พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 31.1 : นายท่าน

พยับฟ้าโพยมดิน บทที่ 31.1 : นายท่าน

โดย : พงศกร

Loading

พยับฟ้าพโยมดิน นวนิยายจากอ่านเอา โดย พงศกร เมื่อน้องชายฝาแฝดหายตัวไปอย่างลึกลับในหมู่บ้านกลางหุบเขาของภูฏาน เขาจำเป็นต้องทิ้งทุกอย่างเพื่อตามหาก่อนที่จะสายเกินไป เขาต้องยอมรับความช่วยเหลือจากนารีญาหญิงสาวที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาตั้งแต่แรกเจอพ่วงไปด้วย เธอคนนี้อาจเป็นคนเดียวที่ไขปริศนาต่างๆ และพาเขาไปพบกับน้องชายได้

ในที่สุดเขาก็ตามเด็กชายทันจนได้ ล่องเมฆหายใจหอบ เหงื่อโซมกาย เด็กชายตาเดียวมาหยุดอยู่หลังเทือกเขาสูง และเขาได้แต่เหลือบมองไปรอบๆ ด้วยความประหลาดใจ

ล่องเมฆไม่เคยเห็นภูเขาด้านนี้มาก่อน

ทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้น แตกต่างไปจากภูเขาทางด้านหน้าโดยสิ้นเชิง

ประกายแดดสีทองส่องสะท้อนผืนน้ำตรงหน้า เกิดเป็นประกายระยิบระยับตามระลอกคลื่น

เขาอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ก็ใครจะคิดว่าจะมีทะเลสาบขนาดเล็กซ่อนอยู่ตรงนี้

ตรงหน้าของล่องเมฆคือทะเลสาบน้ำใสกระจ่าง รายล้อมด้วยหน้าผาสูงชันทั้งสี่ด้าน บนหน้าผามีโพรงหินจำนวนมาก มีสายน้ำไหลออกมาจากโพรงหินพวกนั้น สายน้ำสายเล็กบ้าง สายใหญ่บ้าง ไหลแรงบ้าง ไหลเอื่อยอ่อนบ้าง ก่อนจะตกลงมารวมกันเป็นทะเลสาบสีฟ้าอมเขียว

“นายท่าน”

เด็กชายแรงดีไม่มีตก เขาวิ่งไปหยุดตรงโขดหินขนาดใหญ่ ที่มีชายผู้หนึ่งยืนหันหลังอยู่

เด็กชายดูไม่ได้เหน็ดเหนื่อยเหมือนล่องเมฆเลยสักนิด เขายื่นแป้งทอดส่งให้ผู้เป็นนาย แล้วเอ่ยขึ้นด้วยเสียงดังเป็นกังวานว่า

“น้าคนนั้นใจดี ยอมเสียสละอาหารให้นายท่านขอรับ”

ร่างสูงสง่าสวมชุดโกสีน้ำเงินเข้มอมดำหันกลับมารับแป้งทอดจากมือของเด็กชาย

ล่องเมฆเพิ่งสังเกตตอนนั้นเองว่า โกที่ชายผู้นั้นสวมมีลวดลายเป็นรูปนกกระเรียน ปักด้วยไหมทองคำ สีทองของเส้นไหมสุกสกาวล้อแสงอาทิตย์เป็นประกายระยิบระยับ เหมือนกับดาวดวงเล็กที่ทอแสงสุกสว่างบนฟากฟ้ายามราตรี

ล่องเมฆถึงกับยกมือขึ้นขยี้ตา เพราะชั่วขณะนั้น เขาเห็นเหมือนกับว่านกกระเรียนบนโกชุดนั้นขยับปีกได้ ครั้นเมื่อเพ่งมองดีๆ ก็พบว่าทุกอย่างแลดูเป็นปกติ อาจเป็นตัวเขาเองที่ตาฝาดไป

“ขอบใจมากนะ”

ดวงหน้าของชายผู้นั้นคมสัน ยากจะบอกว่าอายุเท่าใดกันแน่ ตอนที่เด็กชายพูดถึง ‘นายท่าน’ ล่องเมฆคิดว่าเจ้านายของเด็กชายน่าจะสูงวัยกว่านี้

ผมของ ‘นายท่าน’ ดำสนิทเหมือนกับท้องฟ้ายามราตรี ชายผู้นั้นเกล้าผมเอาไว้หลวมๆ มีเกี้ยวทองคำอันเล็กๆ รัดเอาไว้ไม่ให้กระจัดกระจาย เรือนร่างสูงโปร่งแลดูมีสง่าราศี ล่องเมฆรู้สึกเหมือนกับมีรัศมีเรืองรองเปล่งออกมาจากรอบกายของ ‘นายท่าน’ ด้วยซ้ำ

“เจ็บตรงไหนหรือเปล่าครับ” ล่องเมฆใช้สายตามองไล่ขึ้นลง ก่อนจะถอนใจเบาๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายดูเป็นปกติดี

“เราไม่เป็นไร” นายท่านตอบสั้นๆ

“งั้นก็กินแป้งทอดสักหน่อย บนนี้ไม่มีร้านอาหาร เดี๋ยวจะหิวนะครับ” ล่องเมฆบอก เขาไม่เห็นนายบ่าวสองคนนี้มีสัมภาระหรือกระเป๋าอะไรติดตัวมาด้วยเลย

“มากินด้วยกันสิ” นายท่านชวน ขณะที่ลองเมฆทำตาโต แอบนึกในใจว่าแป้งทอดชิ้นเล็กแค่นี้ แบ่งสามส่วนจะไปอิ่มได้อย่างไร

นายท่านอ่านสายตาของชายหนุ่มออก เขาไม่พูดอะไร เพียงแต่หัวเราะเบาๆ ใช้มือเรียวยาวบิแป้งทอด แบ่งออกเป็นสามส่วน

“ถึงชิ้นจะเล็ก แต่ก็กินอิ่มนะ”

เขาส่งส่วนหนึ่งให้ล่องเมฆ ส่วนหนึ่งให้เด็กชายตาเดียว อีกส่วนหนึ่งตัวเองเก็บเอาไว้

ดวงตาที่มีอยู่ข้างเดียวของเด็กชายลุกวาวด้วยความดีใจ เขารับแป้งทอดจากนายท่านไปกินด้วยความเอร็ดอร่อย ล่องเมฆเห็นแล้วรู้สึกหิวเลยกัดแป้งทอดของตนเองบ้าง

รสชาติของมันหอมหวาน นุ่มอร่อย อย่างที่ไม่เคยกินมาก่อน

ล่องเมฆมองดูแป้งทอดในมือด้วยสายตาประหลาดใจ

จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเขาหยิบแป้งทอดชิ้นนี้มาจากครัวที่บ้านของยังเชน เป็นแป้งทอดธรมดาที่กินอยู่เป็นประจำทุกเช้า ทว่าวันนี้รสชาติของมันกลับเปลี่ยนไป

นอกจากรสชาติจะอร่อยจนเขาติดใจ ล่องเมฆยังรู้สึกอิ่มราวกับกินข้าวไปหลายจาน

“อร่อยจัง” เด็กชายยกแขนเสื้อขึ้นเช็ดปาก “น้าใจดีจัง ไม่หวงของกินเหมือนคนอื่น”

“มาที่นี่ได้อย่างไร” นายท่านถาม น้ำเสียงปรานี “ปกติไม่ใช่จะได้เจอกันง่ายๆ”

“ผมตามเจ้าหนูคนนี้มา” ล่องเมฆไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับคำถามของอีกฝ่าย เขาชี้มือไปที่เด็กชาย “เด็กไปขอความช่วยเหลือ…ผมนึกเป็นห่วงว่าท่านอาจจะบาดเจ็บหรือเปล่า เลยตามมา เผื่อว่าผมจะช่วยอะไรได้บ้าง เห็นท่านสบายดีแบบนี้ค่อยโล่งใจ”

“เจ้าเป็นคนมีน้ำใจ” นายท่านเอยชม น้ำเสียงประโยคถัดมาของเขาแผ่วลงจนล่องเมฆไม่ได้ยิน “เหมือนกับพี่สาวของเจ้า”

“ท่านว่าอะไรนะครับ” ล่องเมฆได้ยินไม่ถนัด

“ไม่มีอะไรหรอก เราก็บ่นนั่นนี่ไปตามประสาคนแก่ อย่าถือสาเลยนะ” นายท่านหัวเราะเสียงแผ่วต่ำ

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว…ผมไปก่อนนะครับ” ล่องเมฆถอนใจเบาๆ รู้สึกโล่งอกที่เจ้านายของเด็กชายตาเดียว ไม่ได้รับอันตรายอย่างที่เขานึกเป็นห่วง

“รีบไปรังเซ เนหรือ” นายท่านเอ่ยถาม ส่งผลทำให้ล่องเมฆต้องชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวจากไป “ไปทำอะไรที่นั่นล่ะ ตอนนี้ไม่ใช่เทศกาลเฉลิมฉลองสักหน่อย”

รังเซ เน จะมีผู้คนแน่นขนัดเฉพาะช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองเท่านั้น ในช่วงเวลาอื่น นอกจากผู้แสวงบุญแล้วแทบไม่มีผู้ใดแวะเวียนมา เนื่องจากอยู่ห่างไกล การเดินทางลำบาก

“ผมมาตามหาพี่ชาย” ล่องเมฆบอกตามตรง “ผมรู้สึกว่าเขาอาจจะอยู่ที่นั่น”

“รังเซ เน เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์” นายท่านเอ่ยเสียงราบเรียบ “ในถ้ำมีโพรงถ้ำหลายโพรง มีธารน้ำหลายสายไหลมาจากหลายที่ ทะเลสาบตรงหน้านี้ก็เกิดจากการรวมตัวของน้ำในโพรงถ้ำเหล่านั้นเช่นกัน…ถ้าพี่ชายของเจ้าล่องมากับสายน้ำ…เขาคงจะมาโผล่ตรงไหนสักแห่ง แต่ถ้าถามเรา…เราคิดว่า เขาน่าจะมาโผล่ที่นี่มากกว่าในถ้ำ”

“ทำไม…” ล่องเมฆกำลังจะถามว่าเหตุใดนายท่านจึงคิดเช่นนั้น หากยังไม่ทันเอ่ยถามให้จบประโยค เด็กชายผมทรงกะลาครอบก็โวยวายขึ้นเสียก่อน

“นั่นไง นั่นไง เหมือนกับที่นายท่านว่าเลย”

เด็กชายตาเดียวร้องเสียงดังลั่น มือเล็กๆ ป้อมๆ ของเขาชี้ไปที่โพรงหินแห่งหนึ่ง ที่สายน้ำทะลักพุ่งออกมาราวท่อประปาแตก

“ดูนั่นสิ มีใครไหลมากับน้ำ…โผล่ออกมาจากตรงนั้นด้วยละ…ใช่พี่ชายของท่านไหมขอรับ”



Don`t copy text!