กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว บทที่ 1 : ดวงกาลกิณี (1)

โดย : ชีวาพร

Loading

กรุ่นกลิ่นผกาแก้ว โดย ชีวาพร เรื่องราวของสองพี่น้องที่ชีวิตแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน คนหนึ่งใบหน้างดงามโดดเด่นเป็นที่ปรารถนาของผู้คน อีกคนใบหน้าสามัญและยังมีชะตากาลกิณีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ชีวิตของทั้งคู่จะดำเนินไปในทิศทางใด อ่านเรื่องราวของพวกเธอได้ในเว็บไซต์อ่านเอา anowl.co และเพจ anowldotco

“แม่แก้ว!”

เสียงสดใสของเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบปีดังขึ้น เด็กหญิงวัยอ่อนกว่าหนึ่งปีเนื้อตัวมอมแมมหันกลับไปมองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม หากแต่ทุกครั้งที่เห็นพี่สาวต่างวัยผู้นี้แก้วก็ได้แต่สะท้อนคิดถึงชะตาอันอดสูของตนเอง ผกากรองผู้เป็นพี่งดงามเจิดจ้าดุจดั่งดวงตะวันยามฉายแสง ทว่าตัวเธอกลับมืดมิดอัปมงคลเฉกเช่นฤกษ์ยามที่ตนเองถือกำเนิดมา

“อีแก้วมันดวงกาลกิณีพวกเอ็งอย่าได้ไปเล่นกับมันเชียว แม่ข้าบอกว่ายามที่มันเกิดเป็นยามตะวันดับ พอมันร้องไห้แม่แท้ๆ ของมันก็ตายทันที พวกเอ็งไปเล่นกับมันเดี๋ยวก็ได้ดวงซวยเจ็บไข้เอาดอก”

เป็นถ้อยคำที่ละไมเอ่ยบอกแก่เด็กวัยเดียวกัน จนไม่มีเด็กคนใดกล้ามาเล่นกับแก้ว ทว่าทั้งที่ถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมแก้วกลับไม่โกรธเคืองอีกฝ่ายเลยสักนิด เพราะตั้งแต่รู้ความก็ได้ยินผู้คนทั่วทั้งย่านชุมชนใกล้วัดท่าเกวียนเล่าลือถึงตัวเธอเช่นนี้อยู่เสมอ แม้แต่บุญมีคนเป็นพ่อก็ยังใช้เรื่องนี้มาเดียดฉันท์ไล่เธอลงมานอนที่ห้องเล็กใต้ถุนเรือน

“สำรับเสร็จแล้วใช่หรือไม่”

ผกากรองเดินมาหยุดที่ตรงหน้าคนเป็นน้อง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กเช็ดใบหน้าที่มอมแมม

“เมื่อไหร่แม่ละไมกับพวกจะเลิกรังเกียจแม่แก้วเสียที พวกเราจะได้ไปเล่นด้วยกัน”

แม้จะนึกสงสารคนเป็นน้อง แต่ผกากรองก็อยากมีสหายเล่นสนุกเช่นเด็กในวัยเดียวกัน เมื่ออีกฝ่ายรังเกียจผู้เป็นน้องจึงทำได้เพียงให้แก้วอยู่ที่เรือนเท่านั้น

“เสร็จแล้วจ้ะ พี่ผกากรองขึ้นไปกินข้าวเถิด พ่อรออยู่บนเรือนแล้ว”

“เช่นนั้นเราไปกินข้าวด้วยกัน”

ผกากรองพูดพลางเลื่อนมือเล็กนิ่มลงมาจับแขนผอมแห้งของน้องสาวต่างปีก้าวขึ้นเรือนไปพร้อมกัน เพียงแต่คนถูกจับดึงกลับแข็งขืน เลื่อนสายตามองขึ้นไปบนเรือนด้วยความหวาดหวั่น

“ไม่ต้องกลัวดอก หากพ่อเอ็ดพี่จักช่วยพูดให้”

เมื่อได้ยินผกากรองเอ่ยปากรับรอง แก้วก็ยอมเดินตามแผ่นหลังเล็กของคนเป็นพี่ก้าวขึ้นบันไดเรือนไปอย่างช้าๆ พ่อบุญมีรักและเอ็นดูพี่ผกากรองมาก ขอเพียงพี่สาวเอ่ยปากไม่ว่าเรื่องใดอีกฝ่ายก็คล้อยตามเสมอ

“อ้าว…แม่ผกากรองเล่นกับแม่ละไม แม่น้ำทิพย์เบื่อแล้วรึ จึงได้กลับเรือนมาแต่หัววันเยี่ยงนี้”

“ป้าแม้นมาตามแม่ละไมกลับเรือนจ้ะ เห็นว่าญาติทางเหนือลงมาเยี่ยม ก็เลยต้องแยกย้ายกันกลับเรือน”

ผกากรองเอ่ยพลางวิ่งไปกอดคนเป็นพ่อ จมูกเล็กกดลงบนแก้มสากอย่างออดอ้อน ใบหน้าของบุญมีพลันเต็มไปด้วยรอยยิ้มกว้างหัวเราะลั่นเรือน ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อสายตาหันมาเห็นคนที่กำลังก้าวเท้าเหยียบขึ้นเรือน

เคร้ง! เสียงถ้วยตกกระทบพื้นหลังจากที่ปะทะเข้ากับศีรษะเล็ก แก้วทรุดตัวลงนั่งที่หัวกระไดเรือน มือข้างหนึ่งกดห้ามเลือดบนหน้าผาก อีกข้างกำราวบันไดเอาไว้ไม่ให้พลัดตกลงไป

“โอ๊ย!”

“แม่แก้ว!”

เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเฉียบพลันของแก้วสอดประสานกับพี่สาว ก่อนที่ผกากรองจะถลาออกจากอกพ่อวิ่งมาดูน้องสาว หากแต่สภาพใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำแกงและเลือดของแก้วในตอนนี้ ช่างเหมือนกับภาพวาดผีร้ายที่กำลังผุดขึ้นจากหลุมศพบนผนังโบสถ์นัก หัวใจของผกากรองพลันเกิดความหวาดกลัวจนชะงักเท้า หยุดมองคนเจ็บตรงหน้าด้วยสายตาหวาดกลัว

หรือแม่แก้วจะเป็นผีร้ายมาเกิด แลมีดวงกาลกิณีเช่นคำเล่าลือจริงๆ

“อีตัวอัปรีย์! ไสหัวไปเสียให้พ้นหน้ากูเดี๋ยวนี้!”

บุญมีเอ่ยไล่ตะเพิดลูกสาวคนเล็กวัยหกขวบด้วยท่าทางเกรี้ยวกราด เพราะต้องคลอดตัวกาลกิณีผู้นี้ออกมาจำปาเมียรักของเขาจึงต้องตายจาก ในยามที่แก้วอายุสองขวบก็สร้างเรื่องจนไฟไหม้เรือน สามขวบก็ทำเรือผลไม้คว่ำทำให้เขาไปส่งผลไม้ให้พ่อค้าใหญ่ต่างเมืองไม่ทัน จนถูกยกเลิกสัญญามิทำการค้าร่วมกับเขาอีก ต่อมาผลหมากรากไม้ในสวนก็มายืนต้นตายเสียหมดทั้งไร่

กล่าวได้ว่านับจากแก้วเกิดมาชีวิตของเขาก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ จากผู้มีอันจะกินผู้หนึ่งแห่งชุมชนใกล้วัดท่าเกวียนกลายเป็นผู้ทุกข์ยากในพริบตา ดังนั้นเขาจึงรังเกียจลูกคนเล็กเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่น้ำนมสักหยด ข้าวสักหยิบปั้นมือก็ไม่เคยหามาสู่

“หูมึงอื้ออึงหรือไงอีตัวจัญไร! อีกาลกิณี! หากยังไม่รีบไสหัวลงไปจากเรือนกู กูจักลงหวายให้เนื้อแตก”

บุญมีตวาดก้องอย่างเดือดดาล ในใจมีโทสะจนใบหน้าเขียวคล้ำ แก้วก้มหน้าตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวระคนน้อยใจ

“แม่ผกากรองมานี่อย่าไปอยู่ใกล้มัน ประเดี๋ยวเสนียดจัญไรจะติดตัวลูกพ่อ”

ลูกพ่อ ผกากรองเป็นลูก แล้วตัวเธอมิใช่ลูกหรือไร ดวงตากลมใสไร้เดียงสาของเด็กน้อยพลันแดงก่ำ เงยหน้าขึ้นมองผู้เป็นพ่อด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ

“พ่อจ๋า อย่างไรแม่แก้วก็เป็นลูกของพ่อเหมือนกัน ยังเป็นน้องของฉันด้วย ฉันว่า…”

“แม่ผกากรองอย่าได้เอ่ยชื่อมันให้เป็นเสนียดปาก อีตัวอัปรีย์เยี่ยงนั้นพ่อมินับมันเป็นลูก และหาสมควรให้เอ็งนับมันเป็นน้อง”

“แต่ว่า…”

“ลูกของพ่อมีเพียงแม่ผกากรองคนเดียวเท่านั้น เร่งมากินข้าวเถิด ประเดี๋ยวพ่อจักพาไปซื้อผ้าผืนใหม่”

บุญมีบอกเสียงละมุนพร้อมกับกวักมือเรียกหาลูกสาวคนโปรด ผกากรองได้ยินว่าจะได้ผ้าผืนใหม่ก็ยิ้มกว้างหลงลืมน้องสาวที่เลือดอาบหน้าไปจนหมดสิ้น สาวเท้าเล็กวิ่งไปโอบเอวหนาของบุญมีในทันที

“พ่อไม่หลอกฉันนะจ๊ะ”

“พ่อจะหลอกลูกรักได้อย่างไร มาเร่งกินข้าวเสีย”

แก้วมองภาพพ่อลูกรักใคร่ตรงหน้าแล้วเม้มริมฝีปากอย่างข่มกลั้นความเสียใจ ก่อนจะรีบหมุนตัวเดินลงบันไดไปด้วยน้ำตาอาบแก้ม โดยมีมือเล็กวางกดแผลบนศีรษะเพื่อห้ามเลือด

หกปี…เป็นหกปีที่เธอเติบโตมาโดยไร้ความรักของบิดา แม้แต่เศษเสี้ยวของความเมตตาก็ไม่เคยได้รับ ทั้งหมดนี้เพียงเพราะเวลาที่เธอเกิดนั้นดวงตะวันบนท้องฟ้าถูกราหูกลืนกิน ทั่วทั้งแผ่นดินมืดมิด นับเป็นฤกษ์อัปมงคล เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ตัวเธอไม่อาจกำหนด ยิ่งไม่สามารถเลือกฤกษ์เกิด แล้วไฉนจึงคล้ายกับทุกสิ่งเป็นความผิดของเธอเช่นนี้เล่า

“แม่แก้ว ไปทำกระไรมาเหตุใดจึงหัวร้างข้างแตกมาเยี่ยงนี้”

ช้อย ลูกสาวของ ชื่น หมอตำแยประจำหมู่บ้าน เอ่ยเรียกเด็กน้อยที่มารดาของตนเคยทำคลอดเมื่อหกปีก่อนด้วยน้ำเสียงตื่นตกใจ พลางวางตะกร้าผักลงแล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนวางกดลงบนบาดแผล

“หกล้มจ้ะน้าช้อย”

เมื่อได้ยินคำตอบของเด็กน้อย คนเอ่ยถามก็ถอนหายใจยาว

“เป็นเด็กเป็นเล็กหัดโกหกแล้วรึ หกล้มกระไรน้ำแกงอาบหน้าเยี่ยงนี้ ไป! เร่งไปล้างหน้าล้างตาเสีย น้าจะไปเก็บใบสาบเสือมาบดเป็นยาให้”

แม้ปากจะเอ่ยดุแต่ก็ลุกเดินไปที่สวนหลังเรือน เด็ดใบสาบเสือมาล้างน้ำแล้วใช้ครกหินตำจนละเอียด ก่อนจะนำมาโปะลงบนแผลห้ามเลือดให้คนเจ็บ

“เฮ้อ! แม่แก้วเอ๊ย…เหตุใดจึงเป็นเด็กที่น่าเวทนาถึงเพียงนี้กัน”

เพราะเห็นเด็กน้อยตรงหน้ามาตั้งแต่แรกเกิด อีกทั้งหกปีมานี้ช้อยก็เป็นคนเลี้ยงดูอีกฝ่ายมา ในใจจึงมีความเวทนาแก้วราวกับเป็นลูกเป็นหลานของตนเอง

“เอ็งย้ายไปอยู่เรือนน้าดีหรือไม่ หืม!” คนเจ็บส่ายหัวไปมาจนผมจุกสั่นไหว

“ฉันจะไปอยู่กับน้าได้อย่างไร ยายชื่นบอกว่าพ่อบุญมีเป็นพ่อ แม้ไม่ได้คลอดฉันมาแต่ก็เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้มีพระคุณ ต้องกตัญญูตอบแทนจ้ะ”

ช้อยถอนหายใจยาว มองเด็กน้อยตรงหน้าด้วยสายตาเวทนา ทั้งรู้ความและกตัญญูถึงเพียงนี้ ไม่รู้ผีห่าตนใดมันบังตาไอ้บุญมีถึงได้ดวงตามืดบอดมองไม่เห็นความดีนี้ อีกทั้งยังจิตใจคับแคบหูเบาเชื่อคำเล่าลือของชาวบ้านจนทำร้ายเด็กดีๆ เยี่ยงแม่แก้วเช่นนี้

ทว่าไม่ทันเอ่ยปลอบขวัญคนเจ็บ ช้อยก็งอตัวกุมท้อง ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย!”

“น้าช้อยเป็นกระไรหรือจ๊ะ”

“ไม่เป็นกระไรข้าแค่ปวดหนักเท่านั้น เอาเถิดอย่างไรก็บ้านใกล้เรือนเคียงกัน มีกระไรเอ็งก็มาหาน้าที่เรือนเข้าใจหรือไม่”

“จ้ะ” แก้วขานรับ หากแต่คนเจ็บท้องกลับไม่รอคำตอบวิ่งหายไปในป่าข้างเรือน

 

แม้แผลที่ศีรษะจะยังไม่หายดี แต่วันต่อมาแก้วก็ยังคงต้องตื่นมาหุงข้าว ย่างปลา ตลอดจนตักน้ำใส่ตุ่มไว้ให้คนบนเรือนใช้สอย ขณะที่ผกากรองไม่ต้องหยิบจับกระไร หลังจากตื่นมาล้างหน้าล้างตาผลัดผ้าก็จะออกไปวิ่งเล่นกับเด็กในวัยเดียวกันที่หลังวัดท่าเกวียน ยามตะวันคล้อยบ่ายจึงจะกลับเรือน ทว่าวันนี้ตะวันไม่ทันตรงหัวอีกฝ่ายก็วิ่งหน้าตั้งกลับเรือนมาเสียก่อน

“พี่ผกากรองวิ่งหนีอะไรมาหรือจ๊ะ”

“เรือนแม่ละไมถูกห่าลงเห็นว่าป่วยกันหมดทั้งเรือน เมื่อเช้าข้าไปเล่นกับมันมาจึงรีบกลับมาล้างเนื้อล้างตัวผลัดผ้า”

“พวกเราปลูกฝีกันหมดแล้วจะกลัวโรคห่าไปทำไมจ๊ะ ห่าลงปีก่อนพวกเราก็ไม่เป็นกระไร”

“ฝีที่หมอฝาหรั่งปลูกให้กันโรคห่าครานี้ได้เสียที่ไหนกัน เอ็งไม่รู้ความก็อย่าถามให้มาก”

ผกากรองตวาดน้องสาวช่างซักของตนเอง ก่อนจะเร่งสาวเท้าขึ้นเรือน ทว่าก้าวได้เพียงสองก้าวก็ชะงักเท้าหันมาชี้หน้าห้ามปรามคนเป็นน้อง

“ข้าได้ยินมาว่ายายชื่นกับน้าช้อยก็โดนห่าลงด้วย เอ็งอย่าได้ไปยุ่งวุ่นวายที่เรือนโน้นเชียว”

แม้จะถูกพี่สาวห้ามปรามแต่แก้วเติบโตมาได้ล้วนเป็นเพราะข้าวแดงแกงร้อน ที่ยายชื่นและน้าช้อยเมตตาสงสาร ยามนี้อีกฝ่ายเจ็บไข้เธอจะไม่ไปเยี่ยมเยียนได้อย่างไร สุดท้ายยามที่ผกากรองกำลังอาบน้ำผลัดผ้า แก้วก็วิ่งลัดเลาะป่าไปยังเรือนข้าง

“แม่แก้วเอ๊ย…เห็นทีครานี้ข้าคงไม่ได้อยู่ดูเอ็งโตเสียแล้ว”

“ยายชื่นพูดกระไรเยี่ยงนั้น เจ็บป่วยเล็กน้อยประเดี๋ยวก็หายจ้ะ”

เด็กน้อยเอ่ยทั้งน้ำตา มองดูหญิงชราที่อ่อนแรงใบหน้าซีดเซียวด้วยใจที่หวาดกลัว โผเข้าโอบกอดอีกฝ่ายโดยไม่รังเกียจ มือเหี่ยวย่นของชื่นยกขึ้นวางบนศีรษะเล็กที่ยังไม่โกนจุกก่อนจะลูบแผ่นหลังอย่างปลอบโยน พร้อมกับเอ่ยเสียงสั่นเครือ

“หากข้ากับอีช้อยตายไปเอ็งต้องเข้มแข็งไว้นะแม่แก้ว คำพูดพล่อยๆ ของคนอื่นก็อย่าได้ใส่ใจ ดีชั่วอยู่ที่ตัวเราหาใช่ปากผู้อื่นรู้หรือไม่”

“ยายชื่นจ๋า ยายอย่าพูดแบบนี้ หากไม่มียายชื่นกับน้าช้อยฉันจะอยู่ได้อย่างไรกัน”

เสียงเล็กเอ่ยระคนสะอื้นไห้ ขยับตัวกระชับวงแขนน้อยๆ ของตนมากขึ้น ซุกใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาบนอกของอีกฝ่าย ยายชื่นแนบใบหน้าที่เปียกชื้นลงบนศีรษะเล็กอย่างอ่อนล้า แม้ในใจมีคำพูดนับร้อยอยากเอื้อนเอ่ยออกมาปลอบโยนคนร่ำไห้ แต่เรี่ยวแรงกลับเหลือน้อยนิดเหลือเกิน ช้อยมองภาพตรงหน้าแล้วปวดสะท้านไปทั้งอกก่อนจะกลั้นใจกลืนก้อนสะอื้นลงคอแล้วเอ่ยบอกแก้วเสียงหนักแน่น เหมือนยามปกติ

“เอาละๆ แม่ข้าก็พูดไปตามประสาคนแก่ แม่แก้วอย่ากังวลเลย ใกล้ได้เวลาพ่อเอ็งกลับเรือนแล้วรีบกลับไปเถิด ประเดี๋ยวไอ้บุญมีมันรู้ว่าเอ็งมาหาพวกข้าจะโดนลงหวายเอา”

“เช่นนั้นประเดี๋ยววันพุกฉันจะต้มข้าวย่างปลามาให้นะจ๊ะ”

เมื่อไล่เด็กน้อยลงเรือนไปแล้ว หยาดน้ำตาก็ไหลลงอาบแก้มของช้อย ก่อนที่เธอจะหันไปหยิบกระโถนโก่งคออาเจียนอีกยกใหญ่ ร่างกายยามนี้อ่อนล้าจนแม้แต่จะขยับตัวก็ไม่มีแรง ดวงตาที่พร่ามัวหันมองไปยังหญิงชราบนฟูกข้างๆ

“แม่…”

เมื่อพบว่าคนเป็นแม่สิ้นสติแลหน้าอกไร้การเคลื่อนไหว ช้อยก็รับรู้ได้ทันทีว่าคนเป็นแม่ได้ทอดทิ้งเธอไปแล้ว หยาดน้ำตาพลันไหลรินอาบแก้ม ตัวสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น ใช้แรงเฮือกสุดท้ายกระเสือกกระสนขยับตัวเอื้อมมือไปกอบกุมมือที่เย็นเฉียบของมารดา พร้อมกับเอ่ยเสียงเบาก่อนสิ้นสติ

“แม่จ๋า…รอฉันด้วย…”

 

 

 



Don`t copy text!