ถนนสายนี้…ผีดุ (ภาค 1)

ถนนสายนี้…ผีดุ (ภาค 1)

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 219 เชื่อมต่อระหว่าง มหาสารคาม – บุรีรัมย์ ตัดผ่านอำเภอต่างๆ หลายอำเภอ เช่น บรบือ พยัคฆภูมิพิสัย ชุมพลบุรี สตึก จนถึงบุรีรัมย์ แต่ช่วงถนนที่ผู้เล่าจะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ ช่วงระหว่างอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย มหาสารคาม กับ อำเภอสตึก บุรีรัมย์ ระยะทางประมาณ ๓๗ กิโลเมตร เพราะเส้นทางสายนี้ในอดีตมีเรื่องเล่าขานปากต่อปากกันมาว่า ผีดุ! ถึงขนาด โดยเฉพาะช่วงถนนที่ออกจากอำเภอพยัคฆภูมิพิสัยไปจนถึงทางพาดชุมพลบุรีจังหวัดสุรินทร์ เพราะตัดผ่านสถานที่ที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีผีเฮี้ยนมาก่อน เช่น ดงหนองแสง ป่าหนองโหง สะพานข้ามห้วยลำพลับพลา โคกกระเทด ป่าสะแบงโนนสูง และผ่านทุ่งกุลาร้องไห้อันเวิ้งว้างทั้งมืดสนิทจนน่ากลัวในเวลาค่ำคืน

ในอดีตที่ผ่านมามีผู้ต้องสังเวยชีวิตให้แก่ถนนสายนี้เป็นประจำทุกปี เกิดอุบัติเหตุบ้าง ฆาตกรรมอำพรางบ้างแล้วแต่กรณี หากนับจำนวนตั้งแต่ผู้เล่าจำความได้จนถึงบัดนี้ก็น่าจะหลายร้อยศพทีเดียว วิญญาณผู้ตายบางศพจึงยังคงวนเวียนอยู่ไม่ยอมจากไปไหน นั่นเป็นสาเหตุแห่งการพบเจอกับเหตุการณ์ลี้ลับอันน่าสะพรึงกลัวของผู้โชคร้ายหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ใช้รถยวดยานสัญจรผ่านไปมาบนเส้นทางสายนี้ รวมไปถึงผู้คนที่ทำมาหากินในชุมชนท้องถิ่นแถบนี้ด้วย

ดังเช่นเรื่อง ‘จ่าแสง’…

จ่าแสงเป็นนายตำรวจประจำอำเภอและได้แต่งงานกับคนในหมู่บ้านของผู้เล่า ทุกวันจึงเห็นจ่าแสงขับมอเตอร์ไซค์สีแดงคันเก่าออกจากหมู่บ้านไปทำงานและกลับมาตอนเย็นเป็นประจำ กระทั่งวันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดและน่าเศร้าสลดใจขึ้น เมื่อจ่าแสงเกิดอุบัติเหตุโดนรถสิบล้อชนเข้าอย่างจังในเวลากลางดึกตรงบริเวณทางเข้าโรงเรียนประจำหมู่บ้านซึ่งตรงกันข้ามกับหมู่บ้านของผู้เล่า เสียงรถสิบล้อชนจ่าแสงดังโครมใหญ่ ได้ยินเข้าไปในหมู่บ้าน จนผู้คนแตกตื่นออกมาดูก็พบมอเตอร์ไซค์ของจ่าพังยับตรงป้ายทางเข้าโรงเรียนพอดี ส่วนร่างจ่าแสงนั้นกระเด็นไปไกลอีกหลายเมตร คอหักตายคาที่ นอนจมกองเลือดอยู่ และวิญญาณของจ่าแสงคงจะไม่รู้ตัวว่าตนเองได้ตายไปแล้ว จึงก่อให้เกิดเหตุการณ์ระทึกขวัญในคืนต่อมา…

มีผู้เล่าว่า หลังจากจ่าแสงตายได้หนึ่งวัน มีคนขับสิบล้อคันหนึ่งได้ขับรถกลับจากส่งทรายในอำเภอ ซึ่งเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว พอมาถึงตรงทางเลี้ยวจะเข้าประตูโรงเรียน ก็พบตำรวจนายหนึ่งยืนโบกมืออยู่ตรงป้ายโรงเรียนและมีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งล้มอยู่ใกล้ๆ ตรงนั้นด้วย ช่วงแรกๆ คนขับสิบล้อคิดว่า ตำรวจคงเกิดรถเสียระหว่างทางจึงโบกมือให้หยุดรถลงไปช่วย แต่พอเขาขับรถไปถึงใกล้ๆ ก็ถึงกับช็อกตะลึงอยู่กับที่ เมื่อพบว่าร่างนั้นขาวซีดตาลึกโบ๋เต็มไปด้วยเลือด ที่น่ากลัวกว่านั้นคือคอของร่างนั้นได้หักพับลงมาห้อยร่องแร่งอยู่ตรงอก!  เมื่อได้สติคนขับสิบล้อรีบบึ่งรถออกไปทันทีอย่างไม่คิดชีวิต และไม่กล้าขับรถในเวลากลางคืนอีกเลยตั้งหลายเดือน

รายที่เจอต่อมาคือ ทิดสุข แกเล่าว่า ในหน้าฝนต่อมา คืนวันหนึ่งฝนตกหนักมากเพราะพายุเข้า พอฝนซาเม็ดลง แกเลยออกไปหาจับปลาจับกบจับอึ่งตามปกติที่เคยทำมาทุกครั้ง โดยเหน็บมีดสะพายข้องและถือตะเกียงเจ้าพายุออกไปทางถนนหน้าหมู่บ้าน ซึ่งในฤดูน้ำหลากปลามักจะกระโจนตามน้ำที่ไหลล้นทะลักออกจากหนองรอบหมู่บ้านท่วมขึ้นไปบนถนนและข้ามลงไปตามทุ่งนาอีกฟากเสมอ  ทิดสุขเดินจับปลาไปตามถนนอย่างเพลิดเพลินอยู่นานเพราะไม่มีรถผ่านมาแม้แต่คันเดียว แล้วจู่ๆ ฝนก็เกิดตกลงมาอีกครั้งทั้งลมก็พัดกระหน่ำแรงขึ้น แกเลยตัดสินใจหันหลังจะกลับเข้าหมู่บ้าน แต่พลันสายตาเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างอยู่ตรงกลางท้องถนน จึงรีบยกตะเกียงเจ้าพายุส่องดู ก็พบมอเตอร์ไซค์สีแดงเก่าๆ คันหนึ่งล้มอยู่ ดูเหมือนว่าจะเพิ่งล้มเพราะล้อรถยังหมุนติ้วๆ อยู่ให้เห็นต่อหน้า ทิดสุขจึงรีบตรงเข้าไปดูว่ามีคนได้รับอุบัติเหตุถูกรถชนหรือไม่ แต่ระหว่างนั้นแกก็คิดได้ว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุจริง เหตุใดจึงไม่ได้ยินเสียงอะไรก่อนหน้านี้ แล้วทิดสุขก็ถึงกับช็อกจนแทบก้าวขาไม่ออก เมื่อพบร่างตำรวจนายหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ไม่ห่างจากรถมอเตอร์ไซค์นัก

และเมื่อเห็นหน้าร่างนั้นชัดเจน แกก็ร้องเสียงหลงทิ้งข้องปลาพร้อมตะเกียงวิ่งร้องตะโกนโว้ยๆ เหมือนคนบ้าเข้าหมู่บ้านไป และนอนจับไข้ไปหลายวันจนต้องพาไปรดน้ำมนต์กับหลวงพ่อที่วัดจึงฟื้นดีขึ้นมาได้

มีเหตุการณ์อย่างที่ว่านี้เกิดขึ้นเรื่อยมา รวมไปถึงเหตุการณ์ลี้ลับอันน่ากลัวอื่นๆ สร้างความสยดสยองให้แก่ผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนและผู้คนแถบนี้เสมอ กระทั่งสิบกว่าปีที่แล้วเกิดอุบัติเหตุหนักขึ้น จากปีละศพกลายเป็นปีละหลายศพ ชาวบ้านในตำบลทนไม่ไหว จึงชักชวนกันออกไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณทั้งหลายที่วนเวียนอยู่บนถนนสายนี้เป็นการใหญ่

นั่นเอง จึงทำให้เหตุการณ์ที่น่าสะพรึงกลัวต่างๆ ค่อยๆ จางสร่างหายไปจนถึงทุกวันนี้

แต่…อย่าเพิ่งชะล่าใจไป หากวันหนึ่งเกิดได้เดินทางไปบนถนนสาย ๒๑9 ในเวลากลางคืน และได้พบร่าง ใครสักคนยืนโบกมือขอความช่วยเหลืออยู่ริมทาง…

กรุณาอย่าหยุดเด็ดขาด!

เพราะนั่น! คุณ ได้เจอดีแล้วล่ะ!

Don`t copy text!