เจ้าชายน้อยกับดอกกุหลาบ : ในนิยามของครอบครัว

เจ้าชายน้อยกับดอกกุหลาบ : ในนิยามของครอบครัว

โดย : นกอัญชันหางดำ

Loading

กลั่นเกลาเล่าเพลิน โดย นกอัญชันหางดำ คอลัมน์ที่ได้แรงบันดาลใจจากโลกวรรณกรรมที่มีตัวละครมากมายโลดแล่นอยู่ในใจนักอ่าน และมีเรื่องราวให้กล่าวถึงได้เสมอ คอลัมน์นี้จึงขอชวนทุกท่านมาเพลิดเพลินกับการรีวิวตัวละคร ทั้งตัวเอก ตัวร้าย และตัวประกอบ ในมุมมองเชิงเปรียบเทียบกับโลกปัจจุบัน พร้อมสอดแทรกข้อชวนคิดไว้เบาๆ

ในหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย ของอังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี ดาว บี 612 ที่เจ้าชายน้อยอาศัยอยู่เป็นดาวดวงเล็กๆ ที่สามารถเดินไปดูพระอาทิตย์ตกได้ทุกครั้งที่ต้องการ ไม่ต้องรอให้ถึงเวลายามเย็นเหมือนโลกเรา เจ้าชายน้อยจึงสามารถไปดูพระอาทิตย์ตกได้วันละสี่สิบสามครั้ง ซึ่งมองเผินๆ เหมือนจะดี เพราะการได้นั่งชมธรรมชาติเงียบๆ น่าจะช่วยให้ใจสงบและเหมือนได้ชาร์จแบตเพิ่มพลังให้ตัวเอง แต่บทสนทนาของเจ้าชายน้อยกับหนุ่มนักบินที่พบกันบนโลกบอกไว้ว่า คนมักจะอยากดูพระอาทิตย์ตกในเวลาที่เศร้า สื่อให้รู้ว่าเจ้าชายน้อยคงมีบางเรื่องที่ทุกข์ใจอยู่ และนั่นอาจเป็นสาเหตุที่เขาออกเดินทางจนมาถึงดาวเคราะห์สีน้ำเงินดวงนี้

บนดาว บี 612 สิ่งเดียวที่มีชีวิตและพูดคุยกับเจ้าชายน้อยคือดอกไม้ดอกหนึ่ง…ดอกกุหลาบแสนสวยที่มีเพียงหนึ่งเดียว บนดวงดาวที่เคยมีแต่ดอกไม้ธรรมดาที่บานในตอนเช้าและเหี่ยวเฉาในตอนเย็น ดอกไม้นี้ก็มีความพิเศษกว่าใครจริงๆ เพราะมีทั้งกลิ่นหอมและหนามแหลมคม แถมยังอายุยืนอยู่ได้ข้ามวันข้ามคืน สามารถพูดคุยสนทนาถกเถียงกันได้ สำหรับคนที่เคยใช้ชีวิตตามลำพังอย่างเจ้าชายน้อยที่ตื่นมาทำกิจวัตรประจำวันซ้ำๆ อย่างทำความสะอาดปล่องภูเขาไฟบ้าง กำจัดต้นไทรเล็กๆ บ้าง หรือไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกคนเดียวบ่อยๆ ดังนั้นการที่มีใครให้สามารถพูดคุยด้วยได้จึงถือเป็นเรื่องน่ายินดี ดอกกุหลาบนี้จึงเป็นเปรียบเหมือนครอบครัวเดียวที่เจ้าชายน้อยมี

แต่เมื่อได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันนานๆ สำหรับผู้ที่รับบทบาทเป็นคนดูแลรับผิดชอบภาระทุกเรื่อง ย่อมมีบ้างที่จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการอดทน ต้องคอยเก็บอารมณ์หรือเก็บปากเก็บคำ (แม้อาจจะเก็บสีหน้าไม่ไหว) ยิ่งดอกกุหลาบชอบพูดถึงแต่เรื่องของตนเอง เรียกร้องสิ่งนั้นสิ่งนี้ อาหารเอย ที่บังลมเอย แล้วเจ้าชายน้อยก็ยินยอมทำให้ตามที่ขอเพื่อให้เรื่องจบ แต่ไม่มีการพูดคุยทำความเข้าใจ และเริ่มไม่ไว้ใจกัน ดังนั้นแม้ว่าจะเริ่มต้นด้วยความรัก แต่นานวันเข้าความห่างเหินคงทำให้เกิดความรู้สึกอยากหนีไปพัก อยากอยู่ให้ไกลจากความหนักใจทั้งหลายบ้าง … คงรู้สึกไม่ต่างจากคนที่ทำงานมาเครียดๆ แล้วยังต้องกลับมาเจอกับความกดดันที่บ้าน ซึ่งดอกกุหลาบที่เจอในชีวิตจริงก็อาจเป็นได้ทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นลูกเล็กที่กรีดร้องงอแงเมื่อไม่ได้ดั่งใจ วัยรุ่นหนุ่มสาวที่ยังนึกถึงแต่ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง หรือพ่อแม่วัยเกษียณที่ไม่ฟังเหตุผลเหมือนกลับไปมีนิสัยแบบเด็กอีกครั้ง

ที่จริงดูเหมือนว่าเจ้าชายน้อยจะแบกปัญหาไว้ในใจอยู่ก่อนแล้ว (จากที่ว่าเดินไปดูพระอาทิตย์ตกวันละหลายครั้ง) ไม่ใช่เริ่มเป็นทุกข์เพราะมีดอกกุหลาบ ตอนที่ได้รู้จักกับกุหลาบน้อยครั้งแรกเขายังรู้สึกเบิกบานยินดี สมกับที่ได้รอคอยมาตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นดอกตูม ดังนั้นดอกกุหลาบคงไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้เจ้าชายน้อยเดินทางออกจากดาว บี 612 เพียงแต่ดอกกุหลาบเองก็ไม่สามารถเป็นเหตุผลยึดเหนี่ยวให้เขาอยู่ต่อไปได้ ถึงไม่ใช่ต้นเหตุแห่งทุกข์ แต่ก็ไม่อาจทำให้มีความสุข เขาจึงเลือกที่จะจากไปพร้อมกับการอพยพของนกป่า

การได้พบเจอกับผู้คนหลากหลายประเภทบนดาวต่างๆ ระหว่างทางคงจะเป็นการเปิดโลกสำหรับเจ้าชายน้อยอย่างมาก เมื่อออกจากบ้านที่คุ้นเคยมาสู่สังคมภายนอกซึ่งเป็นโลกของผู้ใหญ่ เขาก็ต้องรู้จักปรับตัวเข้าหาคนอื่น อย่างเช่นหาวิธีดีลกับคนที่ชอบสั่งชอบออกความเห็นใส่คนอื่นว่าควรทำเช่นนั้นเช่นนี้ อย่างพระราชาบนดาวดวงแรก หรือดีลกับคนที่หลงตัวเองบนดาวดวงที่สอง (เพื่อหาทางทำตัวเองให้หลุดพ้นจากคนสองประเภทนั้น) ได้เห็นคนที่จมอยู่กับทุกข์วนไปซ้ำๆ อย่างชายขี้เมาบนดาวดวงที่สาม ที่ละอายใจเพราะทำผิดแต่ก็ยังไม่ยอมหยุดทำ ได้พบกับคนที่คิดแต่จะกอบโกยสมบัติแม้ว่าเอาติดตัวไปไม่ได้ อย่างนักธุรกิจบนดาวดวงที่สี่ รวมถึงคนจุดโคมที่ทำงานวันต่อวันโดยไม่หยุด ทั้งที่เหนื่อยล้าแต่ก็ไม่รับฟังคำแนะนำปรับปรุงงาน และนักภูมิศาสตร์ที่ยึดถือแต่ตำราโดยไม่ดูสภาพเหตุการณ์จริง (แถมยังคอยจับผิดนักสำรวจที่เป็นคนอยู่หน้างานเสียอีก) บนดาวดวงที่ห้าและหกตามลำดับ แล้วคนทุกประเภทที่เจอทั้งหมดนี้ก็มากองรวมกันนับล้านคนอยู่ตรงนี้บนดาวดวงที่เจ็ดที่เจ้าชายน้อยเดินทางมาถึง ซึ่งคือโลกมนุษย์ของเรานี้เอง

กระนั้นโลกนี้ก็ยังคงไม่สิ้นหวังนัก เพราะยังมีคนแบบนักบินหนุ่มและสุนัขจิ้งจอกอยู่ด้วย สำหรับเจ้าชายน้อย มิตรภาพที่เกิดขึ้นคงเป็นสิ่งที่น่าจดจำและคุ้มค่าที่ได้เดินทางมา นักบินหนุ่มเองทั้งที่กำลังเผชิญปัญหาเครื่องบินเสียกลางทะเลทรายและขาดแคลนน้ำ แต่เมื่อเห็นเจ้าชายน้อยร้องไห้เสียใจก็ยอมหยุดทุกอย่างเพื่อมาคอยปลอบใจ ไม่ได้จมอยู่กับปัญหาตัวเองจนละเลยความทุกข์ใจของคนอื่น ส่วนเจ้าจิ้งจอกก็ยอมเป็นเพื่อนกับเขาทั้งที่รู้ว่าตอนจบต้องแยกจากกัน และยังเป็นเพื่อนที่ช่วยเตือนใจให้เจ้าชายน้อยได้ระลึกถึงความสำคัญของดอกกุหลาบที่ดาวของเขาด้วยว่าเมื่อสร้างความผูกพันขึ้นแล้ว ก็ควรรับผิดชอบในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นด้วย

ตอนที่เจ้าชายน้อยไปอำลาดอกกุหลาบก่อนเดินทาง ดอกกุหลาบมีโอกาสได้พูดความในใจอย่างตรงไปตรงมา ได้ขอโทษและบอกรักให้อีกฝ่ายได้รู้ มิฉะนั้นคงเป็นเรื่องที่ค้างคาใจมากหากไม่มีโอกาสได้กลับไปพบกันอีก ที่ผ่านมาดอกกุหลาบคอยแต่จะทำตัวเรียกร้องความสนใจก็จริง แต่เมื่อเห็นเจ้าชายน้อยมุ่งมั่นที่จะจากไปก็ไม่คิดรั้งไว้ มีแต่แสดงปรารถนาดีและอวยพรให้ ไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายพะวักพะวนเป็นห่วงหรือรู้สึกผิด แถมยังบอกให้ทิ้งฝาแก้วครอบไปด้วยเพราะไม่ได้ใช้แล้ว “ฉันก็ต้องยอมทนกับพวกหนอนบ้าง ถ้าอยากจะรู้จักผีเสื้อสวยๆ” *

ที่จริงเมื่อนึกย้อนไปแล้วความทรงจำกับดอกกุหลาบก็ไม่ได้แย่ทั้งหมด เจ้าชายน้อยคุยกับนักบินว่าเขาไม่ควรถือสากับคำพูดของดอกไม้ “เราไม่ควรฟังดอกไม้พูด แค่เฝ้ามองและดมกลิ่นเธอก็น่าจะพอแล้ว ดอกไม้ของผมส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งดวงดาว แต่ผมเองที่ไม่รู้จักทำใจให้เบิกบานไปกับมัน” * ด้วยประสบการณ์นอกบ้านที่กว้างขึ้น เจ้าชายน้อยคงเริ่มคิดได้ว่าเขา “ใส่ใจในคำพูดไร้สาระมากเกินไป” * และนั่นคือสิ่งที่บั่นทอนความสุข ตอนนี้เขาจึงพยายามหาวิธีกลับไปยังดาว บี 612 ให้ได้ เพราะที่นั่นคือบ้านของเขาที่มีดอกกุหลาบรออยู่

เมื่อเป็นคนที่เรารักหรือเป็นครอบครัวเดียวกันก็ต้องไม่ลืมดูแลเอาใจใส่ อย่าละเลยความรู้สึกระหว่างกัน อย่าคิดว่าเป็นคนใกล้ตัวแล้วจะพูดหรือทำอย่างไรก็ได้ บ่อยครั้งที่การอยู่ใกล้กันทำให้มีการโต้เถียงเพราะคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็ต้องระวังไม่ใช้คำพูดทำร้ายกันหรือสร้างแผลในใจ เพราะความรู้สึกในด้านลบก็เหมือนต้นไทรบนดาว บี 612 ต้องคอยหมั่นถอนออกไปเสียตั้งแต่ตอนยังเป็นต้นอ่อนก่อนที่มันจะเติบโตชอนไชหยั่งรากฝังลึก

* จากหนังสือเจ้าชายน้อย ฉบับรำลึกครบรอบ 50 ปีการจากไปของอังตวน เดอ แซงเตกซูเปรี แปลโดย อริยา ไพฑูรย์

Don`t copy text!