ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 24 : อย่างไรจึงเรียกว่าความถูกต้อง

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 24 : อย่างไรจึงเรียกว่าความถูกต้อง

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

 

ไวกูณฐ์วิมานยามนี้ เจ้าดอกปาริชาตน้อยกำลังพยายามถอนพระเวทที่อยู่ตรงกลางหว่างคิ้วของตนจนเริ่มอ่อนแรงหากแต่ก็ยังไม่สามารถทำได้ ดวงตาทอดมองไปยังทิศทางของถ้ำทัณฑ์อัคคีด้วยสายตาที่แสนว่างเปล่า ก่อนจะนึกถึงคำพูดของศิคินเมื่อครั้งก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังถ้ำใต้เชิงเขาไกรลาส

“เราเป็นเทพอัคคีหนา เจ้าจำได้หรือไม่”

เสียงถอนหายใจของทิพย์สุคนธาดังขึ้นเป็นระยะ ก่อนมาลัยแก้วจะเดินตรงไปที่เชิงเทียนที่อยู่ไม่ห่างมากนักจากตัวทิพย์สุคนธา

“จุดกำยานหอมหรือไม่เจ้าคะ จักได้รู้สึกสบายกายสบายใจขึ้น”

ผู้เป็นนายเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหันกลับมาพยักหน้าให้มาลัยแก้ว กลิ่นหอมอ่อนๆ ของกำยานนั้นเมื่อยามสัมผัสกับเปลวไฟที่เชิงเทียนจึงค่อยๆ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปทั่วบริเวณ ก่อนจะทำให้นางรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อย

“หอมจริง…” ทิพย์สุคนธาพึมพำ

มาลัยแก้วดมกลิ่นหอมนั้นอีกครั้ง ก่อนคิ้วจะขมวดเป็นปมขึ้นในทันที “หอมเจ้าค่ะ หากแต่กลิ่นนั้นหาคุ้นไม่…”

สิ้นคำพูดนั้น มาลัยแก้วที่เป็นผู้จุดกำยานก็หมดสติลงในทันที และเช่นเดียวกันกับทิพย์สุคนธาที่บัดนี้ดวงตาพร่ามัวไปหมดก่อนจะค่อยๆ หมดสติลงเช่นกัน พร้อมๆ กับกลิ่นกำยานที่ล่องลอยไปทั่ววังไวกูณฐ์ก่อนจะทำให้ทุกคนที่ได้กลิ่นของมันค่อยๆ ล่องลอยสู่นิทรา

 

เหมือนเวลาผ่านไปเพียงราวกะพริบเปลือกตา ใบหน้างดงามของเจ้าดอกปาริชาตที่ยามนี้ยังคงไม่ได้สติกลับมาครบถ้วนเท่าใดนักเพียงรู้สึกปวดศีรษะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หากแต่กระนั้นกลิ่นหอมในห้องแปลกไปเสียจนรู้สึกได้ และสัมผัสของอากาศโดยรอบที่เปลี่ยนไปเสียจนต้องพยายามลืมตาตื่น

“ตื่นแล้วหรือ…” เสียงหวานถามขึ้น หากแต่ด้วยเพราะฤทธิ์ของกำยานทำให้ทิพย์สุคนธายังคงมึนงงอยู่

ยะศิณาที่เห็นดังนั้นจึงทำได้เพียงวาดมือไปในอากาศครั้งหนึ่ง ก่อนอาการต่างๆ ของทิพย์สุคนธาจะดีขึ้นราวกับไม่เคยรู้สึกเช่นนั้นมาก่อน นางมองไปยังผู้หญิงตรงหน้าอย่างเต็มตาก่อนจะลุกขึ้นยืนในทันทีด้วยความตกใจ

“กำยานสวรรค์นิทรา เจ้าก็ฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่ข้าคิดอยู่เป็นไหนๆ คงเพราะเป็นธิดาวิมานไวกูณฐ์สินะ…”

“ทิพยอสุราเช่นนั้นหรือเจ้าน่ะ” ทิพย์สุคนธาถามขึ้นก่อนจะได้เพียงเสียงถอนหายใจของยะศิณา

“ไยรู้ความมากมายเช่นนี้นะ พี่ข้าให้มาเจรจากับเจ้า…”

ยังไม่ทันจะได้พูดจนจบเสียงเปิดประตูก็ดังขึ้นในทันที พร้อมกับร่างของเจ้าพิภพอสุราที่เดินเข้ามาภายในห้องอย่างองอาจ สายตาของเขาไล่มองสำรวจทิพย์สุคนธาอยู่ครู่หนึ่ง หากแต่เจ้าดอกปาริชาตนั้นก็ยังคงเอียงคอมองไปที่เขาไม่วางตาเช่นกัน

“ธิดาวิมานไวกูณฐ์งดงามเพียงนี้สิหนา จึงเป็นที่อิจฉาไปทั่วแดนสวรรค์…”

เพียงได้ยินที่ยะษาบอกนั้น ทิพย์สุคนธาก็เข้าใจได้ในทันทีว่านางถูกพาตัวมาที่พิภพอสุราได้อย่างไร

‘เช่นนั้นปริศนาวารีเทพที่ใช้หยุดองค์ศิคินที่หิมพานต์นั้นก็เป็นอันกระจ่างชัด อีกทั้งยังสามารถเข้าออกวิมานไวกูณฐ์ของข้าได้โดยสะดวกดายเป็นผู้ใดกัน!’

นางนึกในใจพลางมองไปยังยะษาและยะศิณาสลับกันไปมาเพื่ออย่างน้อยหากเป็นคนของแดนเทพจริงอาจทิ้งร่องรอยของรัศมีพลังเทพไว้บ้าง แต่อย่างไรเสียคนทำผิดไหนเลยจะยอมทิ้งร่องรอยไว้ให้ติดตาม

“ข้าจะไม่อ้อมไปมาอีก ข้อเสนอในการเจรจานั้นง่ายดายนัก เพียงเจ้ายอมใช้พลังดอกปาริชาตของเจ้าคืนชีพให้กับองค์ราพสูรเพียงเท่านั้นสงครามก็จักยุติลงในทันที”

“ยุติ…ยุติอย่างไร ในเมื่อเจ้าลักพาธิดาวังไวกูณฐ์เยี่ยงข้า อีกทั้งที่หิมพานต์นั้นยังลอบทำร้ายข้าและองค์ศิคิน!”

ทิพย์สุคนธาจำลักษณะและเสียงพูดของยะษาได้เป็นอย่างดีว่า คือคนคนเดียวกันกับที่ลอบทำร้ายนางและศิคินที่หิมพานต์ไม่ผิดเป็นแน่

“เราไม่เคยคิดจะทำร้ายเจ้า หากแต่เพียงต้องการพาเจ้ามาที่นี่เท่านั้น” ยะษาขึ้นเสียงด้วยความไม่พอใจหากแต่ทิพย์สุคนธาหาได้หลบตาเขาแม้เพียงน้อย

“เราเพียงต้องการสิ่งที่เจ้ามี…หามีปาริชาตดอกใดที่จักฟื้นคืนองค์ราพสูรได้นอกจากเจ้าที่เกิดจากไฟชีวิตของท่าน”

“หากแต่การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนั้นก็มีเวลาของมันเช่นกัน เมื่อครบกำหนดวาระกรรม องค์ราพสูรของพวกเจ้าก็จักฟื้นคืน เหตุใดต้องฝืนกฎแห่งกรรมนั้นด้วยเล่า”

ยะษาที่ได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะออกมาในทันที “เทพผู้เป็นนิรันดร์อย่างพวกเจ้าเข้าใจคำว่าสังสารวัฏเช่นนั้นหรือ…เจ้าไม่เคยเกิดมาอยู่ภายใต้แรงกดดันใด ไม่เคยเข้าใจว่าการเติบโตมาโดยถูกสอนสั่งเสมอว่าผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจักสามารถยืนอยู่ในจักรวาลนี้ได้อย่างสง่างามมันเป็นเช่นไร…”

แววตาแน่วแน่จริงจังของยะษาแฝงไปด้วยความเย้ยหยันที่มีต่อแดนสวรรค์ หากกระนั้นก็เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นอยู่ไม่มากก็น้อย

“แต่กระนั้นเจ้าก็เลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องได้ไม่ใช่หรือ…”

เสียงของทิพย์สุคนธาอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อยามคิดตามคำพูดของยะษาก็เห็นจริงอยู่มาก ด้วยแท้จริงแล้วนั้นแต่ละคนถูกเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกัน ทำให้บางครั้งการกระทำที่แสดงออกมานั้นจึงแตกต่างกันออกไป

“หากแต่สิ่งที่ถูกต้องที่เจ้าว่าคืออันใดเล่าทิพย์สุคนธา…”

คำถามที่ยะษาถามขึ้นนั้นเช่นเดียวกันกับคำถามที่ผุดขึ้นในใจนางเช่นกัน เมื่อย้อนกลับไปนานแสนนานนั้น แท้จริงแล้วเหล่าทิพยอสุรานั่นก็ดั่งเช่นเดียวกับชาวแดนสวรรค์ดาวดึงส์ หากแต่ด้วยยืนอยู่คนละฝั่งของอุดมการณ์ทำให้เป็นฝ่ายถูกขับไล่นั่นเอง

“ไม่มีผู้ใดไม่เคยผิดพลาดองค์ยะษา จะเกิดจากที่ใดสูงต่ำอย่างไร…ข้าเองยังยึดมันในความตรงไปตรงมาโดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น เรียนรู้แก้ไขจากความผิดพลาดเช่นนั้นจึงจักถือว่าถูกต้อง…”

ดวงเนตรคมมองจ้องไปยังเจ้าพิภพอสุราด้วยดวงแววตาที่มั่นคง หากแต่กลับเป็นยะษาเองที่หันหลังให้กับนางในทันที

“ข้าพูดกับเจ้าอย่างสันติแล้วหนาทิพย์สุคนธา…”

ยังไม่ทันที่ทิพย์สุคนธาจะได้กล่าวอะไรออกมา เชือกพระเวทของยะษาก็ตรึงนางไว้ในทันทีจนไม่อาจขยับได้แม้แต่น้อย

“นำนางไปที่ลายพิธีบงการอัคคีเสียยะศิณา ข้าจะไปเตรียมพิธีแลดวงจิตของมนุษย์ผู้นั้น!”

“เช่นนั้นก็จงหลับเถิดเทพธิดา เพียงครู่เดียวที่เจ้าลืมตาตื่นขึ้นมาก็อาจจักได้กลับวิมานแล้ว”

กลิ่นหอมอ่อนลอยปะทะใบหน้าของทิพย์สุคนธานั้นหอมดั่งเดียวกับกำยานที่ได้กลิ่นเมื่อก่อนหน้า  ร่างกายของทิพย์สุคนธาบัดนี้ค่อยๆ ไร้เรี่ยวแรงอีกครั้งพร้อมๆ กับสติที่ดับวูบลง

 

ภายในความเงียบสงบของวิมานไวกูณฐ์ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวใดเสียจนองค์พายะที่เพิ่งมาถึงนั้นถึงกับต้องนึกแปลกใจ เขามองไปซ้ายทีขวาทีก็ไร้ซึ่งเงาของเหล่าเทพธิดารับใช้ภายในวิมาน อีกทั้งเหล่ามวลผกาดอกไม้ก็ยังไม่เบ่งบาน ดูแล้วผิดวิสัยของทิพย์สุคนธายิ่งนัก

เมื่อเข้ามาด้านในของวิมานไวกูณฐ์ พายะก็ตกตะลึงในทันทีด้วยภาพที่เห็นตรงหน้าคือเหล่าเทพธิดารับใช้ที่หลับใหลไม่ได้สติตามทางเดิน ซ้อนทับกันระเกะระกะเต็มไปหมด…

อีกทั้งกลิ่นหอมประหลาดที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เทพวาโยจึงใช้สายลมของตนพัดผ่านร่างของเหล่าเทพธิดาที่หมดสติอยู่ตามทางเดินวิมานและห้องต่างๆ จนทุกคนเริ่มได้สติขึ้นมา ก่อนตนจะตรงเข้าไปที่ห้องของทิพย์สุคนธาในทันทีด้วยรู้สึกสังหรณ์บางอย่าง

มาลัยแก้วค่อยๆ ได้สติจากสายลมจากองค์พายะด้วยยังรู้สึกวิงเวียนไปหมด นางมองไปทั่วก่อนจะพบกับองค์พายะที่เดินตรงเข้ามาหาตนในทันที

“ทิพย์สุคนธาอยู่ที่ใดมาลัยแก้ว”

“องค์ท่านเข้ามาในห้องนี้หาได้ไม่นะเจ้าคะ…” นางตอบด้วยความเคยชิน หากในเวลานี้กลับมีอาการปวดศีรษะจนแทบระเบิด

เมื่อรู้ว่าไม่ได้ความเสียแล้วพายะจึงมองไปรอบๆ ก็พบกับกำยานที่ยังคงจุดอยู่ เมื่อได้กลิ่นชัดๆ ของมันนั้นเขาก็รีบทำลายมันทิ้งในทันทีด้วยแน่ใจแล้วว่าเป็นกำยานสวรรค์นิทรา

“เราจักไปตามหาเจ้าทิพย์สุคนธา พวกเจ้าหากยังไม่ดีขึ้นให้เร่งไปหาเทพทิพย์โอสถหนา” เขากล่าวอย่างเร่งรีบก่อนจะหายองค์ไปในทันที

 

เสียงกลองศึกดังสนั่นขึ้นทั้งที่ทั้งสองฝั่งเพิ่งผ่านเหตุการณ์นองเลือดมาไม่นาน ทำให้เหล่าทหารเทพไม่ทันได้ตั้งตัวแต่อย่างใด ร่างสูงกำยำของแม่ทัพแดนอสุราบัดนี้กำลังยืนอยู่เบื้องหลังเหล่ากองทหารหาญก่อนจะชูหอกในมือขึ้นเป็นสัญญาณให้จัดกระบวนทัพ

พายะที่เพิ่งกลับจากวังไวกูณฐ์ด้วยความร้อนใจที่ทิพย์สุคนธาหายไป เมื่อเห็นแดนอสุราจัดกระบวนทัพก็แจ้งแก่ใจในทันที

“ไหนเจ้าจักไปหาทิพย์สุคนธาที่ไวกูณฐ์…” มหิธรถามขึ้นเมื่อมองสีหน้าไม่สู้ดีนักของพายะ

“กำยานนิทราสวรรค์คละคลุ้งไปทั่วไวกูณฐ์ แลน้องทิพย์สุคนธาหายไป!”

เสียงโห่ร้องของเหล่าทหารของแดนอสุราที่ดังก้องนั้น ดั่งแทนคำตอบของคำถามต่างๆ ได้เป็นอย่างดีก่อนเหล่าเทพทั้งสามจะมองหน้ากันด้วย รู้แน่แล้วว่าบัดนี้แดนสวรรค์มีผู้ที่คอยช่วยเหลือแดนอสุราอยู่อย่างที่พวกเขากำลังคิด

“มันได้ตัวน้องไปแล้วเป็นแน่ ไม่เช่นนั้นคงไม่ระดมกำลังพลเช่นนี้ เราต้องแยกกัน…”

“ต้องลอบเข้าไปหากเป็นดังเจ้าว่า ดารันไม่มีทางยอมปล่อยให้ใครเข้าใกล้วิมานที่สถิตมณีอสุรกาล”

ยังไม่ทันจะสิ้นเสียงของสมุทรานั้น ร่างของศิคินก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือพลับพลาที่ชายแดนในทันที ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยโลหิตและบาดแผลจากร่องรอยอัสนีจากวัชระ ก่อนเขาจะทะยานไปด้านหน้าในทันทีอย่างสุดแรง

ร่างของเทพอัคคีที่เหาะตรงไปนั้นหาได้ฟังคำทัดทานจากเหล่าบรรดาสหายที่อยู่เบื้องล่างไม่ ทำให้เหล่าอสุราและแม่ทัพแดนอสุราต่างๆ เมื่อเห็นเทพอัคคีนั้นก็ตรงเข้าโจมตีเพื่อหยุดเขาไว้ หากแต่เหล่าเทพทั้งสามองค์ผู้เป็นสหายรวมถึงทหารของแดนเทพก็หายินยอมไม่เพราะต่างก็เข้าโรมรันกันในทันที

“อย่างไรศิคิน เจ้าออกมาจากถ้ำทัณฑ์อัคคีได้อย่างไร”

“พายะ เจ้าอย่างเพิ่งถามกระไรเลย ราพสูรกำลังจักจุติในเพลานี้แล้ว!”

สิ้นเสียงตะโกนก้องของศิคินก็บังเกิดสายฟ้าฟาดและพายุโหมกระหน่ำเหนือยอดปราสาทที่สถิตมณีอสุรกาล แสงสีแดงดั่งแก้วประพาฬส่องสว่างอย่างเจิดจ้าเสียจนสามารถมองเห็นได้จากที่ไกลๆ อย่างสุดขอบชายแดนเช่นนี้ ทำให้ศิคินสัมผัสได้ถึงทิพย์สุคนธาว่ายามนี้กำลังเกิดสิ่งใดขึ้น

“พวกเจ้าจงหลบไป!”

เขาตะโกนอย่างเดือดดาลก่อนจะปลดปล่อยพลังแห่งอัคคีเทพมหาศาลออกมา

บัดนั้นจึงบังเกิดทะเลเพลิงโหมกระหน่ำแดงฉานไปทั่วผืนปฐพี เสียงกรีดร้องของเหล่าทหารที่โดนอัคคีเทพของศิคินแผดเผานั้นต่างกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ก่อนเทพอัคคีจะทะยานร่างออกไปอย่างรวดเร็ว

 

ลานหินกว้างบัดนี้ปรากฏร่างของเจ้าพิภพอสุราและผู้เป็นขนิษฐา หากแต่อีกองค์ที่กำลังหลับใหลไม่ได้สติด้วยฤทธิ์ของกำยานนิทราสวรรค์นั้นยังคงหลับตานิ่ง บนใบหน้านั้นกลับปรากฏเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นบนหน้าผาก

ยะศิณาใช้พระเวทวางร่างของทิพย์สุคนธาลงบนแท่นหินที่กลางลานกว้าง ก่อนผู้เป็นพี่ชายอย่างยะษาจะเรียกนำดวงจิตของมนุษย์ผู้นั้นขึ้นมาล่องลอยอยู่เหนือร่างของเจ้าดอกปาริชาตในทันที

ด้วงพลังแห่งดวงจิตของราพสูร เมื่อยามเข้าใกล้และสัมผัสพลังของดอกปาริชาตอันก่อกำเนิดจากไฟชีวิตของตนเมื่อครั้งกาลก่อนก็บังเกิดแสงเจิดจ้าในทันที ทิพย์สุคนธาลืมตาตื่นขึ้นก่อนจะพบว่าตนนั้นอยู่บนลานพิธีและมีเสียงของใครผู้หนึ่งกำลังเรียกหาตน

ดวงเนตรมองไปยังดวงจิตที่ล่องลอยอยู่ด้านบนเหนือตนนั้น ก่อนแสงเรืองรองบังเกิดขึ้นพร้อมๆ กับกลิ่นหอมที่ลอยล่องออกจากกายของนางอย่างไม่ขาดสาย ดวงจิตนั้นจึงบังเกิดเป็นรูปร่างขึ้นในห้วงจิตของทิพย์สุคนธาในทันที หากแต่ที่ยะษาและยะศิณาเห็นนั้นกลับเห็นเพียงแสงสว่างสีทองสลับกับสีแดงเท่านั้น

ร่างกำยำสูงโปร่งที่บัดนี้งดงามดังทองทาทับตามผิวกาย องค์ราพสูรที่ทิพย์สุคนธาจดจำได้อย่างแม่นยำในความทรงจำเมื่อครั้งย้อนไปเมื่อนางยังเป็นเพียงดอกปาริชาตในฝ่ามือของเขา

บนบัลลังก์ทองของมหาปราสาท บัดนี้มณีอสุรกาลกำลังทอแสงสว่างอย่างงดงามหาใช่เปลวไฟที่คลุ้มคลั่งอย่างที่นางเคยเห็นไม่

“มาเถิดเจ้าดอกปาริชาตของข้า มีเพียงเจ้าแลข้าเท่านั้นที่จักยุติเรื่องราวความขัดแย้งนี้ และคืนคงความสงบสุขดังเดิมได้”

แววตามีความลังเลอยู่ไม่น้อยหากด้วยความสับสนที่มีอยู่ในใจ ทิพย์สุคนธาสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและอ่อนโยนบางอย่างที่ถูกส่งมาเสมอจากชายที่อยู่ตรงหน้า ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกับเทพอัคคียิ่งนักหากแต่เขาและศิคินก็หาใช่คนคนเดียวกันไม่

“เช่นนั้นข้าจักถามท่านเพียงข้อหนึ่ง ท่านถูกลงทัณฑ์ด้วยบิดาข้าให้ลงไปเวียนว่ายในสังสารวัฏเหตุใดจึงปรารถนาฟื้นคืน เพราะหากเมื่อครบกำหนดวาระเมื่อใดท่านก็จักกลับคืนสู่บัลลังก์นี้ได้ดังเดิม ความถูกต้องของท่านคือสิ่งใดกัน…”

ราพสูรที่เมื่อได้ยินคำถามของทิพย์สุคนธาจึงลุกขึ้นจากบัลลังก์ในทันที ก่อนจะเดินลงมาหานางที่อยู่เบื้องล่างท้องพระโรง แววตาแน่วแน่ไม่สับสนแม้แต่น้อยก่อนที่มือของเขาจะเอื้อมลงไปจับมือบางของนางมาสัมผัสที่หน้าอกของตนช้าๆ

“ข้ามิได้ปรารถนาจักครอบครองทั้งจักรวาลนี้หวังเพียงเกียรติและศักดิ์ศรีของเหล่าอสุราที่จักยืนหยัดอย่างภาคภูมิและเท่าเทียมเท่านั้น ข้าไม่ปรารถนาเบียดเบียนสรรพชีวิตและละทิ้งแล้วซึ่งอำนาจที่จักใช้กดขี่เหล่าผู้บริสุทธิ์ทั้งแดนสวรรค์และแดนอสุรา”

ไฟชีวิตของราพสูรที่ถูกส่งผ่านมายังทิพย์สุคนธานั้น ทำให้นางสามารถรับรู้ได้ถึงความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีต่อคำพูดที่ได้เอื้อนเอ่ยออกไปนั้นว่าจริงแท้เพียงใด

“และข้าจักไม่ยอมผิดพลาดดั่งเช่นเมื่อครั้งพิธีกวนเกษียรสมุทรอีก ทิพย์สุคนธา…”

รอยยิ้มที่แต้มบนใบหน้างามนั้น ก่อนจะเป็นทิพย์สุคนธาเองที่เอื้อมมือไปสัมผัสฝ่ามือของเจ้าพิภพอสุราไว้เช่นกัน

“เช่นนั้น ข้าแลท่านก็จงมาช่วยกันหยุดสงครามครั้งนี้กันเถิด”

เพียงสัมผัสอย่างแผ่วเบานั้นของราพสูรและทิพย์สุคนธา ก็บังเกิดแสงเรืองรองสว่างไสวไปทั่วบริเวณในทันที เมื่อนางได้สติลืมตาขึ้นพลันอัคคีเทพจากฝ่ามือของนางก็ลุกโชติช่วงก่อนพระเวทของศิคินที่ร่ายอยู่บนหว่างคิ้วนั้นจะสลายหายไปในทันที

ร่างบางที่นอนราบอยู่ที่แท่นหินนั้นค่อยๆ ลอยขึ้นพร้อมๆ กับดวงจิตของราพสูร ปฐพีที่สั่นสะเทือนนั้นทำให้ยะษาและยะศิณาที่มองไปรู้สึกได้ในทันทีด้วยรอเวลานี้มานานแสนนาน

เสียงปฐพีแดนทิพยอสุราคำรามลั่นก่อนที่แผ่นดินที่เบื้องหน้าจะแยกตัวออก แล้วบังเกิดเปลวไฟสีทองโหมกระหน่ำขึ้นที่ผืนดินดังเช่นทุกครั้งที่กระถางอสุราอัคคีเคยโชติช่วงเมื่อครั้งบรรพกาล

“ดั่งคำที่เคยได้ยินเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ไฟชีวิตสุดท้ายของเหล่าทิพยอสุราในแต่ละยุคนั้นจักถูกเก็บรวบรวมในกระถางอสุราอัคคี อันเป็นพลังให้กับมณีอสุรากาลที่จะทำให้แดนอสุราคงอยู่ได้ และมีเพียงเจ้าพิภพเท่านั้นจึงจักสามารถเปิดใช้กระถางไฟนี้…”

ยะศิณาคิดทบทวนประโยคที่ตนได้ยินจากคำบอกเล่าของเหล่าผู้อาวุโส ก่อนจะมองไปยังพี่ชายของตนที่บัดนี้กำลังยิ้มด้วยใบหน้าแห่งความพึงพอใจ

ยะษาที่เห็นดังนั้นก็ใช้พลังของตนไปยังดวงจิตของราพสูรและทิพย์สุคนธาในทันที เพื่อดึงทั้งสองเข้าไปยังใจกลางของกระถางไฟนั้น หากแต่อัคคีเทพของศิคินที่คอยปกป้องทิพย์สุคนธาอยู่ก็เข้ามาต้านไว้ในทันที

“ท่านพี่จะทำสิ่งใด หากทำเช่นนั้นองค์ราพสูรจักต้อง…!”

“หุบปากเจ้าเสียยะศิณา” เขาตะโกนเสียงดังก่อนจะทำให้ผู้เป็นน้องของตนหมดสติลง

ทางด้านหนึ่งของเชิงเขาไกรลาสนั้น ศิคินที่ยังคงรับทัณฑ์อยู่ก็สะดุ้งลืมตาขึ้นเพราะกำเนิดจากพลังขององค์ราพสูรทำให้เขานั้นสามารถสัมผัสได้ว่าองค์ราพสูรกำลังจะจุติและพระเวทของตนที่อยู่ที่ตัวของทิพย์สุคนธาก็สลายหายไปแล้ว หลงเหลือเพียงความรู้สึกของคนรักที่บัดนี้ยินยอมพร้อมใจที่จะใช้พลังของตนในการคืนชีพเขาแล้วเช่นกัน

ไม่มีเวลาที่ศิคินจะมาคิดหาคำตอบว่าด้วยเพราะเหตุใด หากแต่บัดนี้แต้มอัคคีที่มือของเขาก็ส่องสว่างขึ้นในทันที ด้วยความตื่นตระหนกเทพอัคคีจึงลุกขึ้นจากพื้นหินแล้วตรงไปยังทางออกของปากถ้ำในทันที

เพราะยังไม่ครบกำหนดที่เขาจะกลับออกมา วัชระและไฟแดงฉานจากหินเหลวร้อนนั้นก็โจมตีใส่ผู้เป็นดั่งนักโทษของมันในทันที ก่อนโซ่ตรวนจากอักขระที่อยู่บนข้อมือของเขาทั้งสองข้างจะรั้งมัดร่างของเทพอัคคีเอาไว้แน่น

ความรู้สึกของทิพย์สุคนธาที่ถาโถมเข้ามานั้นรวมกับพลังชีวิตของราพสูรที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยบีบรัดเขาเสียยิ่งกว่าโซ่ตรวนนี้เป็นไหนๆ ศิคินรวบรวมรัศมีเทพของตนก่อนจะปลดปล่อยพลังของเขาออกมาในคราเดียวทำให้ทั้งโซ่ตรวนรวมถึงประตูหินบานใหญ่นั้นพังกระจายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ภายใต้ฝุ่นตลบอบอวลนั้น แสงสีแดงฉานของรัศมีแห่งเทพอัคคีก็ทะยานออกจากปากถ้ำใหญ่แล้วตรงไปที่แดนอสุรา

 

 



Don`t copy text!