ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 25 : สิ้นแสงแก้วประพาฬ

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 25 : สิ้นแสงแก้วประพาฬ

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

เสียงคำรามก้องฟ้าของกระถางอสุราอัคคีที่ไร้การควบคุมนั้น ทำให้ยะษาเร่งกระทำพิธีบงการไฟโดยใช้พระเวทส่งร่างของทิพย์สุคนธาและดวงจิตของราพสูรที่กำลังจุติให้ล่องลอยเข้าไปที่ใจกลางอย่างรวดเร็ว หากแต่พลังของกระถางอัคคีนั้นก็ค่อยๆ ขยายออกเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ เมื่อสัมผัสกับอัคคีเทพที่คุ้มครองร่างของทิพย์สุคนธา

“วิเศษ วิเศษยิ่งนัก!”

เนื่องด้วยศิคินนั้นต่อกำเนิดจากไฟสุดท้ายของชีวิตองค์ราพสูร ทำให้พลังอัคคีของเขาสามารถหลอมรวมและเพิ่มพลังให้กับกระถางอสุราอัคคีนั้นได้…ยิ่งทำให้ยะษากระจ่างชัดมากยิ่งขึ้นจากเหตุการณ์ที่ศิคินสามารถควบคุมมณีอสุรกาลให้สงบลงได้

ด้วยยะษายังคงตกตะลึงกับภาพที่เห็นตรงหน้าจนไม่ทันสังเกตรอบๆ ตัว ร่างของศิคินที่ทะยานเข้ามาก็ตรงเข้าโอบอุ้มร่างของทิพย์สุคนธาไว้ทันทีก่อนจะนำทั้งดวงจิตของราพสูรและนางออกมาจากใจกลางพิธีบงการไฟได้ทัน

ยะษามองไปยังเทพอัคคีอย่างเดือดดาลพลางยิ้มที่มุมปาก

“มาแล้วหรือ ไม่น่าเชื่อว่าแท้จริงแล้วไฟชีวิตสุดท้ายที่สาบสูญจักจุติเป็นเทพอัคคีเช่นเจ้า…ศิคิน”

“แล้วอย่างไร เจ้าชิงชังหรือที่ข้านั้นสามารถควบคุมมณีอสุรกาลได้”

เขาพูดขึ้นเพื่อหวังจี้จุดของยะษา ด้วยในหัวนั้นกำลังเร่งคิดหาหนทางในการพาทิพย์สุคนธาหลบออกไปให้ไกลจากกระถางอสุราอัคคีเสียก่อน หากแต่ว่าไม่ทันการเสียแล้ว

เมื่อไร้ผู้ที่ควบคุมบงการอัคคีเสียงระเบิดกึกก้องกัมปนาทก็ดังขึ้น เปลวไฟมากมายจากกระถางอัคคีปะทุออกมาอย่างรุนแรง ก่อนจะพุ่งออกมากระจัดกระจายอย่างไร้ทิศทาง

พลังของเปลวไฟที่อัดแน่นมานานตั้งแต่ครั้งสมัยยุคบรรพกาลนั้น ทำให้บังเกิดเปลวไปแผดเผาทุกสรรพสิ่งไปทั่วแผ่นดินแดนอสุรา ยะษามองภาพตรงนั้นก่อนจะมองไปยังศิคินที่อยู่ตรงหน้า

“เห็นผลของการที่เจ้าเข้ามายุ่งไม่เข้าเรื่องหรือไม่เทพอัคคี”

“การกระทำที่เจ้าว่านั้นหมายถึงการสังเวยถึงสองชีวิตเช่นนั้นหรือยะษา”

ยะษาไม่ฟังสิ่งใดอีกต่อไปก่อนจะตรงเข้าฟาดฟันศิคินในทันทีเพื่อหวังจะชิงดวงจิตของราพสูรและทิพย์สุคนธากลับคืนมา ทั้งสองเข้าโรมรันกันอย่างดุเดือดหากแต่ทะเลเพลิงที่บังเกิดนั้นก็ขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆจนเริ่มเข้าสู่เขตของแดนสวรรค์และป่าหิมพานต์อย่างช้าๆ

“เพียงสองชีวิตเท่านั้นศิคิน ข้าไม่ได้ต้องการจะแลกด้วยผู้บริสุทธิ์จำนวนมากมายเช่นนี้ เจ้าจงเปิดตาดูเสียให้เต็มตา!”

ยะษาตะโกนก้องก่อนเทพอัคคีจะมองไปโดยรอบ เสียงกรีดร้องของเหล่าทหารทั้งแดนเทพและอสุราดังสลับกันไปมา อีกทั้งเหล่าเทพผู้ทรงฤทธิ์ในตอนนี้กลับทำได้เพียงใช้พระเวทเพื่อป้องกันไฟที่ไม่สามารถดับได้นี้เท่านั้น

“ไฟนี้ดับลงไม่ได้ หากไม่มีผู้ดับขันธ์ในพิธีบงการไฟแล้วใช้เจตจำนงของตนเพื่อบงการทิพยอัคคีเหล่านี้”

ภายในหัวของศิคินเร่งหาหนทาง หากแต่ยะษาก็ยังคงกล่าวโทษทุกสิ่งเว้นตนเท่านั้นเพราะบัดนี้ไฟที่เขาเป็นผู้จุดขึ้นกำลังเผาผลาญทุกสรรพสิ่งที่เขาต้องการครอบครอง

เทพอัคคีเหาะตรงเข้าไปที่ยะษาที่กำลังบ้าคลั่งด้วยไม่สามารถควบคุมสติของตนได้ ก่อนจะใช้พระเวทมัดร่างนั้นไว้จนไม่สามารถอาจขยับ ร่างของเจ้าพิภพอสุราร่วงลงกระทบพื้นอย่างจังก่อนจะตะโกนเรียกชื่อของศิคินด้วยความเดือดดาลไม่หยุด

ศิคินที่บัดนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรจึงทำได้เพียงมองไปยังภาพของเปลวไปที่กำลังลุกลามไปทั่วอย่างรวดเร็ว เขามองไปยังทิพย์สุคนธาที่บัดนี้ยังคงไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการขยับค่อยๆ ลืมตาขึ้นแล้วมองมาที่เขา รอยยิ้มบางๆของเทพอัคคียามมองไปที่นางผู้เป็นที่รักนั้นก่อนจะตัดสินใจในทันที

ไร้ซึ่งคำพูดใดของเทพอัคคี เขาจึงเหาะเข้าไปที่ใจกลางของกระถางอัคคีโดยตัดสินใจแล้วว่าผู้ที่จะดับขันธ์ในพิธีบงการไฟนี้นั้นจะเป็นผู้ใดไม่ได้นอกจากตนเท่านั้น!

แววตาอ้อนวอนของทิพย์สุคนธาส่งมาที่เขา หากแต่นางอ่อนแอเกินกว่าจะขยับปากร้องห้าม ร่างองอาจของเทพอัคคีบัดนี้หยัดยืน ณ ใจกลางทะเลแห่งเปลวเพลิง

“ข้าไม่ปรารถนาเป็นเพลิงที่เผาผลาญชีวิตนาง…”

ความร้อนอันมหาศาลค่อยๆ แผดเผาร่างและดวงจิตของเขาทีละน้อยๆ ศิคินที่บัดนี้ไม่อาจกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดได้อีกต่อไปจึงร้องตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะทอดกายสิ้นสติลงแล้วปล่อยให้ตนเองมอดไหม้ดับขันธ์ในกระถางเพลิงนั้นแต่เพียงลำพัง

เป็นไปตามคำของยะษาไม่มีผิด เมื่อทะเลเพลิงที่เคยโหมกระหน่ำลุกไหม้นั้นค่อยๆ เบาบางลง เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังไปทั่วบริเวณ หากแต่เพียงชั่วขณะหนึ่งที่ทุกอย่างสงบลงราวกับท้องทะเล เมื่อยามที่ทุกอย่างสงบนิ่งมักจะตามมาด้วยพายุใหญ่เสมอ

“พายะ!”

เสียงตะโกนลั่นของสมุทรา หากแต่ในเวลาเดียวกันนั้นทั่วฝืนปฐพีก็สั่นไหวอีกครั้ง มหิธรที่พยายามจะควบคุมแผ่นดินนั้นหากแต่เพียงสงบมันลงไม่ให้สั่นไหวได้เพียงชั่วขณะเท่านั้น เขาจึงกระจ่างแก่ใจในทันทีเมื่อได้ยินเสียงของสมุทรา

“เทพอัคคีกำลังจะดับขันธ์ ธาตุทั้งสี่ของจักรวาลนี้นั้นกำลังจะสิ้นสมดุล!”

เพียงสิ้นคำนั้น ร่างของเทพทั้งสามก็ทะยานไปยังสถานที่ที่ศิคินอยู่ในทันที หากแต่บัดนี้แรงสั่นไหวของเปลวไฟที่อยู่ใต้พิภพต่างปะทุแทรกออกมาจากผืนแผ่นดินในทันที

ไม่ใช่เพียงแดนสวรรค์และแดนอสุราเท่านั้น หากแต่แดนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงที่สุดกลับเป็นแดนมนุษย์ที่ต้องพึ่งพาสมดุลของทั้งสี่ธาตุมากที่สุด เสียงคำรามลั่นของเปลวไฟราวกับกำลังพิโรธบางสิ่งทำให้เหล่าผู้คนต่างวิ่งหนีเขาชีวิตรอดกันให้จ้าละหวั่น

“ทิพย์สุคนธา…”

เสียงของราพสูรดังขึ้นอีกครั้งก่ อนเขาจะค่อยๆ ส่งพลังชีวิตไปที่ทิพย์สุคนธา ร่างกายที่เคยอ่อนล้าก็กลับมีกำลังวังชาขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นก่อนจะเร่งมองสำรวจไปโดยรอบ หากแต่ที่รับรู้ได้นั้นคือหายนะที่กำลังบังเกิดจากธาตุไฟที่ไร้สมดุล

“เป็นไปไม่ได้…”

นางพูดออกมาอย่างลำบาก ก่อนจะพยายามยันกายลุกขึ้นยืน หากแต่นางสามารถรับรู้ได้ถึงความวุ่นวายโกลาหลที่เกิดขึ้นกับดินแดนต่างๆ รวมถึงแดนมนุษย์ที่บัดนี้ภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นเริ่มคร่าชีวิตผู้คนไปอย่างมากมาย

สองมือของทิพย์สุคนธาสั่นระริก ก่อนนางจะพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มีมองหาศิคินที่บัดนี้นอนนิ่งลอยอยู่เหนือกระถางอัคคี เทพทั้งสามจึงปรากฏกายขึ้นและเร่งจะเข้าไปนำตัวศิคินออกมา หากแต่ไม่มีผู้ใดสามารถผ่านเปลวไฟที่ล้อมรอบร่างของศิคินไว้ได้เลยแม้แต่ผู้เดียว

“จักรวาลนี้จักขาดสมดุลของธาตุทั้งสี่หาได้ไม่ และมีเพียงเจ้าที่จักผ่านเปลวไฟนั้นขององค์ศิคินเข้าไปได้!”

นางมองไปยังดวงจิตที่ยังจุติไม่สมบูรณ์นั้นก่อนจะยิ้มบางๆ ให้เขาเป็นคำตอบ ราพสูรที่เห็นดังนั้นจึงล่องลอยเข้าไปอยู่เบื้องหน้าของทิพย์สุคนธาในทันที

“เราเองที่เป็นต้นเหตุให้เกิดมหันตภัยใหญ่หลวงในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน พลังของเจ้าเพียงผู้เดียวผ่านเปลวไฟของบรรพชนเราเข้าไปหาได้ไม่ทิพย์สุคนธา แบมือเจ้าออก…”

ทิพย์สุคนธาทำตามอย่างว่าง่าย ก่อนดวงจิตนั้นจะล่องลอยเข้ามาอยู่ที่บนฝ่ามือของนางเช่นกันเหมือนครั้งที่นางเป็นเพียงดอกปาริชาตที่อยู่บนฝ่ามือของราพสูร

“เราจะไปกับเจ้าด้วย อย่างที่เจ้าพูดไว้ว่า…เราสองคนจงมาหยุดสงครามนี้ไปด้วยกัน…”

สิ้นเสียงของราพสูรทั้งสองก็ทะยานเข้าไปยังใจกลางของกระถางอัคคีในทันที สามเทพที่เห็นดังนั้นตกใจเป็นอย่างมากหากแต่ไม่สามารถตามนางเข้าไปได้

เมื่อเข้ามาถึงยังใจกลางนั้น ทิพย์สุคนธาจึงได้พบกับร่างของศิคินที่ไร้สติล่องลอยอยู่ท่ามกลางเปลวไฟที่ค่อยๆ เผาร่างและจิตวิญญาณของเขาทีละน้อย นางเหาะไปใกล้พลางยื่นมือข้างหนึ่งออกไปสัมผัสที่ใบหน้าเขาอย่างแผ่วเบา

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยบาดแผลและพลังชีวิตที่เริ่มรวยริน ทำให้ทิพย์สุคนธาที่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่แล้วค่อยๆ สัมผัสไปที่หน้าอกเขา ก่อนละอองสีแดงดั่งไฟชีวิตของนางจะถูกส่งผ่านไปยังร่างของศิคินในทันที

“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้มันเท่าใดนัก พี่ท่านออกไปรอข้าด้านนอกนะเจ้าคะ”

เพียงสิ้นเสียงอันไพเราะนั้น ร่างของศิคินก็อันตรธานหายไปจากด้านในกระถางอัคคีในทันทีแล้วปรากฏบนลานหินกลางเบื้องล่าง

เทพทั้งสามที่เห็นศิคินกลับออกมาแล้วก็ตรงเข้าไปหาเขา ก่อนจะพบว่าพลังชิวิตและดวงจิตของศิคินนั้นถูกรักษาแล้วด้วยพลังชีวิตของทิพย์สุคนธา…แม้ร่างอันดูบอบบางเพียงใดหากแต่ดวงใจนั้นกลับแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่งของเจ้าดอกปาริชาตกลับยังปรากฏกายอยู่ที่ด้านใน

“ออกมาบัดเดี๋ยวนี้ทิพย์สุคนธา!”

เสียงของพายะสั่นเครือไปหมด หากแต่กลับได้คำตอบเป็นเพียงรอยยิ้มของผู้เป็นน้องเท่านั้น

เมื่อเทพอัคคีค่อยๆ ฟื้นคืนสติมหันตภัยต่างๆ ก็สงบลงในทันที ไร้ซึ่งเสียงอึกทึกใดแม้แต่น้อย เขาที่กลับมารู้สึกตัวอีกครั้งรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ด้วยแท้จริงแล้วนั้นตนควรจะดับขันธ์ไปแล้ว

เขามองไปยังสหายทั้งสามที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะยันกายลุกขึ้นอย่างยากลำบาก ความรู้สึกถึงพลังชีวิตของทิพย์สุคนธาที่ไหลเวียนอยู่ในกายนั้น เมื่อยันกายยืนขึ้นได้จึงมองไปยังกระถางอสุราอัคคีในทันที

“ดั่งคำพยากรณ์ที่ว่าข้าจะดับสูญด้วยอัคคี เห็นทีว่าจะแน่แท้เสียแล้วองค์ศิคิน…”

ร่างของทิพย์สุคนธาบัดนี้สิ้นสติลงก่อนที่ดวงจิตของราพสูรที่อยู่ในมือของนางจะค่อยๆ สลายไปเช่นกัน ศิคินที่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงในการขยับกายพยายามจะพุ่งตัวออกไปยังกระถางอัคคี หากแต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ทรุดตัวลงไปที่พื้น

ร่างของศิคินทรุดลงไปกองกับพื้นหากแต่สายตายังจับจ้องไปที่ทิพย์สุคนธาอย่างไม่วางตา เขาที่นอนราบลงไปกับพื้นมีเพียงเรี่ยวแรงในการยกมือไปด้านหน้าหากแต่กลับไร้ผลใดๆ

ความเจ็บปวดที่ก่อตัวขึ้นมานั้นเจ็บปวดเสียจนพิธีถอดดวงใจนั้น เมื่อเทียบกันแล้วไม่ได้เพียงเศษเสี้ยวของในขณะนี้ที่ต้องมองทิพย์สุคนธามอดม้วยสูญสลายไปต่อหน้าต่อตาช้าๆ

เมื่อร่างของทิพย์สุคนธาสลายไปจนหมดสิ้นแล้วนั้น กระถางอัคคีที่เคยลุกไหม้ด้วยเปลวไฟจึงดับสนิทลง หลงเหลือเพียงดอกปาริชาตสีแดงฉานดอกหนึ่งซึ่งล่องลอยอยู่กลางอากาศ

ศิคินเจ็บปวดเสียจนไม่อาจร่ำไห้ออกมา ได้แต่มองไปยังดอกปาริชาตสีแดงที่กลีบดอกของมันใสราวอัญมณีแก้วประพาฬก่อนมันจะค่อยๆ ล่องลอยมาอยู่ในฝ่ามือของเขาช้าๆ

“เป็นเพียงศิคินและทิพย์สุคนธาไม่ได้หรือเจ้าคะ”

คำขอร้องของนางที่มีน้อยข้อนักนับตั้งแต่พบพานกันมาค่อยๆ ดังขึ้นในจิตของเขาอีกครั้ง เทพอัคคีที่บัดนี้แววตาเลื่อนลอยดั่งคนไม่มีสติทำได้เพียงคุกเข่ามองไปยังดอกปาริชาตที่อยู่ในมือของตนเท่านั้น และพยายามสัมผัสถึงพลังชีวิตของเจ้าดอกปาริชาตของเขาที่บัดนี้น้อยลงไปทุกขณะ

“คำขอของเจ้าแสนนานมานี้นับครั้งได้เลยหนา ข้าผิดเอง…” เสียงพึมพำอย่างแผ่วเบาจนฟังแทบไม่ได้ศัพท์เพียงจ้องมองดอกไม้ทิพย์นิ่งอยู่ไม่ไหวติง

ละอองแสงสีแดงค่อยๆ ลอยออกมาจากดอกปาริชาตในฝ่ามือ ก่อนเทพอัคคีจะรับรู้ได้ในทันทีว่านางกำลังจะสลายหายไปตลอดกาล เขาพยายามใช้พลังของตนหล่อเลี้ยงมันอีกครั้งหากแต่ไม่เป็นผลใด ก่อนดอกปาริชาตดอกนั้นจะสลายเป็นละอองสีแดงลอยหายขึ้นไปบนอากาศทันที

“ไม่!”

เสียงตะโกนก้องของศิคินที่บัดนี้ไม่อาจหยุดน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาได้อีกต่อไป พยายามไขว่คว้าละอองแสงสีแดงนั้นอย่างไร้จุดหมาย ก่อนมันจะสลายหายไปจนหมดสิ้นตลอดกาล…

 

มุ่งเปลี่ยนห้วงฟ้าใหม่ที่แดนกว้างใหญ่เบื้องล่าง…ละอองแสงสีแดงดวงจิตแห่งดอกปาริชาตและดวงจิตของเจ้าพิภพอสุราที่สละชีวิตของตนนั้นจึงกลับคืนสู่สังสารวัฏอีกครา

ดังคำอธิษฐานขององค์ราพสูรเมื่ออดีตกาล ที่ว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ดอกปาริชาตจะร่วงหล่นมาที่ตนเพียงสักครานั้นจึงสมดั่งปรารถนาในทันใด

ริชาหรือทิพย์สุคนธากับพิภพหรือองค์ราพสูร ไม่ว่าเรียกอย่างใดก็ยังเป็นคนคนเดียวกันตราบนี้และชั่วกาลนาน

สิ้นความฝันที่แสนยาวนานนั้น ร่างบางค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นก่อนจะพบว่าบัดนี้ดวงตาทั้งสองข้างกลับเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาเสียจนเปียกชุ่มไปหมด ริชาค่อยๆ ลุกขึ้นก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างเงียบๆ ก็พบว่าตนอยู่ในสถานที่ที่หากเป็นแต่ก่อนคงพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่คุ้นตา

แต่ในทางกลับกันนั้นเมื่อลืมตาตื่นขึ้นจากความทรงจำนี้ของเธอเมื่อครั้งที่เป็นทิพย์สุคนธา ริชาก็ทราบได้ในทันทีว่าเป็นวิมานของผู้ใด

เสียงของประตูของห้องที่เปิดออก ทำให้คนที่อยู่บนเตียงหันไปมองในทันที ร่างที่ปรากฏตรงหน้านางนั้นคือคนผู้หนึ่งที่บัดนี้แสนคุ้นตายิ่งนัก เทพอัคคีเมื่อกลับมาจากรับทัณฑ์ที่ถ้ำอัคคีนั้นก็ทราบได้ทันทีว่าบัดนี้ริชาได้สติจึงเร่งกลับมาที่วิมานของตน

เขาเดินตรงเข้ามาหาริชาที่ยังคงจ้องมองเขานิ่งอยู่บนเตียง จนลืมไปว่าในตอนนี้นั้นเขาอยู่ในร่างของเทพศิคินที่ยังคงร่องรอยของบาดแผลที่ถูกวัชระฟาดลงและเครื่องทรงของเทพ ศิคินชะงักเล็กน้อยก่อนจะเป็นริชาเองที่ลุกขึ้นจากเตียงแล้วตรงเข้ามากอดเขาไว้ก่อนจะร้องไห้สะอื้นเสียงดัง

“คุณเจ็บตรงไหนรึเปล่า…”

เขาตกใจเป็นอย่างมากก่อนจะกอดปลอบริชาเช่นกัน ริชาส่ายหน้าเบาๆ ไปมาเป็นคำตอบก่อนจะมองสำรวจรอยแผลที่เกิดจากวัชระที่อยู่ตามแขนและแผ่นหลังนั้นของศิคินจึงร้องไห้ไม่หยุด

“คุณล่ะ เจ็บ…ตรงไหนรึเปล่า…”

เสียงสะอื้นสลับกับคำพูดนั้นก่อนมือบางจะสัมผัสเบาๆ ไปที่รอยแผลที่แขนเขาอย่างเบามือ ศิคินที่เห็นดังนั้นก็แปลกใจเป็นอย่างมาก ด้วยนึกถึงเมื่อครั้งที่ทิพย์สุคนธาเคยสัมผัสที่รอยแผลของเขาเช่นกัน

เขาเลื่อนมือขึ้นมาจับมือของริชาพลางส่ายหน้าเป็นคำตอบ ก่อนจะเช็ดน้ำตาที่อาบสองแก้มนั้นอย่างอ่อนโยน

“แค่นี้ไม่เจ็บเลย อย่าร้องไห้เลยนะริชา”

“จริงๆ นะ”

เธอพูดพลางสำรวจไปตามร่างกายเขาอีกครั้ง ก่อนเสียงกระแอมเบาๆ จะดังขึ้น จึงเห็นเทพวาโยพายะที่ยืนอยู่ไม่ห่าง ด้วยเขาเองนั้นเป็นผู้ไปรับศิคินจากถ้ำทัณฑ์อัคคีอย่างเช่นเคย

“พา…”

ริชาพึมพำขึ้นอย่างลืมตัว ก่อนศิคินจะมองมาที่เธอด้วยสายตาตกใจ หากแต่คนถูกมองนั้นรู้ทันจึงกลืนคำว่า ‘ยะ’ ลงคอไปในทันที

“พาใครมาด้วยเหรอคะ…” ริชายิ้มหวานทักทายองค์วาโย หากแต่กลับไร้ซึ่งสายตาแปลกใจแต่อย่างใด

“เข้ามาสิพายะ ไหนเจ้าอยากเจอริชาอย่างไร”

ศิคินกล่าวหากแต่ไม่ได้ติดใจอะไร ด้วยคงเพราะริชาเพิ่งผ่านเรื่องราวหนักๆ มาจึงไม่อยากรบเร้าเธอมากนัก พายะมองรอยยิ้มนั้นของริชาก่อนจะรู้สึกเบาใจอยู่มากเมื่อยังคงได้เห็นรอยยิ้มของผู้เป็นน้องอีกครั้ง

“ดีใจเหลือเกินที่ได้พบเจ้าอีกครา”

หากแต่ช่วงเวลาแห่งการพบปะกันนั้นช่างแสนสั้น เมื่อมีบางคนกำลังพยายามทำลายพระเวทที่ศิคินร่ายป้องกันวิมานไว้ แรงสั่นสะเทือนของรัศมีเทพเมื่อยามที่กระทบเข้ากับพระเวทป้องกันปราสาทนั้นทำให้องค์อัคคีและองค์วาโยเร่งรุดออกไปดูยังหน้าวิมานในทันที

 

 



Don`t copy text!