ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 17 : รองเท้าหายไปไหน

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ ตอนที่ 17 : รองเท้าหายไปไหน

โดย : โสภี พรรณราย

Loading

ฉันเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ โดย โสภี พรรณราย…เมื่อชีวิตของชาลิสาพลิกผันไปจากความร่ำรวย กลายมาเป็นเลขาของสาวเจ้าอารมณ์ เธอต้องงัดเอากลยุทธ์มากมายมาจัดการให้เรื่องราววุ่นวายทั้งหลายผ่านไปให้ได้ แต่ยังมีเรื่องวุ่นๆ ของหัวใจที่เกิดขึ้นทุกทีที่พบกับธีทัต เธอจะรับมืออย่างไร นวนิยายจากอ่านเอา ที่นำมาให้ทุกท่านอ่านออนไลน์ค่ะ

“ว้าย…ว้าย…”

ล้มแต่ไม่แรง เพราะชาลิสารีบรั้งตัวไว้ จึงล้มเบา แต่ส้นรองเท้าหัก

รองเท้าส้นสูง ปลายแหลมสูงสี่นิ้ว หรือห้านิ้วราวนั้นหัก

“รองเท้าฉัน!” ริก้าร้อง เมื่อลุกขึ้นยืน “แล้วฉันจะใส่อะไรเข้าประชุม”

“คุณมีรองเท้าสำรองในห้องไหม?” ชาลิสาถาม

“ไม่มี”

“งั้นรีบลงไปเลือกที่ห้าง…”

ริก้าเม้มริมฝีปาก มีความคิดที่ดีกว่านั้น เร็วกว่านั้น

“รองเท้าเธอ…”

“คุณจะใส่ได้เรอะ”

“อย่ามัวแต่พูด รีบไม่ใช่เรอะ อยู่ห่างห้องประชุมไม่กี่เมตร เธอก็ถอดรองเท้าออกมาสิ หรือจะให้ฉันเดินเท้าเปล่าเข้าประชุม…เร็ว” คราวนี้ริก้าเป็นฝ่ายเร่ง

มองซ้ายมองขวา ชาลิสาต้องตัดสินใจ

“ถอดรองเท้าเธอสิ” ริก้าเร่งซ้ำ

“โอเค…โอเค…” เพื่อช่วยให้ริก้าเข้าประชุมทัน จึงถอดรองเท้าให้อีกฝ่าย ตัวเองไม่ถึงกับเดินเท้าเปล่าหรอก เพราะมีถุงน่อง แต่ก็เดินแปลกๆ

ริก้าเข้าประชุม แต่ชาลิสายังอยู่หน้าห้อง ไม่อยากเดินโดยไม่มีรองเท้าเข้าไป

เจอ…ลักขณาที่เฉียดมาเยาะเย้ย เพราะเห็นเหตุการณ์

“อ้าว…เสียสละรองเท้าตัวเองให้คุณริก้า ถือว่าเป็นเลขาที่ใช้ได้ ทุ่มสุดตัว”

ชาลิสาขมวดคิ้ว

“เหมือนคุณจะรู้นะว่ารองเท้าของคุณริก้าจะมีปัญหา”

ลักขณาวางหน้าปกติ

“อุ้ยตาย…ฉันคงมีตาทิพย์ล่ะนะ…ที่สามารถเห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า”

“ดูคุณไม่แปลกใจเลย”

“ทำไมล่ะ…อยู่ใกล้ชิดคุณริก้า อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอล่ะ คุณริก้าซุ่มซ่ามจะตาย”

“อย่าให้รู้ว่าเป็นฝีมือคุณ”

“อุ้ยตาย” อุทานซ้ำอีกครั้ง “กลัวจังเลย ถูกขู่”

และมีเสียงถามขึ้น

“มีอะไร?”

ธีทัตกำลังจะเข้าประชุม มาเป็นคนสุดท้าย

ลักขณารายงานทันทีแบบขำๆ ว่า

“อ๋อ…ณากำลังชื่นชมคุณชาลิสาค่ะ บังเอิญช่วงรองเท้าของคุณริก้าหัก คุณเลขาคนใหม่ น่ารักมาก อุตส่าห์ถอดรองเท้าให้คุณริก้าเข้าประชุมเพื่อมิให้เสียงานเสียการ เลขาคนใหม่ลงทุนมากเลยนะคะ”

ธีทัตเหลือบตาต่ำมองเท้าของชาลิสาแว่บเดียวก็พูดว่า

“ไปซื้อรองเท้าใหม่ที่ห้างได้หลังประชุม แล้วเอาบิลมาเบิก แต่ตอนนี้เธอต้องเข้าประชุมก่อน เป็นเลขาริก้าต้องรู้งาน รู้ว่าประชุมเรื่องอะไร จะได้ช่วยริก้าได้”

พูดจบก็เดินเข้าห้อง ชาลิสาจำต้องเดินตามอย่างเร่งรีบ ไม่วายมองหน้าลักขณาที่ทำหน้าขำๆ ชาลิสาได้จากโคลงศีรษะ พูดกับตนไม่ดี แต่รายงานธีทัตทำเป็นพูดชื่นชมตน แบบนี้คบไม่ได้

เดินเข้าประชุมตามหลังธีทัต

ปกติชาลิสาเป็นคนสูงโปร่ง แต่พอไม่มีรองเท้าเทียบกับชายข้างหน้าตน ทำไมดูตัวเล็กกว่าปกติไปเสียอย่างนั้น

เลขาของธีทัตก็วิ่งตามมาติดๆ เมื่อชาลิสามาถึงข้างริก้า ริก้าก็แกล้งพูดดังๆ และมองเท้าของเลขา

“เดินเท้าเปล่า”

กลายเป็นจุดสนใจของคนในห้อง บางคนถึงกับลุกขึ้นยืนชะโงกมองเท้าของเลขาคนใหม่ และมีเสียงซุบซิบ หากเสียงซุบซิบมีการโยงไปถึงริก้าแน่นอน ต่อท้ายด้วยสงสัย…สรุปง่ายๆ รู้กันทุกคน

โดนคุณริก้าแกล้ง!

ชื่อเสียงของริก้า ใช่ย่อยเมื่อไหร่

ชาลิสาหน้าเข้ม ครั้งแรก…วันแรกกับการทำงานก็เป็นแบบนี้ แต่เธอจะยอมแพ้ไม่ได้ เชิดหน้าไว้…เชิดหน้า ชาลิสาไม่เห็นต้องอายอะไร คนทำมาหากิน แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ถือว่าช่วยกู้หน้าให้เจ้านายสาวสำเร็จ

ตอนแรกริก้ารู้สึกสนุก สะใจเหลือเกินที่ทำให้ชาริสาอับอาย เดินเท้าเปล่าระหว่างประชุม แต่ไปๆ มาๆ พอมองหน้าชาริสาทีไรก็เห็นเลขาสาวมีท่าทางมั่นหน้ามากๆ สงบนิ่ง ตั้งใจฟังที่ประชุม ตั้งใจมองธีทัตประธานที่ประชุม

มั่นหน้าเกินไปหรือเปล่า

โอ๊ย…อึดอัดชะมัด หมดความสะใจ พอมองหน้าเลขาอีกครั้งที่อยู่ข้างๆ ตนก็ถูกชาลิสาพูดเบาๆ เรียบๆ ว่า

“ตั้งใจหน่อยค่ะ ประชุมครั้งแรกของฉัน ไม่อยากเห็นเจ้านายถูกพี่ชายดุ”

ริก้าตาโต จะตอบโต้ก็ถูกพี่ชายถาม

“ว่าไง ริก้ามีอะไรจะเสนอบ้างในเรื่องนี้ เห็นว่าเป็นยังไง?”

ว้าย…ไม่ได้ฟังเลย จะเห็นเป็นยังไงล่ะ แต่ก็รีบพูดว่า

“คุณชาลิสาจะเป็นคนตอบประเด็นนี้ค่ะ” โยนไปให้ชาลิสาหน้าแตกแทน

เลขาสาวสวยตั้งหลักไม่ถูก ชะงัก…แต่โชคดีที่ตั้งใจฟังอยู่ ในระหว่างที่มีการประชุมและเห็นคนรอบข้างก็กล่าวอะไรไปบ้าง ตนฟังๆ ก็มีความเห็นอยู่บ้างจึงพูดตามความรู้สึกและความเห็นของตัวเอง

ครั้งแรกของชาลิสาถือว่าไม่เลวเลย มีทั้งความกล้าพูดและความเห็นสำหรับคนไม่เคยทำงานมาก่อน เรียกว่าสอบผ่านเฉียดฉิว

ธีทัตพยักหน้ารับฟัง ริก้าหน้าร้อนไม่ชอบใจ เปิดโอกาสพลาดให้เลขาหน้าใหม่ทำคะแนนไปอีกแล้ว

ในที่สุดการประชุมก็ผ่านพ้น

ริก้ากับชาลิสากลับมาที่ห้อง

“คืนรองเท้าได้หรือยัง คุณริก้า” ชาลิสาทวง

“อ๋อ…ลืมไปเลย ไปซื้อรองเท้ากันก่อน”

ริก้าเลือกร้านหรูแบรนด์เนมดังในห้าง ราคารองเท้าหลายแสน และเลือกไม่ถูกใจสักที

“คู่ไหนดีกว่ากัน?” สุดท้ายลังเลเลือก และถามชาลิสา

“เอาทั้งสองเลย” ชาลิสาตอบเรียบๆ ขณะใส่รองเท้าของตัวเอง เดินเท้าเปล่ามาหลายชั่วโมงล่ะ

ริก้าตาโต

“ตอบดีนี่”

“ก็คุณรวย”

“ตอบได้ถูกใจ นึกว่าจะให้ประหยัด”

“ถ้าบอกให้ประหยัด จะเชื่อหรือเปล่า?”

“ฉันจะลองอีกคู่ ใส่ให้ฉันด้วยสิ” ริก้าตั้งใจจะให้ชาลิสาสวมรองเท้าให้ โดยตัวเองนั่งกระดิกเท้ายั่วๆ

ชาลิสาโคลงศีรษะ ปฏิเสธทันที

“อย่ามากเกินไป คุณริก้า สละรองเท้าให้คุณเข้าประชุม ก็ถือว่ามากแล้ว คุณต้องทำด้วยตัวเอง”

ริก้าตาโต

“พี่ณายังสวมให้ฉันเลย”

“นั่นมันคุณลักขณา ไม่ใช่ชาลิสา”

เป็นเลขาใหม่ริขัดใจเจ้านาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ พอได้รองเท้าใหม่ก็กลับมาทำงาน

ชาลิสาพูดขึ้น

“คุณต้องศึกษางานของคุณด้วยตัวเองนะ ตอนอยู่ในห้องประชุมก็ไม่ยอมฟัง ต้องให้ฉันตอบแทนคุณ บริษัทเป็นของคุณไม่ใช่ของฉัน ฉันไม่อยากเป็นตัวแทนของใคร”

“นี่…นี่…ฉันจ้างมาเป็นเลขา ไม่ใช่ให้มาเป็นแม่”

“บริษัทคุณ ถ้าคุณไม่สนใจ แล้วใครจะสน”

“ช่างฉัน”

และพอธีทัตก้าวเข้ามาในห้องทำงานของน้องสาว ริก้าก็รีบมองจอคอมพิวเตอร์ ทำทีเป็นสนใจงาน

ส่วนชาลิสานั่งที่โต๊ะทำงานเลขาในห้อง โต๊ะของเลขาคุณริก้าจะมีทั้งด้านนอกและด้านใน เพราะตอนลักขณามารับงาน ก็อยากใกล้ชิดกับริก้าจึงเพิ่มเติมในห้องทำงานริก้าด้วย

ธีทัตเดินมาคุยกับชาลิสา

“ซื้อรองเท้าใหม่หรือยัง เอาบิลมาเบิกได้”

“อ๋อ…ไม่ได้ซื้อค่ะ คุณริก้าคืนฉันแล้ว”

ธีทัตมองน้องสาวแว่บเดียว ก็คุยกับชาลิสาต่อ

“ประชุมครั้งแรกก็ไม่เลวนะ แต่ถ้าจะดี อยากให้ริก้าเป็นคนตอบมากกว่าเธอ”

“ไม่อยากพูดหรอกค่ะ แต่คุณริก้าโยนมา ไม่อยากให้เธอเสียหน้า”

“รู้นะ…ครั้งหน้าใครตอบ”

“ฉันจะเตือนให้คุณริก้าสนใจงานมากกว่านี้”

“หวังว่าจะทำได้”

“ถ้าคุณไฟเขียว ฉันเต็มที่”

“อืมม์…ลองดู”

“ถือว่าคุณไฟเขียวแล้ว”

“อย่าเก่งแต่พูด”

ริก้าที่ฟังอยู่ แทบทนไม่ไหว

พี่ชาย…เล่นให้ทายชาลิสา เธอถึงกล้าพูดฉอดๆ ใส่น้อง

เลขานะ…ให้มาช่วยริก้า ไม่ใช่มาคุมริก้า

ธีทัตมาพูดคุยกับชาลิสา แล้วออกจากห้อง โดยไม่พูดอะไรกับน้องสาว จนริก้ารู้สึกร้อนใจ ลุกมาโวยชาลิสา

“ต่อหน้าพี่ชาย ไม่ต้องทำท่าทางอวดเก่งเหนือฉัน”

“คุณริก้า ถ้าคุณมีดี คุณก็แสดงออกเลยให้พี่ชายคุณเห็น ฉันร่วมงานกับคุณแค่วันเดียว ฉันก็รู้แล้วคุณยังต้องปรับปรุงอีกมาก”

“เธอสิปรับปรุง ไม่ใช่ฉัน”

“ปรับการทำงาน ฉันเน้นเสมอฉันไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ฉันได้เงินเดือนตามความสามารถ และถ้าคุณไม่ร่วมมือ ฉันถือว่าฉันล้มเหลว เงินเดือนก็คงตามนั้นล่ะ บอกตรงๆ อยากได้เงินเดือนสูงๆ ถ้าคุณดูหน้าที่ของคุณ ฉันถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จในงาน”

“โอ๊ย…เบื่อ…เบื่อ…”

แยกย้ายกันทำงานได้แป๊บเดียว ริก้าก็พูดว่า

“คืนนี้ก็ดื่มกันหน่อยนะ”

“ฉันขอเลิกงานตามเวลา ต้องเข้าร้าน”

“พี่ชายให้เธอตามฉันนะ”

“ถ้ามีเหตุผลก็ได้ แต่ดื่มเรื่อยเปื่อย คงไม่ได้”

“ทำงานหนักก็ต้องพักผ่อน”

“คุณหาเพื่อนไปเอง”

“ฉันนัดไว้แล้ว กลุ่มเพื่อนๆ …และเป็นกลุ่มลูกค้าด้วยเป็นคู่ค้าของเรา” ริก้าเลิกคิ้ว “กึ่งงาน…ไปได้หรือยัง”

วันแรก…เอาเถอะ ไม่อยากขัดใจจนเกินไป

ดื่ม…กิน..กึ่งงาน ลองดูสักครั้ง

จริงหรือไม่ล่ะ?

คืนนั้น ริก้าพาชาลิสาไปพบเพื่อนๆ ที่ผับหรูแห่งหนึ่ง

เพื่อนๆ ทั้งชายและหญิง ลูกเศรษฐีทั้งนั้นล่ะ บางคนก็มีชื่อเสียงในวงสังคมเห็นตามสื่อต่างๆ

งานดื่มแบบนี้ชาลิสาร้างราไปนานแล้ว ท่ามกลางแสงสลัวๆ ในผับ ทุกคนไม่ค่อยสนใจชาลิสาและเจ้าตัวก็แยกไปนั่งห่างเล็กน้อย

ไหนว่าเป็นเรื่องงานด้วย คุยสัพเพเหระ หลากหลาย ไม่ได้ยินคุยงานสักคำ

ชาลิสาโคลงศีรษะกับตัวเอง จะเชื่อคำพูดของริสาได้อย่างไร แต่อยู่กับริก้าทุกนาทีคือการเรียนรู้ เรียนรู้ชีวิตของริก้าก่อน

ริก้าก็ดูสนุกสนานดีกับเพื่อนๆ อยู่กับเพื่อนๆ ร่าเริงสดใส หัวเราะ คุยเก่ง ผิดกับตอนอยู่บริษัท ดูขรึม ดูเครียด ไม่ผ่อนคลาย

ปกติของคนไม่ชอบทำงาน

ชาลิสาเสียดายเวลาของริก้าเหลือเกิน สลับกันถ้าเป็นตอนมีโอกาสขนาดนี้จะตั้งใจทำงานแบบให้ธีทัตสบายใจหายห่วงเลย

ดึกมากแล้ว ริก้ายังไม่มีท่าทีจะกลับบ้าน หญิงสาวเผลอหลับไปวูบหนึ่ง

และเสียงก็มาปลูก

ตีหนึ่งแล้ว…บางคนขอตัวกลับบ้าน คนที่มาปลุกก็แค่สะกิดเรียกเบาๆ และผลักไป

ชาลิสามองไปรอบๆ มองหาริก้า

ไม่พบ…และเพื่อนของลิก้าคนหนึ่งก็บอกว่า ริก้ากลับไปแล้ว ตอนเที่ยงคืนกว่า

ริก้า!

กลับก็ไม่บอก ทิ้งตนเลย พรุ่งนี้เช้าคงต้องคุยกันหน่อยล่ะ แบบนี้รับไม่ได้

ง่วงแสนง่วง ชาลิสาเหนื่อยทั้งวันแล้ว จึงกลับบ้านอาบน้ำ และเข้านอนก็เกือบตีสาม

กำลังหลับสบาย เพราะคงนอนไม่กี่ชั่วโมงล่ะ ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ เจ็ดโมงเช้า แต่ยังไม่ทันปลุกมีเสียงโทรศัพท์

นึกว่าฝันไป เสียงโทรศัพท์ดังไม่หยุด เพิ่งนอนเองนะ…เพิ่งจะหลับ

ตีสาม…ไม่รับล่ะ ไม่รับโทรศัพท์ แต่เพราะเสียงดังไม่หยุด ทั้งที่กดทิ้งหลายครั้ง

ว่าจะกดปิดเครื่องไปเลย ก็ทำไม่ได้ เพราะกังวลลึกๆ เผื่อมีเรื่องด่วนจนสุดท้ายก็ต้องรับ

“คะ…ใครคะ?” ถามอย่างงัวเงีย กึ่งรำคาญ ต้องยอมรับ ทนรับ…และรำคาญมาก…มาก…

“ธีทัต”

ว้าย! ตาโตทันที

“คุณโทรมาทำไมดึกป่านนี้”

 



Don`t copy text!