แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 8 : บราวนี่ของเราไม่เหมือนกัน

แด่หัวใจที่เป็นสุข บทที่ 8 : บราวนี่ของเราไม่เหมือนกัน

โดย : จันทร์จร

Loading

แด่หัวใจที่เป็นสุข สารนิยายโดย จันทร์จร เมื่อวันที่โรคร้ายทำให้ความตายกลายเป็นเรื่องใกล้ตัว ความกลัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต การก้าวข้ามความกลัวในใจด้วยหัวใจที่ไม่ยอมแพ้และการค้นพบความสุขเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกวันธรรมดา เพื่อจะเรียนรู้ว่าบางครั้งความกลัวก็ไม่ใช่ศัตรู หากแต่เป็นครูที่มาสอนให้เราเห็นคุณค่าของการมีชีวิต

ในวันเสาร์ที่อากาศแจ่มใส อบอวลด้วยความรู้สึกสดชื่นของการได้เริ่มทำสิ่งใหม่ ๆ กัลย์กมลตื่นขึ้นมาเตรียมตัวแต่เช้าตรู่ วันนี้เธอเลือกสวมเสื้อผ้าคุมโทนสีครีมตั้งแต่กระโปรงยาว เสื้อแขนยาว และหมวกบีนนี่ที่ปิดจนถึงใบหู ว่าตามจริงตอนนี้เธอเริ่มชินกับการไปไหนมาไหนด้วยการสวมหมวกโดยไม่ต้องสวมวิกแล้ว และมันทำให้เธอมีความมั่นใจขึ้นกว่าเดิมมาก

ถึงเวลานัดหมายเธอกับจิตบุณย์ก็ออกไปซื้อของเพื่อเตรียมทำขนม และปล่อยให้ดลฤดีเป็นผู้ดูแลปรีดาในวันนี้ และเพราะนี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างอาชีพใหม่ ดังนั้นกัลย์กมลจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ ทั้งสองไปถึงร้านขายอุปกรณ์เบเกอรี่ ก่อนจะใช้เวลาอยู่กับมันนานนับชั่วโมง เสียงพูดคุยกันเพื่อเลือกสรรของที่จะมาทำขนมพาให้หญิงสาวลืมเรื่องที่กังวลไปเสียสนิท

พอกลับมาถึงบ้าน เธอก็รีบเข้าไปจัดเตรียมของ วันนี้จะเป็นฤกษ์งามยามดีที่จะได้ใช้เตาอบไฟฟ้าซึ่งได้รับเป็นของขวัญปีใหม่ที่แล้ว และเธอยังไม่ได้ใช้ทำอะไรนอกจากการอบขนมปังกรอบไว้กินเล่น ตอนนี้พื้นที่เล็ก ๆ ในครัวกลายเป็นเขตที่เต็มไปด้วยความว้าวุ่นเล็กน้อย พอจิตบุณย์เข้ามาช่วยก็เหมือนว่าห้องนี้จะแน่นขึ้นมาทันใด

กัลย์กมลตัดสินใจทำบราวนี่ง่าย ๆ จากสูตรที่จิตบุณย์ให้เพราะมีวิธีทำไม่ซับซ้อนมากนัก พอเริ่มทำไปสักพักเธอก็รู้สึกทั้งกลิ่นแป้ง เนย และช็อกโกแลตอบอวลจนต้องใส่หน้ากากอนามัย ไม่เช่นนั้นเธอจะจามได้ง่ายมาก ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็ตั้งใจทำทุกขั้นตอนอย่างละเอียดโดยมีหนุ่มข้างบ้านคอยช่วยเหลือ พอเอาเข้าเตาอบได้เธอก็มองอย่างตั้งใจกับขนมที่ซ่อนความหวังเล็ก ๆ ของตัวเองเอาไว้ และหมายมั่นว่ามันจะออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ

และในที่สุดก็ถึงเวลาที่จะนำขนมออกมา ทีแรกที่ได้กลิ่นกัลย์กมลก็แทบจะล่องลอยไปกับความหอมของบราวนี่อบใหม่ เธอยกถาดออกมาจากเตาด้วยความตื่นเต้น และสัมผัสถึงกลิ่นช็อกโกแลตกรุ่นขึ้นมาพาให้หัวใจของเธอพองโตอย่างยินดี

“หน้าตาดูน่ากินจังเลยค่ะ” เธอเอียงถาดขนมให้จิตบุณย์ดูพร้อมกับรอยยิ้มแห่งความภูมิใจ อันเปล่งประกายไปด้วยความตื่นตาตื่นใจกับผลงานชิ้นแรก

“ลองชิมดูสิ พี่ว่าสูตรนี้ใช้ได้เลยนะ” ชายหนุ่มยิ้มตอบ แน่นอนเขารู้ว่าหากทำตามสูตรอย่างไม่ผิดพลาด ทุกอย่างต้องออกมาดีอย่างไม่ต้องสงสัย

กัลย์กมลวางถาดบราวนี่ลงบนโต๊ะ ก่อนจะหยิบมีดแล้วค่อย ๆ ตัดขนมออกมาเป็นชิ้น พอหยิบขึ้นมาเท่านั้นความร้อนของขนมอบใหม่ก็ทำเธอถึงกับสะดุ้ง

“อุ๊ย! ร้อน ๆ …”

เธอกลิ้งขนมไปมาระหว่างสองมือจนเกือบจะร่วง จิตบุณย์ที่เห็นเหตุการณ์ไม่รอช้าที่จะหยิบทิชชูมาห่อขนมในมือเธอ แล้วค่อยส่งคืนให้เหมือนพี่ชายดูแลน้องสาวไม่มีผิด

“ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้” ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูคนที่อยากชิมขนมตัวเองจนอดใจไม่ไหว

“ขอบคุณนะคะ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยตอบกลับไป พร้อมด้วยใบหน้าที่ร้อนผ่าวขึ้นมา เพียงแค่เขาทำสิ่งเล็ก ๆ ให้เท่านั้น ทำไมเธอถึงได้ใจเต้นรัวขนาดนี้ได้ก็ไม่รู้ พอช้อนสายตามองหน้าเขาอีกทีเธอก็รีบหลุบตาลงด้วยความเขิน ก่อนจะลองกัดบราวนี่คำแรก

แต่ทันทีที่รสชาติของมันสัมผัสกับลิ้น ความรู้สึกผิดหวังก็เข้ามาแทนที่

“ไม่อร่อยเหรอ” จิตบุณย์จ้องหน้าเธอ ทีแรกใบหน้านั้นก็ดูมีความสุข แต่พอเธอเริ่มเคี้ยวเท่านั้นสีหน้าที่สุขอยู่แต่แรกก็เริ่มกลายเป็นสีหน้าที่เขาไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้

“เปล่าค่ะ หนูดีว่า…” เธอหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วพยายามหาคำอธิบายที่เหมาะสม “มันไม่เหมือนที่เคยกินเลยค่ะ”

เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เธอพูดเท่าไรนัก ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนอย่างไม่มีผิดเพี้ยน หน้าตาของขนมก็ออกมาดูดีไม่มีส่วนที่ไหม้หรือไม่สุก ดังนั้นเพื่อให้รู้เขาจึงต้องลองชิมดูบ้าง

“พี่ว่าก็อร่อยดีนะ”

แม้จะเป็นคำชม แต่กัลย์กมลก็ไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบของเขาสักเท่าไร เธอเชื่อในลิ้นของเธอและมันไม่รู้สึกถึงความว้าวเลยสักนิด

“งั้นเดี๋ยวหนูดีเอาไปให้แม่กับป้าดาช่วยชิมดีกว่า”

หญิงสาวถือถาดขนมออกไปหาดลฤดีและปรีดาที่นั่งอยู่ใต้ต้นล่ำซำหน้าบ้าน กับอากาศยามบ่ายที่แม้จะร้อนแต่ก็มีลมพัดให้พอได้ผ่อนคลาย

พอเห็นลูกสาวเดินถือถาดขนมออกมา ดลฤดีก็เป็นฝ่ายร้องทักขึ้นมาก่อน

“เสร็จแล้วเหรอ”

ทว่าคนที่เดินมาหากลับทำหน้าบอกบุญไม่รับ ก่อนจะวางถาดขนมลงบนโต๊ะหินด้วยสีหน้าผิดหวังเล็ก ๆ

“แม่ ช่วยหนูดีชิมหน่อย” เธอทำท่าออดอ้อนแม่ ด้วยดวงตาที่ส่อแววหมดกำลังใจ และถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าไฟที่เคยโชติช่วงอยู่ในตานั้นเหมือนจะดับลงไปด้วย

เหตุนี้คุณแม่ทั้งสองที่นั่งอยู่ก็ได้รีบตัดขนมขึ้นมา แล้วปรีดาก็นำมาพิจารณา ก่อนจะเอ่ยชม

“หน้าตาน่ากินดีนะลูก”

“แต่หนูดีว่ารสชาติมันแปลก ๆ ค่ะป้าดา”

คนที่ยังไม่หายกังวลพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจนัก ส่วนดลฤดีที่เข้าใจความรู้สึกของลูกสาวตัวเอง ก็ได้หยิบขนมขึ้นมากัดหนึ่งคำ ก่อนจะพบว่ารสชาติของมันไม่ได้เลวร้าย แต่กลับเป็นรสที่กลมกล่อมลงตัว แถมยังหอมกลิ่นของขนมอบใหม่อีกด้วย

“แม่ว่าอร่อยดีนะ เหมือนที่ขายกันตามร้านกาแฟเลย พี่ดาลองสิ”

ดลฤดียุให้ปรีดาที่ถือขนมอยู่เอาเข้าปาก ซึ่งปรีดาก็ยังชิมด้วยรอยยิ้มแห่งความชื่นชม ส่วนคนที่เพิ่งเก็บล้างของเสร็จอย่างจิตบุณย์ก็กำลังเดินเข้ามาพอดี เธอจึงร้องถาม

“บุ๋นกินหรือยังลูก”

“กินแล้วครับ อร่อยใช้ได้เลย” จิตบุณย์พูดยืนยันด้วยเสียงหนักแน่น

แม้ทุกคนจะชมเป็นเสียงเดียวกัน ทว่ากัลย์กมลกลับไม่รู้สึกถึงความอร่อยอย่างที่บอก เธอลองตัดบราวนี่แล้วกัดมันอีกคำ ก่อนจะพบกับรสชาติที่ไม่อาจตีความได้ หรือจะเป็นเพราะเธอเองที่สัมผัสการรับรู้รสไม่เหมือนคนอื่น พอรู้สึกเช่นนั้นเธอก็ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด

“เป็นหนูดีใช่ไหมคะที่กินไม่อร่อยเอง” น้ำเสียงเจือความเศร้าเอ่ยถาม เพราะมัวแต่ดีใจที่ได้ทำสิ่งใหม่ ๆ จนลืมไปว่าผลของการรักษานั้นยังคงออกฤทธิ์อยู่ และมันทำให้เธอไม่อาจมีความสุขกับขนมที่ทำขึ้นมาเองได้

แน่นอนว่าคนที่อยู่กับโรคร้ายนี้มานานอย่างปรีดาย่อมรู้ดีว่าหญิงสาวรู้สึกเช่นไร

“ไม่ต้องกังวลหรอกลูก เดี๋ยวทำคีโมครบแล้ว หนูก็จะกลับมากินได้เหมือนเดิมทุกอย่าง เชื่อป้าสิ”

แม้จะเป็นคำปลอบโยน แต่ก็ชวนให้ทุกคนรู้สึกเศร้าลึก ๆ กัลย์กมลพยายามยิ้มออกมา ด้วยไม่อยากให้คนอื่นต้องพลอยรู้สึกไม่ดีกับตัวเองไปด้วย หญิงสาวจึงทำหน้าขึงขังแล้วแสดงความกล้าออกมาอย่างเปิดเผย

“คอยดูนะ ถ้าคีโมครบเมื่อไร หนูดีจะกินบราวนี่ทั้งถาด แล้วก็ข้าวกะเพราไข่ดาวเผ็ด ๆ ให้ได้เลย” เธอกำหมัดแล้วชูขึ้นอย่างตั้งใจ ซึ่งคำพูดนั้นเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอย่างเอ็นดูจากทุกคน ทำให้บรรยากาศที่เครียดค่อย ๆ เริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง

 

กัลย์กมลพยายามใช้ชีวิตอย่างไม่คิดอะไรมาก กระทั่งถึงการทำเคมีบำบัดครั้งที่สี่ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของยาสูตรแรก ก่อนที่เธอจะต้องเข้ารับการผ่าตัดตามการคาดการณ์ของแพทย์ที่ทำการรักษา ช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอได้เรียนรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับตัวเองจนทำให้รู้สึกไม่สดใสเท่าที่ควร

หญิงสาวเลือกที่จะนั่งนิ่งท่ามกลางความวุ่นวายของคนที่เดินไปมา รู้สึกเหมือนเสี้ยวหนึ่งของชีวิตกำลังถูกกัดกินด้วยอาการเจ็บปวดจากการรักษา เธอมองเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกันคนแล้วคนเล่าที่ก้าวเข้าไปในห้องทำเคมีบำบัด ทุกคนดูซีดเซียวและอ่อนล้า บางคนแทบไม่มีแรงลุก ร้ายแรงไปกว่านั้นคือเธอรู้สึกได้ถึงกลิ่นของความสิ้นหวังที่คืบคลานเข้ามาใกล้ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว

บรรยากาศของการรอเข้าไปทำเคมีบำบัด เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยเบา ๆ ชวนให้รู้สึกเหมือนต่างคนต่างแกล้งทำเป็นลืมความเจ็บป่วยที่เกาะกินทั้งร่างกายและจิตใจ หนึ่งในนั้นคือป้าสำราญที่ยังคงชวนทุกคนที่ผ่านไปมาพูดคุยอย่างออกรสออกชาติ

จนกระทั่งจงจิตเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“ป้าสำราญ…รู้เรื่องป้าสมใจแล้วรึยัง”

“ยัง มีอะไรรึ” ป้าสำราญหันมาตอบ แน่ทีเดียวว่าสายตาฝ้าฟางนั้นเต็มไปด้วยความร้อนใจ เพราะป้าสมใจนั้นดูท่าจะอาการแย่กว่าคนอื่นในที่นี้

“แกเสียแล้วน่ะสิ เมื่อกี้พยาบาลบอก”

สิ้นเสียงของจงจิต ความเงียบก็เข้ามาแทนที่เสียงพูดคุยในทีแรก เพียงแค่เสี้ยววินาทีแต่กัลย์กมลกลับรู้สึกถึงดวงใจที่หล่นหายไปวูบหนึ่ง ก่อนที่ป้าสำราญจะพูดด้วยเสียงอันดังอย่างคนตกใจ

“เอ้า! ก็ว่าอยู่ไม่เห็นหน้าเลย…” คนที่กำลังอยู่ในอาการตระหนกถอนหายใจออกมาดัง แล้วก็เริ่มปลงตก “เฮ้อ…หมดทุกข์หมดโศก ไม่ต้องเจ็บปวดอีกต่อไปแล้วนะ”

คำพูดที่เอ่ยออกมาเหมือนกับลมที่แผ่วเบา แต่กลับบาดลึกลงในห้วงแห่งความวิตกของกัลย์กมล เธอนั่งเงียบซึ่งไม่ได้เกิดจากความสงบ แต่คือความหวาดหวั่นลึก ๆ หัวใจเต้นแรงเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น และเธอกำลังจะหายใจไม่ออกเมื่อนึกถึงความตายขึ้นมา

“กลัวเหรอลูก…หน้าซีดเชียว” ป้าสำราญถามด้วยเสียงที่นุ่มนวล เหมือนต้องการจะปลอบโยนหญิงสาวที่กำลังนั่งนิ่ง

“ค่ะ แค่คิดว่ายังมีอะไรที่อยากทำอีกมากมาย…หนูดีก็กลัวแล้วค่ะ” เสียงของกัลย์กมลสั่นเครือ ราวกับคนที่พยายามยึดเหนี่ยวความหวัง ที่เธอไม่มั่นใจเลยว่าสุดท้ายแล้วปลายทางของการรักษานี้จะไปจบที่ตรงไหน

“ทำใจเถอะลูก โรคแบบนี้จะอยู่จะตายมันง่ายไปหมด แต่ถ้าคนเราจะตายมันง่ายนิดเดียวแหละลูก ก็อย่างคนข้างบ้านป้านั่นไง มันนะมาทักทายป้าทุกวันตั้งแต่ป่วย ชอบบอกว่ามันโชคดีที่แข็งแรงไม่เป็นโรคร้าย นี่ก็เพิ่งตายไปเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่เอง อยู่ ๆ ก็นอนหลับตายไปซะเฉย ๆ นั่นแหละ”

กัลย์กมลพยายามฟัง แต่น้ำเสียงในใจกลับร่ำร้องด้วยเสียงอันดังกว่า ด้วยความกลัวที่เธอซ่อนเร้นไว้ตลอดเหมือนกำแพงกำลังจะพังทลายลงมาในอีกไม่ช้านี้แล้ว

“พี่เข้าใจความรู้สึกน้องนะ” จงจิตหันมาหาหญิงสาว ด้วยเข้าใจความรู้สึกของกันและกันเป็นอย่างดี “บางครั้งพี่เองก็ไม่อยากมาหรอก ไอ้ตอนทำคีโมนี่มันทั้งน่าหงุดหงิด ทั้งน่าโมโห พอคิดถึงว่าสุดท้ายแล้วก็ต้องมาทรมานกับอาการข้างเคียงทั้งปวดทั้งเจ็บ พี่นี่อยากจะกระชากสายน้ำเกลือทิ้งด้วยซ้ำ จนบางทีก็คิดว่าถ้าเราตาย ๆ ไป มันอาจจะดีกว่าที่ยังอยู่แบบนี้”

“วุ้ย! ไอ้นี่ก็…แทนที่จะให้กำลังใจกัน เด็กมันยิ่งกลัวอยู่” ป้าสำราญทำทีหัวเราะขำขัน แต่มวลของอารมณ์โดยรวมนั้นกลับไม่ได้ผ่อนคลายตามน้ำเสียง

“ขอโทษนะหนู แต่เชื่อเถอะ อายุน้อยอย่างเรายังไงก็ต้องหายได้ หมอเขารู้ดีที่สุด หนูดีต้องผ่านมันไปได้แน่นอน”

“หนูดีไม่เป็นไรค่ะ แค่…กลัวนิดหน่อย” กัลย์กมลพยายามยิ้มออกมา แม้ว่าในใจเธอจะเต็มไปด้วยคลื่นแห่งความกลัวที่โหมกระหน่ำ

“ใคร ๆ ก็กลัวลูก แต่ถ้าคิดซะว่า ช้าเร็วทุกคนก็ต้องเดินมาถึงจุดเดียวกัน เราก็แค่เลือกวิธีที่เราจะเผชิญกับมัน มันจะทำให้ใจเราสบายขึ้น” เป็นป้าสำราญที่หันมาบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน และคำพูดนั้นก็เหมือนจะเป็นการปลอบประโลมตัวเองไปด้วย

กัลย์กมลได้แต่เงียบ หัวใจของเธอถูกกัดกร่อนด้วยความกลัว จนไม่แน่ใจว่าความสบายใจจะมาถึงจริงหรือไม่ หรือแท้จริงแล้ว เธออาจจะต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับความกลัวนี้ตลอดไป

 

ดูเหมือนว่าครั้งนี้ความเจ็บปวดจากการทำเคมีบำบัดจะรุนแรงกว่าที่กัลย์กมลเคยรับมือได้ เธอรู้สึกเหมือนอาการที่ไม่พึงประสงค์กำลังทำลายร่างกายนี้ไปทีละน้อย จนไม่เหลือเค้าของกัลย์กมลหญิงสาวผู้เต็มไปด้วยความสดใสคนเดิมอีกต่อไป ร่างกายที่เคยแข็งแรงกลับกลายเป็นอ่อนแออย่างที่เธอไม่คุ้น มีแต่ความเหนื่อยล้า อ่อนเปลี้ยเพลียใจจนบางครั้งรู้สึกเหมือนกำลังถูกไล่ล่าด้วยความกลัวที่ไม่มีทางหนีพ้น

ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังไม่ยอมจำนนต่อความหวาดหวั่น ในวันที่ฟื้นฟูตัวเองได้ กัลย์กมลก็หันมาทำขนม ใช้กลิ่นของบราวนี่อบเสร็จใหม่ ๆ เป็นสิ่งที่บรรเทาจิตใจ และสามารถภูมิใจกับตัวเองได้ว่าในยามที่ร่างกายเธอยังอ่อนแอ แต่ก็สามารถทำสิ่งที่อยากทำได้สำเร็จ

เสร็จแล้วเธอก็จะเอาไปให้จิตบุณย์ชิม นั่งพูดคุยกับเขาและปรีดาบ้าง จนเริ่มสังเกตได้ว่าระยะหลังมานี้รอยยิ้มของเขาจางหายลงไปบ้าง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังเป็นที่พึ่งทางใจที่ดีในเวลาที่เธอรู้สึกหลงทาง และที่สำคัญต้นทานตะวันแคระที่เขามอบให้นั้นมันกำลังแตกยอดอ่อน ทำให้เธอรู้สึกถึงการเติบโตของชีวิตเล็ก ๆ ซึ่งยังคงยืนหยัดที่จะเติบใหญ่ และนี่เองที่ทำให้กัลย์กมลรู้สึกถึงความหวังขึ้นมา

ทว่าวันนี้ทุกอย่างกลับเปลี่ยนไป เธอต้องอยู่คนเดียวด้วยถึงวันที่จิตบุณย์ต้องพาปรีดาไปโรงพยาบาล กัลย์กมลได้แต่ชะโงกมองที่จอดรถอันว่างเปล่าด้วยหัวใจที่ห่อเหี่ยว กระทั่งตกเย็นแล้วก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะกลับมา

“หนูดี รอพี่บุ๋นอยู่เหรอ” เสียงของดลฤดีเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้เธอจะกลับมาจากที่ทำงานแล้ว แต่ลูกสาวก็ยังไม่วายที่จะชะเง้อมองบ้านหลังติดกันอยู่

กัลย์กมลพยักหน้า แล้วกันกลับไปสนใจกับต้นทานตะวันแคระที่เธอดูแลมาตลอด

“ปกติป่านนี้ป้าดากลับมาแล้ว…แต่ทำไมวันนี้…” ความกังวลเกาะกุมหัวใจของหญิงสาว และเธอไม่ชอบความรู้สึกนี้เอาเสียเลย

“ให้แม่โทรถามให้ไหม”

“ก็ดีค่ะ หนูดีเป็นห่วงป้าดา…”

ดลฤดีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาปรีดา กัลย์กมลเห็นแม่พูดคุยอะไรอยู่สักพัก ก่อนที่ใบหน้าของแม่จะเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด เหมือนกับว่ากำลังรับฟังข่าวร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ กระทั่งวางสายจึงหันมาคุยกับลูกสาวด้วยน้ำเสียงที่ไม่สู้ดีนัก

“ป้าดาเป็นอะไรเหรอคะ”

“อาการไม่ค่อยดีน่ะ เห็นบอกว่าหมอให้อยู่โรงพยาบาลดูอาการก่อน”

คำพูดของแม่เหมือนตอกย้ำความกลัวให้ฝังลึกลงในจิตใจของกัลย์กมล วินาทีนั้นเหมือนลมหายใจของเธอจะหยุดลงไปชั่วขณะ ด้วยการมีอยู่ของปรีดายังคงเป็นความหวังว่า…แม้ทุกอย่างจะเลวร้ายแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะสู้ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าอาการปรีดาแย่ลง หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับสู่ทะเลแห่งความหวาดหวั่นอีกครั้ง

“แม่ว่า…ป้าดาจะรักษาหายไหมคะ”

ดลฤดีถอนหายใจยาว เหมือนจะพยายามจะลืมความจริงที่ไม่อยากยอมรับ

“บุ๋นบอกว่าตอนนี้ทำได้แค่ดูแลแบบประคับประคอง…”

ได้ยินดังนั้นใบหน้าของหญิงสาวก็ซีดเผือด เธอเข้าใจคำนั้นดีเพราะได้ยินจากคนที่ไปทำเคมีบำบัดด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง นั่นหมายถึงปรีดาจะไม่มีทางหาย ทำได้แค่ประคองอาการไม่ให้เจ็บปวดมากเท่านั้น

“หนูดีจะเป็นแบบป้าดาไหมแม่…”

เสียงสั่นเครือจากรู้สาวทำให้ดลฤดีรู้ดีว่าในใจของกัลย์กมลกำลังอ่อนไหวแค่ไหน แม้ว่าภายนอกจะพยายามทำเหมือนไม่เป็นไรก็ตาม ผู้เป็นแม่นั่งลงแล้วดึงร่างที่บอบบางของลูกสุดที่รักเข้ามากอด ลูบศีรษะที่สวมทับด้วยหมวกเบา ๆ ภายใต้หมวกใบนั้นคือหนังศีรษะที่ไม่มีผม เป็นความจริงที่บ่งบอกถึงความเปลี่ยนไปของร่างกายหญิงสาว แต่ถึงอย่างนั้น กัลย์กมลก็ยังเป็นยอดดวงใจของเธอเหมือนเดิม สิ่งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปได้

“แม่…หนูดีกลัว กลัวมาก ๆ มันรู้สึกเหมือนทุกอย่างจะดีขึ้นแต่แล้วก็แพ้อีก กินอะไรแทบไม่ได้…ตอนนี้ร่างกายของหนูดีไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว หนูดีไม่อยากตาย…” คำพูดนั้นดังมาจากความกลัวในส่วนลึกของจิตใจที่พยายามปกปิดมันมาโดยตลอด พอมันถูกเปิดออกมาแล้ว เธอก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งความหวาดกลัวเอาไว้ได้อีก

ดลฤดีได้แต่ลูบหัวลูกสาวเบา ๆ ด้วยน้ำตาที่คลอขึ้นมาแต่ยังคงกลั้นไว้ไม่ให้ลูกเห็น

“ไม่มีใครอยากตายหรอกนะลูก หนูต้องทำใจให้สบาย อย่าไปคิดอะไรนอกจากรักษาให้หาย โอเคไหม”

“แต่…ป้าดารักษามาตั้งหลายปี สุดท้ายก็…ไม่ดีขึ้นเลย” กัลย์กมลพรั่งพรูมันออกมา เธอกำลังทุกข์และมันอัดอั้นเหมือนระเบิดที่จุกอยู่ในอก

“เราต้องอยู่กับความจริงไว้ลูก ยังไงเราก็หนีความจริงไม่พ้น” ดลฤดีพูดราวกับสิ่งที่เผชิญอยู่นี้เหมือนคลื่นลมในทะเล บางครั้งคลื่นมันก็โหมแรงจนรู้สึกว่ากำลังจะจม ถ้าตั้งใจจะฝ่ามันไปบางทีก็อาจจะถึงฝั่ง แต่ถ้าชะตาจะให้ถึงแค่ตรงนี้

…มันก็แค่ลมที่พัดผ่าน ไม่อาจยื้อไว้ได้อยู่ดี

“หนูดียังไม่พร้อม หนูดียังมีอะไรที่ต้องทำอีกมากมาย ยังอยากใช้ชีวิต…”

ได้ยินความรู้สึกของลูกคนเป็นแม่ก็ได้แต่กอดแน่นกว่าเดิม แน่นอนว่าเมื่อลูกเสียใจเธอย่อมเสียใจไปกับลูก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะยอมแพ้

“จำไว้นะ แม่อยู่กับหนูดีเสมอ เราจะสู้ไปพร้อมกัน ตอนนี้มันอาจจะเจ็บจนหนูท้อ แต่เชื่อแม่นะ…สักวันหนูต้องหาย เพื่อเอาชีวิตเดิมของเรากลับมา สู้ไปกับแม่นะหนูดี”

“ค่ะ แม่…”

กัลย์กมลปาดน้ำตาที่ไหลริน เธอไม่รู้ว่าตอนนี้เธอกำลังอยู่กับอะไรกันแน่ ระหว่างความหวังกับความจริง พอนึกถึงมันก็ทำให้กลัวขึ้นมาจนต้องกอดแม่เอาไว้แน่น ๆ หวังว่าสิ่งนี้จะปลดเปลื้องความหวั่นไหวที่ยังค้างอยู่ในใจได้

 

Don`t copy text!