ก่อนฟ้าสาง บทที่ 4 : บุรุษปริศนา

ก่อนฟ้าสาง บทที่ 4 : บุรุษปริศนา

โดย : ม.มธุการี

Loading

ก่อนฟ้าสาง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวโดย ม.มธุการี เมื่อ ‘เจียง’ เลือกพาครอบครัวหนีความเดือดร้อนมาพักพิงยังแผ่นดินไทย แต่แผ่นดินแห่งนี้จะเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยให้กับเขาได้จริงๆ หรือ เจียงยังจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมาย อาจจะมีเพียง ‘ใกล้รุ่ง’ หญิงสาวผู้อ่อนโยนคนนั้นที่เป็นความหวังของเขา

ประชานัดกินข้าวกลางวันกับลิลิตตอนเที่ยง  ปัญหาเกี่ยวกับพลยังรุมเร้าและสร้างความกังวลให้เขาตั้งแต่รู้เรื่อง  สังหรณ์บางอย่างบอกเขาว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็ก  ลิลิตเองก็ดูจะเห็นด้วยกับเขา  เพราะถามไถ่ไปถึงบุตรชายในทันทีที่เจอกัน

“เป็นไง  เห็นว่าถูกรุมเสียหมอบเลยลูกคุณ  แล้วนึกยังไงไปมีเรื่องมีราวกับพวกมัน ครูเคยห้ามเอาไว้แล้วไม่ใช่หรือ“

“มันฟังใครมั่งลูกผม  นี่สั่งห้ามขาดเรื่องออกจากบ้าน“ ประชาบ่นอุบ  สั่งกับแกล้มพร้อมเบียร์มานั่งระบายทุกข์ให้กันฟัง

ลิลิตอยู่ในวัยเดียวกับเขาและเกษียณอายุพร้อมๆกัน  นายตำรวจเก่าตรงฉินเป็น ที่นับหน้าถือตาของคนทั้งอำเภอ

“น่าจะเงียบไปได้แล้วมั้งไอ้พวกนั้น  เห็นว่าถูกซัดเสียหมอบไปเลยเหมือนกัน  ลูกผมมันมาเล่า“ ลิลิตคุยต่อ

“มันจะบานปลายน่ะนาผมว่า  มันยอมใครเป็นมั่ง  นี่ผมยังไม่รู้เลยว่าใครที่มาลงมือกับพวกมัน“

“ที่แน่คือต้องไม่ใช่นักเลงย่านนี้แน่  ใครกล้าเล่นกับพวกมันมั่ง  เท่าที่รู้มามันเก็บเงียบไปหลายศพแล้ว  จับมือใครดมไม่ได้ด้วย  ห่วงก็แต่ลูกคุณตอนนี้“

ประชานิ่งอั้น ใครจะรู้ดีไปกว่าอดีตนายตำรวจเก่าอย่างลิลิตเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้

นักเลงหลายกลุ่มหลายก๊กกำลังก่อตัวเบ่งบานในท้องที่อย่างไม่หวั่นเกรงมือกฎหมาย และทำท่าว่าจะรุนแรงขึ้นทุกขณะ  เขาจะปกป้องอะไรพลได้  ขนาดเข้ากรุงเทพฯแค่ไม่กี่วันยังเกิดเรื่องได้ขนาดนี้ ที่ร้านขายผลิตภัณฑ์การก่อสร้างใกล้ๆมีกลุ่มคนงานขนถ่ายลังสินค้าลงจากรถบรรทุกและลิลิตก็ชี้ให้เขาดู

“คนงานที่เสี่ยกิจแกจ้างเอาไว้ก็เห็นว่าลูกชายคนโตเสี่ยใช้เป็นลูกน้องเป็นมือวางระเบิดที่โน่นที่นี่  เป็นลูกไล่ของลูกชายผู้การพิสุทอีกที  ก็ก๊กเดียวกัน  มันเกเรมานานแล้วลูกเถ้าแก่  จนผมเกือบส่งไปอยู่โรงเรียนดัดสันดานมาทีแล้ว  เถ้าแก่มาร้องห่มร้องไห้ขอเอาไว้  แกเป็นคนดีมากนะเถ้าแก่กิจเนี่ย  ดีจนลูกเสียผู้เสียคน“

ประชารับฟังไปเรื่อยๆ  จะดีจะเลวพลก็ยังอยู่ในกรอบที่เขาวางเอาไว้ให้  ที่ไปมีเรื่องราวในวัยเรียนก็เพราะนิสัยสู้คน  เคยคิดว่ามันจะผ่านไปเมื่อพ้นวัยเรียนและมีการงานทำก็ยังไม่วายถูกตามรังแก  เขาจะทำอะไรได้บ้างในตอนนี้เพื่อกันบุตรชายให้พ้นจากภัยที่กำลังก่อตัวขึ้นในตอนนี้

“ผมว่าจะส่งพลไปอยู่กรุงเทพฯสักพัก“ เอ่ยออกไปอย่างเลื่อนลอย  ไม่แน่ใจแม้กระทั่งว่านั่นคือความต้องการของเขาอย่างแท้จริงหรือไม่

“ยิ่งไกลตาก็ยิ่งน่าเป็นห่วง  หรือคุณว่าไม่จริง“ ลิลิตพูดเหมือนอ่านใจของเขาออก “เด็กมันจะดีหรือเลวอยู่ที่ไหนมันก็เหมือนๆกัน  ใกล้เราเรายังช่วยเหลือได้บ้าง“

“นี่ผมยังไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องตีรันฟันแทงกันขึ้นมาผมจะไปช่วยลูกมันได้ยังไง“

“บ้านเมืองยังมีขื่อมีแป“

“นั่นมันสมัยหนึ่ง…และก็ไม่ใช่ที่นี่…”

“รึอย่างน้อยก็ยังมีคนดีที่คอยช่วยเหลือคนดี  ไม่งั้นวันนั้นคงไม่มีใครโดดเข้ามาช่วยลูกคุณไว้“

และนั่นก็คือปริศนาที่เขาขบไม่แตกจนเดี๋ยวนี้  ก็เพราะที่ผ่านมามันไม่เคยปรากฎ

นี่คือดงนักเลงที่ทุกคนรู้กิตติศัพท์ของไอ้พวกนั้นเป็นอย่างดี  การยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือไม่ต่างอะไรกับการหาเหาใส่หัวตัวเอง  ไม่มีคนฉลาดที่ไหนเขาทำกัน  เจ้านั่นถ้าไม่บ้าก็คงจะโง่อย่างบัดซบนั่นเลยทีเดียว…

“อยากรู้จริงๆว่ามันเป็นใคร  นักเลงกลุ่มไหนถึงได้กล้านัก“ ประชาว่า

“อาจจะนักเลงพลัดถิ่นหลงเข้ามา  เกิดคันมือคันตีนขึ้นมา“ ลิลิตหัวเราะไปด้วย

“เท่าที่ฟังดูมันเร็วมากขนาดลูกคุณไม่ทันได้เห็นหน้า  ที่สำคัญคือเป็นมวย“

“สืบให้ทีได้ไหม  คุณกว้างกว่าผม  อยากรู้ว่านักมวยจากค่ายไหน“

“จะรู้ไปทำไมกัน“

“อย่างน้อยเขาก็มีบุญคุณ  อีกอย่างผมว่าเขาต้องเป็นคนดีและกล้ามากด้วย“

“จะสืบให้ละกัน  คิดว่าไม่น่าจะยาก  ค่ายมวยมันมีอยู่กี่แห่งกันย่านนี้“

………..

เจียงเริ่มงานแต่เช้าและมาพักตอนเที่ยง  มันเป็นงานแบกหามที่ไม่ได้หนักหนาเกินไปสำหรับเขา  มีคนงานทั้งหมดประมาณสิบกว่าคนและล้วนแต่เป็นคนงานจากเมียนมาที่ส่งภาษาคุยกันเองชนิดที่เขาไม่เข้าใจ

เจียงเข้าห้องอาหารและตักอาหารมานั่งกินเงียบๆ…ห่างไกลจากทุกคน  เสี่ยกิจกำชับนักหนาให้เขาเลี่ยงคนงานกลุ่มนี้ให้มากที่สุด

มันต้องมีอะไรที่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้ในตอนนี้  ไม่ชอบแววตาของกลุ่มคนงานที่มองเขาและซุบซิบพูดคุยกัน  ตามติดมาด้วยเสียงหัวเราะขบขัน  แม่ครัวอ้วนตั้กยกถาดอาหารมาเสริม  หน้างอหงิกเมื่อได้ยินเสียงล้อเลียนดังแว่วมาตามลม

“อาหารหมูมิน่าแม่ครัวอ้วนยังกะหมูตอน“ เป็นภาษาไทยที่ชัดเจนและแม่ครัวก็ค้อนขวับก่อนจะเดินลับหายเข้าครัว  มีเสียงผัดดังโฉ่งฉ่างแว่วมาแทนที่

“เลือกกินแต่ผักมึงมันควายรึเปล่าวะ…ไม่หมูก็คงควาย…” เสียงเดิมลอยมาตามลม

เจียงเขี่ยผักในจานของเขาเอง  รู้ว่ามันกระทบเขานั่นเอง  ก้มหน้าก้มตากินต่อเงียบๆ  เริ่มเข้าใจในตอนนี้ถึงคำเตือนของเถ้าแก่  นี่คือกลุ่มนักเลงหัวไม้ที่พร้อมจะรวนกับทุกคนที่ผ่านเข้ามาในเส้นทาง…

“จะหมูจะควายมึงก็รีบๆแดกเหอะแล้วไปทำงานต่อ“ แม่ครัวคนเดิมยกถาดใหม่ออกมา  ค้อนควักไปด้วย

“ปากดีนักนะอีเจ๊  อาหารมึงคืออาหารหมูรู้ไว้ด้วย“ คนหนึ่งเสียงดังเข้าใส่

“ไม่อยากแดกก็เรื่องของมึงไม่ใช่เรื่องของกู“

แม่ครัวเดินเข้าครัว  มีเสียงหัวเราะเฮฮาตามไล่หลัง  เจียงรีบอิ่มอาหารก่อนจะหลบออกจากที่นั่น  สวนกับเสี่ยกิจที่หน้าห้องทำงานและฝ่ายนั้นก็พยักหน้าให้เขา เดินตามเข้าไปในห้อง  จากนั้นก็ชี้ให้เขานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม

“มีแต่ชื่อ  ไม่มีที่อยู่  ไม่มีอะไรทั้งสิ้น“ มืออวบหยิบใบสมัครที่เขากรอกเอาไว้ขึ้นมาดูและทิ้งลงบนโต๊ะตามเดิม “ก็เอาเถอะ  เธออาจจะมีเหตุผลส่วนตัว จะมีเจ้าหน้าที่เข้ามาตรวจคนงานเป็นประจำ  ก็เตือนให้ระวังตัวไว้บ้างระยะนี้  จนกว่าจะมีทางออกทางอื่นถ้าเธอตัวคนเดียวและไม่มีที่อยู่เรามีบ้านพักคนงาน…”

“ผมมีแม่กับน้อง  ตอนนี้มีที่อยู่ที่ต้องซ่อมแซม“ เจียงอธิบาย

ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้ารับรู้  เอื้อมมือไปรับโทรศัพท์ในทันทีที่เสียงกริ่งดังขึ้น

คุยอยู่สองสามคำก่อนจะรีบวางสายและหันมาคุยต่อกับเขา

“เราจ่ายเงินเป็นรายวัน  ถ้าเธอจะเอาอะไรไปซ่อมบ้านก็เอาไป  แล้วจดเอาไว้  หักจากค่าแรงที่ได้  อาหารเย็นก็เอากลับไปบ้านได้  จะบอกแม่ครัวเอาไว้…”

เจียงนั่งเงียบ  มองร่างอ้วนที่นั่งเอนตัวบนเก้าอี้ ใบหน้าขาวจัดมีแววเอื้ออารีในดวงตาชนิดที่เขาคาดไม่ถึง   และนี่ก็คือคนแปลกหน้าที่เขาไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อนเลย…

“ฉันชอบช่วยคน“ เป็นคำอธิบายสั้นๆง่ายๆเหมือนจะอ่านความคิดของเขาออกมีเสียงเคาะประตูห้องแล้วใครคนหนึ่งก็ก้าวพรวดพราดเข้ามาอย่างถือวิสาสะ  เจียงดูจะจดจำอีกฝ่ายได้ดี  ลูกชายคนโตของเถ้าแก่นั่นเอง

“เตี่ยอยากเจอผมทำไมอีกหล่ะ“ เป็นคำถามห้วนและเจียงก็รีบลุกออกจากที่นั่น เงียบๆ  ได้ยินเสียงโต้เถียงกันดังแว่วมา  ไม่มีใครสักคนที่นั่นให้ความสนใจ  อาจจะเป็นความเคยชินมาเนิ่นนานแล้วก็ได้…

มีรถมอเตอร์ไซค์หลายคันมาจอดที่ตลาดวันนั้น  พรั่งพร้อมไปด้วยกลุ่มนักเลงมานั่งซ่องสุมกินเหล้ากัน  แน่ใจว่าเป็นก๊กเดียวกับที่ถูกเขาซัดให้เมื่อวันก่อน  บางคนยังมีผ้าพลาสเตอร์ปิดแผลอยู่เลย  บางคนลอบมองเขาตอนขนของแต่เจียงพยายามใช้ผ้าโพกหัวคลุมหน้าตา  ภาวนาอย่าให้มีใครจำเขาได้  มันจะเป็นเรื่องใหญ่ถ้าไอ้พวกนั้นจำเขาได้..

————

มีกลุ่มรถมอเตอร์ไซค์ขับวนเวียนไปมาหลายรอบอยู่หน้าบ้านและประชาก็ยืนมองอยู่ชั้นบน  แน่ใจในทันทีว่าเป็นแก๊งเดียวกับที่กำลังจองล้างจองผลาญกับลูกชายของเขาอยู่ในเวลานี้  มันจะเอาอะไรกันแน่…อาจจะเริ่มทำสงครามประสาทในระยะแรก

สั่งบุตรสาวให้ปิดประตูรั้วและงดการขายผักชั่วคราว  บ้านเคยเปิดกว้างต้อนรับทุกคนและทุกเวลา แต่เขาคงประมาทไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  อะไรร้ายๆอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อถ้าเขา ไม่ระวังตัว…

พลกำลังซ่อมรถอยู่ในโรงรถเมื่อเขาลงไปข้างล่าง  แผลที่หน้าผากยังบวมแดงเห็น สะเก็ดเลือดเป็นริ้วขึ้นชัดเจน  ประชาเดินไปทรุดตัวนั่งบนโต๊ะ  เหลียวมองไปเห็นปืนโผล่พ้นขอบกางเกงลูกทางด้านหลัง เอื้อมมือไปดึงปืนกระบอกนั้นเร็วๆ จนบุตรชายหันมองหน้า

“ปืนใคร  ใครให้มา“ ประชาถามเสียงเครียด  พลิกดูก็เห็นบรรจุกระสุนเอาไว้เต็มลูกโม่

“ไอ้ธงมันให้มา“ ตอบอ้อมแอ้มและก้มหน้าก้มตาซ่อมรถต่อ “มันบอกของพ่อมันเอาไว้ป้องกันตัว“

ประชานิ่งงันไป  เท่ากับว่าลูกก็รู้แล้วถึงภัยรอบตัว  ขนาดต้องหาปืนมาไว้  รู้ทั้งรู้ว่าเขาเคยสั่งห้ามขาด

“เดี๋ยวจะเอาไปคืนเขา“ ประชาลงจากโต๊ะที่นั่ง  ตบปืนไปมากับฝ่ามือ “ทีหลังเห็นเล่นปืนอีกจะเจอดี  แล้วไม่ต้องออกจากบ้านไปไหนตอนนี้“

สั่งเสร็จก็เดินขึ้นบ้าน  เข้าไปโทรถึงลิลิตในห้องทำงานส่วนตัว  พอฝ่ายนั้นรู้เรื่องก็รีบบอก

“หาปืนกระบอกนั้นอยู่เหมือนกัน  ธงมันคงแอบเอาไปให้เพื่อน“

“เดี๋ยวจะเอาไปคืน  คุณรู้ว่าผมไม่เคยให้ลูกเล่นปืน“

“เอาไว้ป้องกันตัวจะเป็นไรไป  ที่ถูกมันรังแกก็เพราะว่าไม่มีอาวุธป้องกันตัวนั่นไง“ ลิลิตว่า

“ผมไม่อยากเห็นลูกฆ่าใครตาย  พลมันใจร้อน“

“แต่ยอมให้ถูกพวกมันฆ่าตายฝ่ายเดียวงั้นเหรอ ไม่ด้าย…คุณไปเล่นกับไอ้พวกนั้นมันไม่ได้  ทุกวันนี้มันก็กร่างเต็มบ้านเต็มเมือง จนคนเขาเอือมไปทั้งตลาด  ทั้งปล้นจี้ฆ่าข่มขืนมันทำกันมาทั้งนั้น  เคยจับมันได้กันรึเปล่ารู้ทั้งรู้  ใครๆเขามีปืนป้องกันตัวกันทั้งนั้นแหละ  ยิ่งพลเมืองดีด้วยนะ  เพราะถ้าเรื่องมาถึงตัวแล้วไม่มีใครช่วยใครได้หรอก  นอกจากตัวเราเอง“

มันเป็นคำพูดที่เตือนสติเขาได้บ้าง  จริงสิ…ใครจะช่วยเขาได้ถ้าภัยมาถึงตัว  พลอาจจะถูกรุมซ้อมจนตายวันนั้นก็ได้ถ้าไม่มีใครรู้ใครเห็น  ความโชคดีชนิดนั้นมันคงไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก…

“ว่าแต่สืบรู้รึยังว่าใครช่วยมันไว้วันนั้น“ เปลี่ยนเรื่องถามไปถึงสิ่งที่ค้างคาใจมากที่สุดในตอนนี้

“ถามๆให้แล้ว  ไอ้ค่ายมวยมันก็มีไม่กี่แห่ง  น่าจะได้ความเร็วๆนี้“

ใกล้รุ่งได้ยินพ่อคุยโทรศัพท์กับลุงลิลิตเป็นนาน  จะเรื่องอะไรถ้าไม่ใช่เรื่องน้องชาย  พ่อร้อนใจขนาดนั่งไม่ติดแค่เห็นแก๊งมอเตอร์ไซค์ตามมาป่วนถึงบ้าน  ถึงขนาดจะส่งพลเข้ากรุงเทพฯ  แผงขายผักพ่อก็สั่งปิดชั่วคราว  บ้านคงปิดประตูเลิกรับแขกไปอีกนานจนกว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย

ขี่สกูตเตอร์เข้าตลาดเพื่อหาซื้อของใช้จำเป็น  มันเป็นเส้นทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีวี่แววว่าจะมีรถแล่นผ่าน  ไม่มีกระทั่งบ้านคนตามรายทางนอกเสียจากบ้านร้างแห่งหนึ่งที่เคยเป็นที่พักชั่วคราวของคนงานเฝ้าไร่  นัยว่าเจ้าของที่ไปอยู่เมืองนอกและทิ้งที่ดินให้รกร้าง

ผ่านไปทางนั้นก็พบมีผู้หญิงแก่ๆออกมากวาดบริเวณบ้าน  หมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งนั่งเกาหมัดอยู่หน้าบริเวณทางเข้า  ไม่ใช่บ้านหลังเก่าที่หล่อนเคยเห็น เพราะมีการมุงหลังคาและทำฝาบ้านใหม่  แวบเดียวที่เห็นก็รู้ว่าคงเป็นคนเฝ้าใหม่ คนงานคนเดิมเป็นตาลุงแก่ๆที่หล่อนเคยรู้จักเป็นอย่างดีเพราะแกชอบไปซื้อผักที่บ้าน  ไม่เห็นมานานพอสมควรก็คงเป็นเพราะเหตุนี้เอง…แกไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว…

เจียงเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกครั้งที่ตลาดขณะกำลังขนของ  ร่างโปร่งระหงในชุดเสื้อกางเกงยีนส์บนสกูตเตอร์สีขาวเป็นจุดเด่นให้คนแถวนั้นเหลียวมอง  เสียงเป่าปากดังมาจาก กลุ่มวัยรุ่นที่ตั้งวงดื่มตามติดมาด้วยเสียงล้อเลียนฮือฮา  เขาเห็นหล่อนจอดรถและแวะ เดินลับหายเข้าร้านแถวนั้นโดยไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกับอะไร  น่าแปลกที่เขาช่างจดจำ หล่อนได้แม่ยำเสียนักหนาแม้จะพบกันแค่ครั้งเดียว  บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับตัวหล่อน และเขาก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไรแน่  อาจจะรอยยิ้มเอื้ออาทรที่หล่อนมีให้เขานั่นก็ได้  คงเดารู้ถึงความยากไร้อย่างแสนเข็ญของเขาในวันนั้น…

ได้เวลาเลิกงานและรับเงินจากลูกชายเถ้าแก่ที่เอาเงินมาจ่าย  เจียงเซ็นชื่อรับเงิน และรีบหลบตาของอีกฝ่ายที่จ้องมองตรงมา…

 



Don`t copy text!