ก่อนฟ้าสาง บทที่ 5 : แก๊งอันธพาล

ก่อนฟ้าสาง บทที่ 5 : แก๊งอันธพาล

โดย : ม.มธุการี

Loading

ก่อนฟ้าสาง นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านออนไลน์ เรื่องราวโดย ม.มธุการี เมื่อ ‘เจียง’ เลือกพาครอบครัวหนีความเดือดร้อนมาพักพิงยังแผ่นดินไทย แต่แผ่นดินแห่งนี้จะเป็นที่พักพิงที่ปลอดภัยให้กับเขาได้จริงๆ หรือ เจียงยังจะต้องฝ่าฟันอะไรอีกมากมาย อาจจะมีเพียง ‘ใกล้รุ่ง’ หญิงสาวผู้อ่อนโยนคนนั้นที่เป็นความหวังของเขา

“ชื่ออะไรเรา” เป็นคำถามวางอำนาจอย่างห้วนๆ

“เจียงครับ” เจียงตอบไม่สบตา รีบกำเงินเดินเลี่ยงออกจากที่นั่น ในครัวมีถุงใส่อาหารที่แม่ครัวเตรียมใส่ถุงไว้ให้เขา เป็นกล่องอาหารขนาดใหญ่ที่ยังร้อนและหนักอึ้ง

อะไรกันที่ทำให้เถ้าแก่ช่วยเหลือเขาถึงขนาดนั้น…

ฉันชอบช่วยคน…มันช่างเป็นคำพูดเล็กๆ ที่กินใจ…

แวะซื้อยาแก้ไอให้แม่ เงินชุ่มเหงื่อในมือขณะจับจ่ายออกไป เงินจากน้ำพักน้ำแรงของเขาและเขาก็จะมอบให้แม่ไว้ทั้งหมดเมื่อกลับถึงบ้าน

เดินกลับบ้านตามเส้นทางสายฝุ่นที่เขาเริ่มคุ้นชินกับมัน ฝุ่นสีแดงจับตามยอด หญ้าริมทางจนดูสกปรกมอมแมม คงอีกนานกว่าถนนลาดยางจะเดินทางมาถึงที่นี่ มันยังเป็นบ้านป่าที่ห่างไกลความเจริญเสียนักหนาในย่านนี้

เสียงรถมอเตอร์ไซค์วิ่งสะวี้ดสะว้าดไล่ตามกันมาและมาเหยียบเบรกขวางทางเดินของเขาพอดี วัยรุ่นสองคนแผลเต็มหน้าหัวเราะร่วนขณะลงจากรถตรงมาที่เขา อีกสองคนเดินตามมาติดๆ

“เห็นว่ามึงเงินออกวันนี้นี่ ใช่มะเฮีย” ไม่พูดเปล่าแต่เข้ามาสกัดกั้นรุมล้อมเขา คนหนึ่งดึงมีดออกมาด้วย ส่วนอีกสามคนก็เข้ามาตบรื้อค้นในกระเป๋าและปลิ้นเงินออกไปนับ

“แค่นี้เองหรือ มึงทำงานมากี่วันวะเนี่ย”

เสียงรถบีบแตรดังสนั่นมาตามเส้นทาง พร้อมๆ กับที่รถสกูตเตอร์สีขาวคันนั้นก็แล่นผ่านรวดเร็วจนฝุ่นสีแดงตลบ

ใกล้รุ่งเหลียวมองก็พบเจ้าวัยรุ่นสี่คนรีบขี่จักรยานยนต์หันกลับไปอีกเส้นทางหนึ่ง

ปล้นกลางวันแสกๆ…หล่อนทันเห็นตอนที่พวกมันล้วงกระเป๋าเงินชาวบ้านแล้วเอาเงินออกมานับ บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปยิ่งขึ้นทุกวัน นี่ขนาดกลางถนนกลางวันแสกๆ…

กลับเข้าบ้านและเอารถสกูตเตอร์ไปเก็บในโรงรถ น้องชายกำลังพ่นสีรถคันใหม่อยู่พอดี พอเห็นหล่อนก็ว่า

“พ่อถามหาแน่ะ”

“เข้าตลาดไปซื้อของ เชื่อไหม ขากลับผ่านมาเจอกลุ่มโจ๋กำลังปล้นชาวบ้านพอดี สงสัยกลุ่มเดียวกับที่มันรุมเธอ”

“ที่ไหน” พลสนใจ

“ตรงนี้เอง รื้อค้นกระเป๋ากันกลางวันแสกๆ จะได้ไปสักกี่ตังค์ คนงานหน้าแห้งๆ ก็ยังเอา”

“มันเริ่มเหิมเกริมยิ่งขึ้นทุกทีแล้วไอ้พวกนี้” พลถอนใจ วางมือจากงานและเดินไปรินน้ำดื่ม แผลเก่ายังแดงระบมที่หน้าผากแม้จะเอาผ้าปิดแผลออกแล้ว

“ทำไงได้ นี่เห็นว่าพ่อจะส่งเธอเข้ากรุงเทพสักพัก”

“ไปทำไมกรุงเทพ อยากอยู่ฉะกับพวกมันสักตั้ง วันนั้นเล่นเอาหัวแทบพัง มีปืนหน่อยไม่ได้ ไอ้ธงเอาปืนมาให้พ่อก็ริบไปฉิบ”

“พ่อกลัวมีเรื่อง เธอยิ่งใจร้อนๆ”

นั่งคุยกันเงียบๆ ในโรงรถนั่นเอง พยายามออมไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปภายนอก

“นี่ไม่ทันไรมันขี่รถเวียนมาดูหลายรอบ” ใกล้รุ่งพูดต่อ

“เห็นเหมือนกันหรือ”

“พ่อก็เห็นถึงได้สั่งให้ปิดรั้วตลอดเวลา ไม่ต้องตั้งมันแล้วแผงผัก”

“แล้วยังงี้พ่อยังจะให้หนี ยิ่งหนีมันก็ยิ่งกร่าง นึกว่าบ้านเมืองเป็นของโจรไปแล้วอีก ปล้นกลางแดดหน้าด้านๆ ยิ่งจนก็ยิ่งถูกพวกมันรีดไถ ไอ้คนถูกปล้นเมื่อกี้คงแทบผูกคอตาย กูทำงานมาเหนื่อยทั้งวัน”

“คงคนงานแถวนี้ สงสัยเพิ่งเลิกงานเงินออก”

“ก็คงจะคนงานเถ้าแก่กิจนั่นละ วันนั้นที่โดนรุมลูกน้องลูกชายเถ้าแก่ก็ร่วมด้วย ไอ้เกรียงนี่โคตรจะเลว”

“ความจริงเราน่าจะไปแจ้งความนะ รู้ตัวคนทำด้วย”

“นักเลงไม่มีใครเขาแจ้งกันหรอก นอกเสียว่าจะตาย ยังงั้นตำรวจค่อยมาเก็บศพ”

“แต่เธอไม่ใช่นักเลงนี่นะ”

“กำลังจะเป็นอยู่นี่ยังไง ไอ้พวกนี้ต้องปราบกันด้วยนักเลง เจ้าหน้าที่เคยทำไรพวกมันได้มั่งรึเปล่าล่ะ”

“เธอไม่มีพวกที่ไหน มีแต่เจ้าธง”

“พวกน่ะหาง่ายถ้าจะหานะ คนที่เขาเดือดไอ้แก๊งระยำนี่มีถมเถ เด็กในค่ายนักมวยก็มี วันนั้นก็สงสัยคนในค่ายนี่แหละที่เล่นมันซะงอมพระราม”

“ไม่มีวันที่พ่อจะให้เธอไปตั้งแก๊งสู้กับพวกมันหรอก”

“ก็ติดที่พ่อคนเดียว พ่อเองน่าจะรู้ว่าไม่มีทางใดที่จะปราบพวกมันได้เลย”

ใกล้รุ่งเริ่มเห็นด้วยกับน้องชาย แก๊งที่ว่านี้มันมีมาหลายปีแล้วและยิ่งเหิมเกริมขึ้นทุกวัน ตอนลุงลิลิตเป็นตำรวจก็เคยวิ่งไล่ปราบปรามอยู่พัก แต่ไปไม่ถึงไหน เพราะถูกเจ้านายที่เป็นพ่อหัวโจกขัดขาเอาไว้ นี่คือแก๊งลูกผู้การนายตำรวจใหญ่ที่คนกลัวเกรงบารมีกันทั้งอำเภอ…

——–

เจียงกลับมาถึงบ้านพร้อมอาหารเย็นให้แม่และน้อง ไม่มีเงินเก็บมาให้แม่อย่างที่คิดเอาไว้เพราะโดนปล้นไปหมด จริงหรือที่บ้านเมืองนี้ไม่มีขื่อมีแป อะไรจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ เขาเจอมาแล้วกับตัวเองวันนี้…

ออกไปเดินเล่นในป่าสงบจิตใจตัวเอง กลิ่นป่าและกลิ่นความชุ่มชื่นช่วยบรรเทาความเครียดให้เขาได้บ้าง

เขารักป่า เกิดและโตและร่ำเรียนที่วัดเส้าหลินมาตั้งแต่เด็กจนซึมซับกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่นั่นสอนการต่อสู้ให้เขาจนครบหลักสูตรการเป็นพระ ออกมาตั้งสำนักของตนเองอยู่หลายปี จนมีเรื่องให้ถูกไล่ล่าด้วยข้อหาตั้งตัวเป็นเจ้าลัทธิเพื่อก่อการกบฏ โลกอยู่ยากไปทั่วทุกหัวระแหง ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป…

เคยคิดว่าดินแดนใหม่และชีวิตใหม่น่าจะทำให้ชีวิตของเขาง่ายขึ้นกว่าเดิม แต่มันทำท่าว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น มีพลังมืดแทรกซึมอยู่ทั่วไปที่พร้อมจะกลืนกินความดีงาม ทางรอดคือการกลืนตัวไปกับมันจนแยกแยะอะไรไม่ได้อีกแล้ว วันนี้การที่เขาปล่อยให้พวกมันปล้นเงินไปจากตัวเหมือนจะเป็นการพิสูจน์ถึงสิ่งนั้น หรือว่าเขาจะต้องหลบหนีไปอีกครั้ง หนีเหมือนอย่างที่เคยหนี…

หมาขี้เรื้อนตัวเดิมเดินตามเขาต้อยๆ อย่างจงรักภักดี สาเหตุเพราะเขาดีกับมัน

แต่มันคงจะกัดเขาจมเขี้ยวถ้าเขาไปทำร้ายมันเข้า…นึกเจ็บใจตัวเองที่วันนี้ปล่อยให้ไอ้พวกนั้นปล้นเงินไปง่ายๆเงียบๆ มันมากันแค่สี่คน…

———-

บุตรชายนั่งดวดเหล้าอยู่กับลูกน้องหลังเลิกงานและส่งเสียงดังเอะอะลั่นตลาด

ตอนที่เขาเดินออกมาดูหน้าร้าน เกรียงอายุสามสิบปีนี้ ลูกชายคนโตในจำนวนลูกทั้งหมดห้าคนที่ไม่เอาถ่านและเกเรมากที่สุด สามคนส่งไปเรียนนอก คนรองต่อจากเกรียงอยู่กรุงเทพฯ และมีธุรกิจของตัวเอง ลูกคนโตกลายเป็นคนที่ไม่เอาไหนมากที่สุดจนเขากลัวกระทั่งจะส่งไปอยู่ไกลหูไกลตา

กลับเข้าห้องทำงานและกินข้าวเย็นที่นั่น ห้องทำงานกลายเป็นบ้านพักอีกแห่งหนึ่ง

ยามที่เขาไม่อยากกลับบ้านใหญ่ เมียตายได้หลายปีและบ้านก็กลายเป็นคฤหาสน์ร้างที่ไม่มีใครอยู่แม้กระทั่งบุตรชายคนโต

เจ้านั่นมีคอนโดฯ อยู่เองและเลี้ยงลูกน้องเอาไว้เต็มบ้าน

มีคู่หูคนสนิทคือลูกชายผู้การพิสุท ฝ่ายนั้นมีลูกชายสองคนที่ไม่เอาถ่านด้วยกันทั้งคู่ ได้บารมีพ่อทำตัวเบ่งและกร่างไปทั่วบ้านทั่วเมือง รายได้ใหญ่คงได้มาจากการรีดไถบุตรชายของเขาเพราะเงินขาดบัญชีเป็นประจำ บางครั้งคราวละมากๆ จนเขาเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่า ธุรกิจจะอยู่รอดถ้าไม่ไล่ไอ้นั่นเปิดไปเสียก่อน…

แม่ครัวเข้ามายกถาดอาหารออกไป คนเก่าแก่คนเดียวที่พึ่งได้ในยามนี้ ก่อนออกไปหันมาถามเขาว่า

“คนงานคนนั้น จะให้จัดอาหารเย็นไว้ให้ทุกวันหรือเถ้าแก่”

“ทุกวัน ทำไม”

“อีพักอยู่ไหน ทำไมไม่มาอยู่ที่โรงงาน”

“อีมีแม่กับน้องอยู่ด้วย คงลี้ภัยเข้ามา”

“จากไหนล่ะ”

คำถามนั้นบ่งชัดถึงความสนใจที่เป็นพิเศษจนเขาต้องรีบตัดบท

“จากไหนก็ชั่งอีเหอะน่า”

แม่ครัวออกไปแล้วและเสี่ยกิจก็เอนหลังพิงพนักครุ่นคิด เอาบัญชีการเงินประจำเดือนมาตรวจสอบ รอบนี้พบว่าเงินขาดบัญชีไปอีกแล้ว จะเนื่องมาจากใครถ้าไม่ใช่เจ้าลูกคนโต

ให้คนไปตามมาจากวงเหล้า กลิ่นเหล้าหึ่งในทันที่เข้ามาในห้องทำงาน

“มีอะไรอีกล่ะเตี่ย โธ่กำลังกินเหล้าเพลินๆ” นั่งแผ่หราบนเก้าอี้ตรงข้ามเขาและโอดครวญไปด้วย หน้าตาแดงก่ำประกาศว่ากำลังเมาได้ที่ เอื้อมมือหยิบสมุดบัญชีที่เขาเสือกไปให้ขึ้นมาดูอย่างเสียไม่ได้

“ขาดบัญชีไปอีกห้าแสน มันอะไรของมึงวะ เงินขาดได้ขาดดีแทบทุกเดือน เดือนละสี่แสนห้าแสน” เสี่ยกิจขึ้นเสียงเกรี้ยว

“อ้อ ลืมบอกเตี่ยไป เพื่อนขอยืม อาทิตย์หน้าจะเอามาให้” เสือกสมุดคืนมาที่เขา

“เพื่อน ใครอีกล่ะ ไอ้ทะนงลูกผู้การรึไง มันขอยืมไปกี่ครั้งกี่หนแล้วเคยได้คืนครบมั่งรึเปล่า”

“เที่ยวนี้ครบแน่น่า เตี่ยอย่าห่วงไปเลย เอาหัวเป็นประกัน” ตบมือลงบนโต๊ะแรงๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ใจเย็นน่า เดี๋ยวจะหัวใจวายตายซะก่อน นี่ไม่ได้แช่ง”

“เออ มึงไสหัวไป อาทิตย์หน้าไม่ได้เงินคืนก็อย่ามาเรียกกูว่าเตี่ย”

เกรียงหัวเราะเสียงดังก่อนจะออกจากห้อง และนี่ก็คือพฤติกรรมของบุตรชายคนโตที่จะมาดูแลธุรกิจของเขาในวันหนึ่งข้างหน้า มันช่างไม่มีความรับผิดชอบให้กับอะไรเลยมาแต่ไหนแต่ไร…

เกรียงกลับไปนั่งก๊งเหล้ากันต่อกับบรรดาลูกสมุนที่เขาเลี้ยงเอาไว้ ร้อนใจอยู่บ้างกับเงินก้อนที่เตี่ยออกปากทวง เพื่อนซี้ขอกู้ไปทำธุระและสัญญาจะคืนตามกำหนด มันเคยด้วยหรือที่ใช้เงินเขาตามกำหนด

เสียงลูกน้องในวงนั่งเถียงกันล้งเล้งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน มีมือดีเล่นงานลูกน้องของเขาเสียหมอบ สองคนล้วนแล้วแต่เป็นมือขวาของเขาทั้งสิ้น เจ้าคนนึงที่เป็นลูกชายคนเล็กของผู้การป่านนี้ยังนอนให้น้ำเกลือ นัยว่าเลือดคั่งในสมองและซี่โครงพังไปทั้งแถบ ต้องนอนพักฟื้นอีกอย่างไม่มีกำหนด

“กูไม่ทันจะได้ทำอะไรมันก็ซัดเสียหงายหลัง” เจ้านนท์ว่า

“กูเหมือนกัน กำลังจับไอ้พลโขกหัวกับกระโปรงรถอย่างเพลินเชียว มันเตะก้านคอทีเดียวกรูลงไปม้วน ไอ้ทนาโดนหนักหน่อยเพราะไปสู้กับมัน เล่นเอามันซัดไม่เลี้ยง” ไอ้เด่นเสริม

“แล้วมึงจำหน้ามันไม่ได้เลยหรือวะ” เกรียงถามโกรธๆ

“ใครจะจำได้ล่ะเพ่ มันซัดทีเดียวหมอบ แต่ไอ้ทนาอาจจะจำได้แน่เพราะซัดกับมันอยู่พัก ออกจากโรง’บาลเมื่อไหร่ค่อยถามดูละกัน”

“กูแค่อยากรู้เท่านั้นว่ามันคนย่านนี้หรือเปล่า ทำไมถึงได้บังอาจนัก”

“อาจจะแค่ผ่านมาลองของ หรือไม่ก็เพื่อนไอ้พลมัน”

“ลากมันมาถามหน่อยได้ไหม”

“พักนี้มันไม่ยอมออกจากบ้านเลยพี่ ผ่านไปดูมันอยู่ทุกวัน สงสัยเข็ด”

“ไอ้สันดานเอ้ย ตั้งสามคนยังสู้มันไม่ได้”

เกรียงหัวเสียให้กับลูกสมุน แต่ละคนเคยเข้าค่ายนักมวยมีชื่อดังมาแล้ว ดันมาให้ไอ้กุ๊ยที่ไหนไม่รู้มาลูบคมถึงถิ่น

เลิกกินเหล้าวันนั้นก็แวะไปคุยกับทะนงที่บ้านของอีกฝ่าย ทะนงมีบ้านพักร้อนใหญ่โตที่พ่อซื้อทิ้งเอาไว้ให้ ตัวผู้การอยู่ในตัวจังหวัดและจะแวะมาเยี่ยมนานๆ ครั้ง พอเจอหน้าก็ถามถึงเรื่องเงินก่อนเลย

“เตี่ยรู้แล้วว่าเงินขาดบัญชี ไหนลื้อว่าจะเอามาให้ตั้งอาทิตย์ที่แล้วไง”

“เออน่า ขอเวลาหน่อย” ร่างสูงโย่งเดินเอาแก้วเหล้ามายื่นส่งให้เขา ตัวเองถอยไปนั่งเอกเขนกบนโซฟาตัวยาว “ตอนนี้กำลังเอาเงินไปออกดอกออกผลคืนแน่เร็วๆ นี้ แถมดอกเบี้ยให้ลื้ออีกด้วย”

“อย่าช้าละกัน เตี่ยด่าเปิงตอนนี้” เกรียงจิบเหล้าไปด้วย จากนั้นก็ถามไปถึงน้องชายของอีกฝ่าย

“ป่านนี้ยังไม่ออกจากโรง’บาลอีกหรือ”

“ยัง แมร่งเล่นเอาซะสมองเสื่อม หมอให้พักรักษาตัว พ่ออั๊วเดือดฉิบหายเลย หาว่าอั๊วไม่ดูแลน้องอีก ใครคิดล่ะว่ามันจะไปเจออะไรเข้าแบบนั้น ว่าแต่ลื้อสืบไม่ได้เลยหรือว่ามันเป็นใคร”

“ถามลูกน้องแล้วไม่มีใครจำได้ แมร่งเร็วมาก แผล็บเดียวลงไปกอง ทนาน่าจะจำได้มั่งเพราะไปสู้กับมัน”

“ไม่ลากไอ้พลมาเค้นคอเอาความจริงกับมัน”

“ไอ้นั่นไม่ยอมออกจากบ้านเหมือนกัน อาจจะรู้แกว”

“ก็เพื่อนมันนั่นแหละจะมีใคร”

“เห็นว่าไม่ใช่ไอ้ธง”

“เพื่อนมันมีคนเดียวเมื่อไหร่ พ่ออั๊วเอาเรื่องแน่ถ้าทนาเป็นอะไรไป สมองมันตอนนี้เสื่อมแทบจะจำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ยังโคม่าอยู่เลย”

“จะหาทางสืบให้ละกัน ว่าแต่เรื่องเงินอาทิตย์หน้าต้องได้นาเว้ย ไม่งั้นเตี่ยเอาตายห่ะ” เกรียงวกไปถึงเรื่องสำคัญที่แวะมา

“เออน่า…วะ…เตี่ยลื้อนี่ขี้เหนียวบรรลัย มีเงินหมุนเป็นร้อยล้านได้มั้ง กะอีเศษเงินแค่นี้”

เกรียงนิ่งเสีย มองทะนงที่ลุกเดินไปรินเหล้ามานั่นดื่มต่อ นั่นสิ…ทำไมเตี่ยถึงได้ขี้เหนียวนักจนขึ้นชื่อ คงเป็นเพราะว่าเตี่ยเคยจนมาก่อนนั่นเอง เคยรับงานแบกหามเป็นกุลีสมัยหนุ่มๆ จนหลังแทบขาด จนแก่แล้วก็ยังไม่ยอมรีไทร์เหมือนชาวบ้านชาวช่อง เขาอาจจะแก่ตายไปเสียก่อนก็ได้กว่าจะได้รับมรดกจากเตี่ย…

เมาได้ที่ตอนขับรถออกจากบ้านทะนงตอนดึก โดนตำรวจเรียกจอดระหว่างทางเสียอีก แต่พอเห็นหน้าเขาก็ผ่านตลอดแถมตะเบ๊ะให้ ควานจะหาเงินมาตบรางวัลปรากฏว่า เงินเกลี้ยงกระเป๋าไปแล้วเพราะเอาไปเลี้ยงเหล้าลูกน้อง นี่เขาใช้เงินมือเติบขนาดนี้ทีเดียวหรือ…แล้วลูกน้องแต่ละคนไม่เลี้ยงมันก็ไม่ได้ ดีไม่ดีตีจากไปหาเจ้านายคนใหม่ ตำรวจก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีเงินส่งส่วยตลอดเวลาจะมายืนตะเบ๊ะเขาอยู่อย่างนี้เรอะ เขาช่าง เกิดมาในยุคสมัยที่เงินคือทุกสิ่งจริงๆ เสียด้วย…

กลับไปที่บริษัทและหวังจะดอดไปเอาเงินจากเซฟของเตี่ย เคยแอบงัดเอาบ่อยๆ โดยที่เตี่ยไม่รู้ ก็เพราะว่าเตี่ยมีเงินมากมายในนั้น หายไปหมื่นครึ่งหมื่นเตี่ยไม่เคยแม้แต่จะรู้เพราะเขาเคยเอามาเป็นประจำยามเงินร้อนขาดมือ ไปถึงปรากฏว่าห้องทำงานเตี่ยยังเปิดไฟอยู่ คงเป็นอีกวันที่เตี่ยค้างที่นี่และไม่กลับบ้านกลับช่อง

เกือบจะกลับออกไปแต่เตี่ยเรียกเขาเอาไว้เสียก่อน

“อาเกรียงเหรอ เข้ามานี่หน่อย”

เกรียงถอนใจยาวขณะผลักประตูเข้าไปในห้อง

“เตี่ยรู้ได้ไงว่าเป็นผม” ถามขณะทิ้งตัวนั่ง

“แล้วใครจะเข้ามาที่นี่ดึกๆ ดื่นๆ ถ้าไม่ใช่ลื้อ” เตี่ยย้อนถามเขา มือไม้ยังวุ่นวายกับเอกสารบนโต๊ะ

“เกิดเป็นโจรเข้าปล้น เตี่ยไม่น่านอนที่นี่คนเดียว บ้านช่องก็มี มันอันตรายเกิดใครมันบุกเข้ามา”

“ใครว่าคนเดียว คนงานเต็มไปหมด”

“ไว้ใจได้ที่ไหน พวกคนต่างด้าวทั้งนั้นแหละ เตี่ยรับใครเข้าทำงานไม่เคยดูตาม้าตาเรือ นี่ก็รับเข้าอีกราย ไม่มีกระทั่งใบทำงาน”

“คนนี้เชื่อใจได้ โหงวเฮ้งดี เป็นคนดี มีบุญ ซื่อสัตย์สุจริต ขยันขันแข็ง นี่อั๊วจะให้อีมาเป็นคนขับรถให้อั๊วแทนคนเก่าที่ออกไป”

“เตี่ยพูดบ้าๆ คนขับรถ อีไม่มีกระทั่งบัตรประชาชนกับใบขับขี่”

“หาได้นี่หว่าถ้าจะหาเสียอย่าง ใช่ไหม…ก็จะบอกให้รู้เอาไว้แค่นั้น ออกไปได้แล้ว นี่ไปแดกเหล้ามาเหม็นหึ่ง เพลาๆ ซะมั่งนะเรื่องเหล้า นี่ไง เหตุผลทำไมอั๊วไม่อยากให้ลื้อขับรถให้นั่ง”

เกรียงออกจากที่นั่นอย่างหัวเสีย ไม่เข้าใจจนนิดเดียวว่าเตี่ยไปไว้ใจคนต่างด้าวพรรค์นั้นได้อย่างไร คนแปลกหน้าที่เพิ่งเข้ามาทำงานได้เพียงวันเดียวและเตี่ยก็ดูจะมอบความไว้วางใจให้จนหมดสิ้น ขนาดจะทำใบขับขี่กับบัตรประชาชนให้ คนขี้เหนียวอย่างเตี่ยยอมทุ่มเทมากมายขนาดนั้นทีเดียวหรือกับคนต่างด้าวที่ไม่มีหัวนอนปลายตีนคนนั้น…

 



Don`t copy text!