเคยคิดที่สิถามข่อยอยู่บ่…ว่าข่อยเต็มใจบ่ที่ต้องมาทนอยู่กับการกระทำแบบนี้ของอ้าย”

“เกิดหยังขึ้น จู่ๆ น้องกะมาบอกว่าเฮาบ่แม่นคนฮักกัน แล้วที่ผ่านมาล่ะ…ความฮักที่อ้ายมอบให้มาตลอด…” คูนไม่เข้าใจจำปาเลยสักนิดว่าทำไมวันนี้ถึงพูดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา

“บอกแล้วไง…อ้ายคิดไปเอง ข่อยบ่เคยฮักอ้าย” จำปาต้องการตัดความสัมพันธ์จึงพูดออกไปแบบนั้น ทั้งที่มันขัดกับความรู้สึกในใจที่แท้จริง

คูนเงยหน้าขึ้นฟ้าสูดลมหายใจเข้าลึกเพื่อระงับอารมณ์ “แล้วข้อตกลงบ้าๆ นั่น เพื่อแลกกับการได้พบกันล่ะ มันหมายความว่ายังไง” สองมือไปกุมไหล่ทั้งสองข้างของจำปา “น้องตั้งสติเด้อ แล้วบอกอ้ายมาว่าเกิดหยังขึ้น”

“อีกบ่นาน อ้ายกับจำปีกะสิต้องแต่งงานกันแล้ว ทุกการกระทำที่อ้ายเฮ็ดต่อจำปีมาตลอดสามปี มันได้ช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้นหลาย”

“แต่อ้ายเฮ็ดดีกับจำปีตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับน้อง แล้วเป็นหยังอ้ายถึงต้องแต่งงานกับจำปีด้วยล่ะ” คูนรู้สึกวิตกกังวลจนอยู่ไม่สุข “มื้ออื่นอ้ายสิให้แม่เฒ่าไปสู่ขอน้อง ยังไงอ้ายกะบ่ยอมแต่งกับใครเด็ดขาด ถ้าบ่แม่นน้อง”

“บ่ได้” จำปาตะคอกเสียงดังขึ้นเพื่อเรียกสติของคูน ก่อนพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองด้วยการพูดเสียงเบาลง “อ้ายต้องแต่งกับจำปี จำปีฮักอ้ายหลาย และแม่เฒ่ากะมาสู่ขอจำปีให้อ้ายแล้ว หากช่วยแม่ให้กลับมามองเห็น”

“บ่แม่นความจริง” คูนส่ายหัวกับเรื่องที่จำปาบอก “งั้นข้อตกลงบ้าๆ นั่น มันกะคือคำหลอกลวง…”

“แต่มันคือการรักษาชีวิตจำปีเอาไว้”

“แล้วอ้ายกับน้องล่ะ” คูนพยายามเก็บอารมร์โกรธเอาไว้ “แล้วชีวิตอ้ายล่ะ น้องเห็นอ้ายเป็นคนโง่หลายแม่นบ่ ถึงได้บอกให้เฮ็ดนั่นเฮ็ดนี่ พอเฮ็ดตามแล้ว…น้องกะมาทิ่มอ้ายแบบนี้”

“ทุกอย่างที่เฮาสองคนเฮ็ดมา มันคือการช่วยเหลือชีวิตของคนคนหนึ่งเอาไว้” เสียงลอดไรฟันของจำปา เป็นการย้ำเตือนว่าสิ่งที่ทำกันมานั้นเป็นสิ่งสำคัญกว่า

คูนคว้ามือทั้งสองของจำปามากุมเอาไว้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ ที่ตนจะไม่ได้ครองรักกับแม่หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า “อ้ายฮักจำปาเด้อ” น้ำตาลูกผู้ชายรินไหลออกมาอาบแก้ม “และอ้ายกะเชื่อว่าจำปากะฮักอ้าย”

จำปาพยายามข่มอารมณ์ไม่ให้อ่อนไหวตาม “แต่ข่อย…บ่เคยฮักอ้าย” เธอสะบัดมือคูนออก แล้วรีบวิ่งออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ก่อนที่ความเสียใจที่ซ่อนอยู่จะเผยออกมา

คูนยืนมองแม่หญิงที่รักกำลังวิ่งจากเขาไป เขาได้แต่ยืนนิ่งปล่อยให้น้ำตาไหลอาบแก้มอยู่ตรงนั้น ช่วงวัยเด็กเขาเคยวางแผนว่าจะแกล้งรักจำปา แต่พอยิ่งได้ตามติดชีวิตเธอมากเท่าไร รู้ตัวอีกทีคูนก็ตกหลุมรักจำปาเข้าเสียแล้ว

ส่วนจำปาร้องไห้ออกมาโดยไม่มีเสียง เธอยังคงพยายามก้าวเดินไปข้างหน้า แม้ว่าเธอแทบจะล้มลงไปนั่งกองอยู่กับพื้นดินอยู่แล้ว เธอต้องอดทนเดินต่อไปให้เป็นปกติที่สุด เพื่อทำให้คูนเชื่อให้ได้ว่าตนเองนั้นไม่เคยรักหรือมีใจให้เขาเลย

หลังจากนั้นคูนก็เรียกไอ้นวลมาหาก่อนรีบกระโดดขึ้นไปนั่งบนหลังของมัน แล้วควบมาหันกลับออกไปเส้นทางเดิม เพื่อกลับไปลาดตระเวนกับกลุ่มต่อไป ส่วนจำปาตัดสินใจไม่หันหลังกลับไปมองเลยแม้สักนิดก่อนที่จะดั้นด้นเดินไปเฮือนป้าจำเนียนโดยเร็ว เพื่อที่จะเอาแกงสายบัวไปให้ตามคำสั่งของแม่จำปูน

 

 

เชิงอรรถ :

(1) เมืองไชยบุรี คือ เมืองหนึ่งในแขวงของประเทศลาว ตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของประเทศ มีพื้นที่ติดกับประเทศไทย เคยเป็นส่วนหนึ่งของสยามก่อนการเสียดินแดนเมื่อปี พ.ศ.2447 ซึ่งมีผลให้แขวงนี้ไปขึ้นกับอินโดจีนของฝรั่งเศส



Don`t copy text!