ความเชื่อ ตอนที่ 1

ความเชื่อ ตอนที่ 1

โดย : ครูก้อ เพิ่มพลังชีวิตคิดบวก

Loading

“อ่านเอาเล่าเรื่อง” คอลัมน์ที่รวมบทความจากผู้เข้าอบรมในโครงการ อ่านเอาเล่าเรื่อง ที่จัดโดยเว็บไซต์อ่านเอา โดยโครงการนี้ เป็นโครงการที่เปิดโอกาสให้ทุกคนได้นำเรื่องราวที่ประทับใจของตัวเองมาถ่ายทอดในรูปแบบเรื่องเล่า และสานฝันสำหรับทุกคนที่อยากเริ่มต้นสู่เส้นทางการเป็นนักเขียน

วันนี้เราจะมาพูดเรื่อง “ความเชื่อ” กันค่ะ เราทุกคนมีความเชื่อกันทั้งนั้น ทั้งเรื่องที่ดี ที่ส่งเสริมให้ชีวิตเราก้าวไปข้างหน้า และความเชื่อที่ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราขยับไปไหนเลย ชีวิตที่ไม่ขยับพอนาน ๆ เข้าอาจจมลง ต่ำลงกว่าเดิมได้ เหมือนคนย่ำอยู่กับที่ ถ้าเป็นพื้นดิน พื้นอาจยุบตัวลงได้ อาจทำให้ชีวิตต่ำลงได้โดยที่เราไม่รู้ตัว

ความเชื่อมีกัน 2 แบบ แบบที่ 1 เรียกว่า ความเชื่อแบบในระดับพื้นผิว (Decorative Believe) หรือเรารู้จักกันดีที่เรียกกันว่า ระดับจิตสำนึก (Conscious Mind) เช่นเชื่อว่าเราทำได้ เราเป็นได้ แต่แค่ในระดับจิตสำนึกเท่านั้น เชื่อว่าเราขับรถได้ เชื่อว่าเราร้องเพลงได้ เชื่อว่าเรายิงปืนได้ เป็นแบบระดับตื้น ๆ

กับความเชื่ออีกอันคือ ความเชื่อในระดับลึก (Non-Decorative Believe) หรือความเชื่อในระดับจิตใต้สำนึก (Subconscious Mind) ถูกสะสม รวบรวมมานาน เชื่อจนคิดว่าเราเป็นแบบนั้นจริง ๆ เป็นความเชื่อที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตใจ ไม่ใช่แบบผิว ๆ

ความเชื่อแบบนี้จะมาจากพ่อแม่ ครู โรงเรียน หนังสือที่เราอ่าน สิ่งที่เราได้ยิน ประสบการณ์ของเรา จนเราพัฒนาความเชื่อพวกนี้มาเป็นตัวเรา เชื่อว่ามันคู่ควรกับเรา เราสมควรได้รับ

ในช่วงแรก ทุกอย่างจะเป็นความเชื่อแบบพื้นผิว (Decorative) แต่ถ้าเราคิดแบบนั้น เชื่อแบบนั้นซ้ำ ๆ พูดกับตัวเองบ่อย ๆ หรือเจอเรื่องราวแบบนั้นบ่อย ๆ มันจะตอกย้ำ จนกลายเป็นความเชื่อในระดับลึก แบบ Non-Decorative ไปในที่สุด ซึ่งมีผลต่อระดับจิตใต้สำนึกของเรา

ความเชื่อต่าง ๆ ที่เรามี จะก่อตัวกันเป็นแบบแผน (Pattern) ที่อยู่ในสมองเรา เป็นตัวสร้างนิสัยของเรา และเป็นตัวกำหนดพฤติกรรมต่าง ๆ ของตัวเรา ลองนึกกันดูค่ะว่าวันนี้ที่เราเป็นแบบนี้ เราเชื่ออะไรมา? อย่างเราเชื่อว่าเราเป็นคนที่พูดไม่รู้เรื่อง แล้วดันมีเพื่อนชอบมาพูดกับเราอีกว่า แกพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย เพื่อนอีกคนมาสนับสนุนเข้าไปอีก จริง ๆ ฉันฟังมันพูดไม่เคยเข้าใจสักครั้ง พอเราเจอการตอกย้ำแบบนี้บ่อย ๆ เราก็จะกลายเป็นคนพูดไม่รู้เรื่องไปโดยอัตโนมัติ ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ แล้ว เราอาจไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้นก็ได้

ทีนี้เรามาดูวิธีจัดการกับความเชื่อที่เรามี ว่าถ้าเรามีความเชื่ออะไรสักอย่าง เราจะทำอย่างไรกับความเชื่อนั้นได้บ้าง เพื่อส่งผลให้เราไปต่อได้ง่ายขึ้น

  1. เราต้องไม่ตำหนิตัวเอง (Blame) อย่างเรามีความเชื่อว่าเราไม่สวย ก็ไม่ต้องมาว่าตัวเองว่า ว้ายเธอ ทำไมเธอคิดอะไรแบบนี้ แย่จริงเชียว ไม่ต้องค่ะ
  1. ไม่ต้องอับอายตัวเอง (Shame) ไม่ต้องไปรู้สึกขายหน้าแต่อย่างใด หากเรามีความเชื่อนั้น ๆ เกิดขึ้น
  1. ไม่ต้องรู้สึกผิด (Guilt) บางคนเวลาที่เชื่ออะไรสักอย่างจะรู้สึกผิด รู้สึกเหมือนคนมั่นใจในตัวเองมากเกินไป รู้สึกเหมือนโอ้อวด เดี๋ยวเพื่อนล้อ หรือมีคนหมั่นไส้ เลยไม่กล้าที่จะเชื่อแบบนั้น
  1. ไม่ต้องตัดสิน (No Justification) ไม่ต้องไปคิดสิ่งใดให้มาก นี่มันความเชื่อของเรา ของเราแต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้เกี่ยวกับใคร
  1. แค่รับรู้ (Just Awareness) รับรู้ว่าเรามีความเชื่อแบบนี้ แค่รับรู้

ในเรื่องของการรับรู้ ถือเป็นพรวิเศษอย่างหนึ่งของมนุษย์เรา เราสามารถรู้ตัวเอง รู้ความคิด รู้สิ่งรอบตัว รู้อารมณ์ รู้ความรู้สึก รู้สัมผัส จริง ๆ เรามีการรู้พวกนี้อยู่แล้ว แต่เราไม่ค่อยยอมใช้ หรือบางทีเรารู้นะ แต่ไม่เชื่อว่าเรารู้ ต้องรอให้คนอื่นมายืนยัน เราโยนพลังวิเศษในตัวเราไปให้คนอื่นเสียสิ้น รอคนอื่นมาตัดสินตัวเรา ทั้ง ๆ ที่นี่มันคือชีวิตเราแท้ ๆ ยิ่งฝึกการรับรู้เหล่านี้ได้มากเท่าไหร่ เราก็จะได้ชีวิตเราคืนกลับมามากเท่านั้นค่ะ

อย่าเอาพลังของเราไปให้ใครนะคะ เรามีพลังนี้อยู่กับตัวอยู่แล้ว ใช้ซะค่ะ

บทความหน้าเราจะยังมาต่อกับเรื่องราวของ “ความเชื่อ” กันอีกนะคะ พอเราเข้าใจเรื่องความเชื่อแล้ว ทีนี้ทางเดินของเราก็จะยิ่งชัดเจนกันมากขึ้นไปอีก คอยติดตามกันด้วยนะคะ

 

Don`t copy text!