เจ้าชายน้อยกับสุนัขจิ้งจอก : ในนิยามของความเป็นเพื่อน

เจ้าชายน้อยกับสุนัขจิ้งจอก : ในนิยามของความเป็นเพื่อน

โดย : นกอัญชันหางดำ

Loading

กลั่นเกลาเล่าเพลิน โดย นกอัญชันหางดำ คอลัมน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากโลกวรรณกรรมที่มีตัวละครมากมายโลดแล่นอยู่ในใจนักอ่าน และมีเรื่องราวให้กล่าวถึงได้เสมอ คอลัมน์นี้จึงขอชวนทุกท่านมาเพลิดเพลินกับการรีวิวตัวละคร ทั้งตัวเอก ตัวร้าย และตัวประกอบ ในมุมมองเชิงเปรียบเทียบกับโลกปัจจุบัน พร้อมสอดแทรกข้อชวนคิดไว้เบาๆ

ในโลกวรรณกรรม หนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย ของอังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี ถือเป็นหนึ่งในหนังสือที่ผู้คนในหลายประเทศนิยมชมชอบ และได้รับการจัดอันดับอยู่ในลิสต์ 100 เล่มที่ควรอ่าน ให้อารมณ์เดียวกับเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ดูเหมือนเป็นวรรณกรรมเยาวชน แต่จริงๆ แล้วมีสารที่สื่อถึงคนอ่านที่เป็นผู้ใหญ่แทรกอยู่มากมาย ตอนเด็กอ่านแล้วเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ยังเพลินได้ตามประสาเด็ก โตขึ้นมาอ่านอีกรอบ มีการตีความให้ความหมาย ทำความเข้าใจใหม่ตามประสบการณ์ของแต่ละคน ก็สนุกไปอีกแบบ

และหนึ่งในตัวละครที่อยู่ในความทรงจำของใครหลายคนก็คงเป็นเจ้า สุนัขจิ้งจอก เจ้าของประโยคเด็ดเราจะเห็นอะไรได้เพียงด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา” *

ปกติในนิทานฝั่งตะวันตก สุนัขจิ้งจอกมักจะมีคาแรกเตอร์เป็นพวกเจ้าเล่ห์เพทุบาย ฉลาดแกมโกง มักเป็นจอมวางแผนใช้อุบายหลอกล่อผู้อื่น ขณะที่ในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น สุนัขจิ้งจอกเป็นบริวารของเทพแห่งการเพาะปลูกและกสิกรรม ช่วยนำสารจากเทพเจ้ามายังโลกมนุษย์ คอยช่วยเหลือและปกป้องผู้คน เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ สุนัขจิ้งจอกจึงเป็นหนึ่งในรูปปั้นสัตว์มงคลที่พบเห็นได้ทั่วไปตามศาลเจ้าญี่ปุ่น นอกเหนือจากแมว วัว หรือกระต่าย แต่ก็มีเหมือนกันที่นิทานฝั่งตะวันออกมองสุนัขจิ้งจอกเป็นตัวร้าย เช่นเรื่องจิ้งจอกเก้าหาง ที่ว่าถ้าอายุยืนมากพอก็จะสามารถแปลงร่างเป็นคนได้ ซึ่งมักแปลงเป็นสาวสวยที่มาหลอกลวงให้คนลุ่มหลงและทำเรื่องเลวร้าย

ไม่ว่าจะถูกมองในแง่ดีหรือร้าย จุดเด่นที่เห็นได้ชัดของสุนัขจิ้งจอกคงเป็นเรื่องสติปัญญา (เพราะถ้าไม่ฉลาดก็คงโน้มน้าวชักจูงใจให้คนเชื่อได้ยากหน่อย) ในเรื่องเจ้าชายน้อย สุนัขจิ้งจอกเองก็ทรงภูมิมากพอที่จะให้ข้อคิดสะกิดใจในหลายเรื่องกับเจ้าชายน้อยได้ (รวมถึงเราคนอ่านด้วย) ขณะเดียวกันสุนัขจิ้งจอกก็ได้เรียนรู้มิตรภาพจากเจ้าชายน้อย ด้วยความเต็มใจของเจ้าจิ้งจอกเอง โดยไม่กลัวที่จะเสียใจแม้รู้อยู่ว่าตอนจบจะเป็นเช่นไร

ความเป็นเพื่อนนั้นต้องเริ่มต้นมาจากทั้งสองฝ่าย ซึ่งเมื่อคิดจะคบกันก็ต้องทำความรู้จักและปรับจูนเข้าหากัน รวมถึงการรักษามิตรภาพที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นด้วย ไม่ใช่ความพยายามของใครอยู่ฝ่ายเดียว แต่เป็นการเรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน ยอมรับได้ในตัวตนซึ่งกันและกัน

“…ถ้าเธอต้องการเพื่อน ฝึกฉันให้เชื่องสิ…” * แม้รู้ว่าปลายทางไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ตลอด แต่สุนัขจิ้งจอกก็ยังยอมเริ่มต้นผูกสัมพันธ์กับเจ้าชายน้อย เลือกที่จะสร้างความคุ้นเคยกัน ยอมให้เข้ามาหาในพื้นที่ส่วนตัว ทั้งสองทำให้รู้ว่าการได้ผูกพันกับใครสักคน และการมีใครให้คิดถึง ชีวิตจะมีความหมายมากกว่าเดิม เมื่อก่อนสุนัขจิ้งจอกไม่สนใจข้าวสาลีเพราะมันไม่กินขนมปัง แต่เมื่อได้เป็นเพื่อนกับเจ้าชายน้อยผู้มีผมสีทอง การได้เห็นทุ่งข้าวสาลีสีทองปลิวไสวตามลมก็จะมีความหมายกับเจ้าจิ้งจอกเพราะทำให้หวนคิดถึงเพื่อน เป็นความสุขที่จดจำได้แม้ในยามที่ไกลกัน และแม้ต้องร้องไห้ตอนอำลาจาก แต่ความรู้สึกดีๆ ในช่วงที่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนั้นช่างคุ้มค่า

“…มันจะเกิดผลกว่านี้ ถ้าเธอจะมาในเวลาเดียวกันทุกวัน…” * เมื่อเลือกแล้วที่จะสร้างสัมพันธ์กับใครก็ควรมีความเสมอต้นเสมอปลาย ถ้าไม่รักษาคำพูด ไม่ตรงต่อเวลาโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า คนที่เป็นฝ่ายรอก็ไม่รู้ว่าควรเตรียมใจอย่างไร เพราะทุกความสัมพันธ์ต้องการการเอาใจใส่ อย่าทำเหมือนเพื่อนเป็นของตาย บางทีคำว่า “ไม่มีเวลา” นั้นอาจไม่มีอยู่จริง ในแต่ละวันคนเรามีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงเท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่าจะจัดสรรไปใช้กับใคร เพื่อนทั่วไปอาจมาเจอกันได้แค่ตอนเขาว่าง (Their free time) แต่เพื่อนที่ผูกพันกันจริงจะพยายามหาเวลาว่างเพื่อให้ได้มาคุยกัน (Free their time) และถ้าทำเช่นนั้นได้ความสุขก็จะเกิดขึ้นในระหว่างทางด้วย ไม่ใช่แค่ตอนได้เจอหน้ากัน แต่เริ่มตั้งแต่ตอนนัดหมายทำแผนเที่ยวหรือเลือกร้านอาหารเลยทีเดียว “ถ้าเธอมาตอนสี่โมงเย็น พอบ่ายสามโมง ฉันก็จะเริ่มมีความสุข” *

“…เวลาที่เธอเสียให้ดอกกุหลาบของเธอ ทำให้ดอกกุหลาบนั้นทวีความสำคัญ…เธอจะต้องรับผิดชอบดอกกุหลาบของเธอ…” * คงหมายถึงเมื่อมีความผูกพันกันแล้ว ก็ควรรับผิดชอบในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นด้วย ในระหว่างการเดินทางเจ้าชายน้อยได้พบกับดอกกุหลาบอื่นทั้งสวน ทำให้เขาเสียความรู้สึกความเป็นคนพิเศษเพราะเป็นเจ้าของกุหลาบแค่หนึ่งดอก แต่สุนัขจิ้งจอกช่วยทำให้เจ้าชายน้อยระลึกถึงความสำคัญของดอกกุหลาบที่ดาวของเขาได้ ซึ่งก็เหมือนกับคนที่ใกล้ชิดกันมากๆ นั่นเอง ที่มีทั้งการดูแลกันและการโต้เถียงไม่เข้าใจกัน แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ย่อมมีความพิเศษกว่าคนอื่นแน่นอน เพราะความรู้สึกและเรื่องราวต่างๆ ที่มีร่วมกันมานานนั้น คนอื่นทดแทนไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อเกิดสัมพันธภาพหรือมิตรภาพระหว่างกันแล้ว อย่าปล่อยมือจากกันไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีต่อกัน

การรักษาความเป็นเพื่อนให้ยาวนานไม่ได้หมายถึงการต้องมาพบเจอกันบ่อยๆ เหมือนอย่างที่ในหนังสือทรายกับฟองคลื่นของ คาลิล ยิบราน ซึ่งถอดความโดย อ.ระวี ภาวิไล บอกไว้ว่า “ความทรงจำเป็นรูปแบบหนึ่งของการพบปะ” หากใครมีเพื่อนเก่าเหลืออยู่สักกลุ่มหนึ่ง จำนวนอาจไม่มากมายเท่ากลุ่มเพื่อนสมัยเรียนจบใหม่ๆ แต่เป็นคนกลุ่มเล็กๆ ที่เป็นเหมือนพื้นที่ปลอดภัยสำหรับเรา มีความทรงจำร่วมกันทั้งสุขและทุกข์ เป็นความสบายใจทั้งในอดีตและปัจจุบัน ช่วยเยียวยาจิตใจทุกครั้งที่ได้คุยกัน ถึงไม่ได้เจอกันนานแต่ถ้ามาพบกันเมื่อไรความสนิทใจก็ยังคงเดิม ก็ถือว่าโชคดีมากแล้วที่ยังมีเพื่อนเก่าให้กลับไปหา ไม่ว่าเจอกันแล้วจะมัวแต่คุยกันจ้อกแจ้กแทบไม่มีจังหวะหยุด หรือแค่นั่งข้างกันเงียบๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ แต่เมื่อแยกย้ายกันแล้วก็ให้ความรู้สึกชุ่มชื่นใจได้ไม่ต่างกัน

เมื่อเวลาเดินไปข้างหน้า บางสิ่งอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง บางอย่างอาจจะไม่เหมือนเดิม บ้างดีขึ้นบ้างแย่ลง แต่อย่างน้อยเพื่อนแท้ก็คือ คนที่จะไม่หล่นหายไประหว่างทางตามกาลเวลา … ความสัมพันธ์เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายหรือทำความเข้าใจ เพราะเหตุผลของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร ยังมีความรู้สึกส่วนลึกในหัวใจที่จะใช้สื่อถึงกันได้ เพราะเจ้าจิ้งจอกบอกไว้แล้วว่า

สิ่งสำคัญไม่อาจเห็นได้ด้วยตา”

 

* จากหนังสือเจ้าชายน้อย ฉบับรำลึกครบรอบ 50 ปีการจากไปของอังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี แปลโดย อริยา ไพฑูรย์

Don`t copy text!