Up Coming Summer ร้อนหน้า…ไว้มารักกัน 

Up Coming Summer ร้อนหน้า…ไว้มารักกัน 

โดย : ปิยะพร  ศักดิ์เกษม

Loading

นั่งหน้าจอ คอลัมน์ที่ ปิยะพร  ศักดิ์เกษม เล่าถึงเรื่องราวที่ตรึงให้นั่งติดอยู่หน้าจอ ทั้งภาพยนตร์และภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ เล่าแบบไม่มียั้ง!! เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่กลัวการรู้เนื้อเรื่องล่วงหน้า นอกจากจะเขียนเล่าเรื่องแล้ว ยังเขียนเล่าความคิดความเห็นและความรู้สึกเมื่อได้ดู ดังนั้นผู้เขียนจะพาออกทะเลไปบ้างอย่างแน่นอน

ภาพยนตร์ ปี 2021

ผู้กำกับ Leste Chen

ผู้แสดงนำ Zhang Zi Feng (Wendy Zhang), Wu Lei (Leo Wu)

สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้…ชื่อเรื่องประกอบกับภาพโปสเตอร์ที่ผู้แสดงใส่เครื่องแบบนักเรียนทำให้เหมือนเป็นเรื่องรักหวานกุ๊กกิ๊กของหนุ่มสาววัยเรียน แต่ไม่ใช่เลยค่ะ ไม่กุ๊กไม่กิ๊ก แต่อิ่มเอมและให้แง่คิด เป็นจริงและไม่ซ้ำซากจำเจ ทั้งยังทำให้ได้เห็นสังคมกับระบบการศึกษาที่เข้มข้นอย่างน่าอิจฉาของจีนปัจจุบันด้วย

เรื่องเริ่มขึ้นในช่วงการสอบ ‘เกาเข่า’ หรือการสอบเอ็นทรานซ์ของจีนที่มีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า NCEE The National Entrance Examination ขออธิบายนิดนะคะว่า จีนให้ความสำคัญและจริงจังกับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมากเพราะการสอบครั้งนี้คือเข็มทิศชี้ชะตาอนาคตลูกหลานของเขาและครอบครัว ยิ่งนักเรียนสอบเกาเข่าได้คะแนนสูงเท่าไหร่ ยิ่งสามารถเลือกยื่นผลสอบเข้าคณะดีๆ ในมหาวิทยาลัยดีๆ ได้ การสอบนี้ทำพร้อมกันทั่วประเทศปีละครั้งเดียวเท่านั้น โดยทั่วไปจะเป็นวันที่ 6-8 มิถุนายน ในช่วงเวลานั้นสนามสอบทุกแห่งจะโกลาหลเพราะพ่อแม่ผู้ปกครองแห่กันไปให้กำลังใจลูกหลานแม้ว่าสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตบริเวณทุกสนามสอบจะถูกตัดขาด หลังการสอบเกาเข่าเสร็จเรียบร้อยสถิติการหย่าร้างของคู่สมรสชาวจีนจะสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดเพราะพ่อแม่ที่ขัดแย้งกันมักจะเก็บปัญหาของตัวเองเอาไว้ไม่ให้กระทบลูกจนกว่าจะเสร็จจากการสอบ

ดูภาพเผิน ๆ เหมือนเรื่องรักวัยเรียน แต่ไม่ใช่

ภาพยนตร์เริ่มเรื่องที่ ‘เฉินเฉิน’ เด็กเรียนเก่งระดับต้นของห้องได้พบว่าพ่อแม่ของเธอหย่าขาดจากกัน แต่ปกปิดไว้ไม่ให้เธอรู้ เด็กสาวเสียใจมากและเด็กก็แก้ปัญหาด้วยวิธีของเด็กคือไปตากฝนกระโดดน้ำทั้งๆ ที่อากาศหนาวเพื่อให้ตัวเองป่วยและต้องเรียนซ้ำสอบใหม่ด้วยความคิดว่าหนึ่งปีอาจทำให้พ่อแม่กลับมาดีกันได้ ขณะที่เฉินเฉินสอบตกเพราะป่วยก็มีเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งที่ไม่เข้าสอบและต้องกลับมาเรียนซ้ำชั้นเหมือนกันคือเจิ้งอวี่ซิง เขาเรียนชั้นเดียวกับเฉินเฉินแต่อยู่ห้องบ๊วยและยึดตำแหน่งที่โหล่ของห้องไว้อย่างเหนียวแน่น เขาไม่เข้าสอบเพราะถูกแฟนที่แก่กว่าเขาแปดปีตัดสัมพันธ์ ความที่บ้านรวยเด็กหนุ่มทิ้งการสอบซื้อตั๋วเครื่องบินไปง้อสาวถึงปักกิ่ง

เฉินเฉินด็กเรียนดีผู้ประสบปัญหาแบบไม่คาดคิด

ทั้งคู่ต้องเรียนซ้ำในห้องเรียนเดียวกัน เมื่อพ่อแม่กล่าวโทษกันว่าไม่ดูแลลูกให้ดีจนลูกป่วย เฉินเฉินไม่อยากให้พ่อแม่ทะเลาะกันอีกก็หลุดปาก “หนูป่วยเพราะถูกแฟนทิ้ง” เมื่อถูกกดดันให้บอกว่าแฟนที่ว่านั้นคือใคร เด็กสาวก็ออกชื่อ ‘เจิ้งอวี่ซิง’ แล้วเรื่องโกหกที่พูดออกไปก็บานปลายเมื่อทั้งแม่และครูพากันกดดันทั้งเฉินเฉินและเจิ้งอวี่ซิงผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่… ครั้งหนึ่งทั้งคู่ถูกเรียกพบครูพร้อมกัน แล้วจู่ๆ เฉินเฉินก็ได้เห็นน้ำตาของเจิ้งอวี่ซิงผู้แสนแสบ แสนกร่าง แสนกวน เพราะคำที่คุณครูเทศนาคือคำเดียวที่แฟนเก่าของเขาด่าใส่เขาในวันที่เขาบินไปหาเธอที่ปักกิ่ง ฉากนี้เป็นฉากที่คนนั่งหน้าจอคนนี้ชอบที่สุดค่ะ ดารานำทั้งคู่แสดงดี ดื้อรั้น กดดัน สับสน โศกเศร้า จนหนทาง แต่ก็ยังปิดท้ายฉากด้วยการมอบรอยยิ้มให้คนดู

ทั้งคู่เริ่มผูกพัน เรียนรู้และเติบโตไปด้วยกัน เรื่องจะไม่ได้จบแบบหนังรักทั่วๆ ไป แต่ก็อิ่มใจค่ะ

เจิ้งอวี่ซิง เด็กเกเรผู้จองที่โหล่ของห้อง

ผู้แสดงเป็นเจิ้งอวี่ซิงเด็กเกเรบ้านรวยที่จองที่โหล่ของการสอบทุกครั้งคืออู๋เหล่ย (Wu Lei) หรือ Leo Wu เขาแสดงได้ดีมากสมกับที่เป็นดารามาตั้งแต่ยังเด็ก เก็บเกี่ยวประสบการณ์การแสดงมามากมาย เจิ้งอวี่ซิงในเรื่องคือเด็กหนุ่มธรรมดาๆ ที่สดใสคนหนึ่ง มีความกร่าง ความกวน และเอาแต่ใจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็โดดเดี่ยวจนเมื่อกลับเข้าบ้านหรูหรามีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมสรรพ เขากลับไม่มีใครเลยจนต้องอาศัย ‘สิริ’ เป็นเพื่อนคุย อู๋เหล่ยถ่ายทอดความเป็นเจิ้งอวี่ซิงออกมาได้ละเอียดจริงๆ ฉากที่ทำให้ทึ่งมากที่สุดคือฉากพ่อของเขากลับมาบ้าน พ่อไม่พูดกับเขาสักคำ จากที่เด็กหนุ่มกำลังพูดคุยยิ้มแย้มกับเพื่อนสีหน้าของเขาขมขื่นเย็นชาขึ้นมาฉับพลัน เป็นแค่วินาทีเดียวในหนังแต่ก็เป็นวินาทีเดียวที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกได้ปรุโปร่ง

อู๋เหล่ยก้าวเข้าสู่โลกบันเทิงเมื่อมีอายุได้สามขวบ แม่ของเขาอุ้มเขาต่อคิวลงทะเบียนอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเด็กชายวัยสามขวบอ้วนป้อม แก้มแดง ตาโตทำให้แมวมองที่ต่อคิวอยู่ด้านหลังชักชวนไปถ่ายโฆษณา เมื่อเริ่มทำงานทุกคนก็พบว่าเขาฉลาดเกินวัยซ้ำยังสนุกกับการแสดง ภายในสองปีจึงได้ถ่ายโฆษณามากกว่าห้าสิบชิ้น

อู๋เหล่ยในวัยห้าขวบแสดงเป็นเทพเจ้านาจา

เมื่ออายุได้ห้าขวบ ผู้กำกับท่านหนึ่งต้องการเด็กชายวัย 7-10 ขวบมาแสดงในภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์ เขาไปคัดเลือกเด็กที่โรงเรียนที่อู๋เหล่ยเรียนอยู่… ลองนึกภาพเด็กชั้นอนุบาลอายุแค่ 5 ขวบนะคะ… ค่อยๆ ย่องออกจากห้องเรียนตรงไปหาผู้กำกับท่านนั้น บอกว่า อย่ามองข้ามเขาไป ขอให้ถ่ายรูปเขาสักสองใบแล้วพิจารณาว่าจะมีโอกาสไหม… ไม่มีใครคิดเลยว่าเด็กห้าขวบจะกล้าทำอย่างนี้ และถึงจะอายุน้อยกว่าเด็กที่ผู้กำกับตั้งใจไว้เขาก็ได้รับโอกาสจริงๆ อู๋เหล่ยจึงได้เริ่มเล่นภาพยนตร์ชุดทางโทรทัศน์เมื่ออายุ 5 ขวบด้วยบทเทพเจ้านาจา ในเรื่อง ‘ศึกเทพสวรรค์บัลลังก์มังกร’ หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นนักแสดงที่ทุกคนรัก ได้รับฉายา ‘น้องชายแห่งชาติ’… มีผลงานทางภาพยนตร์ชุด และภาพยนตร์อย่างละมากกว่า 50 เรื่อง รับรางวัลจนตู้ไม่พอใส่แล้วยังก่อตั้งสตูดิโอของตัวเองเมื่ออายุ 17 และบัดนี้ในวัย 25 ปีเริ่มเป็นผู้สร้างและกำกับภาพยนตร์สั้นบ้างแล้วค่ะ

จางจื่อเฟิง วัยแปดขวบ ได้รับรางวัลด้านการแสดง

ส่วนเฉินเฉิน ผู้แสดงคือจางจื่อเฟิง หรือ Wendy Zhang เธอก็เป็นดาราเด็กมาก่อน อายุน้อยกว่าอู๋เหล่ย 2 ปี มาในสายการแสดงไม่ใช่สายไอดอลเช่นเดียวกันกับอู๋เหล่ย การแสดงของทั้งคู่จึงรับส่งกันได้อย่างทรงพลังทั้งๆ ที่บทเป็นบทของเด็กมัธยมปลายสองคน แต่บทเล็กๆ ก็สามารถยิ่งใหญ่จับใจได้ด้วยฝีมือของนักแสดง จางจื่อเฟิงได้รับรางวัลแรกด้านการแสดงตั้งแต่อายุ 8 ขวบจากภาพยนตร์เรื่อง ‘Aftershock 1976-มหาพิบัติ สิ้นแผ่นดิน’

‘ร้อนหน้า…ไว้มารักกัน’ มีตัวละครหลักๆ แค่ 5-6 คน มีพ่อ แม่ ครู แต่ทุกคนก็เป็นเสาค้ำยันที่ส่งให้ภาพยนตร์เล็กๆ เรื่องนี้ตรึงเราให้นั่งหน้าจอ ใจจดจ่อทุกวินาทีค่ะ

 

 

Don`t copy text!