ก่อนฟ้าสาง บทที่ 1 : แผ่นดินของเรา

ก่อนฟ้าสาง บทที่ 1 : แผ่นดินของเรา

โดย : ม.มธุการี

Loading

ก่อนฟ้าสาง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวโดย ม.มธุการี เมื่อ ‘เจียง’ เลือกพาครอบครัวหนีความเดือดร้อนมาพักพิงยังแผ่นดินไทย แต่แผ่นดินแห่งนี้จะเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยให้กับเขาได้จริงๆ หรือ เจียงยังจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมาย อาจจะมีเพียง ‘ใกล้รุ่ง’ หญิงสาวผู้อ่อนโยนคนนั้นที่เป็นความหวังของเขา

ใกล้รุ่งลืมตาตื่นจากเสียงนกร้องริมหน้าต่าง  อาจจะเป็นนกตัวเดิมที่มาคอยเฝ้าปลุกหล่อนทุกเช้า…มีเสียงย่ำเท้ากรอบแกรบก่อนที่จะโผบินจากไปในที่สุด 

ลุกเดิน ไปเลิกม่านมองออกไปภายนอก  ควันหมอกหนาโรยตัวไปทั่วบริเวณ ด้านนอกจนมองเห็นทางเดินลูกรังสีแดงเพียงเลือนราง  มันเช้าเกินกว่าจะเห็นแสงอาทิตย์ที่ขอบฟ้าเบื้องหน้า  จะเห็นก็แต่ขุนเขาเลื้อยทอดยาวสลับซับซ้อนอยู่ห่างไกล ใกล้รุ่งกดใบหน้าแนบขอบหน้าต่างนิ่งเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของใครบางคนวิ่งช้าๆ มาตามเส้นทางที่ยังปกคลุมไปด้วยสายหมอกหนา  เห็นได้ชัดว่าเป็นการวิ่งออกกำลังเช่นทุกเช้าเท่าที่หล่อนแอบเฝ้ามอง

หลายวันมาแล้วที่หล่อนเห็นเขาออกมาวิ่งในลักษณะนี้  ชุดวอร์มสีขาวที่กลมกลืนไปได้ดีกับสายหมอก  คงเป็นนักท่องเที่ยวในย่านนี้ที่ผ่านมาและผ่านไปตลอดเวลา  ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่หนีร้อนจากในกรุงและมาพักพิงท่ามกลางขุนเขาของเมืองเหนือในช่วงซัมเมอร์  ผลไม้จากไร่ของพ่อจะขายดีที่สุดในช่วงนี้…

พ่อกับแม่มีไร่เล็กๆ ที่ปลูกผักผลไม้เอาไว้ขายเป็นรายได้เสริมหลังเกษียณมาหลายปี  หล่อนมีครอบครัวใหญ่ที่มีพี่น้องถึงเจ็ดคน  แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมดแล้ว  เหลือแค่หล่อนกับน้องชายคนเล็กที่ยังอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน  พ่อเปิดอู่ซ่อมรถเล็กๆ ที่บ้าน โดยมีน้องชายที่เรียนจบช่างกลเป็นผู้ช่วย  ส่วนหล่อนจบการเรือนและช่วยแม่ทำ อาหารส่งที่รีสอร์ทช่วงซัมเมอร์  อีกทั้งมีแผงเล็กๆ หน้าบ้านขายผักสดและผลไม้ตามฤดูกาล  มันเป็นชีวิตที่ผ่านไปวันต่อวันและไม่มีอะไรเร่งร้อนแตกต่างจากชีวิตในเมืองใหญ่

รีบลงไปข้างล่างเพื่อเตรียมแผงขายผัก  น้องชายกำลังง่วนกับการซ่อมรถในโรงรถ  พ่อกับแม่ไปเยี่ยมพี่สาวที่กรุงเทพฯ  และหล่อนก็อยู่กับน้องชายแค่สองคน เพิงขายผักและผลไม้อัดแน่นไปด้วยพืชผักใหม่ๆ ที่หล่อนเพิ่งจะเก็บมา  ใกล้รุ่งแยกผลไม้เหี่ยวเฉาที่เก็บมาหลายวันใส่กระทงแยกไว้ต่างหาก  มันมีกล้วยสุกงอมกับน้อยหน่าที่อาจจะเอาไว้แจกแถมฟรีให้กับคนซื้อขาประจำ  วันดีคืนดีแม่กับหล่อน จะทำขนมแจกจ่ายชาวบ้านในย่านนี้  มันเป็นชุมชนเล็กๆ ที่ทุกคนรู้จักทุกคน…

เสียงฝีเท้าวิ่งเหยาะๆ ผ่านมาและใกล้รุ่งก็หันไปมอง  ร่างสูงใหญ่ในชุดวอร์มสีขาวตุ่นกำลังจะวิ่งผ่านไปพอดี  เจ้าตัวชะลอฝีเท้าและแวะเข้ามาดูผัก  ใบหน้าขาวจัดมีเหงื่อโทรม  เขาใช้ผ้าเช็ดใบหน้าไปมาขณะยืนมองผักผลไม้อยู่นาน  ต้องเป็นคนที่หล่อนเห็นวิ่งผ่านบ้านทุกเช้าตรู่คนนั้นนั่นเอง  ใบหน้าขาวจัดมีตาเข้มและคิ้วเฉียงตรง  นี่คือคนแปลกหน้าที่หล่อนไม่เคยเห็นมาก่อนเลย  และต้องไม่ใช่คนในหมู่บ้านแน่นอน  ใกล้รุ่งเห็นเขายืนจับกระทงใส่ผลไม้และพลิกดูไปมาอย่างลังเล  จับอยู่นานจนหล่อนต้องรีบบอกเขาไปในราคาที่ถูกที่สุด

“ผลไม้หลายวันแล้วค่ะ”

เขาพยักหน้ารับรู้

“เดี๋ยวกลับมา”  เป็นคำพูดแปร่งๆ ไม่ชัดนักก่อนที่จะผละจากไปในทิศทางเดิม  ใกล้รุ่งมองตามจนลับสายตา  คนแปลกหน้าจริงอย่างว่าและอาจจะเป็นชาวเขาต่างชาติพันธุ์ที่ปะปนในพื้นที่  สีผิวและสำเนียงการพูดนั่นเอง…

รีบเอาผลไม้เพิ่มเติมเข้าไปจนล้นกระทง  เขาคงไม่มีเงินมากมายจะจับจ่ายใช้สอย…

น้องชายออกจากโรงรถและเดินมาแวะที่แผง หน้าตาพลเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันรถ  ฝ่ายนั้นเช็ดมือกับผ้าคาดเอวจากนั้นก็หยิบกล้วยไปปอกใส่ปากกิน  ถามไปด้วยว่า

“เขามาซื้ออะไรไป…”

“ยัง  เดี๋ยวจะแวะมาอีกที  อย่าเอากล้วยเขาไปกิน” ใกล้รุ่งว่า

พลนั่งบนเพิงไม้  ยังกินต่อ

“ท่าทางไม่ใช่คนย่านนี้”

“ใคร”

“ก็คนที่เพิ่งไป  เห็นป้วนเปี้ยนมาสองสามวัน  วิ่งออกกำลังทุกวัน”

คงไม่ใช่หล่อนคนเดียวเสียแล้วที่สนใจคนแปลกหน้าผู้มาเยือน  เขาอยู่ในสายตา ของพลเช่นกัน…

“เห็นว่าพายุจะเข้าคืนนี้นี่” น้องชายเปลี่ยนเรื่องคุย

“ไม่แรงมั้ง”

“แรงแน่ลูกนี้  พ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับ”

“คงอีกสองวัน”

“กว่านั้น…”

พลลุกจากไป  คุยกันนับคำได้ในระหว่างพี่น้อง  พลไม่พูดมากเช่นเดียวกับพ่อ

สายจัดบุรุษนั้นจึงกลับมาอีกครั้ง  รอบนี้ใส่เสื้อม่อฮ่อมเก่าๆ สีน้ำเงินซีดจางและกางเกงสีเดียวกัน  หน้าตาใสกว่าเดิมเพราะไร้เหงื่อ เคราเขียวจางเน้นความขาวจัดของดวงหน้า

“เท่าไหร่” เป็นคำถามเบาๆ ขณะล้วงเศษเงินออกมานับให้หล่อน  ใกล้รุ่งต้องเกลี่ยเงินในมือของเขาและนับเองเพราะท่าทางเขาจะไม่ชินการนับเงิน  จากนั้นก็จัดกระทงใส่ถุงเตรียมส่งให้เขา  มองตามมือใหญ่ที่หยิบกองผักบุ้งขึ้นมาจับแล้ววาง  ครุ่นคิดตัดสินใจ

ใกล้รุ่งแทบกลั้นใจขณะตัดสินใจหยิบกองผักบุ้งใส่รวมไปในถุง  ตาสบกันและเขาก็ชะงักไปอึดใจก่อนจะเอื้อมมือมารับถุงจากมือหล่อน  ใกล้รุ่งส่งยิ้มให้เขาก่อน  ไม่มีรอยยิ้มกลับมา  ร่างสูงแค่ผละจากไปเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ

 

เจียงได้ยินเสียงแม่ไอเบาๆ ตอนเขากลับมาถึงบ้าน  เรือนไม้ไผ่ที่สร้างขึ้นอย่างหยาบๆ มาพร้อมกับที่ดินผืนเล็กๆ ที่เขาเช่าต่อจากชาวบ้านย่านนั้น  มันเล็กเกินไปสำหรับคนสามคนที่รวมไปถึงน้องสาวอีกคน  สักวันหนึ่งเขาคงมีเงินต่อเติมให้มันน่าอยู่มากกว่านี้   

มีเพิงไม้ไผ่เตี้ยๆ ใกล้บริเวณบ้านที่ใช้เป็นที่หุงหาอาหารชั่วคราว  เจียงยืนแกะถุงใส่

ผลไม้ที่ได้มา  แม่บ่นอยากกินผลไม้มาหลายวัน  ของในตลาดราคาแพงจนจับไม่ลง  โชคดีผ่านไปเจอชาวไร่ที่เก็บผักมาขายเอง  ราคาถูกเหมือนอยากให้ฟรีเสียมากกว่า  คงเดารู้ว่าเขาไม่มีเงินจึงให้ผักบุ้งแถมมาอีกกองใหญ่  เขาไม่ชินกับการรับของฟรีมาก่อน

คงยากที่จะกลับไปอีก  แค่สบตาคนขายเขาก็นึกกระดากใจ  หล่อนกำลังดูถูกเขาหรือไม่…

มองผลไม้กองโตที่หล่อนแถมมาให้  มันอาจเป็นแค่น้ำใจงดงามของคนทางนี้…มีกล้วยที่สุกงอมกับน้อยหน่าและมะเฟืองเหลืองจัด  แม่คงได้กินไปอีกหลายวัน

แดดจ้าขึ้นทุกขณะตอนที่เจียงเดินลัดเลาะไปจนถึงรั้วไม้ไผ่ที่กางกั้นผืนดินเล็กแคบจากผืนป่ารกร้างกว้างไกล  เหมือนไม่มีใครอยู่เพราะเขาไม่เห็นบ้านคนแม้สักหลัง  แม้แต่รั้วที่กางกั้นก็ถูกสร้างเอาไว้อย่างหยาบๆ  เจ้าของที่แบ่งที่ให้เขาเช่าและต้องจ่ายไปล่วงหน้าถึงหกเดือน  มันเป็นจำนวนเงินที่มากพอดูสำหรับเขาในยามนี้  จนกว่าเขาจะหารายได้เข้าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

เดินลัดเลาะกลับเส้นทางเดิม  เสียงกิ่งไผ่เสียดสีกันตามแรงลมรอบกาย  มันมีความเงียบสงัดที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยและผ่อนคลาย  สักวันหนึ่งเขาคงทำอะไรได้บ้างกับที่ดินผืนนี้  เขาอยากปลูกผักทำไร่จะได้ไม่ต้องไปหาซื้อจากที่อื่น…

น้องสาวกำลังล้างผักที่เขาได้มา  ร่างผอมแห้งเคลื่อนไหวทะมัดทะแมง  ผมตัดสั้นติดหนังหัวทำให้ลินดูไม่ต่างอะไรกับเด็กหนุ่มวัยรุ่น…มันปลอดภัยกับการเดินทางและต้องย้ายที่อยู่ตลอดเวลา  ภาวนาให้การย้ายครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย  แม่แก่มากแล้ว

และอ่อนเพลียยามต้องเดินทางไกลๆ

เดินไปตักน้ำดื่มจากโอ่งใกล้ตัวน้องสาวและฝ่ายนั้นก็เงยหน้าขึ้นมอง  ล้างผักไปด้วย

“พี่เจียงไปได้ผักกับผลไม้ที่ไหนกัน”

“บ้านแถวนี้  ชาวบ้านเขาเอามาขาย  เห็นถูกดี”

“แม่กำลังอยากกิน…ในตลาดแพงมากผักพวกนี้  เขาขายอะไรมั่ง”“

“หลายอย่าง  วันหลังไปดูเองสิ” เจียงบอกทิศทางให้น้องสาว  ก็ดีเพราะเขาจะได้ไม่ต้องแวะไปที่นั่นอีก  สายตาของสตรีนั้นที่มองเขามันมีแววแปลกๆ

หล่อนอาจกำลังดูถูกเขา…

“แล้วไม่ต้องไปพูดคุยอะไรมาก” กำชับน้องสาวก่อนผละจากไปนั่งที่เพิงไม่ใต้ถุนบ้าง  เสียงแม่เคลื่อนไหวอยู่ข้างบนดังออดแอด  มันเป็นเรือนไม้ไผ่ยกพื้นสูง  สายลมพัดผ่านเย็นสบาย  ไม่ไกลนักจากถนนลูกรังสายเดียวที่ตัดผ่าน  มันเป็นเส้นทางที่พาไปสู่ตลาดและหมู่บ้านห่างไกลออกไป  ถนนสายที่เขาออกไปวิ่งออกกำลังกายแทบทุกวันตั้งแต่ย้ายเข้ามาอยู่…

หมาขี้เรื้อนผอมโซเดินมายืนเบิ่งมอง คงเป็นหมาจรจัดที่ถูกไล่ตะเพิดออกจากหมู่บ้าน  ท้องแห้งจนติดสันหลัง  ขี้เรื้อนกินแต่ก็พอจะหาเค้าเดิมได้บ้าง  เจียงกระดิกปากเรียกมันเบาๆ และมันก็ทำท่าจะเดินเข้ามา  พอเขาลุกขึ้นยืนมันก็ถอยฉากหลบหน้าตาไม่บ่งบอกว่าจะไว้ใจใครง่ายๆ…

เอาข้าวเปล่าที่เหลือติดหม้อไปเทหน้าบ้านและยืนมองมันรี่เข้ามากินอย่างหิวโหย

คงอดอยากมาลายวันจนลืมกลัว  เริ่มมีข่าวเจ้าหน้าที่เอายาเบื่อมาไล่ล่าหมาจรจัดที่โน่นที่นี่

เขาแค่อยากช่วยชีวิตมันเอาไว้อีกหนึ่งชีวิต  มันเป็นสัตว์โลกที่จรจัดไม่ต่างอะไรจากเขา…

 

พลเอารถคันเก่าที่เพิ่งซ่อมเสร็จออกไปลองขับ  มันเป็นรถเก่าที่ได้มาจากเพื่อนสนิทที่เคยเรียนมาด้วยกัน  เขาใช้เวลาหลายวันกว่าจะซ่อมมันจนอยู่ในสภาพใช้การได้ถึงขั้นนี้ 

เดิมมันเป็นรถแข่งที่คงผ่านการล้มลุกคลุกคลานมาหลายสมัย  พ่อของธงเป็นตำรวจเก่าที่ปลดเกษียณแล้ว  ใช้ชีวิตวัยชราด้วยการกว้านซื้อรถเก่ามาซ่อมและขายต่อ  เมื่อรถล้นโรงเก็บเพื่อนก็จะแบ่งปันเอามาให้เขาแก้ไว้ใช้เอง  อยากได้ค้นนี้มานานความที่มันเป็นรถแข่งมีชื่อในสมัยหนึ่ง  แม้สภาพภายนอกจะถลอกปอกเปิกดูแทบไม่ได้แต่เขาเชื่อในพลังของมัน  สักวันเขาจะเอามาพ่นสีใหม่ให้สวยงามเหมือนสภาพเดิม

แวะไปหาเพื่อนที่บ้าน  แค่บีบแตรเรียกไม่กี่ทีธงก็วิ่งหัวสั่นหัวคลอนออกมาจากบ้าน

เนื้อตัวมอมไปด้วยคราบน้ำมันรถ

“เฮ้ย  ซ่อมได้แล้วหรือคันนี้“ เปิดประตูรถก้าวขึ้นมานั่งอย่างตื่นเต้น “เอ้า  ลองหน่อยๆๆ“

พลกระชากรถเคลื่อนออกจากที่  มันวิ่งฉิวไปตามทางลูกรังที่ลัดเลาะออกนอกเมือง  ฝุ่นสีแดงกระจายตัวคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ

“โห…แจ๋วมากเลยว่ะ  มึงซ่อมเสร็จตั้งเมื่อไหร่วะ” ธงตื่นเต้น

“เพิ่งเสร็จเนี่ย  มาลองให้มึงดูไง  เผื่อจะนึกเสียดาย”

“เฮ่ย  กูมีอีกหลายคัน  พ่อแกได้มาถูกๆ  นี่ถ้ารู้ว่ามึงซ่อมคันนี้ได้คงดีใจ  เพราะแกปลุกปล้ำอยู่หลายวันเหมือนกัน  จนยอมแพ้ไปแล้ว”“

“พ่อกูก็ช่วยซ่อมอยู่พัก  แต่ตอนนี้ไปเยี่ยมพี่สาว  จะคลอดลูก”

“พ่อกูยังถามถึง”

เป็นความสนิทสนมของสองครอบครัวจนเกือบจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน  ลูกเต้าวิ่งเล่นมาด้วยกันตั้งแต่วัยเด็ก  ผูกพันแน่นแฟ้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อเติบใหญ่…

มีกลุ่มชนเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหน้า  รถเจ้าหน้าที่และตำรวจเดินกันไปมาขวักไขว่  พลรีบเหยียบเบรคและแวะจอดข้างทาง

“กูไม่มีใบขับขี่  มันมาตั้งด่านตรวจหาอะไรของมัน” พลว่า

“สงสัยพวกลี้ภัย  มันทะลักเข้ามาตั้งแต่เดือนที่แล้ว”

“จากไหน”

“เห็นพ่อว่าเป็นชนกลุ่มน้อยหนีมาจากเมืองจีน  เป็นเจ้าลัทธิพวกกบฎอะไรนี่แหละ เขากำลังประสานงานไล่ล่ากันอยู่”

“เยอะไหม”

“ขึ้นชื่อว่าลัทธิมันก็ต้องเยอะใช่ไหมล่ะ”

“เห็นมีหลายลัทธิเหลือเกินนี่หว่า” พลเตรียมกลับรถ

“แต่รายนี้เห็นพ่อบอกว่าเดิมเป็นพวกเซน  อาศัยอยู่ตามภูเขาสูงแถวทิเบต  พอเป็นลัทธิใหญ่คนขึ้นกันแยะ  เจ้าหน้าที่จีนเขาก็รีบปราบปราม  มันก็เลยถอยร่นหนีเข้ามาฝั่งไทย”

“แปลก…” พลเร่งเครื่องพารถกลับเส้นทางเดิม “เป็นเซนก็พวกพระสิถ้างั้น  เหมือนพวกเส้าหลินในหนังจีนกำลังภายในหรือเปล่าวะ”

“คงงั้น  ร้ายมากนะมึงพระพวกนี้  กรูดูในหนังพระแก่ๆ ดีดนิ้วทีเดียวคู่ต่อสู้กระเด็น”

“นั่นมันในหนัง จริงๆ กูว่าที่กระเด็นอาจจะเป็นพระมากกว่า”

หัวเราะชอบใจกันสองคน

“กูอยากเห็นจริงๆ ว่ะ  พระเส้าหลินเจอกับตำหนวดไทย”

“มีหวังปืนกระเด็นกระสุนตก”

“นั่นไม่เท่าไหร่  ชนิดคาบลูกกระสุนได้นี่สิมึงของเแท้”

“หรือไม่ก็เดินบนน้ำหายวับไปกับตา…”

“กูละจะบ้าตาย  เคยดูเบื้องหลังการถ่ายทำหนังจีนมะ  แมร่งเชือกระโยงระยางท่วมจอ  นั่นแหละกำลังภายในวิธีเบาตัวของแท้”

“แล้วมันถ่ายไงวะกูไม่เคยเห็นเชือกสักที  เห็นแต่สายสะดือ”

หัวเราะกันตึงก่อนมาถึงบ้านและพลก็จอดให้เพื่อนลง

“แล้ววันหลัวกูจะพาไปไกลๆ  ให้ตำรวจพวกนี้มันไปกันให้หมดก่อน”

พลออกรถพรืดจนฝุ่นกระจาย  คงต้องรีบไปทำใบขับขี่ก่อนที่จะถูกจับ  เพราะพักนี้ตำรวจแมร่งมีทุกหัวระแหง  กะอีแค่จับพระเซนแก่ๆ ที่หนีข้ามเขตแดนมาจากแดนไกล…

 

ใกล้รุ่งเก็บผักและผลไม้ได้เต็มกระจาดใหญ่สำหรับขายวันต่อไป  ได้น้อยหน่าสุกคาต้นมาหลายลูกกับมะละก

มีลูกค้าเพิ่มเข้ามาและท่าทางเขาจะชอบผลไม้สด  พรุ่งนี้เขาจะแวะมาอีกไหมนะ…มีผักสดอีกหลายอย่างจากไร่ที่หล่อนเก็บเพิ่มเติมเข้ามา  แต่เดิมเคยมีลูกค้านับคนได้ บางรายเหมาซื้อไปขายในตลาดสดด้วยราคาที่แพงกว่ากัน  แม่พอใจมากกว่าที่จะขายให้ชาวบ้านยากไร้ในย่านนี้ที่ไม่ค่อยมีเงิน

แม่โทรทางไกลมา  กรี้ดกร้าดมาตามสายว่า

“ชลคลอดลูกชายแล้วนะ  ต๊าย  น่ารักน่าชัง  ตอนนี้พ่อเราเค้ากำลังเห่อใหญ่นี่  แม่คงกลับบ้านได้อาทิตย์หน้า”

“หน้าเหมือนใครแม่” หล่อนพลอยตื่นเต้นไปด้วยกับหลานชายคนแรก

“เหมือนพ่อถอดออกมาเลย  นี่ปู่กับย่าก็เห่อกันใหญ่  แล้วแม่จะถ่ายรูปส่งไปให้ดู  ว่าแต่รุ่งดูแลบ้านให้ดีนะลูก  แล้วขายของดีไหม”

“ได้ลูกค้ารายใหม่แม่  ท่าทางไม่ใช่คนแถวนี้” รีบบอกแม่ไป

“ก็ดีสิ  นักท่องเที่ยวมั้ง  ทำไมรุ่งไม่ทำขนมไว้ขายมั่ง  ขนมกล้วยก็ได้  กล้วยเหลือออกเยอะแยะ  ที่รีสอร์ทเขามาสั่งมั่งรึเปล่า”

“พักนี้ไม่มีเลย  รุ่งว่าอาจจะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว”

“ยังไงแม่จะรีบกลับไปช่วย  แล้วน้องเราเป็นไง”

“เพิ่งซ่อมรถเสร็จเห็นเอารถไปลองป่านนี้ยังไม่กลับ”

“ดูแลน้องให้ดีลูก  อย่าให้เที่ยวมากนัก  ชอบไปมีเรื่องมีราว…เดี๋ยวก็มีเรื่องชกต่อยกันอีกหรอก”

แม่บ่นน้องชายอีกกระบุงโกยก่อนจะวางสายไป  พลเป็นน้องสุดท้องที่แม่ห่วงมากที่สุด  เคยไปมีเรื่องชกต่อยกับนักเลงลูกนายตำรวจใหญ่จนเกือบจะเข้าคุกก็หลายครั้งหลายหน

ลงมือทำขนมกล้วยตามคำแนะนำของแม่  มีกล้วยสุกงอมเหลือกินเหลือขาย แม้จะแจกจ่ายไปมั่งแล้ว  พ่อมีไร่กว่ายี่สิบไร่และแบ่งทำสวนมะพร้าวและไร่กล้วยกับพืชผักผสมผสานนานาชนิด  มันกลายเป็นรายได้เสริมของครอบครัวหลังจากปลดเกษีนณได้หลายปี

ที่นี่คืออำเภอชายแดนเล็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโตในทุกหัวระแหง  พ่อเคยเป็นครูและแม่ก็เป็นพยาบาลประจำอำเภอ จนปลดเกษียณพร้อมๆ กันกับพ่อ  หล่อนเกิดและโตที่นี่เช่นเดียวกับพี่น้องอีกหกคน  ห้าคนมีเหย้าเรือนกันไปแล้วและแยก ย้ายไปอยู่ที่ห่างไกล…

พลได้กลิ่นขนมกล้วยตั้งแต่ยังไม่ขึ้นบ้าน  เรื่องทำขนมเก่งต้องยกให้พี่สาว  ในวัยยี่สิบห้าพี่สาวแก่กว่าเขาถึงเจ็ดปี  จบการเรือนจากวิทยาลัยประจำจังหวัดก็ช่วยแม่ทำอาหารส่งขายตามรีสอร์ท

พลชะโงกหน้าเข้าไปในครัวก็เห็นฝ่ายนั้นง่วนอยู่หน้าเตาไฟ  ถักผมเปียจรดกลางหลังทำให้ดูคล้ายเด็กวัยรุ่นก็ไม่ปาน ความสวยจนเลื่องชื่อในอำเภอทำให้มีคนมาติดต่อไปประกวดนางงามสงกรานต์แทบทุกปี  คนตามจีบตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ แม้กระทั่งเจ้าธงสหายของเขาก็ยังไม่วายจะจีบข้ามรุ่น  พี่สาวคนอื่นๆ มีครอบครัวไปหมดแล้วและเหลือพี่สาวคนนี้เพียงคนเดียวเป็นน้องนุชสุดท้อง

เข้าห้องอาบน้ำอาบท่าชำระล้างคราบไคลสกปรกที่คลุกคลีมาทั้งวัน  นัดจะไปดูหนังกับธงเพราะมีหนังใหม่เพิ่งเข้า  พอออกจากห้องน้ำเจ้านั่นก็โทรเข้ามาพอดี

“เฮ้ย  เสร็จรึยัง  กูรออยู่”

“ไปเดี๋ยวนี้”

พลแต่งตัวเร่งรีบ  บ้านที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วยมันอิสระอย่างนี้เอง  คือเขาไม่ต้องคอยบอกใครว่าเวลาจะไปไหน  ถ้าพ่ออยู่จะไปไหนมาไหนต้องคอยรายงาน  กลับเกินสี่ทุ่มก็ไม่ได้เหมือนเขาเป็นเด็กเล็กๆ  พ่อมาเข้มงวดจัดตอนที่เขาไปมีเรื่อง มีราวกับนักเลงเจ้าถิ่นตั้งแต่สมัยยังเรียน

ขับรถคันที่เพิ่งแก้เสร็จออกจากบ้าน  ได้เวลาลองเครื่องอีกครั้ง  มันน่าจะไปถึงกรุงเทพฯได้  รอให้แน่ใจอีกนิดจะชวนธงขับเข้ากรุงเทพฯด้วยกัน รถแล่นฉิวไปตามถนนสายเดียวในเมือง  จวนจะถึงบ้านเพื่อนเครื่องก็เกิดกระตุก แล้วดับไปเสียเฉยๆ  เวรกรรม…รีบลงจากรถและเปิดฝากระโปรงรถดู  ควันดำคละคลุ้งจนแทบสำลัก  ไหนว่าซ่อมมาดีแล้ว…

พลไอสำลักควัน  หูแว่วเสียงมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอดสองสามคัน

เหลียวมองผ่านควันก็เห็นรองเท้าบู้ตสามคู่เกร่มาทางด้านหลังเขา  เห็นตีนก็จำหน้าได้  คนหนึ่งคือไอ้ทนาลูกนายตำรวจใหญ่กับลูกน้อง  พวกมันคือแก๊งศัตรูคู่อาฆาตของเขานั่นเอง

“รถใหม่หรือวะไอ้พล“ ไอ้ทนาขยับขาเดินเข้ามาใกล้เขาและชะโงกหน้ามองรถไปด้วย  อีกสองตัวขยับตามและยืนจังก้า  แต่ละตัวสวมยีนส์ขาดๆ จนเห็นรอยสักสีดำอันเป็น สัญลักษณ์บนหัวคือหมวกแก้บสีดำมีรูปกระโหลกไขว้สีขาว

“เรื่องไรของมึง” พลทำท่าจะปิดฝากระโปรงรถแต่มันเอามือง้างเอาไว้ได้ทัน

“เรื่องของมึงก็คือเรื่องของกู” ไอ้ทนาพูดยียวน

“กวนตีนมากไอ้เหี้ยนี่” อีกคนเสริม

“มึงสิเหี้ย  เหี้ยก็อยู่ส่วนเหี้ย” พลปัดทุกมือที่พัวพันอยู่แถวนั้น “ถอยไป”

“ไอ้นี่วอน” มือไอ้ทนากดหัวเขากับหม้อรถ  จากนั้นก็กระแทกฝากระโปรงรถทับ ลงมาบนหัวเขาสามสี่ทีจนสุดแรงเกิดของมัน  พลตาลายเห็นดาวาววับก่อนที่จะล้มก้นกระแทก  จากนั้นหลายตีนก็รุมยำเขาไม่รู้ใครเป็นใครจนตัวงอฟาดฟื้น จุกเสียจนลุกไม่ขึ้น ไม่นานหูก็แว่วเสียงเตะถีบดังตุ้บตั้บรอบตัวจนแผ่นดินสะเทือน  มันเป็นเสียงการต่อสู้ที่ไม่ใช่กับเขาอีกต่อไปแล้ว

พลหมอบนิ่งเพราะความจุก เสียงการต่อสู้จบลงในระยะเวลาแสนสั้น  จากนั้นทุกสิ่งก็สงบนิ่ง  ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ ผ่านมาเข้าหูเขาอีก  เลือดอุ่นไหลเข้าตาและพลก็ปาดมันทิ้งก่อนที่จะลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปรอบตัวก็เห็นเจ้าสามตัวนั่นนอนกลิ้งเลือดกลบตามหน้าตา  บางคนส่งเสียงร้องครวญครางไปด้วย

เกิดอะไรขึ้น…พลรีบหยัดตัวจากพื้นและมองไปรอบๆตัวอีกครั้ง  ไม่เห็นใครนอกจากเจ้าสองตัวนอนร้องครวญคราง  ไอ้ทนานอนแน่นิ่งเหมือนตาย  ในขณะที่อีกคนหนึ่งทำท่าจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง

พลรีบกระเสือกกระสนออกจากที่นั่น  เลือดยังไหลอาบจากบาดแหลที่หัว  แรงกระแทกจากฝากระโปรงรถนั่นเอง  แน่ใจว่าเขาเกือบจะถูกพวกมันรุกระทืบถ้า ไม่มีใครบางคนกระโจนเข้ามาช่วยไว้ได้ทัน  เสียงเตะต่อยยังดังก้องทั้งสองหู  ใครกันที่มาช่วยเขาเอาไว้ได้ทันท่วงที  ก่อนที่จะหายตัวไปเหมือนปาฏิหาริย์…

เดินเลือดโทรมหน้าไปหาธงที่บ้าน  พอเห็นสภาพของเขาเพื่อนก็โวยวายถาม

“มึงไปโดนอะไรมาวะ“

นั่งเล่าให้เพื่อนฟังคร่าวๆ  ธงช่วยเช็ดเลือดและทำแผลไปด้วย

“โชคดีแผลไม่ลึก  ไม่งั้นต้องไปโรงบาลเย็บแผลแน่เลยมึง  แล้วใครที่มันมาช่วย”

“ไม่ทันเห็นหน้า  ซัดไอ้พวกนั้นเร็วมากตอนที่กูล้ม  ตอนนั้นเลือดกำลังเข้าตาด้วย แป๊ปเดียวล่อพวกมันซะหมอบ“

“ถึงตายไหมวะ”

“ไม่ทันได้สำรวจศพ  แต่ไอ้ทนาหนักหน่อย  ถ้าไม่ตายก็คงคางเหลือง”

“งั้นนั่งอยู่นี่  เดี๋ยวกูไปดู”

“เกิดตำรวจมา”

“เออน่า”

เพื่อนไปแล้ว  พลยกมือขึ้นแตะผ้าก็อตที่ปิดแผลตรงหน้าผาก  มันยังชุ่มเลือดหมาดๆ  กลิ่นทิงเจอร์ฉุนกึกเข้าจมูก  เริ่มตึงที่บาดแผลและเวียนหัวจนต้องล้มตัวลงนอนบนแคร่นั่นเอง  ข้างบนเงียบกริบคงไม่มีใครอยู่  บ้านธงเป็นบ้านไม้สองชั้นหลังใหญ่ที่มีคนอยู่แค่สองคน  นั่นคือธงกับพ่อที่เป็นตำรวจและเพิ่งจะเกษียณ

หลับตานิ่งและเอามือก่ายหน้าผากตรงบาดแผลที่เริ่มระบม  อะไรจะเกิดขึ้นถ้าพี่สาวรู้  เพราะพี่รู้พ่อก็ต้องรู้  พ่อเคยสั่งห้ามขาดเรื่องไปต่อยตีกับนักเลงพวกนั้น  มันเริ่มมาตั้งแต่ตอนเรียนและหนักหนาเมื่อใกล้จะเรียนจบ…

แต่เขาก็ไม่ได้ไปก่อเรื่องอะไรกับพวกมันมานานจนกระทั่งวันนี้  ที่สำคัญมันมาหาเรื่องเขาก่อน และใครกันที่ผ่านมาช่วยเขาเอาไว้ได้ทันท่วงทีก่อนที่จะถูก พวกมันรุมยำกระทืบตายคาตีน…



Don`t copy text!